วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 17:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b18:

สู่ความสำเร็จทียิ่งใหญ่


โลกนี้มีผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จำนวนมาก บางคนก็เป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ บางคนก็เป็นนักแต่งเพลง จิตรกร นักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา นักธุรกิจ หรือนักปกครองประเทศที่ยิ่งใหญ่ เรามาดูกันว่า การก้าวไปเป็นผู้ประสบความสำเร็จมีกฎอะไรบ้าง


คนที่มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เขามีนิสัยอย่างนี้

1. จะใช้เวลาคิดเพื่อหาทางปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น

2. ชอบแก้ปัญหามากกว่าจะปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้เปลี่ยนสิ่งต่างๆ

3. มักตั้งเป้าหมายชนิดที่ทำให้สำเร็จค่อนข้างยาก แต่ก็เป็นไปได้

คนประเภทนี้จัดตั้งมาตรฐานการทำงานของตน ได้อย่างเลอเลิศ และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามนั้น พวกเขาชอบการท้าทายโอกาส และตั้งใจมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหลายให้ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความปลาบปลื้ม อันเกิดจากความสำเร็จจากบุคคล ไม่ใช่เพื่อเงินหรือรางวัล และที่ต้องการประสบความสำเร็จ...เขาจะต้องมีคุณสมบัติอย่างนี้ด้วย

4. มีมนุษย์สัมพันธ์

5. ใช้ความคิดสร้างสรรค์

มีเรื่องหนึ่งเรามักตกหลุมตัวเองตาย คือเรามักติดกับความคิดของเราเอง เช่น คิดกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งชี้ขาด คิดตามความเคยชิน ยึดติดกับวิธีขบคิดบางอย่าง เป็นต้น วิธีแก้ก็คือคุณต้องทำลายกรอบความคิดที่ไม่เข้าถ้านี้ลง รองทำเรื่องบางอย่างแหวกกฎเกณฑ์เดิมหัดคิดเรื่อยเปื่อย สะระตะในยามว่างบ้าง โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า

6. รู้จักฟัง

การรับฟังทัศนะของผู้อื่นๆ มีประโยชน์มาก แต่คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะพูดมากกว่าฟัง โดยเฉพาะในการประชุม การสัมมนา อภิปราย เป็นต้น ผู้ร่วมประชุมมักจะพูดคุยสัพเพเหระกันเองมากกว่าจะสนใจฟังวิทยากร บางครั้งจึงทำให้พลาดข่าวสารที่สำคัญ ในขณะเดียวกัน คำพูด หรือทัศนะที่ออกมาในลักษณะการนินทา การว่าร้าย ซึ่งมักก่อให้เกิดการเข้าใจผิด หรือผิดใจกันมาก กับมีแต่คนสนใจฟังคุณต้องเลือกเองว่าจะรับฟังอะไรบ้าง ถึงจะมีประโยชน์กับตัวคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

ภูมิคุ้มกันทางใจ


โรคทางจิตใจ ไม่ใช่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันหรือวัคซีนทางใจนั้นเป็นวัคซีนที่สกัดจากจิตใจของผู้มีสุขภาพจิต ที่รู้และเข้าใจในเรื่องของจิตใจเป็นอย่างดี สถานบริการแห่งแรกที่เด็กจะได้รับวัคซีนทางใจคือ สถาบันครอบครัวควรจะเริ่มตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ เพราะฉะนั้นหญิงมีครรภ์ควรจะรักษาสุขภาพของตนให้ดีที่สุด แต่ทั้งนี้สุขภาพจิตของแม้จะดีได้ต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพจิตของพ่อเป็นสำคัญ ถ้าพ่อเข้าใจให้ความรัก ความอบอุ่นแก่แม่ก็จะทำให้สุขภาพจิตของแม่ดี แล้วก็ถ่ายเทไปสู่ทารกให้มีสุขภาพจิตดีตามไปด้วย และเมื่อคลอดทารกออกมาก็ควรจะป้องกันโรคทางจิตต่อ โดนการให้การเลี้ยงดูที่เหมาะสม ให้ความรัก ความอบอุ่น ตลอดจนการส่งเสริมให้เด็กได้เจริญเติบโตตามวัย


การเลี้ยงดูที่ส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดีคือ

1. เลี้ยงแบบให้ความรักทะนุถนอม

2. เลี้ยงแบบใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ของผู้เลี้ยงเป็นที่ตั้ง

3. เลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย คือการยอมรับความคิดเห็นของลูกบ้าง


การเลี้ยงดูแบบตามใจมากเกินไปทำให้เด็กเสียคนได้เพราะพวกเขาเรียนรู้แต่การ รับความรัก ความเอาใจใส่อย่างขาดเหตุผล เมื่อโตขึ้นเขาจะกลายเป็นคนที่ชอบหรือเอาแต่ใจตนเองอย่างไม่มีเหตุผล ขัดใจไม่ได้ แต่การอยู่ในสังคมจะต้องมีทั้งการให้และการรับ เมื่อเขาไม่ได้ดังใจจะทำให้เขาโกรธมองคนในแง่ร้าย ผลที่ตามมาก็คือขาดเพื่อนที่จริงใจ กลายเป็นระแวง ในที่สุดก็จกลายเป็นโรคจิตโรคประสาทไป ในการเลี้ยงดู การใช้คำพูดอย่างเดียวไม่พอ จะต้องปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อเป็นแบบอย่าง ให้ลูกเห็น ถ้าสอนแล้วยังไม่ปฏิบัติตามยังไม่เป็นไร เพราะถ้าสอนแล้วแต่กลับปฏิบัติในทางตรงกันข้าม จะทำให้ลูกเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าอะไรถูก ผิด เมื่อเขาโตขึ้น จะกลายเป็นคนที่มีการตัดสินใจไม่ดี ไม่กล้า ประหม่า


การเลี้ยงเด็กขวบปีแรกจะพบ ว่า เด็กยังช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นทุกอย่างโดยไม่มีการแสดงออกเมื่อเขาต้องการ เช่น การร้องไห้ จะร้องเมื่อหิว ไม่สบาย เปรอะเปื้อนหวาดกลัว ฯลฯ ถ้าผู้เลี้ยงดูเข้าใจในสิ่งนี้ ก็จะสามารถตอบสนองความต้องการของเด็กได้ทันที เด็กก็จะเจริญเติบโตเป็นผู้ที่มีความไว้วางใจผู้อื่นมีความภาคภูมิใจในตนเอง เป็นคนมีเหตุผล เมื่อลูกโตขึ้นจนถึงวัยอนุบาล เด็กจะมีการพัฒนาในเรื่องความคิดริเริมเป็นตัวของตัวเอง คุณพ่อ – คุณแม่ หรือผู้เลี้ยงดูควรสนับสนุนเขาโดยให้เขาได้คิดเอง ทำเอง อย่าเบื่อหน่าย ท้อแท้ หรือรำคาญ ความวุ่นวาย ความซน ตลอดจนความเชื่องช้าของลูก เพราะการที่เขาได้ช่วยเหลือตัวเองในสิ่งที่เขาพอจะช่วยได้ จนทำให้เกิดความมั่นใจ ภาคภูมิใจในความสามารถในตัวของเขาเอง เมื่อโตขึ้นเขาจะกลายเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดี มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันโรคทางจิตได้อย่างดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b2:

ผู้ชายก็..ร้องไห้..เป็นนะ


มาลองนึกภาพดูว่าในชีวิตของคุณเคยเห็นผู้ชายที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณร้องไห้บ้างหรือเปล่า บางคน อาจเคยเห็นบางคนอาจไม่เคยเห็นเลยก็ได้ในชีวิต เพราะน้ำตากับผู้ชายนั้นดูจะไม่ใช่ของที่เกิดมาคู่กันสักเท่าไหร่กฎเหล็กของ ชายชาตรี “ ยอมตาย ยังดีกว่าเสียน้ำตา ” สาเหตุนั้นก็มาจากธรรมชาติสร้างเพศชายมาให้มีความอดทนและแข็งแรงมากกว่าเพศ หญิงและต้องไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เพศหญิงเห็นเป็นอันขาด ดังนั้นเมื่อเกิดเป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ ดังเพลิง “ เกิดเป็นผู้ชายต้องมีใจอดทน... ”


แต่เชื่อเถอะคะว่าผู้ชายก็ร้องไห้เป็น เพราะอะไรนั่นหรือ ก็เพราะผู้ชายก็เป็นคนนะสิ เวลาสนุกก็ต้องหัวเราะ เวลาเศร้าก็ต้องร้องไห้ ไม่ต้องคอยเก๊ก เก็บอารมณ์เหมือนพระเอกหนังไทยหรอก ดังนั้นเราลองมาดูสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายต้องเสียน้ำตากันดีกว่าว่าเกิดจาก สาเหตุใดบ้าง


1. การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นสาเหตุหลักและรุนแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของ พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท ต่อให้เป็นผู้ชายที่เข้มแข็งขนาดไหน ลองเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็น้ำตาร่วงได้เช่นกัน


2. เกิดความสิ้นหวังในชีวิต เป็นความรู้สึกหมดกำลังใจอันเนื่องจากความผิดหวัง หรือล้มเหลวในชีวิต เช่น การเอ็นทรานซ์ไม่ติด ธุรกิจล้มละลาย หรือหมดสมรรถภาพทางเพศก็แล้วแต่ สาเหตุจากนี้นอกจากจำให้ผู้ชายเสียน้ำตาแล้วยังอาจนำมาซึ่งการฆ่าตัวตายอีก ด้วย


3. ดีใจอย่างสุดซึ้ง สาเหตุนี้กำให้ผู้ชายเสียน้ำตาได้ แต่เป็นการร้องไห้ที่เกิดมาจากความดีใจเมื่อได้พบกับเรื่องดีๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เช่นอาจถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ได้เงิน 60 ล้าน หรือได้พบญาติพี่น้องที่พลัดพรากกันมา 30 ปี เหมือนในบ้านทรายทอง และการหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจนี้หลายๆ คนคงจำได้ตอนที่ สมรักษ์ คำสิงห์ ได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกให้กับประเทศไทย


4. อกหัก ดูเหมือนเป็นสาเหตุที่เบาบางที่สุด แต่ทำให้ผู้ชายได้ร้องไห้ได้มากที่สุดเหมือนกัน ถ้าพูดถึงความอดทนของผู้ชายแล้วนะคะ ไม่ว่าจะโดนต่อยโดยเตะ (ยกเว้นเตะตรงเป้า) ยังไงก็ไม่มีทางร้องไห้แต่ลองโดนผู้หญิงเท่านั้นแหละร้องไห้เป็นเผ่าเต่าเลย เพราะฉะนั้นผู้หญิงทั้งหลายก็อย่าไปหักอกผู้ชายให้เขาต้องเสียน้ำตานะคะ สงสารสุภาพบุรุตตาดำๆ


การร้องไห้อย่าไปแบ่งเลยว่าต้องเกิดแก่กับผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย เมื่อเกิดความรู้สึกเสียใจก็ต้องร้องไห้เป็นธรรมดาผู้ชายที่ร้องไห้นั้นไม่ ใช่ผู้ชายที่อ่อนแออย่างที่เราคิดเสมอไป ผู้ชายก็มีสิทธิร้องไห้ได้เช่นกัน เพราะน้ำตาเป็นสิ่งที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ดีกว่าที่จะต้องเก็บกดเอาไว้ในใจ อย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:

ผลบุญ


“น้ำสะอาด ” สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกให้สะอาดได้ฉันใด “ บุญ ” ก็สามารถชะระล้างวาจา ใจ ให้สะอาดได้ฉันนั้น


บุญ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจสะอาดผ่องใส สงบ สุขุมเยือกเย็น ปลอดโปรง โล่งเบาสบาย


บุญ เป็นนามธรรมเป็นของเฉพาะตัว เมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว ย่อมส่งผลให้กาย วาจาใจ ของผู้นั้นเปลี่ยนสภาพไปในทางที่ดีขึ้น เป็นกาย วาจา ใจ ที่มีคุณภาพคือ มีผิวพรรณผ่องใสขึ้น พูดจาไพเราะนุ่มนวล สุภาพ จิตใจสุขุมเยือกเย็น สบายตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเมือถูกตำหนิดูหมิ่นหรือใจไม่ฟู จนเกินไปเมื่อถูกยกย่องชมเชย



คนที่ร่ำรวยมีโภคทรัพย์มาก เพราะในอดีตชาติเขาเคยให้ท่านมา

คนที่เกิดในตระกูลสูง เพราะในอดีตเขาเคยได้ให้ความเคารพผู้ที่มีพระคุณ

คนที่มีความเฉลียวฉลาดมีสติปัญญาดี เพราะในอดีตชาติเขาเคยฝึกเจริญภาวนา ฝึกอบรม

สมาธิคบแต่บัณฑิต และไม่ดื่มของมึนเมา


คำสอนในพระพุทธศาสนา เชื่อว่าจิตใจที่สงบแล้วเป็นกุศลจิต ไม่คิดโกรธ หงุดหงิด รำคาญใจ จิตใจผ่องใส แต่ถ้าวันใด ใจมันร้อนรุ่มใจมันดุ โกรธ ไม่สบาย มองอะไรก็ขวางหูขวางตา “ หลวงพ่อชา ” บอกว่าวันนั้นใจมันหมดบุญ...แต่คนยังไม่ตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b34:

ผลกระทบของความรุนแรงต่อครอบครัว


สัมพันธภาพอันดีของมนุษย์เกิดจากสถาบันพื้นฐานของสังคม คือครอบครัว ปัจจุบันทุกๆ จุดของสังคมมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงเป็นแนวทางแก้ปัญหา ตั้งแต่ระดับนักการเมืองจนถึงชาวบ้าน เรียกได้ว่า แทบไม่มีความปราณีต่อแก่กัน ประหนึ่งชีวิตของผู้อื่นไม่มีค่า


ความรุนแรงในสังคมที่เราเห็น เป็นเพราะความเครียดซึ่งมีสาเหตุหลายประการ เช่นความเครียดจากภายในครอบครัว จากการงาน จราจร มลพิษที่เราต้องทนอยู่ สิ่งแวดล้อมอันเลวร้าย สภาวะเศรษฐกิจ ความเครียดเหล่านี้ย่อมทำให้เราหมดความอดทนอดกลั้นพร้อมที่จะแสดงปฏิกิริยา ปะทะที่รุนแรง


อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาแรงนี้จะเกิดขึ้นได้ชั่วขณะ เมื่อผ่านพ้นไปแล้วทุกคนต่างไม่ประสงค์ที่จะใช้ความรุนแรง อีกด้วยรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกขายหน้า ถ้าได้รับฟังคำพูดที่กระตุ้นเตือนคุณธรรมที่มีอยู่ในใจ ก็จะเกิดความเมตตากรุณาขึ้นมาในใจ แต่ความรุนแรงกลุ่มหนึ่งซึ่งน่ากลัว เป็นอภัยต่อสังคม เป็นอันตรายต่อชีวิต คือความรุนแรงต่อครอบครัว ซึ่งที่เกิดบ่อยๆ คือ การลงโทษลูกด้วยความรุนแรง ใช้วิธีข่มขู่ด้วยอารมณ์ การกล่าววาจาที่รุนแรง เหน็บแนม ให้ได้อายและความขัดแย้งกันระหว่างพ่อ – แม่ หรือระหว่างสมาชิกอื่นที่เป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว ทำให้เด็กแลเห็นตัวอย่างของการตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรงเข้าไว้เป็น ประสบการณ์ และนำมาใช้ในวิถีชีวิตของตน ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจ แบ่งเป็นผลกระทบระยะสั้น และผลกระทบระยะยาว


ผลกระทบระยะสั้น ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ จะหงุดหงิด ไม่มีความสุข เลี้ยงยาก หวาดผวาเมื่อผู้ที่ลงโทษมาใกล้ บางรายหงอย ซึม ไม่สนใจเล่น ไม่แจ่มใส ถ้าโตขึ้นจะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย ไม่มีความสุข โกรธนาน โกรธเพื่อน ระงับความโกรธไม่ได้ ใช้ความรุนแรงกับเพื่อน น้องหรือเลี้ยงสัตว์ หากกับเด็กโต นอกจากจะหงุดหงิดง่าย ไม่สุขสบายส่งผลให้ระบบการเรียนต่ำลง สมาธิและความสนใจลดลง เบื่อหน่าย ไม่ยากเรียน มีแนวโน้มจะขัดคำสั่งครู ไม่ยอมทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคม


ผลกระทบระยะยาว เด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยวิธีรุนแรง หรืออยู่ในบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงจะรู้สึกว่าสังคมแรกคือ สังคมในบ้านเป็นสิ่งไม่ดี และจะมีแนวโน้มแง่ร้าย นิยมความก้าวร้าวรุนแรง ดังนั้นเด็กที่ได้รับความรุนแรงอย่างมากๆ จะมีแนวโน้มที่จะต่อต้านสังคม


ความรุนแรงในครอบครัวมีผลเสียต่อจิตใจ และพัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพของเด็กซึ่งถ้าเราไม่ช่วยกันลดการใช้ความรุนแรง ในครอบครัวให้หมดไป หรือลดน้อยลง ในที่สุดเราก็ได้ประชากรที่นิยมความรุนแรง การเดินถนนของเราคงจะไม่มีความปลอดภัยแล้ว และถ้าใช้ความรุนแรงกับลูกของเรา ลูกของเราก็ใช้ความรุนแรงกับหลานแหลนของเราต่อไปดังนั้นเรามาอยู่ด้วยกัน ด้วยความรัก ความเมตตา ลูกๆ ก็จะมีความสุข และในที่สุด สังคมประเทศชาติก็จะมีความสุขด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b19:

ปรับทุกข์กับใครดี


ในชีวิตของคนเรา สิ่งที่ไม่อยากพบอยากเจอที่สุดนั่นคือความทุกข์ ใครล่ะที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คำตอบก็คือไม่มีแน่นอน ไม่ว่าทุกข์การหรือทุกข์ใจเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในยามที่เรามีปัญหาเรารู้สึกเศร้าใจ ท้อแท้ สลดหดหู่ หมดหวัง ทุกข์ใจ เราต้องนึกถึงใครสักคนที่จะพอจะเป็นที่พึ่งพิงจิต แรงกดดันต่างๆ ในจิตใจของคนเราก็จะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง


หลายๆ คนอาจจะมองว่า เรื่องอะไรต้องให้คนอื่นเขามารับรู้เรื่องของเราได้ ปัญหาของตัวเรานั่นแหล่ะที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหาเอง คนอื่นเขาจะมารู้ดีเท่าเราได้ไง บางคนก็มีความคิดว่าตัวเองนั้นเก่งกว่าคนอื่น เรียนสูงกว่า หน้าที่การงานใหญ่โต เข้มแข็ง แข็งแกร่ง จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้ กลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบเป็นคนมีปัญหา เดี๋ยวจะเสียภาพลักษณ์ที่ดีของตนเองไป นี่คือนานาทัศนะของคนที่คิดที่มองแตกต่างกันไปแต่แม้ว่าใครจะมองอย่างไรก็ ตาม ถ้าหากมีปัญหาก็ลองหันมาระบายความทุกข์กับคนอื่นดูบ้าง แล้วเราจะรู้ว่าในโลกนี้นอกจากกำลังใจจากคนอื่นที่จะมีให้กับเรา แล้วคนที่เราจะเลือกพึ่งพิงในยามที่เราทุกข์ใจมีใครบ้างล่ะ... ก็คงมีหลากหลายแตกต่างกับไปขึ้นอยู่กับความไว้ว่างใจ ความเชื่อมั่นของแต่ละคน ลองมาดูว่าน่าจะเป็นใครบ้าง...


พ่อแม่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะนึกถึงพ่อแม้เป็นคนแรกในยามที่เรามีปัญหา โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวอบอุ่นติดบ้านและให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับ หนึ่ง ความจริงการระบายทุกข์กับพ่อแม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะต้องกลัว หลายคนกลัวไปสารพัด กลัวพ่อแม่จะตำนิ กลัวพ่อแม้ผิดหวังเสียใจ กลัวพ่อแม่ลงโทษ พ่อแม่เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเรามากที่สุดท่านก็น่าจะเป็นคนที่เข้า ใจเราสามารถที่จะบรรยายทุกข์ ปรับทุกข์ ได้ดีที่สุด แต่บางคนอาจบอกว่าไม่ใช่... เรื่องบางเรื่องปรึกษาพ่อแม่ไม่ได้ แล้วจะปรับทุกข์กับใครดีล่ะ...


คนรัก ต้องย้ำว่าคนรักในที่นี้หมายถึง คนที่มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงและทั้งสองฝ่ายสามารถพึ่งพิงใจทางใจซึ่งกันและ กันได้เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหวังจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสบายใจเพียงฝ่ายเดียว นั้นถือว่าความสัมพันธ์ไม่แนบแน่น ไม่จริงใจ พึ่งพิงไม่ได้เพราะถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ นอกจากจะปรับทุกข์หรือพึ่งพิงไม่ได้แล้วก็ควรจะพิจารณาเลิกคบหาเสียจะดีกว่า คนที่รักกันจริงจะต้องสามารถอยู่ร่วมกันได้เมื่อใครเป็นทุกข์ไม่สบายใจ


เพื่อนสนิท โดยปกติคนส่วนมากจะมีเพื่อนสนิทที่คบหากันมานาน เป็นคนที่รู้ใจ เข้าใจและมีความจริงใจต่อกัน เพื่อนสนิทสามารถรับรองความรู้สึก อารมณ์ที่ย่ำแย่ของเราได้ โดยเฉพาะถ้ามิตรภาพของเรามั่นคง ก็จะมีการผลัดกันหันหน้าพึ่งพิงซึ่งกันและกันเมื่อใครเป็นทุกข์ คนโบราณจึงมักสอนว่า มีมิตรแท้เหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน เมื่อไหร่ที่เรามีทุกข์ก็อย่าลืมว่าเรามีเพื่อนแท้ที่คอยถ่ายเทความทุกข์ของ เราอยู่ตลอดเวลา


เพื่อนร่วมงาน มีหลายคนบอกว่าเพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้สนิทสนมกันเป็นพิเศษจะไปปรับทุกข์กับเขาได้อย่างไร ไม่แน่ใจว่าเขาจะรับฟังเราหรือเปล่า ดีไม่ดีเขาจะเอาเรื่องของเราไปนินทาอีก จริงอยู่ว่าเพื่อนร่วมงานนั้นเราไม่ได้คบหากันแบบซี้ปึ๊ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อนร่วมงานทุกคนไม่สามารถปรึกษาหารือมีคำแนะนำดี ให้กับเราได้ โดยเฉพาะเรื่องของงานบางทีเราต้องมีการพูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง เพราะเพื่อนร่วมงานน่าจะเข้าใจกว่าคนอื่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเหมือนกันว่าเราจะพูดคุยหรือปรับทุกข์ในประเด็นไหน บ้าง จะใช้คำพูดอย่างไรให้เหมาะส


หน่วยงานที่ให้คำปรึกษา เมื่อไหร่ที่เราคิดว่าไม่สามารถพูดคุยหรือปรับทุกข์กับใครได้เลยจะด้วย เหตุผลอะไรก็ตามหน่วยงานที่ให้คำปรึกษาที่มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลหรือของเอกชนก็ล้วนแล้วแต่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะคอย เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือ รับฟัง แบ่งเบาความทุกข์ ให้กำลังใจ ท้อแท้ ทุกข์ใจต่างๆ เมื่อไหร่ที่รู้สึกเป็นทุกข์ก็สามารถใช้บริการให้คำปรึกษาได้ตลอดเวลา


ทั้งนี้คือทางเลือกสำหรับผู้ มีปัญหาทุกข์ใจต่างๆ ลองเลือกดูก็แล้วกันว่าจะเลือกใช้วิธีไหน แต่ไม่ว่าจะเลือกใช้ทางไหนก็ตามก็อย่าลืมว่า... ชีวิตของคนเราไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

:b41: ทุกข์หรือสุขที่จิตใจใช่หรือ

ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขสันต์

ถ้าใจถือก็ไม่สุขทุกข์ทุกวัน

แต่ละวันเราจะเลือกทุกข์หรือสุขเอย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b28:

ต่อหน้่ามะพลับ...ลับหลังตะโกน


คำพังเพยที่ว่า “ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ” นั้นเปรียบถึงคนที่เมื่ออยู่หน้าคนอื่นแล้วทำดี พูดดีด้วย แต่ลับหลังก็แสดงออกตรงกันข้าม คนเหล่านี้ในสังคมเรามีพบเห็นได้ทั่วๆ ไปซึ่งพวกเขาอาจเป็นญาติน้องเพื่อนพ้องกัน หรือคนรู้จักกันทั้งใกล้ชิดและผิวเผิน นักจิตวิทยาบอกว่าคนมีลักษณะดังเช่นนี้ เป็นเพราะมีความรู้สึกที่มีปมด้อยในตนเองอาจจะเรียน ทำงานไม่เก่ง มีความสามารถไม่เท่าเทียมคนอื่นๆ จึงเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยา แต่ไม่สามารถแสดงออกได้โดยตรง นอกจากนี้อาจเป็นผลจากการเลียนแบบผู้ที่เลี้ยงดู เช่น พ่อ แม่ หรือผู้ที่มีอิทธิพลในการหล่อหลอมบุคลิกภาพที่ทำให้บุคคลรุ่มร้อนไม่พอใจที่ เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนแต่ความริษยาเป็นความประสงค์ร้ายมุ่งทำร้ายผู้ที่ดี กว่าตน เพราะฉะนั้นคนที่มีลักษณะดีต่อหน้าก็อาจจะมีความอิจฉา ริษยาและความรู้สึกเป็นปมด้อยรวมๆ กันวิธีที่จะทำให้ความรู้สึกของตนเองดีขึ้นง่ายๆ แบบไม่ลงทุนมาก ก็โดยพูดถึงคนที่อิจฉา ริษยา ให้ได้รับความเสียหาย บางครั้งอาจจะไม่รุนแรง เพียงแค่ใช้ถ้อยคำเล็กๆ ฟังแล้วพอเจ็บๆ คันๆ ถ้าคนอื่นที่ฟังไม่รู้ข้อเท็จจริงที่อาจเชื่อและมีทัศนคติต่อคนที่กล่าวถึง ในทางลบได้


ทุกวันนี้สภาพการดำเนินชีวิตของคนเราก็แย่พออยู่แล้ว ถ้าหากต้องมาเจอกับพฤติกรรมของคนที่ไม่มีความจริงใจให้กับคนอื่น เมื่อมีโอกาสก็คอยจะพูดร้ายหรือเสื่อมเสีย ก็คงจะทำให้เสียสุขภาพจิตไม่มากก็น้อย จึงอยากเตือนให้ท่านที่เจอกับปัญหาอย่างนี้ จงคอยเตือนตัวเองให้มีสติ ทำจิตใจให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวในสิ่งที่เรารับรู้มา คิดเสียว่าอย่างน้อยๆ ก็มีประโยชน์ต่อตัวเรา ที่ได้มีโอกาสสำรวจตัวเองว่าเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า ถ้าหากเป็นเหมือนเขาพูด ก็จะได้ปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าหากไม่เป็นเหมือนเขาพูดก็จงยืนยันความดี ความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ อย่าท้อแท้หมดกำลังใจไปกับคำพูดของคนที่น่าสงสารและมีปมด้อยเหล่านั้น จงให้อภัย ยังคบและจริงใจกับเขาต่อไปเถิด เพราะถ้าขาดเราเขาก็อาจไม่มีญาติพี่น้องหรือเพื่อน จงคบในส่วนที่ดีของเขา คิดเสมอในโลกนี้ไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ แม้แต่ตัวเราแล้วเราจะมีความสงบสุขทางใจ หวังว่าสักวันผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาจากการที่ใช้คำพูดไปทำร้ายคนอื่น จะทำให้เขาได้คิดและปรับเปลี่ยนตัวเองได้ เพราะฉะนั้นคบกับใครขอให้มีความจริงใจ และก็ทำใจไปด้วย เพราะจิตมนุษย์นี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง ลองย้อนสำรวจตัวเองดูซิว่าเราเป็นคนสองหน้ากับคนอื่นหรือเปล่า ถ้าเข้าข่ายแล้วละก็ ลองขุดข้นหาแรงอิจฉา ริษยา หรือความรู้สึกที่เป็นปมด้อยของตัวเราออกมาทำความรู้จัก แล้วแปลงเป็นความสร้างสรรค์กันดีไหม สังคมเราจะได้มีความสุขเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายขอฝากไว้ โปรดระมัดระวังคำพูดของคุณต่อหน้าและลับหลัง เพราะคำพูดทุกคำที่กล่าวพาดพิงถึงคนอื่นสามารถสร้างสรรค์และทำลายเขาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:

คลายเครียดด้วยวิธีง่ายๆ


คุณรู้หรือไม่ว่าเวลาที่เราเกิดความเครียด มักจะมีอาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้อและลำคอขมวด จนทำให้ไหล่ตึงและกรามขบ หายใจไม่ทั่วท้อง บางคนหายใจตื้นๆ อาการต่างๆ เหล่านี้สามารถควบคุมได้ด้วยการปฏิบัติตามวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

ฝึกหายใจให้ทั่วท้อง

การหายใจเร็วๆตื้นๆเป็นการตอบสนองของร่างกายในเชิงต่อสู้หรือหลีกเลี่ยง ทำให้คุณได้ออกซิเจนไม่เพียงพอปริมาณออกซิเจนที่ไม่สมดุลในร่างกาย ทำให้เรามีอากาศเสียสะสมในร่างกาย สร้างความเครียดในร่างกาย วิธีแก้คือฝึกหายใจยาวๆช้าๆลึกๆ ช่วยให้ร่างกายในออกซิเจนอย่างเพียงพอ ทำให้อาการคลายปวดศีรษะ ลดความตึงเครียดของร่างกายได้

อโรมาเธอราพี

การสูดดมแบบอโรเธอมาพี ช่วยบรรเทาอาการเครียด หรืออาการปวดศีรษะได้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นใดก็ได้ที่คุณชอบ เช่น เปปเปอร์มินต์ ยูคาลิปตัส ตะไคร้หอม เลมอน ฯลฯ อาจจะใช้คอตตอนซุปแล้วป้ายที่บริเวณขมับและหน้าผาก หรือจะจุดให้น้ำมันหอมระเหยสูดดมก็ได้ทั้งนั้นค่ะ เราอาจใช้ควบคุมกับการฝึกหายใจพร้อมกันไปด้วย ก็จะทำให้คุณผ่อนได้มากเลยทีเดียวค่ะ

กอนวดจุดต่างๆ

เมื่อมีอาการเครียด จะเกิดความตึงที่บริเวณคอไหล่ และกล้ามเนื้อหลังส่วนบน วิธีแก้ด้วยการหาจุดที่คุณปวดที่สุด ตามแผ่นหลังและข้างลำคอ ไล่นิ้วไปตามส่วนบนของไหล่ตรงที่เชื่อมต่อลำคอ และบริเวณแผ่นหลังส่วนบนที่ต่ำกว่าไหล่ลงไป ใช้ปลายนิ้วสองนิ้วกดแน่นๆ 8-10 วินาที แล้วค่อยๆคลายออก นวดบริเวณนั้นเป็นรูปวงกลมถ้าจะทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น นวดด้วยปาล์มสมุนไพร หรือน้ำมันอโรมาเธอราพีก็ยิ่งดี วิธีนี้ถ้าทำทุกวันนอกจากจะช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ปวดศีรษะได้อีกด้วย

อากาศ

ถ้าทีบ้านหรือที่ทำงาน ก็ให้เปิดประตูหน้าต่างให้โปร่งโล่ง อากาศถ่ายเท่ได้สะดวก แต่ถ้าสถานที่แคบๆก็ให้ปิดพัดลมให้อากาศไหลเวียน จะยิ่งดีมากถ้าคุณสามารถออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ในธรรมชาติ เพราะออกซิเจนจะทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แต่ถ้าคุณอยู่ในที่แออัดคับแคบ เช่น เมืองกรุงก็เปิดแอร์กรองอากาศให้บริสุทธิ์ก็ได้ค่า

น้ำและความชื้น

ให้ดื่มน้ำมากๆ เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำ ร่างกายจะเกิดความเครียด ถ้าปวดศีรษะก็ให้เอาผ้าเช็ดน้ำเย็นๆ แปะที่หน้าผากและรอบๆ ดวงตา เพราะความชื่นจากผ้าจะช่วยผ่อนคลายเส้นเลือดที่บริเวณขมับจะทำให้คุณรู้สึก สบายขึ้นการอาบน้ำก็จะยิ่งทำให้คุณได้ผ่อนคลายทั้งร่างกาย เพราะน้ำจะเป็นตัวพาความร้อนออกจากร่างกายและร่างกายสะอาดจิตใจสบายด้วย เรียกได้ว่าสบายทั้งกายและจิตใจ

เห็นไหมคะว่า วิธีง่ายๆ แค่นี้ ถ้าคุณปฏิบัติเป็นประจำ อาการปวดศีรษะ ก็จะออกไปจากชีวิตคุณได้ค่ะและจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่นกระปรี้กระเปร่าตลอดวัน คุณสามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง คุณจะใช้ควบคู่หลายๆ วิธีก็ได้นะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

ทำอย่างไรจึงจะแจ่มใสไม่ร่วงโรย


ไม่มีใครใดในโลกอยากแก่ มีความพยายามชะลอความแก่หรือพยุงความหนุ่มสาว โดยเฉพาะเรือนกายให้คงอยู่แต่ลืมสนิทว่า คนเรายังมีจิตใจที่จะประคับประคองไม่ให้เกิดความชราทางใจ ใจที่ร่วงโรยตามอย่างแน่นอน


ใจแจ่มใสคือใจที่สงบ พอใจตนเอง รักผู้อื่นและพร้อมที่จะให้อภัยเป็นผู้ “ ให้ ” มากกว่าผู้รับรู้สึกขอบคุณและชื่นชมแม้สิ่งเล็ก ๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน


ใครไม่อยากแก่จึงต้องปฏิบัติตน ดังนี้


เป็นคนมีความรักต้องรักตัวเองก่อน จึงสามารถรักคนอื่นได้ รักตนเองไม่ใช่ความหลงตัวเอง และไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว รักตนเองคือความพอใจตน เคารพตนรู้ค่าของตน คนไม่รักตนเองหรือชังตนเอง (Self-rejection) จะไม่มีวันรักใครได้เลย และคนไม่รักใครย่อมไม่มีใครรักใครไม่อยากแก่ จึงต้องฝึกใจให้รักผู้อื่น เมื่อเรารักใครเราย่อมอยากจะให้ “ ให้ ” พร้อมที่จะอภัย ชื่นชมและยกย่อง ช่วยเหลือซึ่งล้วนเป็นความรู้สึกทางใจที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ ทำให้ใจชุ่มฉ่ำและผ่องใสไม่ร่วงโรย


อย่าใช้ชีวิตสะดวกสบายเกินไป ถ้าไม่อยากแก่เร็วอย่าใช้ชีวิตด้วยการอาศัยแรงงานคนอื่น ๆ หรืออาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่จนเกินไป รู้จักใช้ร่างกายของตนเองโดยการเล่นกีฬาออกกายบริหารให้กล้ามเนื้อได้ทำ หน้าที่ของมันตามสมควร


ให้อาหารแก่กายและใจ คงทราบดีแล้ว อาหารประเภทใดมีประโยชน์ต่อร่างกาย ควรใส่ใจเรื่องอาหารการกินโดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน ควรบริโภคอาหารจำพวกแป้งไม่ขัดขาวในปริมาณ 50 % ของอาหารที่กินในแต่ละมื้อ ผัก 25% โปรตีนจากพืช 15 % สาหร่ายทะเลและเมล็ดธัญพืช 10 % โปรตีนจากเนื้อปลาหรืออาหารทะเลสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และบำรุงอาหารใจ ด้วยการอ่านหนังสือบำรุงสมอง เสพย์อาหารใจจากสิ่งอันเป็นสุนทรียะ เช่นเสียงเพลง สายลม แสงแดด ทะเล ต้นไม้ เขียวชะอุ่ม ช่วยให้กายใจไม่สึกหรอเร็วขึ้น


เลิกกังวล คนขี้กังวลทั้งกายและใจจะตึงเครียดมักจะขมวดคิ้ว หน้าเครียด กล้ามเนื้อของใบหน้าทำงานมากเกินไป เกิดริ้วรอยและเหี่ยวย่นเร็ว


มีงานอดิเรกทำ คุณทราบหรือไม่ว่า คนสุขภาพจิตดีทุกคนมีงานอดิเรกทำ ถ้าใครมีพฤติกรรมหลักเพียง 3 อย่างคือ กิน นอน และทำงาน เมื่อใกล้วัยร่วงโรย ทำงานวิชาชีพไม่ได้แล้ว จะรู้สึกสูญเสีย ขาดสิ่งช่วยค้ำจุนใจ จะเศร้าง่ายในวัยชรา ส่งผลให้ใจและกายร่วงโรยเร็วกว่าที่ควร


“ ให้ ” ผู้อื่นทุกวัน เพราะการให้เป็นความสุขมากกว่าการรับ ทำให้ใจอิ่มเอิบ การให้ที่ไม่วันหมด คือการให้กำลังใจ มีไมตรีจิต ความเกื้อกูล ความยกย่องและชื่นชมควรถามตัวเองทุกคืนก่อนนอนว่า “ วันนี้ฉันได้ให้อะไรแก่ใครหรือยัง ” เพราะว่า “ คุณมีอะไรจะให้ผู้อื่นได้เสมอทุกวัน และตลอดชีวิต ” อย่างน้อยที่สุดคือก็คือ “ คำพูด ” ที่ให้ความรู้สึกที่ดีงามทางใจ และ “ ร้อยยิ้ม ” อันเมตตาอบอุ่นและปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ


อย่าเป็นทางของอดีต คนจำนวนมากไม่มีความสุขและใจร่วงโรยเพราะชอบคร่ำครวญหรือหวนหาอดีตไม่รู้จัก สิ้น แล้วก็สงสารตัวเองไม่รู้หาย คนเช่นนี้จึงมีแต่ความท้อแท้ถดถอย คนมีใจเป็นทาสของอดีตย่อมมืดมนและหม่นไหม้เป็นใจที่ไม่หลุดพ้น คนเช่นนี้จึงร่วงโรยเร็ว


สิ่งสำคัญคือยอมรับสภาพความจริง (Accept reality) เพราะเป็นการยอมรับความจริงของภาวะทุกอย่างที่ชีวิตหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นยารักษาความกังวลหวาดหวั่นได้ดีนัก จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดทำให้ใจสงบ และใจที่สงบย่อมแจ่มใสไม่ร่วงโรย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b18:

สร้างสุขในบ้าน


ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ไม่ว่ายากดีมีจน ก็อยากให้ตนเองนั้นมีความสุข คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ๆ ที่ตนคิดว่าทำแล้วตนเองจะมีความสุขหรือถ้าได้สิ่งที่ต้องการแล้วตนเองก็จะมี ความสุขเช่นกันบางคนออกไปแสวงความสุขนอกบ้านสุดท้ายคุณก็ต้องกลับเข้าบ้าน เหมือนเดิม ดังนั้นแหล่งที่สร้างความสุขให้กับชีวิตให้กับคุณที่ดีที่สุดคือ บ้าน ครอบครัว เพราะครอบครัวนั้นหากมีความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น มีความเห็นใจกัน ปัญหาต่าง ๆ ที่คิดว่าใหญ่หลวงนัก หากมคนคอยให้กำลังใจคนคอยช่วยเหลือ สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่เหล่านั้นก็ดูเล็กไปทันที แต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้ครอบครัวของคุณมีความสุข


ครอบครัวจะมีความสุขได้ถ้าทุกคนรู้จักวิธีอยู่ร่วมกันร่วมมือร่วมใจกัน ทุกคนในครอบครัวมีความสำคัญและทุกคนในครอบรัวรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง แต่ยางครอบครัวมักจำกัดบทบาทหน้าที่ของคนในครอบครัว เช่นมีข้อกำหนดห้ามลูกแสดงความคิดเห็น ห้ามลูกทำในสิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบใจ เป็นต้น ข้อห้ามเหล่านี้ มักจะทำให้สมาชิกในครอบครัวอึดอัด แล้วก็ไม่มีความสุข ดังนั้นครอบครัวที่น่าอยู่และมีความสุขน่าจะร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติดังนี้


1. การทำงานบ้านร่วมกัน ช่วยกันคนลไม้ละมือไม่ใช่ว่างานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิงหรือคนใดคนหนึ่ง การที่พ่อบ้านมาช่วยปัดกวาดบ้าน หรือล้างถ้วยชามไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ดีเสียอีก จะได้เป็นตัวอย่าง ให้แก่ลูกๆ โดยเฉพาะลูกชายเขาจะได้เป็นคนที่มีน้ำใจต่อคนอื่น


2. ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย สนุกสนาน ในโอกาสพิเศษของคนในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ เช่นประเพณีรดน้ำขอพรญาติผู้ใหญ่ จัดงานปีใหม่สังสรรค์กันในครอบครัวหรือหาเวลาพาครอบครัวไปท่องเที่ยวช่วงวัน หยุด ไม่หาความสุขที่สร้างปัญหา เช่น ดื่มเหล้า หรือเล่นการพนัน


3. การพูดจาที่ถนอมน้ำใจกัน พูดชื่นชมเมื่อทำในสิ่งที่ดี ๆ พูดให้กำลังใจเมื่อผิดหวัง ขอโทษเมื่อทำผิดและรู้จักการขอบคุณเมื่อมีคนเอื้อเฟ้อ


4. ยิ้มแย้มให้กันอยู่เสมอ จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว


ครอบรัวนั้นมีสมาชิกหลายคน การที่ครอบครัวจะมีความสุขนั้น สมาชิกทุกคคนก็ต้องมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตากันด้วย และการที่ทุกคนร่วมมือกันคนละเล็กละน้อยแต่ครอบครัวมีความอบอุ่น มีความรักความเข้าใจกันนั่นแหละ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ แต่ทุกสิ่งที่คุณต้องการก็ตัวคุณเท่านั้นที่จะต้องเป็นคนทำเองแล้วเมื่อคุณ ทำได้ คุณก็จะภาคภูมิใจที่คุณมีความสามารถ สร้างสุขในบ้านได้เหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5:

กลุ้มเอยกลุ้มใจ


“กลุ้มมาก ๆ ควรหาเวลาพักกายพักใจ ก่อนกลับไปเริ่มแก้ปัญหาอย่างมีสติ”


ธรรมชาติของความกลุ้มอย่างหนึ่งคือ มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนค่ะ และเมื่อมันเกิดได้ก็หายได้ อาจเป็นในลักษณะเป็นๆ หาย ๆ หรือยู่ ๆ ก็อาจจะหายวับจากใจได้เป็นปลิดทิ้ง


ถ้าคุณๆ รู้สึกว่าได้หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับความกลุ้มใจนานพอสมควร ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นวังวนของความทุกข์จากงานอันนี้ได้ เวลาที่เราจะลดความกลัดกลุ้มของเราหรือไม่ยัง เพราะขืนปล่อยเช่นนี้นาน ๆ คนอื่นจะเข้าใจคุณได้ยากขึ้น เพราะอารมณ์ของคุณค่าต่อคนรอบข้างทั้งเจ้านาย ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานมันไม่น่าอยู่ใกล้เอาเสียเลย จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องกำจัดความกลุ้มออกไปค่ะ


ปลดปล่อย หัดระบายความทุกข์ให้กับคนที่เราไว้วางใจ ถ้าเป็นเพื่อนที่ทำงานเลือกคนที่ไม่ขยายความต่อ แค่เขารับฟังความรู้สึกของเรา เราจะดีขึ้นแล้วค่ะ บางคนอาจให้คำแนะนำดีดี กับเราได้ด้วย ดีกว่าเก็บกดไว้เป็นเวลานาน ๆ ระเบิดออกมาจะรุนแรงค่ะ


พักรบชั่วคราว ใครที่คิดแก้ปัญหาคาใจไม่ออกแล้วติดอยู่ในความอึดอัดจะคิดไม่ออกตรองไม่ตก หรอกค่ะ ต้องพักรบก่อน อาจจะต้องหลีกหลี้หนีกายและใจไปหาบรรยากาศปลอดโปร่ง ให้สติกลับมาดังเดิมก่อนคน่อยกลับมาเดินหน้าคายปมปัญหากันใหม่แบบใจเย็น ๆ


หาที่ลง เวลากลุ้มใจใครจะอารมณ์ดีอยู่ได้ เราอาจเผลอแว๊ดกับคนใกล้ตัวไปลงกับเขาเราก็มานั่งกลุ้มอีกว่าไม่ควรจะทำ อย่างนั้นอย่างนี้เลย เครียดนักพยุงอารมณ์ไว้ก่อนหมดเวลางานเมื่อไหร่ไปลงเอากับการเล่นกีฬาหรือ ขุดดินทำสวนให้เหนื่อย ไม่มีแรงเหลือให้กลุ้มค่ะ


เป็นนางเอก แล้วคุณจะแปลกอะไร อย่างกลุ้ม ๆ นี่แหละแต่ทำตัวเป็นนางเอกแสนดีกับคนโน้นคนนี้ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผล ตอบแทน รอยยิ้มและคำขอบคุณจากเขาก็ทำให้คุณแช่มชื่นทันตาเห็นค่ะ


อย่าวนเวียนอยู่กับความกลุ้ม ใจไปเลยค่ะ ทุกอย่างมีทางออกเพียงแต่อาจช้าบ้างเร็วบ้างเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:

บันไดสู่สุข


ความสุขความสมหวัง เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการไขว่คว้าให้ได้มา แต่กว่าจะถึงสิ่งนี้ทุกคนต้องผ่านขวากหนามต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเสมือนบันไดที่จะต้องก้าวไปหาจุดนั้น และผลที่ได้รับจะทำให้เราภูมิใจในสิ่งที่ได้มา ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรมันเหมือนไม่มีค่า ไม่น่าภูมิใจ ที่พูดมามันเหมือนปรัชญาชีวิต แต่ในความเป็นจริงทุกคนหวังจะได้ความสุข ความสมหวัง ลอยมาหาเหมือนลาภลอยทางอากาศ แม้แต่เวลาหลับนอนก็อธิษฐานขอให้มีความสุข ถูกหวยรางวัลที่ 1 ไม่เจ็บไม่ไข้ อายุมั่นขวัญยืน


เถ้ามนุษย์ทุกคนรู้จักประเมินตัวเอง ว่าอย่างเราพอจะหวังทำอะไรได้บ้าง ก็หวังทำในเกณฑ์นั้น ความสุขก็คงหาได้ไม่ยากนัก หรือถ้าผิดหวังก็คงไม่ทุรนทุราย คงแค่เจ็บ ๆ คัน ๆ เปรียบเสมือนแรงผลักดันให้ก้าวต่อไป เป็นบทเรียนที่มีค่าไม่มากนัก สอบตกก็ซ่อมได้ไม่เป็นไรแต่ถ้าเรารู้จักประเมินตัวเอง มี 1 แต่อยากได้ 5,6,7 ฯลฯ แม้จะพยายามแค่ไหน อย่างมากก็คงได้แค่ 2 หรือ 3 คาดหวังมากไปพอผิดหวังก็เจ็บปวด ทุรนทุราย ยากที่จะเยียวยาได้ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำอะไรต่อไป ผลสุดท้ายอาจต้องพึ่งจิตแพทย์ก็ได้


บันไดแห่งความสุขมีหลายขั้น ถ้าเราพอใจจะสุขในขั้นที่ 1,2 เราก็จำมีวามสุขในระดับนั้น แต่ถ้าเราไม่พอใจอยากจะสุขใน ขั้นที่ 3,4,5……ขึ้นไปเอย ถ้าทำได้ก็คงมีความสุข แต่ถ้าทำไม่ได้ความทุกข์ก็คงตามมา พูดง่าย ๆ ความสุขอยู่ที่ความพอใจ ในสิ่งที่ตนมี ถ้าเรารู้จักพอความสุขก็จะไม่หนีไปไหน แต่ถ้าเราไม่รู้จักพอ อยากมีอยากได้ขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ดูกำลังของตนหนไปสู่ความสุขนั้นมันก็ห่างเราไปเรื่อย ๆ เกินที่เราจะไขว่คว้าได้ในที่สุดเราอาจตกบันไดลงมาและเมื่อนั้นแม้แต่บันได ขั้นที่ 1 เราก็ไม่มีโอกาส ไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวขาขึ้นไป :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:

เลี้ยงลูกแบบปลูกแต่ไม่ฝัง
ตอน พ่อ – แม่ เป็นจิตรกร


หลายท่านคงเคยได้ยินว่า “เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว” ก็คงหมายถึงเด็กนั้นเปรียบเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ ซึ่งต้องเรียนรู้โลกอีกมากมายจากบุคคลรอลบ ๆ ข้าง ไ และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว สำหรับเด็ก ๆ แล้วผู้ที่ใกล้ชิดแบะให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกก็คงเป็นพ่อแม่ ซึ่งรักลูกเปรียบดังแก้วตาดวงใจ


เมื่อลูกเปรียบดังผ้าขาว คราวนี้พ่อแม่ก็ต้องเปรียบเหมือนจิตกรหรือผู้ที่จะวาดภาพลงในผ้าขาวอัน บริสุทธิ์นี้ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะท่านว่าต้องใช้เวลายาวนานในการที่จะระบายสีลงในผ้าขาวนี้ และที่สำคัญผ้าขาวนี้จะซับสีที่ท่านระบายได้มากแค่ไหนที่ท่านต้องทำใจเผื่อ ไว้บางท่านระบายได้มากแค่ไหนท่านต้องนำเสนอไว้มีดังนี้


1. ให้ความสำคัญกับปัญหา เชื่อว่า พ่อแม่หลาย ๆ ท่าน ก็มีปัญหามากมายในการที่จะหารายได้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในการดำรงชีวิต อยู่ในสังคมปัจจุบัน แต่ในทำนองเดียวกันลูก ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตาม เขาก็มีปัญหาตามวัยของเขานั่นหละ ยิ่งเป็นเด็กช่วงอายุ 2-3 ปี เขาตั้งคำถามได้แทบทุกเรื่อง นอกเหนือไปจากปัญหาการดำรงชีวิตของเขา ซึ่งถ้าพ่อแม่ใส่ใจให้ความสำคัญกับปัญหาของลูก ๆ จะทำให้พ่อแม่รู้ว่าลูกกำลังคิดอะไร ทำอะไรพัฒนาการเป็นอย่างไร และถ้าพ่อแม่ใส่ใจในการตอบปัญหาด้วยเหตุผล จะทำให้ลูกได้เรียนรู้การใช้เหตุผล
:b44:

2. ให้เวลากับลูก การให้เวลากับลูกเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้พ่อแม่จะเหนื่อยสักเท่าใด ก็ขอเวลาให้สำหรับลูกวันละ 20-30 นาทีก็ยังดี พ่อแม่หลายท่านมักจะบอกกับลูกบ่อย ๆ ว่าไม่มีเวลายุ่งอยู่กับงาน ทั้งๆ ที่ก็มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กับคนอื่นนั้นแหละ แต่พ่อแม่มักใช้เวลาหมดไปกับสิ่งอื่นโดยลืมแก้วตาดวงใจของตัวเองซึ่งการให้ เวลาแก่ลูกพ่อแม่จะได้สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับลูก ๆ ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
:b41:

3. แนะนำไปในทางที่ถูก คำว่าถูกหรือผิด บางครั้งวัดกันได้ยาก เพราะมีหลายครั้งที่พ่อแม่คิดว่าตัวเองถูกแต่ลูกก็ไม่ยอมรับ และบางเวลาลูกคิดว่าลูกทำแต่ไม่ถูกใจพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีลูกเป็นวัยรุ่นมักเจอปัญหาทำนองนี้บ่อย ๆ ถ้าจะให้การแก้ไขปัญหาหรือเป็นมาตรฐานของคำว่า “ถูก-ผิด” ขอแนะนำว่าให้ยึดหลักศีล 5 ข้อของพุทธศาสนาไว้ จะเสริมเหตุผลอะไรเข้าไปก็ตามใจพ่อแม่ จะเห็นสมควร เพราะถ้าไม่ถูกต้องไม่ดีจริงคงไม่อยู่มาได้ถึง 2546 ปี
:b39:

4. ไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่ากรณีใหญ่ ๆ หรือเล็ก ๆ พ่อแม่มักจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเป็นตัวเปรียบเทียบเสมอ เช่น มีลูกเรียนอยู่แค่ ป.1 ป.2 ฯลฯ ทำการบ้านไม่ได้ พอลูกถามการบ้านพ่อแม่ มักจะต่อว่าลูกว่า “โง่” แค่นี้ก็ไม่รู้จักคิด โดยลืมนึกไปว่าลูกเรียนอยู่แค่ ป1 ป.2 ฯลฯ ประสบการณ์ลูกยังไม่มาก หรือยังไม่เข้าใจ อยากให้พ่อแม่ลองนึกย้อนกลับไปซิว่า ขณะที่คุณพ่อแม่อายุเท่าลูกในปัจจุบัน ท่านรู้อะไรไปกว่าลูก ๆในตอนหนีไหม คิดว่าบางท่านอาจจะไม่ฉลาดเท่าลูกในปัจจุบันด้วยซ้ำไป แต่ความเป็นจริงในปัจจุบัน คุณพ่อแม่อายุเท่าไหร่แล้วประสบการณ์มากกว่าลูกตั้งหลายสิบปี
:b45:

เมื่อพ่อแม่รู้เทคนิคการเขียนภาพชีวิตของแก้วตาดวงใจแล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับพ่อ-แม่แล้วละที่จะต้องลงมือปฏิบัติอย่าลืมว่าผ้าใบผืน นี้เป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ ชีวิตเป็นเป็นของลูกพ่อแม่ไม่ควรจะคาดคั้นให้ลูกเป็นสิ่งที่ตัวเองอยากให้ ดป็นบางครั้งการตัดสินใจด้วยเหตุผลของลูก พ่อแม่ก็ควรเคารพในสิทธิของลูกด้วย พ่อแม่มีหน้าท่ประคับประคองให้ลูกไปสู่จุดมุ่งหมายที่ลูกใฝ่อยากจะไปซึ่งพ่อ แม่อาจจะใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตในการเขียนภาพ จะดีจะสวยมันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือผู้วาด สี และคุณสมบัติของผ้าด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ใจเย็นดีกว่า..ใจร้อน

“หางานอดิเรก ทำเพื่อเป็นการฝึกสมาธิช่วยให้เป็นคนใจเย็น”


คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ใจร้อนเป็นน้ำเดือนในกาใช่หรือเปล่าค่ะ ดูไปแล้วคนใจร้อนน่าจะทำกิจการงานให้เสร็จสิ้นได้ดีอย่างนวดเร็ว ความจริงหาใช่เป็นเช่นนั้นไม่


ความใจร้อนของคุณมึความหมายแฝงเช่นนั้นหรือเปล่า ลองสำรวจตัวเองดูให้ละเอียดถี่ถ้วนนะค่ะ

1. คุณไม่นิยมการทำงานแบบค่อย ๆ ทำเป็นทีละน้อย ตั้งแต่วันที่รับมอบหมายงานมาจนถึงเวลาที่กำหนดส่งงาน แต่คุณชอบดองงานเปรี้ยวดองเค็มไว้ถึงเวลาก็อดหลับอดนอนทำโครม ๆ คราม ๆ ตะลุยเสร็จในวันเดียวทันใจ

2. คุณเป็นคนแบบเดี่ยวขยันก็ขยันจนน่ามหัศจรรย์ พอขี้เกียจขึ้นมาอะไรก็ไม่ อยากทำไปทั้งนั้นเรียกว่าพวกชอบฟิตเป็นช่วง ๆ คุณไม่เคยลองเปรียบเทียบดูเลยว่า การทำงานต่อเนื่องตลอดระยะเวลาจะเหนื่อยน้อยกว่าเป็นไหน ๆ

3. คุณชอบทำสิ่งใด ๆ ที่ได้ผลรวดเร็วทันตามาก ทั้งการงานและสิ่งอื่น ๆ ถ่ายเทความร้อนออกจากใจของเราแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำใสไหลเย็นเข้ามาแทนดีกว่า ค่ะ เพราะคนใจเย็นแปลว่ามีความอดทนต่อการทำงานและมีโอกาสไปสู่ความสำเร็จได้ดี กว่า เพราะรอได้ ความสำเร็จไม่ได้สร้างเสร็จในพริบตาต้องอาศัยการสั่งสม


สำหรับวิธีฝึกฝนให้เป็นคนใจเย็น ลองฝึกฝนให้เป็นคนใจเย็น ลองฝึกทำงานใด ๆ ก็ได้ค่ะ ทั้งงานจริงหรืองานอดิเรกที่ต้องอาศัยเวลานาน ๆกว่าจะเสร็จ เช่นปักครอสติช ต่อจิกซอว์ 500 ชิ้นถักเสื้อโครเชต์ ฯลฯ เป็นการฝึกความใจเย็นที่ได้ผลค่ะ


ความใจเย็นนำมาซึ่งอะไร ที่เพิ่มพูนขึ้น ดูเรื่องง่าย ๆ อย่างการเก็บเงินใส่กระปุกของเราสิค่ะ ถ้าเราเป็นไปได้ยากกว่าเก็บวันละ 30 บาท หยอดกระปุกแน่นอน


เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ไว้จะไปถึงเป้าหมายที่ดีกว่าค่ะ คืองานก็ได้ผลสำเร็จและมีความสมบูรณ์อยู่ในตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

คลายเครียด...อย่างมีเทคนิค


ทุกท่านคงเคยได้ยินข้อความที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” หรือ “อารมณ์แจ่มใส ใจเป็นสุข” จะเห็นว่า ใจมีความสำคัญ จะสุขหรือทุกข์จะเครียดหรือไม่เครียด จึงให้ความสำคัญอยู่ที่ใจ การคาดหวังกับคนอื่นว่าเขาจะทำให้ถูกใจเรา จะทำให้เราเกิดความเครียด ไม่มีอะไรที่จะได้ดั่งใจเราแม้แต่ตัวเราเอง เราอยากให้คนอื่นทำอะไรให้เรา เราต้องทำให้เขาก่อนเราไหว้เขา เขาก็ไหว้ตอบ เรายิ้มให้เขา เขายิ้มตอบเรา เราไม่ด่าเขาก่อน เขาก็ไม่ด่าเรา แทนที่จะโทษคนอื่น ก็โทษตัวเองซะ เป็นการปลูกรักไว้รอบข้าง ไม่ชอบใจใครให้พูดเพราะ ๆ ชอบใจใครให้พูดตรง ๆ ต้องระลึกไว้เสมอว่า เรื่องราวเมื่อวานนี้คืออดีต พรุ่งนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง สิ่งที่เกิดวันนี้สำคัญที่สุด มีเทคนิคง่าย ๆ ที่จะไม่ทำให้เครียด


การดูแลตนเองในการจัดการกับความเครียด


1. จำสิ่งดี ๆ ที่จะทำให้สุขสบายใจ. แต่จุดอ่อนของคนมีข้อหนึ่งคือเรื่องที่อยากจำกลับลืม อยากลืมกับจำ มีเทคนิคที่จะฝึกสมองให้จำสิ่งดี ๆ นั่นคือ มีสมุดพก ปากกา คิดอะไรดี ๆ ก็เขียนไว้ มีไอเดียดี ๆ จดไว้ทันทีจะทำให้จำได้


2. อย่าชวนทะเลาะ โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว. คนที่เรารักเพราะการทะเลาะกับคนที่เรารักเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด การหลีกเลี่ยงการทะเลาะมีหลักง่าย ๆ คือ บางครั้งทำเป็นตาบอด หูหนวก อะไรที่ไม่ควรจะเห็นก็ไม่ต้องดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็ไม่จำเป็นต้องฟัง เดินหนีซะบ้างจะได้ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องเห็น


3. เปลี่ยนอารมณ์โกรธเป็นอารมณ์ขัน. คนที่มีอารมณ์ขันใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ อยู่ใกล้แล้วสบายใจ เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก


4. การเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจหรือเครียด อย่าต่อสู้กับความเครียดหนีไปเพื่อจะกลับมาตั้งต้นใหม่ เช่นไปเที่ยวซัก 5-7 วัน จะทำให้ชีวิตมีพลังสดชื่น กระปรี้กระเปร่า


5. หัดเลี้ยงสัตว์ บางครั้งการเลี้ยง สัตว์เป็นเพื่อน คอยห่วงใยวิ่งต้อนรับมันทำให้ชีวิตมีคุณค่า


6. ฟังเพลงที่ชอบ จะทำให้อารมณ์สงบลง


7. มีจิตวิญญาณที่ดี. ไปทำกุศลให้ผู้ด้อยโอกาส จะทำให้ไม่งกจะสบายใจที่ได้เป็นผู้ให้ เราอยากได้อะไรดี ๆ เราต้องเป็นผู้ให้คนอื่นก่อน จำไว้เสมอว่าให้ไปอย่างไรก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร