วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เณรน้อยคล้ายจะเสียเปรียบหงซีกวนอยู่หลายส่วน เขาได้แต่ปัดป้องหมัดเท้าเหล่านั้นโดยไม่อาจโต้คืนได้สักครั้ง ฝ่ายหงซีกวนนั้นแม้หมัดเท้าจะว่องไวหนักแน่น แต่กลับไม่อาจหลุดรอดการปัดป้องของเณรน้อยได้เลย

ฝ่ายหนึ่งจู่โจม ฝ่ายหนึ่งปัดป้อง ทั้งการจู่โจมและปัดป้องล้วนเป็นเพลงหมัดชุดเดียวกัน ไม่ว่าจะอย่างไรการจู่โจมก็ไม่อาจทำลายการปัดป้องนั้นได้ จนเร่งเร้าให้ผู้จู่โจมหงุดหงิด และดุดันโหมโจมตีมากขึ้น
ฉับพลัน ฝ่ามือของเณรน้อยแปรเปลี่ยนจากปัดป้องเป็นกระแทกกลับทันที ในจังหวะสวนกลับ (counter fist)

ร่างของหงซีกวนถึงกลับกระเด็นลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับความตะลึงลานของเณรน้อยที่ไม่อาจเชื่อตนเองได้ในความร้ายกาจของฝ่ามือตน

หงซีกวนค่อยๆยันกายลุกขึ้นอย่างยากเย็น แม้จะเจ็บใจที่ต้องพ่ายแพ้ต่อเณรน้อย แต่เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้นี้อย่างลูกผู้ชาย

เณรน้อยผู้นี้ ดูภายนอกบอบบางไร้พิษสง แต่กลับมีกำลังภายในกล้าแข็งถึงขนาดทำให้เขาหมอบได้ในฝ่ามือเดียว!

หลวงจีนจื้อส้านยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวแก่เขา "ซีกวน เจ้าเห็นหรือยัง เณรน้อยแม้ไม่เคยฝึกเพลงมวยเหมือนเจ้า แต่กลับทุ่มเทฝึกฝนพื้นฐานมามากกว่าเจ้าทั้งจิตใจและกำลังภายในเข้มแข็งยิ่งนัก เจ้าตรองดูเถิด ถ้าข้าไม่ใส่ใจในท่าพื้นฐานแก่เจ้าให้มากแล้ว แม้เร่งถ่ายทอดเพลงมวยสุดยอดของเส้าหลินให้เจ้าก็เกรงว่าเป็นการหยิบยื่นความตายแก่เจ้ามากกว่า!"

หงซีกวนพลันเกิดปัญญา คุกเข่าลงกราบขอขมาอาจารย์ทันที ในความใจร้อนของตน

นับแต่นั้นมาหงซีกวนก็เพียรฝึกฝนท่ายืนควบม้าต่อไป เมื่อในใจดุจ "ถ้วยชาที่ว่างเปล่า" แล้ว ความเร่งร้อนถือดีของตนก็พลันถูกข่มไว้ ทำให้ท่าพื้นฐานของตนเป็นที่พอใจของหลวงจีนจื้อส้าน จนเริ่มถ่ายทอดวิชาแก่หงซีกวนในเวลาต่อมาไม่นาน

ศัตรูอย่างหนึ่งของผู้ฝึกยุทธคือ ความใจร้อน การฝึกวิทยายุทธในตัวมันเองจึงเป็นการฝึกตนเอาชนะ ความใจร้อน ดังนั้น การฝึกสุดยอดวิทยายุทธ หากไร้ซึ่งพื้นฐานร่างกาย และจิตใจที่แข็งแกร่งหนักแน่นแล้ว สุดยอดวิชาก็อาจกลายเป็นแค่ มวยตีมดเท่านั้น

การที่หลวงจีนจื้อส้านบังคับให้หงซีกวนฝึกท่ายืนควบม้า นอกจากเป็นการปัดฝุ่นปูพื้นฐานให้ใหม่ทั้งหมดแล้ว ยังเป็นการบ่มเพาะความแข็งแกร่งของจิตใจให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย

ความแข็งแกร่งที่ต้องเอาชนะความใจร้อนและความถือดีของตน

จุดประสงค์ที่หงซีกวนมากราบหลวงจีนจื้อส้านเป็นอาจารย์นี้ อย่างหนึ่งก็เพื่อกลับไปเป็นหัวหน้าพรรคดอกไม้แดง เพื่อนำพาเหล่าจอมยุทธนับร้อยก่อกบฏต่อสู้กับราชสำนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำก็ทำได้ และใช่ว่าทำแล้วจะสำเร็จดังหมาย และพรรคจะรุ่งหรือจะล่ม ย่อมไม่อาจโต้แย้งได้ว่า ผู้นำมีส่วนในการเหล่านี้อยู่หลายส่วน

ผู้นำต้องมิใช่เพียงแต่มีวรยุทธเป็นเลิศเท่านั้น หากแต่คุณสมบัติของผู้นำที่คนนับร้อยฝากชีวิตไว้นั้น อยู่ที่สามารถควบคุมจิตใจตนได้มากเพียงใดด้วย ยังไม่นับรวมถึงสติปัญญาในการตัดสินใจต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าซึ่งต้องอาศัยความเยือกเย็นอีกต่างหาก

ในการประลองกับเณรน้อยนั้นเห็นได้ชัดถึงข้อด้อยนี้ของหงซีกวน เมื่อพิจารณาแล้ว เณรน้อยฝึกฝนท่ายืนควบม้ามาเป็นเวลานาน ซึ่งนอกจากจะสร้างพื้นฐานร่างกายให้แข็งแกร่งแล้วยังเป็นการบ่มเพาะกำลังภายในให้กล้าแข็ง ที่สำคัญคือการมีจิตใจที่เยือกเย็นเข้มแข็ง เมื่อได้ผ่านการอดทนต่อสู้กับความเมื่อยล้า และความน่าเบื่อหน่ายของการยืนย่อขาเฉยๆเป็นเวลานานๆ ซึ่งหากจิตใจไม่เข้มแข็งและสงบเยือกเย็นพอแล้ว ผู้ฝึกย่อมเลิกฝึกกลางคันเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ ในการประลองกับหงซีกวน แม้จะเป็นการประลองครั้งแรกของเณรน้อย แต่เมื่อเขามีจิตใจที่สงบเยือกเย็นและมีสติมากกว่า การเคลื่อนไหวมือเท้าของตนเพื่อปัดป้องการจู่โจมของหงซีกวนย่อมมีประสิทธิภาพ ส่วนคนที่สมาธิสั้นและไม่มีจิตใจเยือกเย็นเท่าอย่างหงซีกวนจึงตบะแตกง่ายเมื่อไม่สามารถเอาชนะการปัดป้องของเณรน้อยได้ เขาจึงเร่งเร้าโหมโจมตีอย่างดุดัน สภาวะจิตใจที่มุ่งแต่จะเอาชนะของหงซีกวนนั้นเองได้เปิด "ช่องว่าง" ขึ้นให้เณรน้อยผู้มีกำลังภายในกล้าแข็งแย่งชิงจังหวะนั้นสวนฝ่ามือกลับซัดหงซีกวนได้ในพริบตา

จุดอ่อนของหงซีกวนเช่นนี้เองที่หลวงจีนจื้อส้านเห็นว่า หากแม้นหงซีกวนลาจากวัดเส้าหลิน โดยมีเพียงสุดยอดวิชาของเส้าหลินติดตัวไป แต่จิตใจยังคงไม่อาจเอาชนะความใจร้อน และความถือดีในตัวได้แล้ว การเป็นผู้นำพรรคดอกไม้แดงคงต้องสอบตกเป็นแน่ ยังมิพักต้องกล่าวถึงการจะโค่นล้มราชสำนักแมนจูว่าจะสำเร็จหรือไม่

ใช่หรือไม่ว่า ความจริงอีกประการหนึ่งอันเป็นบ่อเกิดของทุกข์แห่งปุถุชนเราคือ มักจะละเลยเพิกเฉยต่อสิ่งพื้นเพที่จำเป็นเบื้องหน้า แล้วมุ่งสนใจกับ "สีสัน"ที่ยังอยู่อีกไกลมือ

ครั้งหนึ่ง ในการเทศนาธรรมและปุจฉาวิสัชนาธรรมของหลวงปู่พุทธอิสระ มีผู้ปุจฉาท่านว่า

"หลวงปู่ครับ โปรดเมตตาสอนธรรมขั้นสูงให้ด้วยครับ"

หลวงปู่เพียงยิ้มนิดๆ และถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะวิสัชนาสั้นๆว่า

" ลูกเอ๋ย ศีลห้าน่ะ พร้อมดีหรือยัง"

------------------------------------------
อริญชัย (ลอกมาจากท่านนี้) :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ตำนานนักสู้ผู้กล้าแห่งเส้าหลิน



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากที่ซันเดย์ สเปเชียล ได้เสนอเรื่อง ราวของซามูไร นักรบแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ไปแล้ว แฟนานุแฟนบางท่านได้ทักท้วงว่า ทำไมจึงไม่เอาวิถีผู้กล้าแห่ง ดินแดนมังกร อันยิ่งใหญ่มาเล่าสู่กันฟังบ้าง อา...ได้เลย ครับ ขอเพียงให้ สั่งมา ทีมงาน ต่วย'ตูน พร้อมน้อมรับทุกเมื่อ อย่ากระนั้นเลย จะขอ นำตำนานของ สถาบันนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ที่ โด่งดังไปทั่วโลก คือ สำนักยุทธจักร เส้าหลินมาให้อ่าน กันดีกว่า เพื่อให้สมกับ ศักดิ์ศรีที่เขายกย่องกันว่า

“ศิลปะวิทยายุทธ์จีนทั้งหลาย ล้วนมีที่มา จากวัดเส้าหลิน”

“All Chinese martial arts stem from Shaolin.”

วัดเส้าหลินตั้งอยู่บนเขาซ้อง ทางตอนกลางของจังหวัดฮีนาน มณฑลเต็งเพิง โดยจักรพรรดิ เสี่ยวเหวิน ทรงสร้างขึ้นเมื่อ 48 ปี ก่อนพุทธศักราช (ค.ศ. 495) เพื่อให้เป็นที่พำนักของภิกษุ ผู้เดินทางมาจากอินเดีย

ส่วนยุทธจักรเส้าหลินตำนานระบุว่า ถือกำเนิดขึ้นในราว 23 ปี ก่อน พ.ศ. (ค.ศ. 520) โดยท่าน โพธิธรรม สมณะใน พระพุทธศาสนาผู้ จาริกมาจากอินเดีย ท่านเป็นผู้ริเริ่มการฝึกฝนออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ แข็งแรง ลักษณะการเคลื่อนไหวของ ร่างกายในการ ฝึกฝน นั้น ท่านได้เลียนแบบมาจากท่าที ของสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ได้พบเห็นมา และ นับแต่นั้น ภิกษุแห่งวัด เส้าหลินก็ถือปฏิบัติ การฝึกฝน ร่างกายรวมทั้งวิทยายุทธ์ ทั้งหลาย เป็นวัตรประจำวัน

อันการที่ภิกษุจำต้องเรียนรู้วิทยายุทธ์นั้น ก็เนื่องมาจากวัดเส้าหลินอยู่ทางดินแดน ภาคใต้ โดยดินแดนตอนเหนือมีราชวงศ์เว่ยปกครอง และมีท่าทีคุกคามสถานภาพของ พุธทศาสนา ทางตอนใต้ พระท่านจึงต้องเตรียมรับมือไว้ครับ หาใช่ฝึกไปเข่นฆ่ารุกรานใครไม่

หลักวิทยายุทธ์ของเส้าหลินนั้น จะเน้นไปในด้านความแข็งแกร่ง ของกล้ามเนื้อและกระดูก เคลื่อนไหวรวดเร็วและมีพละกำลัง ซึ่งจะต่างกับ บู๊ตึ๊ง ซึ่งเป็นอีกสำนักยุทธจักรหนึ่ง ซึ่งเน้นไปทางด้านนิ่มนวล หรือที่เรียกกันว่าใช้ความอ่อนโยนสยบความ ดุดันนั่นแหละครับ

แต่ไม่ว่าจะเป็นเส้าหลินหรือบู๊ตึ๊ง ต่างก็ต้องศึกษา พื้นฐานวิทยายุทธ์อันเดียวกันก่อน ซึ่งมีอยู่ 2-3 อย่าง อาทิ

การสกัดจุด ได้แก่ การใช้นิ้วจี้จุดสำคัญ อันเป็น ศูนย์ ประสาทบนร่างกายของศัตรู ทำให้มัน ผู้นั้น ถึงแก่การเป็นอัมพาต มิอาจเคลื่อนไหวร่างไป ชั่วขณะ ซึ่งผู้มีวิทยายุทธ์นี้จะต้องเรียนรู้ถึง ตำแหน่งจุดสำคัญนั้น ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วร่าง โดยหลักการถือว่าเมื่อจี้จุดดังกล่าวแล้ว จะทำให้ กระแสโลหิตถูกปิดกั้น มิอาจไหลวนเวียนไปเลี้ยง ร่างกายได้ เกิดอาการชา และถ้าถูกปิดกั้นนานๆ ก็ส่งผลให้ ถึงแก่เด๊ดสะมอเร่ได้ครับ

วิชาตัวเบา (ฉิงกง) เป็นเทคนิคการฝึกฝน ร่างกายให้ตัวเบาและว่องไว ก็อย่างที่เห็นนักสู้ ผู้กล้าสามารถเหินขึ้นไปต่อกรกันบนยอด ไม้หรือบนหลังคาเก๋งจีนนั่นแหละครับ นักบู๊บางคนถึง กับเดินบนผิวนํ้าในทะเลสาบได้อย่างสบายๆ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะ “เว่อร์” ไปหน่อย เพราะใน คัมภีร์กังฟูของเส้าหลินนั้น อย่างเก่งก็เพียงแต่ฝึกให้นักสู้สามารถตัวเบาเกาะไต่กำแพงสูงๆ ขึ้นไปได้คล้ายจิ้งจกเท่านั้น ซึ่งแค่นี้ก็ต้องฝึกกันเป็นปีๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยรวดร้าวกว่าจะมี ความชำนาญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พลังดัชนี (จินก้งจือ) ได้แก่ การฝึกให้นิ้ว มีความแข็งแกร่งดุจเพชร แรกๆ ก็เริ่มจากการ ฝึกทิ่มทะลวงวัสดุอ่อนๆ เช่น ต้นกล้วย ต้นไม้ อิฐ ไปจนถึงกำแพงและหินผา ฝึกกันทั้งวันทั้งคืน จนสามารถทิ่มศิลาเป็นรูโบ๋ได้อย่างง่ายดาย ก็ถือว่า สำเร็จวิทยายุทธ์นี้แล้ว

กำลังภายใน (เหน่ยลี่) จัดว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่สุดก็ว่าได้ เพราะหากว่าปราศจากกำลังภายในอัน แข็งแกร่งเสียแล้ว การจะเหาะเหินหรือจี้จุดก็มิอาจ จะกระทำได้ดังใจ ซึ่งความสามารถ พิเศษนี้จะ เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักสู้มี จิตใจที่สงบแน่วแน่ลุ่มลึก เรียกว่าต้องใช้ สมาธินั่นแหละครับ มีการควบคุม การหายใจให้แผ่วเบาสมํ่าเสมอ ทั้งนี้ คนทั่วไป จะหายใจเข้าราวๆ 18 ครั้งต่อนาที แต่นักสู้ผู้กล้าจะ สามารถควบคุม การหายใจเข้าจนเหลือเพียง 3 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ซึ่งตามหลัก วิทยาศาสตร์แล้ว ผู้ใดที่มีการหายใจช้ากว่าก็จะมี หัวใจและปอด รวมทั้งร่างกายที่แข็งแรงกว่า ครับ ซึ่งเมื่อควบคุมสมาธิได้แล้ว เหล่าจอมยุทธ์ก็สามารถ รวบรวมพลังให้เป็นหนึ่งเดียวไปที่ นิ้วหรือฝ่ามือจนมีพลานุภาพ อาจทำลายแม้กำแพงอัน แข็งแกร่งได้โดยง่าย

นอกเหนือจากการฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่าดังกล่าวแล้ว นักสู้ก็ยังเรียนรู้ถึงการใช้อาวุธได้ด้วย ซึ่งมีอยู่ หลายหลากครับ ตั้งแต่ ดาบ ธนู ทวน ง้าว สามง่าม กระบอง ตลอดไปถึงอาวุธหน้าตาแปลกๆ เช่น คราด เชือกกับลูกตุ้ม ไปจนถึงอาวุธลับที่ปล่อยไปทำร้ายศัตรูจากวิถีไกล

สำหรับยุทธจักรเส้าหลินนั้น ตำนานกล่าวว่า มีกระบวนท่ามือเปล่าอยู่ถึง 172 ท่า โดยใน วัดจะ มีภาพแกะสลักไม้ของท่าวิทยายุทธ์ เหล่านี้ติดอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนโถงด้าน ในจะเป็นที่เก็บ อาวุธต่างๆ โดยแขวนไว้กับ ราวซึ่งพร้อมที่จะ ฉวยคว้ามาใช้งานได้ ทันท่วงที

เพลงมวยของวัดเส้าหลินอาจ แบ่งออกได้ มากกว่า 50 ชนิด ในชื่อต่างๆ กัน ที่รู้จักกัน ดีก็มีอาทิ ฝ่ามืออรหันต์ กระบวนท่าเจ็ด ดาวเหนือ พลังจู่โจมกระแสนํ้าบ่า เป็นต้น

เส้าหลินป็นวัดหลักของพุทธศาสนาในแผ่นดิน จีนครับ จึงมีความมั่งคั่ง ภายในวิหารมี ประติมากรรม 8 อรหันต์ทองคำลํ้าค่าประดิษฐานอยู่ ซึ่งเป็นที่หมายปองของโจรร้าย และจอมยุทธ์สำนักอื่น การฝึกฝนต่อสู้จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งภิกษุเส้าหลินจำเป็นต้องใช้เพื่อ ปกป้องวัด

ชื่อเสียงของยุทธจักรวัดเส้าหลินระบือไกล มีผู้มาขอเป็นศิษย์รํ่าเรียนมากมาย จนต้องเปิดสาขา ขึ้นอีกแห่งหนึ่งในมณฑลทางใต้ และยั่งยืนเกริกไกรอยู่หลายร้อยปี และเป็นเสาหลักในการ ต่อต้านการรุกรานของพวกแมนจู

แต่แล้วในที่สุด ความโด่งดังของ วัดเส้าหลินก็มี อันต้องปิดฉากลงด้วยนํ้ามือ ของแมนจู ซึ่งปราบราชวงศ์หมิงลงอย่าง ราบคาบ และก่อตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นวัดเส้า หลินซึ่งเคยต่อต้านแมนจู จึงถูกขุนศึก สือโย่ง-ซาน แห่งแมนจูเผาทำลาย เพลิงไหม้อยู่ นานถึง 40 วัน วิหารและ โถงใหญ่ถูกผลาญเรียบตำรับตำรา ทั้งด้านการแพทย์และวิทยายุทธ์โดน เผาเป็นเถ้าถ่านสิ้น

เหลือไว้แต่เพียงตำนานอันเลื่อง ลืออยู่ถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและการใช้อาวุธประกอบลีลาการร่ายรำของเอเชียนั้น เป็นที่นิยมของแทบทุกประเทศ มีการตั้งสำนักศึกษาวิทยายุทธ์แบบจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตลอดจน ของไทยเราตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งในการนี้โทรทัศน์ยูบีซีช่อง DISCOVERY ได้นำมา เสนอในชื่อ Extreme Martial Arts ท่านที่สนใจในกระบวนท่าและการฝึกฝน วิทยายุทธ์ของเอเชีย ก็เปิดดูได้ครับในวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน นี้ เวลา 20.00 น.

"ทีมงาน ต่วย'ตูน
และ โงเมนนาไซ"
__________________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พลังดรรชนี!!! :b14: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านตั๊กม้อ หงซีกวน หวงเฟยหง และ บรู๊ซ ลี(เพลงหมัด ฟิสิกส์!) :b14: :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


หวงเฟยหง เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์จีนแน่นอนครับเป็นลูกของหวงฉีอิงผู้ได้รับขนานนามให้เป็น ๑ ใน ๑๐ พยัคฆ์แห่งกวางตุ้ง ร่วมกับยาจกซูเจ้าของหมัดเมาที่รู้จักกันดี ส่วนอีก ๘ คนที่เหลือไม่ทราบเหมือนกันครับ หาอ่านมาหลายปีแล้วไม่เจอเสียที.....วิชาหมัดมวยที่หวงเฟยหงร่ำเรียนมามีหลายแนวทางครับ แต่ที่เป็นหลักของตระกูลเป็นวิชามวยที่ดัดแปลงแก้ไขมาจาก "มวยตระกูลหง (หงซีกวาน)" โดยต้นสายแท้ๆของมวยสายนี้คือมวยของวัดเส้าหลินฝ่ายใต้ .....นอกเรื่อง...สำหรับ "มวยตระกูลหง" นั้นมีการสืบทอดออกเป็นสองสายสายแรกคือสายหงซีกวานผู้ดัดแปลงเพลงมวยชุดนี้ขึ้นมา ซึ่งภายหลังได้มีการพัฒนาครั้งใหญ่สำหรับมวยสายนี้โดยการนำเอาเคล็ดความของมวยหย่งชุน (มวยหมัดสั้น)มาประยุกต์รวมกัน หนึ่งในผู้ฝึกมวยสายนี้ที่รู้จักกันดีก็คือบรู๊ซลี นั่นแหละครับสายที่สองเป็นสายของลู่อาไค ศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับหงซีกวาน และเป็นผู้ร่วมคิดค้นดัดแปลง "มวยตระกูลหง" ขึ้นมา...หนึ่งในบรรดาศิษย์ของลู่อาไคคือหวงไถ้ผู้เป็นพ่อของหวงฉีอิง และเป็นปู่ของหวงเฟยหงนั่นเอง ซึ่งในยุคของหวงเฟยหงนั้นได้มีการดัดแปลง และพัฒนามวยตระกูลหงครั้งใหญ่ จนกลายเป็นเอกเทศเฉพาะตัว .....หวงเฟยหงแต่งงานสี่ครั้ง มีลูกชายสี่คน โดยเกิดจากภรรยาคนที่สองสองคน คนที่สามอีกสองคน ส่วนภรรยาคนที่หนึ่งและคนที่สี่ไม่มีลูกด้วยกัน.....ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษ (ตามตำนาน) แต่หวงเฟยหงเองก็มีชีวิตที่น่าเศร้าคือภรรยาคนแรก (น้าสิบสาม? ^_^) ป่วยเสียชีวิตหลังจากแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือนภรรยาคนที่สอง และสามก็อายุสั้นเช่นกัน (เอ..หรือจะไม่น่าเศร้าแฮะ หึหึ) ลูกชายคนโตหวงหวนซุน ที่เกิดจากภรรยาคนที่สองก็อายุสั้นตายในการต่อสู้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสาเหตุให้หวงเฟยหงตัดสินใจไม่ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้ลูกชายคนที่เหลือ.....ในหนังลูกศิษย์คนที่มีบทบาทมากที่สุดของหวงเฟยหงคือ เหลียงควน แต่ในความจริงลูกศิษย์ที่มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดมวยของหวงเฟยหงออกไปมีอยู่สามคนคนแรกคือ หลินซื่อหยง หรืออาหยงขายหมู คนที่สองคือ เต็งฟาง หรือ ถังฟง อีกคนชื่อว่า ซว่ายเหลาย่าน....วิชาหมัดมวยของหวงเฟยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นในฮ่องกง ที่หลินซื่อหยงไปตั้งสำนักอยู่ หรือจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์.....หวงเฟยหงเสียชีวิตเมื่ออายุได้ ๗๗ ปี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติ " บรูซ ลี " บรูซลี ปรมาจารย์ ทางด้าน ศิลปะการต่อสู้
แม้บุรุษหนุ่มผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ทางด้านศิลปะการต่อสู้ผู้นี้ จะอำลาโลกไปเป็นเวลากว่า 30 ปี แต่ชื่อ ภาพถ่าย รวมทั้งผลงานของเขายังคงความเป็นอมตะจวบจนทุกวันนี้

ไม่มีใครที่ไม่รู้จักมังกรหนุ่มผู้ผงาดอย่างเต็มภาคภูมิในวงการฮอลลีวู้ดเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมา

"บรูซ ลี" เป็นหนึ่งในชาวเอเชียไม่กี่คนในยุคนั้นที่สามารถผงาดขึ้นยืนเทียบชั้นกับดาราชั้นนำของฮอลลีวู้ด ชื่อของเขารวมทั้งท่วงท่าและลีลาการต่อสู้ที่สวยงามยังคงตราตรึงอยู่ในใจผู้ชม แม้ว่าวันนี้จะมีมังกรหนุ่ม อีกหนึ่ง อย่าง เฉินหลง หรือ แจ๊กกี้ ชาง แต่เขาก็เป็นได้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของบรูซเท่านั้น

27 พฤศจิกายน 2483 ลี จุน ฟาน หรือที่ทุกคนรู้จักในนาม บรูซ ลี ถือกำเนิดขึ้นมาบนแผ่นดินที่ห่างไกลจากบ้านเกิดหลายหมื่นไมล์กลางเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เขาไม่เพียงเกิดในปีมะโรงซึ่งถือเป็นปีมังกรตามความเชื่อของชาวจีนเท่านั้น แต่เขายังเกิดในช่วงเวลาของมังกรระหว่าง 06.00-08.00 น. ของเช้าวันนั้นด้วย

นั่นอาจเป็นตัวแปรสำคัญของชีวิตมังกรหนุ่มผู้นี้ที่ไม่เจริญรอยตามผู้เป็นพ่อด้วยการเป็นนักร้อง โอเปร่า พ่อของบรูซเป็นชาวจีนเต็มตัว ขณะที่แม่ของเขานั้นเป็นลูกครึ่งระหว่างจีนกับเยอรมัน

เส้นทางนักต่อสู้ของบรูซเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก เขามีความสนใจใคร่รู้และหลงใหลในศิลปะป้องกันตัว และมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในด้านการต่อสู้ให้ได้

เด็กชายบรูซมีโอกาสก้าวเข้าสู่เส้นทางบนแผ่นฟิล์มตั้งแต่เด็ก เขากลายเป็นดาราเด็กส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งตะวันออก ผลงานเรื่องแรกของเขาถูกเรียกว่าต้นกำเนิดแห่งวีรบุรุษ

ปี ค.ศ. 1959 ชายหนุ่มร่างเล็กผอมเกร็งวัย 18 ปี เดินทางจากฮ่องกงหวนกลับมายังอเมริกาอีกครั้ง พร้อมประกาศตัวว่าเขาจะต้องเป็นอย่าง จอนห์น เวย์น และเจมส์ ดีน ให้ได้ เขาเข้าเรียนในสาขาวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยวอชิงตัน และทำงานพิเศษด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟและเริ่มต้นสอนศิลปะการป้องกันตัวให้กับคนที่มาว่าจ้างไปพร้อม ๆ กัน

ชื่อเสียงของบรูซเริ่มโด่งดังจนถึงขนาดที่ว่าโรงเรียนสอนศิลปะการป้องกันตัวของญี่ปุ่นในซีแอตเทิล ต้องขอมาทดสอบฝีมือด้วย

บรูซพบกับลินดา ลี แคดเวลล์ ศรีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินกันขณะที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย และโรงเรียนของเขาก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อย ๆ เขามีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทภาพยนตร์ของฮอลลีวู๊ดอย่าง มาร์โลวเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นั่นกลับทำให้ดาราดังอย่างเจมส์ โคเบิร์น และสตีฟ แม็คควีน อ้อนวอนขอให้บรูซช่วยรับเป็นศิษย์

เส้นทางชีวิตของบรูซในฮอลลีวู้ดดูเหมือนกำลังจะไปได้ดี เขาได้มีส่วนร่วมในการสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดถึง 5 เรื่องนับตั้งแต่ FIST OF FURY ภาพยนตร์ที่มาถ่ายทำและมีเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับเมืองไทย เรื่องนี้บรูซมีโอกาสได้โชว์ลีลาการเตะที่พลิ้วไหวเป็นครั้งแรก

ตามมาด้วยเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างบรูซกับโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นใน THE CHINESE CONNECTION

ปีต่อมาบรูซมีโอกาสได้รับบทเด่นในภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดเป็นเรื่องแรกใน ENTER THE DRA- GON แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย บรูซป่วยด้วยโรคเส้นเลือดโป่งในสมอง ก่อนจะเสียชีวิตลงด้วยผลจากปฏิกิริยาต่อแอสไพริน ขณะที่มีอายุได้เพียง 32 ปีเท่านั้น

แม้บรูซจะจากไปแล้วแต่ผลงานของเขาในลำดับต่อมาอย่างเรื่อง RETURN OF THE DRAGON ที่ร่วมแสดงกับชัค นอริส ก็ยังคงออกฉาย เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย GAME OF DEATH ที่บรูซได้มีโอกาสเข้าฉากไว้ไม่กี่ฉากก็ได้รับการสานต่อจนสามารถ ออกฉายได้ในที่สุด

นอกจากผลงานในด้านภาพยนตร์ที่บรูซเหลือไว้ให้ผู้ที่ชื่นชอบแล้ว เขายังได้คิดค้นรูปแบบการต่อสู้ที่เรียกว่า Jeet Kune Do (จีทคูนโด) หรือวิถีแห่งกำปั้นสกัด เขียนเป็นตำราเหลือไว้ให้นักต่อสู้รุ่นหลัง ๆ ได้ศึกษาด้วย

จีทคูนโดเป็นหลักการต่อสู้มือเปล่าที่บรูซคิดค้นขึ้นเพื่อการต่อสู้อย่างแท้จริงไม่ใช่เพื่อการกีฬา เขาได้นำเอาเทคนิคและข้อดีของศิลปะการต่อสู้ถึง 26 ชนิด อาทิ กังฟู มวยปล้ำ มวยไทย มวยสากล คาราเต้ ยิวยิตสู ฯลฯ ไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยมีท่วงทำนองที่ลื่นไหลและยืดหยุ่นมากขึ้น

ที่มา : ข้อมูลจาก เดลินิวส์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


20 กรกฎาคม พ.ศ. 2516
บรูซ ลี (Bruce Lee) ไอ้หนุ่มซินตึ๊งแห่งแดนมังกร ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้แห่งโลกเซลลูลอยด์ เสียชีวิตในวัยเพียง 32 ปี ลีเกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2483 ที่โรงพยาบาลในย่านไชนาทาวน์ ที่มลรัฐซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่พ่อของเขาพร้อมกับคณะงิ้วกวางตุ้งไปตระเวนแสดงในอเมริกา เขาจึงได้รับสัญญาติอเมริกัน นางพยาบาลจึงตั้งชื่อให้ว่า “บรูซ ลี” เพราะเรียกง่ายและฟังดูเป็นฝรั่ง จากนั้นพ่อของเขาก็พากลับฮ่องกง ลีเริ่มเข้าสู่โลกเซลลูลอยด์ตั้งแต่ 6 ขวบ ในภาพยนตร์เรื่อง "The Beginning of the Boy" จากนั้นก็ได้เล่นหนังมาเรื่อย ๆ พอเริ่มเป็นวัยรุ่นก็เริ่มเกเร ยกพวกตีกับชาวบ้านเขาไปทั่ว เมื่อวันหนึ่งถูกรุมอัดจนเละ เขาจึงเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักมวยวิงชุน (หย่งชุน) เขาละทิ้งโรงเรียนและหันมาเอาจริงเอาจังทางกังฟู เรียนอยู่สี่ปี ฝีมือของเขาก็เริ่มแก่กล้า จนไปมีเรื่องกับแก๊งนักเลงใหญ่แห่งฮ่องกง ลีในวัย 19 ปีจึงถูกพ่อแม่ส่งตัวขึ้นเรือไปอเมริกา เขามาทำงานที่ร้านอาหารของญาติในซานฟรานซิสโกอยู่พักหนึ่ง แล้วย้ายไปซีแอตเทิล เป็นครูสอนเต้นรำชาชาชา ซึ่งเขาเคยเป็นแชมป์ที่ฮ่องกงมาก่อน จากนั้นก็เริ่มเปิดสอนศิลปะป้องกันตัว จากนั้นเขาเข้าเรียนปรัชญาที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เรียนจบแล้วย้ายไปแคลิฟอร์เนีย ตั้งสถาบันสอนศิลปะป้องกันตัว สอนมวยจีนให้กับคนทุกชาติ วันหนึ่งก็มีผู้กำกับหนังมาเห็นฝีมือของเขาจึงชวนไปเล่นหนังทีวีชุด "The Green Hornet" หนังชุดนี้มี 30 ตอน แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้ลีเริ่มมีชื่อเสียงโดดเด่นยิ่งกว่าดารานำเสียอีก จากนั้นก็ได้เล่นหนังต่อมาอีกหลายเรื่อง ก่อนจะกลับไปสอนกังฟูต่อ หลังจากผิดหวังในฮอลลีวูด เขากลับฮ่องกงในปี 2514 พบกับ เรย์มอนด์ เชา (Raymond Chow) ผู้ผลิตหนังในฮ่องกง เปิดฉากด้วย "ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง" (The Big Boss) จากนั้นก็ต่อด้วย "ไอ้หนุ่มซินตึ๊งล้างแค้น" (Fist of Fury) วาดลวดลายพายุหมัดและเท้าแบบที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาได้ประกาศศักดาของคนเอเชีย เตะฝรั่งตัวมหึมาคว่ำคาเท้า ส่งผลให้ลีกลายเป็นฮีโร่ของคนทั่วฮ่องกงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนังของเขาทำรายได้มหาศาล และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของหนังกังฟู จากนั้นเขาตั้งบริษัทหนังของตัวเอง ลงทุนไปถ่ายทำที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี คือเรื่อง "ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง บุกกรุงโรม" (The Way of the Dragon) กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเขา ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปถึงฮอลลีวูด เรื่องต่อมาจึงได้ทุนจากอเมริกาคือ "ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง มังกรประจัญบาน" (Enter the Dragon) หนังทำรายได้ถล่มทลายกว่าสองร้อยล้านเหรียญ กลายเป็นหนังกังฟูฮ่องกงเรื่องแรกที่สร้างปรากฏการณ์ใหญ่ให้แก่วงการภาพยนตร์เอเชีย อีกทั้งยังก่อให้เกิดกระแสคลั่งไคล้ไอ้หนุ่มซินตึ๊งไปทั่วโลก นอกจากนี้เขายังใส่ปรัชญาเข้าไปในศิลปะการต่อสู้ถึง 26 ชนิดและตั้งชื่อว่า "จิตคุนโด" (Jeet Kune Do) แต่ด้วยความที่เป็นคนตรง เชื่อมันในตัวเอง และมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก โดยไม่ยอมพักผ่อนและดูแลร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนัก บ่อยครั้งเขาถึงกับไม่กินข้าว ในที่สุดเขาก็มีคนพบร่างไร้สติของไอ้หนุ่มซินตึ๊งที่บ้านพักของดาราสาว เบ็ตตี ติงเพ่ย (Betty Ting Pei) ในฮ่องกง เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิต ช่วงแรกการเสียชีวิตเขายังเป็นปริศนา นักข่าวจึงใส่ไข่ไปต่าง ๆ นานา ว่าเขากินยาชูกำลังและเสียชีวิตขณะทำรักกับดาราสาว หรือถูกวางแผนฆาตรกรรม ต่อมาศาลและแพทย์ได้ออกแถลงอย่างเป็นทางการว่า ลีเสียชีวิตเพราะสมองบวมเนื่องจากแพ้ยาแก้ปวดที่ติงเพ่ยให้กินก่อนเขาจะหลับไป เป็นการตายโดยอุบัติเหตุไม่ใช่ฆาตกรรม แม้มังกรหนุ่มจะเสียชีวิตไปแล้วกว่าสี่สิบปี ลีลากังฟูของเขาก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจผู้ชมมาจนทุกวันนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




9yhd,hv.bmp
9yhd,hv.bmp [ 422.29 KiB | เปิดดู 3797 ครั้ง ]
ท่านโพธิธรรม ปรมาจารย์ตั๊กม้อ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




huo-yuanjia01.jpg
huo-yuanjia01.jpg [ 15.6 KiB | เปิดดู 3783 ครั้ง ]



ประวัติจอมยุทธ์ ฮั่วหยวนเจี่ย (ตอน1)
วัยเยาว์

โดย อ.เซียวหลิบงั้ง (http://www.thaitajii.com)


พอดีช่วงนี้มีภาพยนต์เรื่อง Fearless เข้ามาฉายในบ้านเรา ซึ่งเป็นเรื่องราวของ
ฮั่วหยวนเจี่ย ผู้เป็นวีรบุรุษของชาวจีน ในยุคปลายราชวงศ์ชิงต่อต้นยุคกั๋วมินตั๋ง
ประจวบกับที่ผมมีเรื่องของฮั่วหยวนเจี่ยที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร "จินกู่ฉวนฉี"
ของปักกิ่ง ฉบับที่ 161 เดือนธันวาคม ค.ศ. 2003 เขียนโดยเซียวเลี่ยง (พอดี
คนแต่งแซ่เดียวกับผม) จึงอยากแปลมาให้พวกเราได้อ่านกันเล่นๆ เนื้อเรื่อง
ไม่ตรงกับเรื่องราวในภาพยนต์เท่าไร มีบุคคลที่มีอยู่ตรงกัน เช่น หนงจิ้งซุน ซึ่ง
ในภาพยนต์เป็นเพื่อนกับฮั่วหยวนเจี่ยมาตั้งแต่เด็ก และเป็นเจ้าของภัตตาคาร
เมื่อเจริญวัย แต่เรื่องในหนังสือนี้ (ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับเรื่องจริง) หนงจิ้งซุน
เป็นคนที่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในด้านต่างๆ ให้แก่ฮั่วหยวนเจี่ย และ
เป็นเจ้าของร้านขายยาแทนที่จะเป็นเจ้าของภัตตาคารดังเช่นในภาพยนต์ ขอ
เชิญอ่านเรื่องราวของฮั่วหยวนเจี่ยกันได้ครับ

เซียวหลิบงั้ง






รูปท่านฮั่วหยวนเจี่ยตัวจริง(ข้างบนสุด) :b13:



หลังฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1890 หลังการเก็บเกี่ยวธัญพืชในที่นาจบแล้วก็เป็นช่วง
ฤดูหยุดพักของเกษตรกร ตระกูลฮั่วแห่งหมู่บ้านเสี่ยวหนันเหอ อำเภอจิ้งไห่
เมืองเทียนจิน ก็ว่างจากภาระการงานแล้ว ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
เสี่ยวหนันเหอมีดงต้นจ้อ (พุทราจีน) อยู่แถบหนึ่ง ผู้สืบทอด "หมีจงเฉวียน"
รุ่นที่หก ฮั่วเอินตี้กำลังนำให้ลูกหลานฝึกวิทยายุทธ์ ในพื้นที่ว่างกลางดงต้น
จ้อนี่เอง

ฮั่วเอินตี้คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่ไม่เพียงแต่
โด่งดังในหมู่บ้านเสี่ยวหนันเหอเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งอำเภอจิ้งไห่
เขารวมเอาวิชามวยสายต่างๆ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว สร้างออกมาเป็นมวยสกุล
ฮั่วที่มีเอกลักษณ์ มีท่วงทำนองของตนเอง วิชามวยชนิดนี้ มีความแกร่งอยู่
ในความหยุ่น ก้าวเท้าเหมือนแมว รวดเร็วราวสายฟ้า ยามต่อสู้ คู่ต่อสู้มักจะ
ถูกตีล้มลงไปโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นกระบวนท่าใด ดังนั้นในแวดวงชาวยุทธ์
เรียกขานมวยตระกูลฮั่วว่า "ศาสตร์หมีจง" (คำว่าหมีจงหมายถึงหลงร่องรอย
หรือไม่รู้ร่องรอย)

ฮั่วเอินตี้มีฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์ สิบกว่าปีที่ผ่านมา เดินทางไปมาอยู่ทางแถบ
กวานตง ประกอบอาชีพเป็นเปาเปียว (รับจ้างคุ้มกันสินค้า) ถึงแม้ว่าการเป็น
เปาเปียวที่ผ่านมาไม่เคยพลาดพลั้ง แต่เมื่อมีเปาเปียว ก็ต้องมีโจรปล้นสินค้า
การสร้างความแค้นกับผู้ที่มีอิทธิพลและมีกำลัง อาจสร้างความยุ่งยากให้ใน
ภายหลังได้ ดังนั้นหลังอายุ 40 กว่าปี ฮั่วเอินตี้จึงเลิกทำอาชีพเป็นเปาเปียว
อีกต่อไป กลับบ้านเกิดทำไร่ ยามว่างจากการทำไร่ ก็สอนให้เหล่าลูกหลาน
ฝึกฝนวิทยายุทธ์ ท่องอ่านตำรา

ดงต้นจ้อทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ความจริงคือพื้นที่ที่ใช้เป็นสุสาน โดย
ปกติ ไม่มีผู้คนย่างกรายไปถึง วิชาฝีมือของสกุลฮั่วไม่แสดงให้คนภายนอก
เห็น นี่เป็นเหตุผลที่เลือกเอาพื้นที่นี้มาฝึกสอนมวย

ที่พื้นที่ว่างฝังเสาดอกเหมยไว้ 36 ต้น เรียกว่าเทียนกังเหมวยฮวาจวน เสาห้า
ต้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่ม ประกอบกันเป็นรูปดอกเหมย เสาต้นหนึ่งยาว 7 ฟุต ฝัง
ดินลึกลงไป 3 ฟุต หัวเสาเรียบ เสาแต่ละต้นห่างกัน 2 ฟุต การฝึกฝนเสาดอก
เหมย ต้องมีพื้นฐานในวิชายุทธ์ในระดับสูง ไม่มีฝีมือที่แท้จริง คิดจะไปร่ายรำ
มวยบนเสาดอกเหมย ย่อมเป็นไปไม่ได้

ฮั่วเอินตี้ มีลูกหลานอยู่ 10 คน ผู้คนในยุคนั้นเรียกขานพวกเขาว่า "สิบพี่น้อง
ตระกูลฮั่ว" นับตามลำดับอายุ เริ่มที่ หยวนเจิน, หยวนซ่าน, หยวนต้ง,
หยวนเจี่ย, หยวนเหอ, หยวนชิง, หยวนเหลียง, หยวนเสียง, หยวนจง และ
หยวนฉิน อันที่จริงฮั่วเอินตี้มีบุตรเพียง 3 คนเท่านนั้น คือ เหล่าต้า (คนโต)
หยวนต้ง, เหล่าเอ้อ (คนที่สอง) หยวนเจี่ย และเหล่าซาน (คนที่สาม)
หยวนชิง นอกนั้นอีก 7 คนล้วนเป็นบุตรของพี่น้องในตระกูลฮั่ว หากนับรวม
ลูกพี่ลูกน้องในตระกูลทั้งหมด หยวนเจี่ยจัดอยู่ในอันดับที่สี่

ในพี่น้องทั้งสิบคน หยวนชิงและหยวนเจินมีฝีมือดีที่สุด โดยเฉพาะหยวนชิง
ฉลาดหลักแหลมมีพรสวรรค์ เก่งในการแต่โคลงกลอน จนฮั่วเอินตี้ให้ความ
รักต่อบุตรคนนี้อย่างมาก

ช่วงอายุก่อนวัย 21 ปี ฮั่วหยวนเจี่ยถูกผู้คนดูแคลนอย่างยิ่ง ฮั่วหยวนเจี่ยมีชื่อ
รองว่า จวิ้นชิง เกิดในปี ค.ศ. 1869 มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่ยัง
เยาว์วัย ขนาดอายุได้ 13-14 ปีแล้ว ยังดูแล้วคล้ายกับเด็กในวัย 7-8 ปี ฮั่ว
หยวนเจี่ยมักจะถูกเด็กเกเรในหมู่บ้านแกล้ง และข่มเหงอยู่เป็นประจำ แม้แต่
เด็กที่เล็กกว่าเขายังตีเขาให้ล้มคว่ำคะมำหงายอยู่กับพื้น มีคนในหมู่บ้าน
แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง มีคำร้องว่า "ตระกูลฮั่วมีเก้าเสือแพะหนึ่งตัว ลูกแพะ
ไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกยุทธ์ เขาถอนหายใจยาวขณะที่พี่น้องฝึกวิชา ผ่าฟืน
หาบน้ำยุ่งอยู่คนเดียว..." แพะตัวที่ว่านั้นคือฮั่วหยวนเจี่ยนั่นเอง

ทุกครั้งที่ถูกดูแคลนเหยียดหยาม ฮั่วหยวนเจี่ยก็จะกลับบ้านไปขอร้องให้พ่อ
สอนวิทยายุทธ์ให้แก่เขา แต่ฮั่วเอินตี้มองว่าบุตรที่ไร้ความสามารถและอ่อน
แอเยี่ยงนี้ เกรงว่าเมื่อฝึกยุทธ์ไปจะทำให้เป็นที่เสื่อมเสียชื่อเสียงแก่ตระกูล
ฮั่ว ซึ่งเป็นตระกูลชาวยุทธ์มาหลายชั่วคน ดังนั้นจึงไม่ยอมสอนวิทยายุทธ์ให้
ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดให้เขาปิดประตูห้องท่องอ่านตำรา คนในหมู่บ้านล้วน
ทราบว่าฮั่วเอินตี้พาลูกหลานทั้ง 9 คนออกไปฝึกยุทธ์ เหลือเพียงฮั่วหยวนเจี่ย
คนเดียวที่อยู่บ้านท่องอ่านตำรา

แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าฮั่วหยวนเจี่ยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปทำเรื่องราวใด เรื่องนี้เป็น
ความลับ จวบจนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1890 ความลับนี้จึงถูกเปิดเผย
ออกมา



ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ ขณะที่เหล่าลูกหลานกำลังฝึกฝนเสาดอกเหมยอยู่ สิ่งที่
ฮั่วเอินตี้เป็นกังวลมาตลอดในที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว คู่แค้นที่มีความแค้นผูกพัน
กันในสมัยก่อนทางแถบกวานตง ได้เสาะหาจนมาถึงบ้านแล้ว เหลียวหน้า
มองไป ผู้ที่มาทวงความแค้นได้มายืนอยู่ข้างหน้า เป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่
ไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ฮั่วเอินตี้มองดูท่าทางของผู้มาเยือน ทราบได้ทัน
ทีว่า คนผู้นี้มีฝีมือที่มิใช่ธรรมดาสามัญ แต่ว่า คิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ออกว่า
เขาได้สร้างความแค้นไว้กับชายผู้นี้อย่างไร

ชายร่างใหญ่เอานิ้วชี้ที่แผลเป็นจากรอยดาบบนหน้าผาก ใช้สายตาที่ดุร้าย
หมายขวัญ จ้องมองมายังฝ่ายตรงข้าม ฮั่วเอินตี้คิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อ
ปีนั้นได้เกิดเรื่องกับชายคนนี้ ได้ต่อสู้กันจนชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บจากคม
ดาบ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่แถบกวานตง ภาพเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในสมอง
อย่างรวดเร็ว แต่ฮั่วเอินตี้คาดหวังที่จะเปลี่ยนจากการรู้รบมาเป็นมิตรไมตรี
ปรารถนาใช้สุราจืดชืดมาสลายความแค้นแต่หนหลัง

แต่ชายร่างใหญ่นั้นมีความตั้งใจแต่แรกว่า หากทำการไม่สำเร็จจะไม่เลิกรา
เห็นฮั่วเอินตี้พยายามขอร้องอยู่ถ่ายเดียวว่า เนื่องจากเขามีอายุมากแล้ว ร่าง
กายอ่อนแอ รู้สึกเกรงกลัวเขา ชายผู้นั้นรู้สึกโกรธอย่างมาก ร้องว่า "แล้วกัน
ไปเถิด ในเมื่อท่านไม่ยอมใช้ดาบ อย่างนั้นพวกเราใช้วิชาหมัดมวยมาต่อสู้
กัน" พูดจบก็ชักดาบหัวปีศาจเหวี่ยงทิ้งลงบนพื้น ขณะเดียวกันก็ใช้หมัดขวา
ต่อยไปที่ใบหน้าของฮั่วเอินตี้อย่างรวดเร็ว

"ข้ามาแล้ว!" ผู้ที่เข้ามารับกระบวนท่าคือเหล่าต้า (คนที่หนึ่ง) ฮั่วหยวนเจิน

ฮั่วเอินตี้รู้ว่าการศึกครั้งนี้ยากจะหลีกเลี่ยง จึงอนุญาตให้เหล่าลูกหลานเข้า
รับหน้า ทั้งสองคนต่อสู้กันไม่เกิน 3-4 รอบ ฝีเท้าของฮั่วหยวนเจินเริ่มซวน
เซ สุดท้ายถูกฝ่ายตรงข้ามทุ่มล้มห่างออกไปห้าฟุต หยวนชิงเห็นพี่ใหญ่ถูก
ตีล้มลง ฝ่ายตรงข้ามต้องใช้กระบวนท่าที่อำมหิตออกไป จึงกระโดดออกไป
สกัดกั้น หยวนชิงมีฝีมือดีที่สุด ได้รับเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำของวิชาหมีจง แต่ก็
ยังไม่ใช่คู่มือ สิบกระบวนท่าผ่านไป หยวนชิงหอบหายใจ เหงื่อไหลท่วม
ร่างกาย เหลือเพียงพลังที่ใช้รับกระบวนท่า แต่ไม่มีกำลังใช้โต้ตอบกลับคืน
ไป หากยังสู้ต่อไป ต้องแพ้หมดรูปอย่างแน่นอน

ฮั่วเอินตี้เห็นดังนั้นก็รู้ถ่องแท้ว่า การศึกในวันนี้โชคร้ายมากกว่าโชคดี เมื่อถึง
รอบตนเองเข้าต่อสู้ ใครแพ้ใครชนะยังยากที่จะคาดเดา ฮั่วเอินตี้คิดไม่ถึงว่า
วิชาหมีจงของตระกูลฮั่ว ต้องมาจบสิ้นพังพินาศในสมัยของตน คิดได้เช่นนั้น
ในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง

ท่ากวาดเท้าของฝ่ายตรงข้าม มีกำลังนับพันชั่ง ฮั่วหยวนชิงรู้สึกขาซ้ายอ่อน
แรงลงไป สูญเสียการทรงตัว ร่างกายก็บินออกไปวาเศษ ล้มลงอยู่ใต้เสา
ดอกเหมยนั้นเอง

เมื่อถึงเวลานี้ ฮั่วเอินตี้ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาอีกแล้ว ได้เพียงแต่ทุ่มเดิมพัน
จนหมดตัว เขาตั้งสติโคจรพลัง เพื่อเตรียมเข้าต่อสู้ ก็ได้ยินเสียงคนร่ำร้องว่า
"เชือดไก่ ใยต้องใช้มีดฆ่าโค ดูผู้บุตรเถอะ" และเห็นฮั่วหยวนเจี่ย ซึ่งสวม
ชุดยาว เหินบินออกมารจากดงจ้อ ลงบนพื้นว่าง เข้าพันตูกับชายร่างใหญ่ที่ยิ่ง
ต่อสู้ยิ่งอาจหาญ

ฮั่วเอินตี้รู้สึกว่าหัวใจตกวูบลงไป ลูกหลานของตระกูลฮั่วที่มีฝีมือดีที่สุดอย่าง
หยวนชิงและหยวนเจิน ยังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป นับประสาอะไรกับฮั่วหยวน
เจี่ยที่ไม่มีวิทยายุทธ์ หากเข้าต่อสู้เช่นนี้ ไยมิใช่ตายเปล่า

แต่กลับกลายว่า การต่อสู้ผ่านไปห้ารอบ ฮั่วหยวนเจี่ยยังรับมือได้อย่างปลอด
โปร่ง เห็นเขาออกมืออย่างคล่องแคล่วว่องไว รุกรับอย่างรัดกุม ยามหลบหลีก
หมุนตัวก็ไม่ลนลาน ทุกๆ ท่าล้วนเป็นแก่นแท้ของวิชาหมีจง มีไม้ตายบางท่า
เมื่อเปรียบกับวิชาหมีจงยังสูงส่งกว่า ฮั่วเอินตี้และลูกหลานตระกูลฮั่วอีกเก้าคน
มองดูอย่างมึนงง พลังฝีมือที่ล้ำเลิศของฮั่วหยวนเจี่ยนี้มาจากไหน

การต่อสู้ผ่านไปยี่สิบรอบ ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ

ฝ่ายตรงข้ามเริ่มหงุดหงิด คิดใช้กระบวนท่าเสี่ยงเข้าพิชิตชัย ใช้หมัดซ้ายเคาะ
ลงไปที่จุดชวีฉือ (จุดเค็กตี้ จุดบริเวณพับนอกของข้อศอก) ของฮั่วหยวนเจี่ย
ขณะเดียวกัน ขาซ้ายก็ยกขึ้นถีบไปยังจุดชี่เหมิน (จุดขี่มึ้ง) บริเวณชายโครง
ขวาของฮั่วหยวนเจี่ยราวสายฟ้า กระบวนท่านี้มีความอำมหิตอย่างที่สุด หาก
ถูกเท้านี้เข้า ถึงไม่ตายก็ต้องพิการ

ฮั่วเอินตี้ดูออกว่า ฮั่วหยวนเจี่ยมิได้ใช้กระบวนท่าของวิชาหมีจงเข้าแก้ไข
กระบวนท่าที่มาของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้ฝ่ามือข้างเดียวเข้าสกัดหมัดของ
ฝ่ายตรงข้ามที่เคาะลงมา ส่วนกรงเล็บซ้ายคว้าเข้าไปที่ฝ่าเท้าของฝ่ายตรง
ข้าม จากนั้นจึงใช้กรงเล็บข้างขวาคว้าไปที่เอวของฝ่ายตรงข้าม ร้องเสียงดัง
คำหนึ่ง ยกฝ่ายตรงข้ามขึ้น จับหมุนสองรอบ จากนั้นร้องเสียงดังพร้อมกับทุ่ม
เหวี่ยงออกไปไกลวาเศษ

ปากจมูกของชายร่างใหญ่นั้นเต็มไปด้วยขี้ดิน ที่ถูกทุ่มลงไปครานี้หนักมาก
จนคิดจะลุกขึ้นนั่งยังลุกไม่ขึ้น ได้แต่ยกมือทั้งสองขึ้นแสดงการคารวะ บ่ง
บอกถึงการยอมแพ้ พี่น้องตระกูลฮั่วทั้งหมด ไม่มีใครเอ่ยปาก แต่ทุกคนจ้อง
มองไปยังฮั่วหยวนเจี่ยด้วยความชื่นชม แต่ความสงสัยที่อยู่ในใจยังต้องรอ
การอธิบาย

เมื่อสมาชิกตระกูลฮั่วมารวมกันอย่างเป็นทางการ ฮั่วเอินตี้สั่งให้ฮั่วหยวนเจี่ย
ผู้เป็นบุตรคุกเข่าลงต่อหน้าป้ายบรรพชน รับการสอบสวน ฮั่วเอินตี้กล่าวว่า
"หยวนเจี่ย เจ้าฟังให้ดี มวยสกุลฮั่วของเราถ่ายทอดมาเจ็ดชั่วคน บรรพชนมี
คำสั่งไว้แต่ก่อนว่า ห้ามถ่ายทอดให้แก่คนแซ่อื่น ห้ามถ่ายทอดให้แก่บุตร
หลานที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ้าเมื่อเยาว์วัยเป็นเด็กขี้โรค พ่อจึงไม่ถ่ายทอด
วิทยายุทธ์ให้แก่เจ้า แต่ดูเหตุการณ์ในวันนี้ เจ้าได้สำเร็จวิทยายุทธ์ของ
ตระกูลฮั่วทั้งหมดแล้ว ขนาดฝึกหนักสิบปี ยังยากที่บรรลุถึงระดับนี้ วันนี้เจ้าต้อง
พูดความจริงออกมาว่า ฝึกวิทยายุทธ์สำเร็จได้อย่างไร"

ฮั่วหยวนเจี่ยตอบว่า "ข้าพเจ้าขโมยเรียน ตอนที่ท่านพ่อสอนวิชาให้แก่พี่น้อง
ทั้งหลาย ข้าพเจ้าแอบฟังอยู่ด้านข้าง รอจนดึกสงัด เวลาที่ทุกคนหลับกันหมด
แล้ว ข้าพเจ้าคนเดียววิ่งไปยังดงต้นจ้อเพื่อฝึกยุทธ์ ทำอย่างนี้ไม่เคยขาดตลอด
เวลาสิบกว่าปี นอกจากนี้ยังได้อ่านตำราหมัดมวยที่เป็นวิชาของสำนักอื่นอีกด้วย"

ต่อจากนั้น ฮั่วหยวนเจี่ยจึงเล่าเรื่องอันยืดยาว ถึงการเรียนรู้วิชาของค่ายสำนักอื่น
และนำเอาเคล็ดสำคัญมาหลอมรวมกัน อย่างเช่นมวยไท่จี๋ของท่านปรมาจารย์
จางซานเฟิงแห่งอู่ตัง มวยเส้าหลินของท่านปรมาจารย์ต๋าหมัวแห่งวัดเส้าหลิน
อาจารย์ในยุคหลัง ก็มีหยางลู่ฉาน ซึ่งรับวิชามาจากมวยไท่จี๋สกุลเฉิน แต่เอามา
พัฒนาขึ้นมาใหม่จนคนเรียกกันว่ามวยไท่จี๋สกุลหยาง เป็นต้น เขายังได้แนะนำ
ให้บิดาทิ้งความคิดเดิมของตระกูล ถ้าทำเช่นนี้จึงสามารถทำให้มวยสกุลฮั่วยืน
หยัดอยู่ได้โดยไม่พ่ายแพ้

ฮั่วหยวนเจี่ยไม่เพีงแต่มีฝีมือที่น่าตระหนก ยังมีความรู้ทางวิทยายุทธ์อย่างลึกซึ้ง
แต่นี่ยังไม่สามารถที่จะทำให้ฮั่วเอินตี้ผู้เป็นบิดารู้สึกละอายใจ เพราะฮั่วเอินตี้เป็น
คนที่กลัวเสื่อมเสียศักดิ์ศรีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการขโมยเรียน หรือการสอนด้วยตน
เอง ต้องถือว่าลูกหลานทั้งหลาย ตนเป็นผู้สอนทั้งสิ้น ขณะนี้มีพลังฝีมือแล้ว
แต่การไหว้ครูก็ยังคงต้องปฏิบัติ นี่เป็นการแก้กฏเป็นครั้งแรก เมื่อจุดธูปแล้ว ก็
เป็นการรับฮั่วหยวนเจี่ยเป็นศิษย์ตระกูลฮั่วอย่างเป็นทางการ

(ยังมีต่อ)




แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 11:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร