วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 06:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b25:

ขยันอย่างไร?...จึงจะประสบความ สำเร็จ


ขยัน คือ การเอาภาระงานอย่างไม่นิ่งดูดาย ไม่ว่าจะกระทำให้แก่ตัวเองหรือผู้อื่นก็ตามแล้วก็กระทำอย่างสม่ำเสมอด้วย ความอดทน ไม่เกียจคร้าน ไม่ย่อท้อ โดยประการใด ๆ ไม่รังเกียจต่องานประเภทนั้น ๆ ไม่ว่าจะได้รับประโยชน์มากหรือน้อยเพียงนิด แต่เป็นงานอาชีพที่สุจริตถูกกฎหมาย สังคมยอมรับ

ขยัน หมาย ถึง พฤติกรรมการกระทำการงาน หรือสิ่งอื่นใดก็ตามโดยการกระทำนั้นได้ทำอย่างสม่ำเสมอ ถูกต้องตามระเบียบ ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง เพราะหากขยันผิด ๆ แล้วย่อมก่อภัยตามมาภายหลัง อาจต้องเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียง ติดคุกติดตาราง บาดเจ็บ ถึงแก่ชีวิตสังคมรอบด้านตราบาปไว้ ให้ทุกข์ทรมานในชาตินี้หรือชาติหน้าต่อๆไป ฯลฯ แต่หากขยันผิดทางโลกทางธรรม ก็มีแต่เสียเวลาของชีวิตอยู่เรื่อย ๆ ไป หลงวกวนแต่เรื่องเดิม ๆ เดินทางผิด หลงทางผิด เป้าหมายของชีวิตเปลี่ยนไป สูญสิ้นไปอย่างไร้ค่า

ความขยันที่สำคัญอีกอย่างก็ คือ ต้องขยันอย่างรู้จักใช้สติ - ปัญญา ควบคู่กันไป เพราะแม้ขยันบากบั่นทุ่มโถมเต็มที่สักปานใดก็ตาม หากขยันอย่างโง่ ๆ ไม่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

ก็จะประสบความล้มเหลวได้ จนบางคนถึงกับล้มละลายหมดเนื้อหมดตัวมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นการที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างดีผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้นั้นไม่มีทุกข์ภัยหรือบาปกรรมใด ๆ ตามมาเบียดเบียนจะต้องมีองค์ประกอบของความขยันดังนี้
1. ขยันอย่างอดทนสม่ำเสมอ

2. ขยันในทางที่ดี ถูกต้อง สังคมยอมรับ ยกย่อง

3. ขยันอย่างมีสติปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b18:

ความมีน้ำใจ


การอยู่ร่วมกันในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีน้ำใจไมตรีที่ดีต่อกัน จึงจะอยู่กันได้อย่างสันติสุขความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองมากมายเพียงแต่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ โดยการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นการแสดงน้ำใจได้ เช่นการพาเด็กหรือผู้สูงอายุข้ามถนน หรือการสละที่นั่งบนรถโดยสารให้หญิงมีครรภ์ เป็นต้น ก็นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจการแสดงความมีน้ำใจจึงไม่ใช่วัดกันด้วยเงิน บางคนมีเงินมากอาจแล้งน้ำใจก็ได้ บางคนเป็นเศรษฐีแต่ตระหนี่ถี่เหนี่ยว ไม่ยอมสละเงินโดยไม่รับผลประโยชน์ตอบแทน

ความมีน้ำใจนั้น ตรงกันข้ามกับความเห็นแก่ตัวมักจะคิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวมาก่อน และความมีน้ำใจตรงกันข้ามกับความอิจฉาริษยา คนที่อิจฉาริษยาคนอื่นย่อมปรารถนาที่จะเห็นความวิบัติของผู้ที่ได้ดีกว่า แต่คนมีน้ำใจนั้นเมื่อเห็นคนอื่นดีกว่า จะมีมุทิตาจิต แสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจผู้มีน้ำใจนั้นเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่า จะมีมุทิตาจิตแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ ผู้มีน้ำใจจะนึกถึงผู้อื่น และจะพยายามช่วยผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ผู้มีน้ำใจจึงเป็นที่รักและต้องการของคนเราอาจฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีน้ำใจ ได้ ดังนี้

1. จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดถึงหัวอกของคนอื่น และแสดงต่อผู้อื่นเหมือนที่เราต้องการให้คนอื่นแสดงต่อเรา จงทำดีต่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่าความดีนั้นจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยหรือสิ่งยิ่งใหญ่ก็ตาม

2. จงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ

3. จงแสดงน้ำใจกับคนรอบข้าง เช่น เมื่อเวลาไปเที่ยวในที่ไกลหรือใกล้ก็ตามควรมีค่าของฝากมาถึงคนที่เรารู้จัก และญาติมิตรของเรา อันเป็นการแสดงความมีน้ำใจต่อกัน ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมากมาย

4. จงเสียสละกำลังทรัพย์ สติปัญญา กำลังกาย และเวลาให้แก่ผู้เดือดร้อนที่ต้องการพึ่งพาอาศัยเราโดยเป็นการกระทำที่ไม่ หวังผลตอบแทน

5. จงมีนิสัยเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อเพื่อนบ้าน เช่นไปร่วมงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ หรืองานอื่น ๆ

6. จงให้ความรักแก่คนอื่น ๆ และให้ความร่วมมือเมื่อเขาขอร้องหรือรู้ว่าเขากำลังลำบากต้องการความช่วย เหลือ

การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีน้ำใจ นอกจากจะทำให้เราจิตใจที่ดีงามเบิกบานแจ่มใส ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าอิ่มเอิบแล้ว ยังทำให้มิตรสหายมาก ใครก็อยากคบหาสมาคมด้วย เพราะความมีน้ำใจแสดงถึงความมีเมตตา กรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ และความเมตตานี้เองจะเป็นกำแพงป้องกันภัยให้เราได้ ลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ แล้วชีวิตจะพบแต่ความสุขนิรันดร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:

การฟังที่ดี

ปัญหาความขัดแย้ง เป็นเรื่องธรรมดาในการอยู่ร่วมกันหรือคบค่าสมาคมกัน เพราะสังคมประกอบด้วยบุคคลหลาย ๆ รูปแบบ มาจากครอบครัวที่ต่างกัน มีพื้นฐานการเลี้ยงดูวัฒนธรรม ประเพณีการศึกษา การใช้ชีวิตตลอดจนนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน ดังนั้น ปัญหาหรือความขัดแย้งต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นอยู่ได้ตลอดเวลา เราก็อาจจะเป็นคนหนึ่งในหลายคน ที่ต้องตกเป็นผู้รับฟังการระบายปัญหาหรือการเล่าถึงความขัดแย้งกับคนอื่น ๆ จากผู้ร่วมงานจากคนใกล้ชิด จากเพื่อนสนิทหรือผู้มารับบริการอยู่บ่อย ๆ บางครั้งเราอาจจะใช้ความเห็นส่วนตัว ดุลยพินิจที่เข้าข้างตัวเอง ตอบโต้ปัญหาหรือความคัดแย้งเหล่านั้น จนถึงขนาดก่อศัตรู หรือเพิ่มความหมาดหมาง เครียดแค้นให้ลุกลามมากขึ้นก็อาจเป็นได้ ดังนั้นการที่จะเป็นผู้รับฟังปัญหาที่ดีมีประสิทธิภาพได้นั้น ก็ต้องมีการเรียนรู้วิธีการรับฟังที่เหมาะสมคือ

1. จะรับฟังปัญหาอย่างไรไม่ให้ตัวเราเครียด หดหู่ใจ ไม่สบายใจ

- ต้องอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลาย ไม่มีความวิตกกังวลใจพร้อมที่จะรับฟังปัญหาผู้อื่น

- ขณะรับฟังปัญหา ต้องรับฟังอย่างสงบ ไม่สร้างอารมณ์ร่วมไปกับผู้เล่า ต้องฟังอย่างเข้าใจ และรู้ถึงความรู้สึกและอารมณ์ของเขา แต่อย่าให้มีอารมณ์ทุกข์โศก โกรธแค้น ร่วมกับผู้เล่า หรือรับเอาความรู้สึกเข้ามาไว้กับตัวเองรับฟังอย่างมีสติมั่นคง ก็จะทำให้มองปัญหาได้ชัดแจ้งกว่า และสามารถชี้ให้เห็นถึงเหตุผล และแนวทางในการแก้ไขได้ดีกว่า
- ไม่ควรรับฟังปัญหานั้น นานเกินไป จะทำให้เราเกิดความเครียดได้ง่าย ควรหาวิธีละมุนละม่อม เพื่อให้ยุติการเล่าเมื่อใช้ระยะเวลานานเกินไป

2. จะรับฟังปัญหาอย่างไรไม่ให้เกิดศัตรู หรือเพิ่มความบาดหมางเคียดแค้น

- ต้องรับฟังอย่างเป็นกลาง รู้จักยับยั้งชั่งใจ คล้อยตามหรือส่งเสริมผู้เล่า และไม่กล่าวทับถมบุคคลที่สาม โดยระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครสามารถถ่ายทอดคำพูดของผู้อื่นไว้ทุกคำพูด โดยไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีใครตีความหมายหรือแปลเจตนารมย์ของผู้พูดได้อย่างถูกต้องโดยไม่ผิดเลย ทุกคนย่อมเข้าข้างตัวเองเสมอ บางครั้งมักต่อเติมเสริมแต่งพูดรุนแรง เกินความจริง เพราะอคติหรือเกิดอารมณ์ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ผู้เล่าเกิดอคติต่อคู่กรณีมากขึ้น ไม่ทำให้เราเองเกิดความโกรธแค้นกับผู้ที่ถูกว่ากล่าว ซึ่งอาจเป็นปัญหาสามเส้า หรือเกิดให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ก่อศัตรูขึ้นมาได้จึงควรจะรับฟังปัญหาอย่างเป็นกลาง ด้วยการ

1. เป็นผู้ฟังที่ดี เพื่ออีกฝ่ายได้ระบาย และปลดปล่อยอารมณ์คับแค้นออกมา

2. แสดงท่าทีและใช้คำพูดปลอบโยน ให้อารมณ์งบลงสัมผัสอย่างอ่อนโยนด้วยความเข้าใจ จะช่วยให้จิตใจของผู้เล่าดีขึ้นบ้าง เช่น “ ใจเย็นๆ ” “ เดี๋ยวค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันก่อน ”

3. ใช้คำพูดในทางบวกเพื่อลดอคติ เช่น “ เขาคงไม่เจตนาทำแบบนั้น ” “ เขาพูดล้อเล่นหรือเปล่า ”

4. ชี้แนวทางแก้ปัญหาด้วยความจริง เช่น การพูดปรับความเข้าใจกัน “ ลืมมันเสียแล้วเริ่มต้นใหม่ ”

ถ้าปฏิบัติได้ดังกล่าวมานี้ ท่านก็น่าจะเป็นผู้ที่สามารถรับฟังปัญหาของผู้อื่น และชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแก่เขาเหล่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b24:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

ธรรมะ...รักษาใจยามป่วยไข้


ร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้นเป็นคู่กันร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีย่อมคู่กับ จิตใจที่สุขสบายเรียกว่ามีความสุขใจ เมื่อร่างกายไม่สบายเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรืออาการรุนแรงที่มีความเจ็บปวดถึงขั้นทน ทุกข์ทรมาน จิตใจก็ย่อมหงุดหงิด โมโหง่าย มีความกลัวตาย กังวลใจ หวาดระแวง ท้อแท้ หดหู่ ทำให้หน้าตาหม่นหมองผิวพรรณไม่สดชื่น หมดกำลังใจจนเบื่อข้าวปลาอาหารได้สิ่งเหล่านี้คือความทุกข์


การที่เราจะรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์เมื่อร่างกายผจญกับโรคภัยไข้เจ็บนั้น เป็นเรื่องยาก แต่ก็มียาขนานวิเศษที่รักษาได้ สิ่งนั้นคือพระคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่องของการเจ็บป่วยนี้ ท่านได้ตรัสสอนไว้ว่า “ ถึงแม้ร่างกายเราจะป่วย แต่ ถ้าใจเราไม่ป่วยเราก็จะมีกำลังใจต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ ” ซึ่งการที่ใจไม่ยอมป่วยนี้เรียกว่า ความมีสติ คือทำใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของความทุกข์ ความแปรปรวนของร่างหาย ดั้งนั้น ในขณะที่แพทย์ทำการรักษาร่างกายของเรา ดังนั้น ในขณะที่แพทย์ทำการรักษาร่างกายของเรา เราเองก็ควรรักษาใจของเราไปพร้อมกันด้วย


การรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์นั้น ต้องมีการฝึกจิตใจให้มีความเข้มแข็ง มีสติ เพื่อให้จิตตั้งมั่น จะได้ไม่อ่อนแอหรือหงุดหงิด วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลคือ การเอาจิตไปผูกพันกับสิ่งที่เราเคารพและศรัทธา เพื่อให้จิตใจมีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นการกำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วท่องคำว่า พุทโธ ทำอย่างนี้ต่อเนื่องกับตลอดเวลา จิตก็จะไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น การทำเช่นนี้มีประโยชน์เพราะเมื่อจิตมีสิ่งยึดเหนี่ยวก็จะมีความสงบมั่นคง เป็นจิตที่ไม่ฟุ้งว่านและไม่เศร้าหมอง มีแต่ความเบิกบานผ่องใส


ความทุกข์ใจนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก็จริง แต่เราสามารถดับความทุกข์ได้โดยการคุมสติให้มั่น ดังที่กล่าวมาแล้วถ้าหากเราได้ฝึกทำบ่อย ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองเพราะชีวิตของคนเราในวันหนึ่ง ๆ มีโอกาสที่จะพบกับปัญหาและเรื่องทุกข์ใจอย่างมากมาย ไม่ใช่แต่เรืองความเจ็บป่วยเท่านั้น ดังนั้นการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งไว้จึงเป็นเรื่องที่ดีเพราะเมื่อมีเหตุมากระ ทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้ายแรงเพียงใด จิตใจก็จะมีความมั่นคงทำให้เราปรับตัวได้ และถ้าเราได้ทำอยู่แล้วเป็นประจำ ผู้เขียนขอส่งกำลังใจให้ผู้ที่เจ็บป่วยทางร่างกายทุกคน ได้ยึดเอาธรรมมะเพื่อฝึกเอาชนะจิตใจให้ต่อสู้กับโรคร้ายได้สำเร็จ และให้มีจิตใจที่มั่นคง ผ่องใสตลอดไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

เวลาทองของชี่วิต


กระบวนการของความผูกพัน พ่อ แม่ ลูก ในแต่ละครอบครัวจะมีเอกลักษณ์ของตนเองไม่จำเป็นต้องเหมือนกับครอบครัวอื่น ซึ่งแต่ละครอบครัวจะต้องสร้างความผูกพันขึ้นมาเอง โดยมีความรักความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ครอบครัวใดที่มีความผูกพันเข้าใจกันดี ครอบครัวนั้นก็เปรียบเหมือนได้ลิ้มรสอาหารใจที่ดี โดยเฉพาะในช่วงเวลาของการเลี้ยงดูทารกในขวบปีแรก ที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคม พ่อแม่ที่ทำใจให้เพลิดเพลินกับการเลี้ยงดูลูกในแต่ละวัน จึงเหมือนกับเป็นการเติมชีวิตที่สมบูรณ์แก่ลูก การพูดคุย อุ้มชูมองหน้าถือเป็นการสังเกตใกล้ชิดรู้ว่าลูกอยู่ในอารมณ์ใดที่มีความ พร้อมในการที่จะรับฟังหรือหยอกล้อ หรือกำลังง่วงนอน ถ้าพ่อแม่อ่านลูกได้ถูกต้อง ตอบสนองตรงเป้าพัฒนาการของลูกจะเป็นไปได้ดีขึ้น การที่เราสื่อสารกับลูกได้เข้าใจกันนี้จะนำไปสู่การพัฒนาการที่ดีของลูก พ่อ แม่ จะมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง โดยพ่อ แม่ เป็นจุดศูนย์กลางของการเจริญเติบโตของลูกทั้งร่างกายและจิตใจ พ่อแม่ต้องมีความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเข้าและช่วยลูกได้ เด็กนั้นมีศักยภาพที่จะทำอะไรต่าง ๆ ได้ แต่เขาจะทำได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ พ่อ แม่ ด้วย


หากพ่อแม่มีบทบาทช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการของลูก ผลพลอยได้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกจะเกิดขึ้นอย่างแน่นแฟ้น ความสัมพันธ์ซึ่งมีความรักเป็นพื้นฐานนี้ จะทำให้ลูกเรียนรู้การสื่อสารกับผู้อื่น และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ดอกไม้ออกดอกงดงามเพราะดินฉันใด ทารกน้อยจะพัฒนาตนได้สมบูรณ์ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดีในครอบครัวฉันนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b31:

ทำงานอย่างมีความสุข


ในการทำงาน ทุกคนมีความต้องการที่จะก้าวหน้าและมั่นคง มีความพึงพอใจในงานที่ปฏิบัติ การที่จะประสบความสำเร็จตามความต้องการมากน้อยเพียงใด ผู้ทำงานต้องให้ความสนใจและเรียนรู้ให้ความเข้าใจในงานที่ปฏิบัติให้ดี รวมทั้งต้องมองหาจุดดีของงาน ถึงตระหนักอยู่เสมอว่างานที่ทำมีความสำคัญ เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองแต่ทั้งนี้ การจะทำงานให้มีความสุขนั้น ต้องมีหลักที่ควรปฏิบัติหลายอย่าง เช่น ต้องทำตนให้เป็นมิตรกับผู้อื่น รวมทั้งต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดความร่วมมือในแง่ดีอยู่เสมอ มีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันทันทีที่มีโอกาส

ในการทำงานที่ดีนั้น การทำงานร่วมกันต้องชี้แจงวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการความช่วยเหลือให้แน่ชัด หลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดของผู้ร่วมงาน เมื่อเกิดการขัดแย้งให้หาทางประนีประนอม ซึ่งไม่ควรคิดว่าเป็นการเสียหน้าหรือเสียศักดิ์ศรีแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตามในการดำเนินชีวิตประจำวันภายใต้หน้าทีความรับผิดชอบ ความเครียด ความวิตกกังวล เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าหากทุกคนตระหนักถึงบทบาทของตนเองในปัจจุบัน มีความพึงพอใจในงาน พร้อมทั้งมีการพัฒนาตนเอง สนใจใฝ่หาความรู้ในงานอยู่เสมอ พึงประเมินและประมาณตนเอง และเตือนใจอยู่เสมอว่าการจะเป็นผู้สำเร็จในชีวิตการงานได้ ต้องทำงานด้วยความขยัน ฉลาดมีไหวพริบ เสียสละ อดทนอย่างมีการพัฒนาตนเองไปด้วย จะช่วยในการทำงานเป็นไปด้วยดี ผลงานมีประสิทธิภาพแต่เมื่อมีภาวะเคร่งเครียดในหารทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ต้องปฏิบัติดังนี้

- ควรมีการพูดคุยกับผู้ที่ไว้วางใจได้ เพื่อลดความเคร่งเครียดลงบ้าง บางครั้งอาจจะได้เห็นหนทางไหนที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

- มีการออกกำลังกาย หรือการทำงานอดิเรก เช่น ปลูกผักสวนครัว ปลูกดอกไม้ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง

- จัดลำดับความสำคัญของงาน หยุดการชิงดีชิงเด่นทำประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง เพื่อจะทำให้ตนเองมีคุณค่ามากขึ้น

- ควรได้มีการพักผ่อน อย่างเหมาะสม เป็นการผ่อนคลายความเครียดอย่างดีที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5:

วัยรุ่นวุ่นเพราะ......


วัยรุ่นเป็นช่วงที่เราทุกคนทราบดีว่าเป็นวัยแห่งการเปลี่ยนแปลงซึ่งการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะครอบคลุมหลายด้านของชีวิต จนบางครั้งผู้ใหญ่มักเรียกว่าเป็น “ วัยวุ่น ” เนื่องมาจากผลการปรับตัวที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่นนั่นเอง การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ของวัยรุ่น ทำให้เขาต้องเผชิญกับหลายสิ่งในชีวิต หากเขาปรับตัวได้ก็ทำให้เขามีพัฒนาการในทางที่เหมาะสม แต่หากมีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยสามารถจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่าง เหมาะสม จนก่อให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่มีวันลืมชั่วชีวิต


“ เนตรนภา ” หญิงสาววัยรุ่นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เนตรนภาอยู่ในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอเป็นเด็ก พ่อเป็นคนใจดี พูดน้อยแต่ก็เข้มงวดกับเรื่องระเบียบภายในบ้านพอสมควร ส่วนแม่เป็นคนหงุดหงิดง่าย และเข้มงวดกับกิจวัตรประจำวันของเธอไปไม่น้อยกว่าพ่อ แต่ทั้งสองก็ไม่เคยดุด่าหรือลงโทษเนตรนภาอย่างรุนแรงเลยสักครั้ง แม่ของเนตรนภาขอแยกทางกับด้วยเหตุผล คือ ไม่เข้าใจกัน และไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ แม่ของเธอจึงไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศและแต่งงานใหม่กับชาวต่างชาติ ส่วนพ่อแต่งงานใหม่ในช่วงที่เนตรนภาอายุประมาณ 13-14 ปี ในช่วงที่เนตรนภาอยู่กับพ่อ เนตรนภารู้สึกโดดเดี่ยวและเหงา เพราะพ่อเป็นผู้ชายเก่งที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานสูง มีเวลาได้พูดคุยกับเนตรนภาในแต่ละวันไม่กี่คำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่สำคัญเท่านั้น “ เนตรนภา ” หญิงสาววัยรุ่นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เนตรนภาอยู่ในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอเป็นเด็ก พ่อเป็นคนใจดี พูดน้อยแต่ก็เข้มงวดกับเรื่องระเบียบภายในบ้านพอสมควร ส่วนแม่เป็นคนหงุดหงิดง่าย และเข้มงวดกับกิจวัตรประจำวันของเธอไปไม่น้อยกว่าพ่อ แต่ทั้งสองก็ไม่เคยดุด่าหรือลงโทษเนตรนภาอย่างรุนแรงเลยสักครั้ง แม่ของเนตรนภาขอแยกทางกับด้วยเหตุผล คือ ไม่เข้าใจกัน และไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ แม่ของเธอจึงไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศและแต่งงานใหม่กับชาวต่างชาติ ส่วนพ่อแต่งงานใหม่ในช่วงที่เนตรนภาอายุประมาณ 13-14 ปี ในช่วงที่เนตรนภาอยู่กับพ่อ เนตรนภารู้สึกโดดเดี่ยวและเหงา เพราะพ่อเป็นผู้ชายเก่งที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานสูง มีเวลาได้พูดคุยกับเนตรนภาในแต่ละวันไม่กี่คำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่สำคัญเท่านั้น


เมื่อเริ่มศึกษาในมัธยมศึกษาปี่ที่ 4 เนตรนภาได้พบกับเพื่อนชายคนหนึ่งซึ่งเอาใจใส่และดูแลเนตรนภาเป็นอย่างดี “ อรรณพ ” เด็กชายวัยรุ่นมาจากครอบครัวข้าราชการ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อแม่ค่อนข้างตามใจเขา ไม่ว่าอรรณพต้องการอะไรพ่อแม่ไม่เคยขัดใจ อรรณพค่อนข้างเป็นคนเจ้าอารมณ์หงุดหงิดง่ายเมื่ออรรณพกับเนตรนภาได้ตกลงคบ กันเป็นคู่รัก ทั้งสองคนก็จะมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ ทำให้เนตรนภาเริ่มห่างเหินจากกลุ่มเพื่อนผู้หญิงไป จนกระทั่งวันหนึ่งอรรณพและเนตรนภามีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งถึงแม้ว่า เนตรนภายอมมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับอรรณพ แต่ไม่ได้หมายความว่าเนตรนภามีความเจนจัดเรื่องเพศเนตรนภาไม่ได้คบเพื่อนชาย หลายคน และไม่มีค่านิยมในการเก็บ คะแนนการมีเพศสัมพันธ์เหมือนกับผู้หญิงบางกลุ่มใสปัจจุบันซึ่งเป็นนิยมการ แข่งขันมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือไม่ก็ตาม แต่เนตรนภามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับอรรณพได้ และเนตรนภากลัวอรรณพจะทิ้งเธอไปและไม่เอาใจใส่รักเธอเหมือนที่เคยปฏิบัติต่อ เธอหากเธอปฏิเสธความต้องการของเขา


หลังจากทั้งสองมีคนมีความ สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ่ง อรรณพเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมความโมโหร้ายของอรรณพูดจะรุนแรงเพิ่มมาก ขึ้น อรรณพหงุดหงิดง่ายและใช้กำลังตบตีเนตรนภาเสมอเมื่อไม่พอใจ และบังคับให้เนตรนภาพูดคุยกับเขาเพียงคนเดียว ไม่ยอมให้เนตรนภาพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง โดยเฉพาะเพื่อนชายเนตรนภาก็ยอมปฏิบัติตามโดยดีด้วยความรักและเชื่อฟังอรรณพ ส่วนการเรียนเนตรนภาซึ่งเคยอยู่ในระดับดีมาตลอดในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ปัจจุบันดูเหมือนการสอบให้ผ่านก็เป็นสิ่งที่เพียงพอสำหรับเธอแล้ว


2 ปีผ่านไป ทั้งสองคนยังคบกันในฐานะคู่รัก และเมื่อเริ่มเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เนตรนภาผิดพลาดเรื่องการคุมกำเนิดทำให้เธอตั้งครรภ์ และต้องหาทางเอาเด็กออก ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงสอบปลายภาค ทำให้เธอต้องหยุดเรียนและไม่สามารถจบการศึกษาพร้อมกับเพื่อนได้เนตรนภา เสียใจและรู้สึกการกระทำของตนเองหลังจากเพื่อนๆ ซึ่งร่วมถึงอรรณพ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่เนตรนภาต้องเรียนอีก 1 ภาคการศึกษาและเลิกคบกับอรรณพ ด้วนเหตุที่อรรณพไม่ยอมคบเธออีกหลังจากที่เข้าสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ส่วนเนตรนภาเมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมปี่ที่ 6 เธอไม่ได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพราะเกิดความรู้สึกไม่อยากเรียน ขาดแรงจูงใจ ไม่มีเป้าหมายในชีวิตปัจจุบันเมื่อเธอเดินไปพบเด็กๆ น่ารักตามท้องถนนหรือสถานที่ต่างๆ เธอจะนึกถึงวันที่เธอเอาเด็กออก และรู้สึกเศร้า บางครั้งเมื่อเธอเดินไปกับและเห็นผู้ชายมีลักษณะคล้ายกับอรรณพเธอจะหลบอยู่ ด้านหลังเพื่อนและตัวสั่นด้วยความกลัว เรื่องที่เกิดขึ้นกับเนตรนภานับว่าเป็นบาดแผลในใจของเธอไม่น้อย


จากเรื่องของเนตรนภาท่านผู้ อ่านจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันมีเด็กวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่มีความรักและคบกับเพื่อนต่างเพศฉันท์ คู่รัก และส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งพบว่ามีปัญหาที่ตามมาหลากหลายรูปแบบโดนเฉพาะวัยรุ่นผู้หญิง บางครั้งก็ตั้งครรภ์ในช่วงที่ยังเรียนไม่จบ ทำแท้ง หรือมีเหตุต้องออกจากโรงเรียน หมดอนาคตไปเลยก็มี ในกรณีเช่นนี้ดูเหมือนวัยรุ่นชายจะได้เปรียบและปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนไม่มาก เท่ากับฝ่ายหญิง


การคบกับเพื่อนต่างเพศในช่วง วัยรุ่น เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงพัฒนาการตามวัย วัยรุ่นมักจะมีความรู้สึกสนใจต่อเพศตรงข้ามและเริ่มมีความรัก แต่ความรักในวัยนี้มักเป็นความรักแบบไม่ยั่งยืนและเป็นความรักที่เกิดเพียง ระยะสั้นๆ ซึ่งทำให้เกิดความสุขและความตื่นเต้นเพียงชั่วครู่ วัยรุ่นชายจะมีความสนเกี่ยวกับความต้องการทางเพศและความอยากทดลองในสิ่งแปลก ใหม่ที่เข้ามาในชีวิต ซึ่งเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกอยาก ทดลอง ในอดีตที่ผ่านมาเรามักวัยรุ่นชายบางกลุ่มมักนิยมการเก็บคะแนนการมีเพศ สัมพันธ์กับวัยรุ่นหญิงทั้งในโรงเรียนเดียวกันและต่างโรงเรียน แต่ในปัจจุบันเราพบว่าค่านิยมนี้ก็มีอยู่ในกลุ่มวัยรุ่นหญิงเช่นกัน ค่านิยมนี้เป็นค่านิยมที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากพัฒนาการของวัยรุ่นอีกเช่น กันวัยรุ่นจะคบเพื่อนเป็นกลุ่มและมีการเปรียบเทียบระหว่างตนเองกับเพื่อนๆ ในกลุ่มเกี่ยวกับเอกลักษณ์ส่วนตนด้านต่างๆ แต่หากไม่ใช่วัยรุ่นทุกคนที่มีค่านิยมเกี่ยวกับเรื่องเพศเช่นนี้ มีวัยรุ่นบางกลุ่มก็มีค่านิยมที่ยึดเอาความสำเร็จด้านการเรียนเป็นสิ่งที่มี คุณค่าสำหรับเขา


ดังนั้นเด็กวัยรุ่นที่มี พัฒนามาถึงช่วงวัยนี้ ควรมีโอกาสได้สำรวจและทบทวนค่านิยมและความต้องการของตนอย่างไตร่ตรอง ค่านิยมบางอย่างควรมีการพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตอย่างแท้จริงหรือไม่ มีวัยรุ่นหญิงหลายคนที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควรและทำแท้งทำให้เกิดความ รู้สึกผิดภายในใจ มองตนเองอย่างไร้ค่า และฝังใจถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผ่านมานานเพียงใดก็ตาม เพราะอย่างน้อยค่านิยมไทยในเรื่องเพศก็เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในครอบครัวไทย เพียงแต่อาจจะเบาบางหรือเข้มแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว วัยรุ่นควรให้คุณค่ากับค่านิยมที่คนในสังคมยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เช่นการเป็นคนรับผิดชอบ การเป็นคนซื่อสัตย์ การเอาใจใส่ต่อการเรียนการปฏิบัติหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นต้น


ในกรณีของเนตรนภา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากค่านิยมการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากการสมยอม และทำตามสิ่งที่อรรณพผู้ซึ่งเป็นคู่รักของตนต้องการ เด็กวัยรุ่นหญิงที่มีค่านิยมเรื่องที่เหมาะสม แต่ถูกคู่รักบังคับหรือขอร้องให้มีเพศสัมพันธ์กับเขา ควรได้ตระหนักและประเมินความรักระหว่างตนเองกับคู่รักอย่างถ้วนถี่ว่า หากทำตามที่คู่รักของตนต้องการแล้วจะเกิดอะไรขึ้นภายหลัง หากความรักหรือคู่รักของตนเปลี่ยนแปลงไป ตนจะยอมรับได้หรือไม่ จะเกิดอะไรกับชีวิตของตนบ้างหากผิดพลาดไป นอกจากนั้นการมองตนเองอย่างมีค่าเป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้วัยรุ่นสามารถ ยับยั้งชั่งใจได้เพราะจะเปรียบเสมือนเข็มทิศที่คอยควบคุมการกระทำของตนเอง ไปในทางที่เหมาะสม ตามความรู้สึกที่ดีที่มีต่อตนเอง


หากวัยรุ่นที่มีการตัดสินใจ ผิดพลาดดังเช่นกรณีของเนตรนภาการให้อภัยต่อการกระทำของตนเป็นสิ่งที่ดีที่ สุดที่เราพึงให้กับตนเองรับรู้ว่าการผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นตราบาปที่ บ่งบอกว่าเราเป็นคนไม่ดี หรือเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด แต่ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกตัวบุคคล เรียนรู้ที่จะรักและสงสารตนเอง ให้โอกาสตนเองที่จะทำสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของตนต่อไป ปฏิบัติตามหน้าที่และบทบาทของตนในปัจจุบันให้ดีที่สุด การคิดคำนึงถึงอดีตที่ผิดพลาดไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของเราก้าวไปข้างหน้าได้ มีแต่จะคอยบั่นทอนกำลังใจและการปิดกั้นการรับรู้ต่อสิ่งที่ดีที่เข้ามาใน ชีวิต


ครอบครัวมีส่วนสำคัญอย่างมาก ตั้งแต่การพัฒนาการในช่วงวัยเด็ก ที่จะปลูกฝังในเรื่องจริยธรรม ความถูกต้อง ตลอดจนค่านิยมที่ดีงามต่างๆ ในสังคม นักจิตวิทยาพัฒนาการพบว่าการปลูกฝังค่านิยมที่ดีตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงการสร้างความรู้สึกว่าตัวเด็กมีคุณค่าและเป็นคนดี เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เขายึดมั่นในค่านิยมที่สังคมยอมรับเมื่อเขาเติบโต ขึ้น และมีการปรับตัวอย่างเหมาะสมเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น รอบตัว โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่น การที่พ่อแม่เข้มงวดหรือห้ามไม่ให้วัยรุ่นคบเพื่อนต่างเพศ ไม่ใช่หนทางป้องกันหรือแก้ปัญหาที่ดีนัก เพราะนั่นคือความสนใจที่เกิดขึ้นตามช่วงวัยของเขา


เมื่อเด็กพัฒนาเข้าสู่การ เป็นวัยรุ่น พ่อแม่ควรปฏิบัติตนให้เป็นเสมือนที่พึ่งและที่ปรึกษาให้แก่เขา มีความเข้าใจถึงพัฒนาการและความต้องการของเขา คอยชี้แนะแนวทางการปฏิบัติและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ปัจจุบันเราพบว่าครอบครัวส่วนใหญ่ไม่มีเวลาพูดคุยและปรึกษาให้กับวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่มักบอกว่า มีปัญหาอะไรไม่เคยเล่าให้พ่อแม่ฟัง เพราะบางครั้งรู้สึกไม่กล้าหรือรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ มักห้ามปรามและตำหนิพวกเขามากกว่าที่จะรับรู้ถึงความต้องการของเขา ด้วยในช่วงวัยที่มีความสนใจและคล้อยตามเพื่อนทำให้วัยรุ่นส่วนใหญ่เชื่อฟัง เพื่อนมากกว่าพ่อแม่ และหากพ่อแม่ไม่เป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาที่ดีแล้ว วัยรุ่นก็จะระบายความรู้สึกและรับฟังแนวทางการแก้ปัญหาจากกลุ่มเพื่อน ซึ่งบางครั้งก็เป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ไม่เหมาะสมนัก


จะเห็นได้ว่าปัญหาวัยรุ่นที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วมิใช่เพียงตัววัยรุ่น สภาพแวดล้อม หรือสื่อต่างๆ เท่านั้นที่มีผลต่อพฤติกรรมทางเพศและปัญหาปรับตัวอื่นๆ แต่ครอบครัวเป็นปัจจัยหลักที่เสริมสร้างและชี้แนะแนวทางการจัดการกับปัญหา ที่เกิดขึ้นกับเด็กวัยรุ่นนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b11:

ใส่ใจวัยใสอิทธิพลของสื่อต่อวัยรุ่น


วัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มสนใจ ศึกษา ค้นหา ทดลองสิ่งใหม่ ที่ตนพอใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศตรงข้าม , แฟชั่นต่างๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ถ้าวัยรุ่นได้รับการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยุก็จะมีแนวโน้มที่จะสนอง ตอบต่อความต้องการของตนได้ง่าย และเกิดพฤติกรรมเลียนแบบต่างๆ ตามค่านิยมของสังคม ปัจจุบันว่ามีภัยที่เกิดขึ้นจากสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น วัยรุ่นหลายๆ คนเป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะเรื่องเกมส์ออนไลน์การแต่งกายตามแฟชั่นที่ล่อแหลม , การติดตอเพศตรงข้ามผ่านอินเตอร์เน็ต หรือสาวๆหลายคนกลายเป็นสินค้าหน้าจอโดยไม่รู้ตัว

ธุรกิจอื่นๆ อาจจะซบเซาไปถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ แต่นับว่ากลับยิ่งเฟื่องฟูและมีกำลังซื้อมากเป็นอันดับต้นๆ วัยรุ่นปัจจุบันเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับสิ่งยั่วยุทั้งหลายผ่านสื่อ ต่างๆ ทุกรูปแบบและปัจจุบันหลายๆ ครอบครัวพ่อแม่ทำงานหนักเพื่อให้ฐานะมั่นคงมีเงินซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ ให้ลูกเพื่อให้ลูกมีความสุข ทำให้เวลาที่อยู่กับลูกน้อยลงหรือแทบจะไม่มีโดยลืมไปว่าการให้แต่วัตถุก็ เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ที่ให้แต่น้ำกับปุ๋ยเท่านั้นถ้าไม่มีการพรวนดิน แต่งกิ่งใบ บังแดดให้ได้รับเสียงที่เหมาะสมกับชนิดของต้นไม้นั้นๆ ต้นไม้ก็จะไม่เจริญงอกงามหรือบางต้นเติบโตได้แต่ใบหงิกงอ ถูกแมลง , เพลี้ยกิน กิ่งก้านไประรานต้นอื่น ซึ่งก็เหมือนกับเด็กที่ขาดการให้ความอบอุ่นและการอบรมบ่มนิสัยให้รู้ถูกผิด ก็มักจะรับเอาค่านิยมผิดๆ เข้ามาและเกิดปัญหาพฤติกรรมต่างๆ ตามมาปัญหาพฤติกรรมทางเพศในวัยรุ่นเป็นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ซึ่งสื่อได้นำเสนอตัวอย่างออกมามากมายทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมปนเปกันไป ยิ่งกระแสสังคมปัจจุบันที่ถือว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องเสรี หญิงชายไปไหนมาไหนตามลำพัง หรือถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องธรรมดาแต่วัยรุ่นเองลืมไปว่าถ้าได้รับการ กระตุ้นที่ยั่วยุก็จะมีการสนองตอบต่ออารมณ์ทางเพศได้ง่าย ถ้าสองฝ่ายต่างมีวุฒิภาวะไม่พร้อมย่อมก่อให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน การติดเชื่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน ตามมาด้วนปัญหาการทำแท้ง และอาจมีอันตรายถึงชีวิต

ดังนั้นพ่อแม่เองแม้ไม่สามารถควบคุมสื่อได้ แต่สามารถที่จะสอนลูกๆ ได้ โดยเริ่มตั้งแต่การที่เริ่มเป็นพ่อแม่ต้องหาความรู้เรื่องพัฒนาการเด็กแต่ละ วัย ให้รู้จักอารมณ์ของลูกและเริ่มสอนตั้งแต่เด็กๆ ให้รู้จักควบคุมตัวเอง โดยปล่อยให้มีอิสระทำสิ่งที่ควรทำตามวัยและรู้จักห้ามเมื่อทำในสิ่งที่ไม่ เหมาะสม ด้วยเทคนิคการสอนที่เหมาะสมด้วย รู้จักและยอมรับอารมณ์ของลูกและฝึกให้แสดงออกเหมาะสมยอมรับสิ่งที่ลูกทำผิด พลาด และแสดงความชื่นชมเขาเมื่อเขาทำดี ซึ่งสิ่งเหลานี้จะเป็นหนทางสู่สัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกันในครอบครัว และเกิดความไว้วางใจกัน ลูกจะเติบโตเป็นวัยรุ่นที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี รู้จักคิดว่าอะไรถูกผิดควรไม่ควร ดังนั้นแม้จะต้องเผชิญกับสื่อหรือสิ่งที่ยั่วยุต่างๆ เขาก็จะรู้จักวิเคราะห์หรือถ้ามีปัญหา ไม่รู้ไม่แน่ใจเขาก็จะกล้าที่จะนำมาปรึกษาพ่อแม่ที่เขาไว้วางใจ มั่นใจว่าคุยกับเขาได้อย่างไม่อึดอัด และเรื่องเพศก็จะเป็นเรื่องที่สามารถพูดคุยได้อย่างไม่อึดอัดใจอีกต่อไป และเมื่อสื่อที่ขาดจรรยาบรรณจะยังไม่แก้ไขการนำเสนอแต่ลูกๆ วัยรุ่นของคุณพ่อแม่ก็จะเติบโตเป็นคนที่มีวุฒิภาวะที่ดีได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b9:

ใส่ใจวัยใส


คุณพ่อ คุณแม่หลายๆ คนที่มีลูกในช่วงวัยใส คงจะวุ่นวายใจและบางครั้งอาจจะรู้สึกยุ่งยากใจในการเลี้ยงดูลูกมากที่เดียว วัยใส หรือ วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ซึ่งวัยนี้มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ ซึมเศร้า วิตกกังวล ก้าวร้าวรวมทั้งอารมณ์ทางเพศซึ่งเป็นไปตามอารมณ์ตามธรรมชาติรวมทั้งการ เปลี่ยนแปลงของจิตใจเนื่องจากมีความคิดความอ่านได้ลึกซึ้งมากขึ้น สังเกตตนเอง สิ่งแวดล้อม เพื่อนๆ ทำให้วัยรุ่นต้องการค้นหาเอกลักษณ์ของตนเองในด้านต่างๆ รวมทั้งเกิดความต้องการเป็นอิสระ ติดกลุ่มเพื่อนมากขึ้นอาจดูเหมือนเรียกร้องเอาแต่ใจตนเอง ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นยังไม่ค่อยรู้จักความพอดี ไม่รู้จักประนีประนอม ซึ่งปัญหาต่างๆของวัยใสที่มักจะทำให้คุณพ่อ คุณแม่ยุ่งยากใจ เช่นปัญหาทางเพศ การมีแฟนในวัยเรียน การมีเพื่อนต่างเพศไม่เหมาะสม การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การทำแท้ง การติดโรคทางเพศสัมพันธ์ ความเบี่ยงเบนทางเพศหรือรักร่วมเพศการใช้โทรศัพท์-อินเตอร์เน็ตนาน ดื้อ เกเร ก้าวร้าว ใช้สารเสพติด ไม่ตั้งใจเรียน หนีเรียน หนีออกจากบ้าน ขาดความรับผิดชอบ ขโมย พูดปด อารมณ์หงุดหงิด ขึ้นๆ ลงๆ การพนัน หมกหมุ่นในเรื่องความอ้วน ความสวยความงาม ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และวัยรุ่นได้


จากปัญหาต่างๆ ข้างต้นจะเห็นได้ว่าวัยใส หรือวัยรุ่นจำเป็นต้องมีผู้คอยดูแลอาใจใส่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อ-แม่ที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา ที่จะต้องตอบสนองต่อความต้องการของเขา สิ่งที่วัยใส หรือ วัยรุ่น ต้องการจากพ่อ-แม่ อาทิ


วัย รุ่นต้องการ...ความรัก พ่อแม่ทุกคนควรจำไว้ว่า “ การฆ่าคนด้วยวิธีการที่เลือดเย็นมากที่สุด คือ การไม่รักและการไม่แสดงออกซึ่งความรัก ” พ่อแม่ต้องยอมรับลูกในสภาพที่ลูกเป็น ทั้งในเรื่องที่น่าเศร้าและเรื่องที่น่ายินดี ความรักของพ่อและแม่ควรเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่นึกรังเกียรติเดียดฉันท์ หรือคอยตำหนิติเตียนลูกอยู่ตลอดเวลาแต่ควรชื่นชมในตัวลูกและพยายามชมเชยให้ เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง แค่ลูกสามารถสัมผัสถึงความรักความห่วงใยของพ่อและแม่


วัยรุ่นต้องการ … ความเข้าใจ พ่อแม่ต้องตระหนักว่ายามที่ลูกทำผิดเขาต้องการความรักความเข้าใจมากกว่าการ ซ้ำเติมเมื่อลูกทำผิดทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามเขาจะมีความกลัวถูก ตำหนิเป็นทุนเดิมอยู่ในใจ หากพ่อแม่สำทับไปด้วยความเกรี้ยวกราด การดุด่าว่ากล่าวอย่างฉุนเฉียว เขาจะรู้สึกว่าไม่มีใครที่เข้าใจเห็นใจและปลอบประโลมเขา เขาจะรู้สึกหวาดกลัวในที่สุดก็จะเกิดความไม่มั่นคงใจจิตใจ หวาดหวั่นเกรงว่าจะไม่ได้รับการให้อภัย จนกลายเป็นคนที่เงียบขรึมไม่กล้าเปิดเผยความในใจ หรือ มี พฤติกรรมโกหก ก้าวร้าวและอาจนำไปสู่การเกลียดชังพ่อแม่ในที่สุด


วัย รุ่นต้องการ … เวลา พ่อแม่บางคนอาจจะอ้างว่าเหนื่อยจากงาน อยากพักผ่อนไม่ให้ลูกมากวนใจหากตนเองไม่ว่างก็ไม่สนใจลูก พ่อแม่ควรเป็นคนที่ยินดีเมื่อลูกเข้ามาหา แบ่งเวลาให้กับลูกเสมอ ต้องแสดงออกอย่างกระตือรือร้นในการเห็นความสำคัญของลูก แม้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ


วัย รุ่นต้องการ … การให้เกียรติ พ่อแม่พึงตระหนักว่า “ ลูกไม่ใช่ดินน้ำมันที่พ่อแม่อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบความสนใจ ที่แตกต่างไปจากพ่อแม่เสมอ ” พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็น และเรียนรู้ที่จะให้เกียรติในความแตกต่างในตัวเขา ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกได้ใช้สิ่งที่ดีที่สุดถนัดที่สุดในชีวิตของเขา เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง โดยที่ไม่พยายามไปบังคับให้ลูกต้องเป็นอย่างที่พ่อแม่อยากให้เป็น


วัย รุ่นต้องการ … แบบอย่างชีวิตที่ดี วัยรุ่นมักจะมีความชื่นชมและเลียนแบบบุคคลที่เขาชื่นชอบและประทับใจพ่อแม่ จึงควรชี้แนะให้ลูกเข้าใจในวิถีชีวิตบุคคลที่เขาชื่นชมและเลียนแบบ และที่สำคัญถึงพ่อแม่จะพร่ำสอนในสิ่งที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่ลูกจะเลียนแบบชีวิตของพ่อแม่มากกว่าการทำตามคำพร่ำสอน ดังนั้นพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก


วัย รุ่นต้องการ … การชี้ผิดชี้ถูกอย่างมีเหตุผล พ่อแม่ควรสอนให้วันรุ่นให้รู้ผิด รู้ถูกด้วยเหตุผลไม่ใช่การออกคำสั่งด้วยอารมณ์ โยตระหนักว่าเขาต้องการความเข้าใจและเขาต้องตอบตัวเองได้ว่าเหตุใดเขาจึงทำ สิ่งนี้ได้และเหตุใดเขาจึงทำสิ่งนี้ไม่ได้ จะทำให้เขาสามารถเรียนรู้ที่จะแยกแยะความผิดและสามารถตัดสินใจได้ด้วยตน เองอย่างมีเหตุผล


จากการต้องการดังกล่าว พ่อแม่จึงควรมีเทคนิคที่เหมาะสมกับการดูแลวัยรุ่น คือ


1. รับฟังความคิดเห็น เหตุผล ให้มองโลกในแง่ดี และหาข้อดีในความคิดและเหตุผลของวัยรุ่นทั้งๆ ที่อาจไม่ตรงกับความคิดเห็นและเหตุผลพ่อแม่ก็ตาม

2. ส่งเสริมความคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมที่ดีของเขาให้ชัดเจน เด่นชัด

3. หลีกเลี่ยงการบังคับตรงๆ โดยเสนอแนะทางออกแบประนีประนอม โดยที่วัยรุ่นมีส่วนร่วม

4. เปิดโอกาสให้ทดลอง หัดทำ ฝึกฝนจนเกิดทักษะภายใต้ขอบเขตที่เหมาะสมของการกระทำของเขา

5. ยอมรับในข้อบกพร่องและความผิดพลาด ให้โอกาสแก้ตัวใหม่ภายใต้ขอบเขตที่เหมาะสม

6. เพิ่มคุณภาพการสื่อสาร 2 ทางในครอบครัว และเรียนรู้ที่จะแสดงความเข้าใจในความคิด ค่านิยม ความชอบและอิทธิพลของกระแสวันรุ่น เพื่อจะส่งเสริมทำให้สื่อสารกับวัยรุ่นมากขึ้น


เทคนิคที่ไม่เหมาะ สมกับการดูแลวันรุ่น คือ

1. จู้จี้ขี้บ่น จุกจิก จ้องจับผิด

2. ไม่รับฟังเหตุผล หรือความทำท่าฟังแต่ไม่ใส่ใจ ยึดความคิดเห็นของผู้ใหญ่เพราะเห็นว่าตัวเองสำคัญกว่า มาประสบการณ์มากกว่า

3. ใช้อำนาจ บังคับตรงๆ

4. ลงโทษรุนแรง หรือทำให้อับอาย เสียหน้า หรือประจานความผิด หรือความคิดเห็นอาจไม่ดีเท่าไรต่อหน้าคนอื่น ทำให้เกิดความรู้สึกอับอาย

5. ลงโทษไม่รู้จักจบ ยังพูดถึงความผิดเดิมๆ ซ้ำซากหรือฝังใจในความผิดพลาดว่าทำผิดซ้ำอีก

การที่พ่อแม่เรียนรู้และสามารถปรับตัว ปรับเทคนิควิธีการที่ใช้ให้เหมาะสมกับวัยของวัยรุ่นเพื่อเพิ่มคุณภาพการสื่อ สาร รวมทั้งคาดหวังความรับผิดชอบจากวัยรุน ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่น มีความรัก ให้โอกาสฝึกฝน ทั้งที่กล่าวมาจะช่วยทำให้พ่อแม่พัฒนาวัยใส หรือ วัยรุ่นที่ให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม และวัยรุ่นเองก็สามารถใช้พลังงานที่มีอยู่มากมาพัฒนาความสามารถของตนเองต่อ ไป และสามารถเกื้อกูลคนข้างในทางที่สร้างสรรค์ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:

คลายเครียดด้วยร้อยยิ้มและเสียง หัุวเราะ


ชีวิตของคนเราปัจจุบันในยุติโลกไร้พรมแดน มีเรื่องที่ทำให้คนเราต้องคิดและเครียดมากมายเหลือเกินนะคะ โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอยู่ในขณะนี้ว่ากันกัน ว่าถ้าใครไม่เครียดเป็นคนไม่ทันสมัยกันเชียวแหละ ซึ่งถ้าหากเครียดเล็กน้อยพอให้จิตใจได้ฝึกฝนการแก้ไขหรือเอาชนะอุปสรรค์บาง ก็เป็นการดี แต่ถ้าเผลอตัวปล่อยให้ความเครียดสะสมอยู่ในจิตใจมากๆ ย่อมไม่มีแน่นอนครับเพราะความเครียดจะสงผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคลดน้อยลงและเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกมากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคแผลในกระเพราะอาหาร เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องเสียเงินในหารรักษาตัว และเสียงาน ต้องลาหยุดงานบ่อยๆ เอาเถอะค่ะ ถึงแม้ว่าสภาพสังคมแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็จะพยายามรักษาจิตใจของเราไว้ให้ เบิกบานแจ่มใสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และวิธีง่ายที่สุด ประหยัด หาได้ง่าย ที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียดที่อยากจะแนะนำ คือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะค่ะ ยาแก้เครียดขนาดนี้ไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนให้เสียเงิน มันอยู่บนใบหน้าของเรานี่เอง แถมประสิทธิภาพดียอดเยี่ยมอย่างที่ใครๆ คาดไม่ถึงกัน แพทย์ที่ทำการศึกษาสรีระวิทยาของการยิ้ม พบว่า การยิ้มและเสียงหัวเราะจะมีผลดีต่อเรามาก เช่นเดียวกับการวิ่งจ๊อกกิ้งหรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอื่นๆ เนื่องจากที่เรายิ้ม กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะเคลื่อนไหวทำให้ต่อมฮอร์โมนในสมองถูกกระตุ้นให้หลั่ง สารสุขที่เรียกว่า “ เอนดอร์ฟีน ” ออกมา ส่วนการหัวเราะซึ่งถือได้ว่าเป็นขั้นตอนต่อไปจากการยิ้มนั้น จะช่วยให้ปอดได้รับออกซิเจนเพิ่มมากกว่าปกติ ช่วยให้มีการหายใจลึกขึ้นซึ่งเป็นผลให้การหมุนเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ไม่ติดขัดหลอดเลือดดำขยายตัวทำให้เลือดฉีดแรงเต็มที่ นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นเพราะเป็นการช่วยส่ง ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับระบบต่างๆ และยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติได้ด้วย


ดังนั้น ถ้าหากใครไม่อยากป่วยด้วยโรคจิตแห่งยุคสมัยก็ลองหันมาคลายเครียดด้วยร้อย ยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะเมื่อไหร่ที่เรายิ้มหรือหัวเราะ โลกหรือบรรยากาศรอบตัวก็ดูสดใสเหมือนกับรอยยิ้มของเรานั่นแหละค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

เมื่อมั่นใจ....ใจจะเป็น สุข


มนุษย์เราทุกคนต่างก็มีความต้องการในสิ่งต่างๆ มากน้อยแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผู้คนต้องการไม่แตกต่างกันคือ ความสุขนั่นเอง ความสุขในที่นี้หมายถึง การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพและอยู่รวมกับคนอื่นอย่างมีความสุขตามสภาพของ แต่ละบุคคล


ความไว้วางใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ความสำพันธ์ของคนเราดำเนินไปอย่างราบ รื่น ถ้าคนเราขาดความไว้วางใจต่อผู้อื่นเสียแล้วย่อมไม่อยากอยู่ใกล้ชิดสนิทสนม กับใคร จะเกิดความหวั่นไหว กลัว กังวลใจ เกรงว่าผู้อื่นจะติดต่อตนในทางไม่ดี ในที่สุดก็จะแยกตัว เกิดความเหงา ขาดที่พึ่งทางใจ


ความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้รับความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงปลอดภัย ตั้งแต่แรกเริ่มมีชีวิตและได้รับต่อเนื่องมาโดยตลอดในระยะขวบปีแรกเป็นสำคัญ แต่ถ้าทารกถูกทอดทิ้งไม่ได้รับความรักความเข้าใจถูกปล่อยให้อยู่กับความ รู้สึกที่ไม่ปลอดภัย เกิดความหวั่นไหว กังวลบ่อยครั้งทำให้เกิดความไม่เชื่อถือ และไว้ใจบุคคลอื่น เด็กจะแสดงอาการกลัวคน ตกใจง่ายชอบอยู่คนเดียว


ลักษณะของผู้ที่มีพื้นฐานของ จิตใจ จะมีลักษณะที่เด่นชัด 6 ประการ

1. ไม่ปกปิดการที่จะรู้สึก “ ตัวตนที่แท้จริง ” ไม่ว่าจะเป็นด้านที่ดีและไม่ดี ตลอดจน พลังผลักดันให้ตนกระทำสิ่งต่างๆออกมาทั้งดีและไม่ดี

2. ไม่ปกปิดความรู้สึกแท้จริง ของตนกับบุคคลที่ตนไว้วางใจ

3. ยอมรับความแตกต่างในความคิด ความรู้สึก และการกระทำของผู้อื่น โดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนเขาให้เหมือนเรา

4. เปิดใจยอมรับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ โดยไม่ทุกข์ร้อนมากนัก

5. มีคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องตรงกันอย่างสม่ำเสมอ

6. รอคอยและรั้งรอความต้องการของตนเองได้


ส่วนลักษณะของผู้ที่ขาดความมั่นใจ จะมีลักษณะเด่นชัด 6 ประการคือ

1. ไม่มีความสุขและความพอใจที่จะรู้จัก “ ตัวตน ” ในด้านต่างๆ

2. มีความลำบาก ยากที่จะบอกหรือเปิดเผย สิ่งที่ตนรู้จักตัวเอง กับผู้ที่เหมาะสมจึงมักเกิดความรู้สึกโดดเดียวอ้างว้าง เหง่า คาดเพื่อน

3. ไม่ยอมรับความคิดเห็น ความรู้สึก และการกระทำของผู้อื่นที่แตกต่างไปจากตน กระวนกระวายเจ้ากี้เจ้าการที่จะเปลี่ยนเขาให้เหมือนเรา

4. ใจไม่กว้างพอ ที่จะยอมรับประสบการณ์ใหม่ๆ

5. ไม่รักษาคำพูด ไม่รับผิดชอบการกระทำของตน

6. ไม่รู้จักรั้งรอ เกิดความไม่พอใจ เมื่อไม่ได้ดั่งใจปรารถนา


ทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าคุณพร้อมที่จะพัฒนา คุณภาพชีวิตของตนเอง ตลอดทั้งคนที่คุณรักและห่วงใยและจะเริ่มปลูกฝั่งความไว้วางใจ เสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่ถ้าหากคุณมีอยู่แล้ว ก็จงรักษาไว้พร้อมทั้งพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป คุณก็จะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุดโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b9:

เมื่อความเครียดมาเยือน


ถ้าพูดถึงความเครียด หลายคนคงนึกว่าเอาเรื่องเก่ามาเล้าใหม่อีกแล้ว ซ้ำๆ ซากๆ ทางออกก็คงเหมือนเดิมๆ ตามหลักการคลายเครียดอีกนั้นแหละ ส่วนใหญ่ก็พ่อรู้วิธีกันทั้งนั้น แต่คุณมั่นใจไหมว่าคุณทำได้


ในชีวิตแต่ละวันของคนเราคงเหลีกไม่พ้นกับภาวะเครียด ซึ่งในบางครั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มันซึมลึกจนคุณเองก็ไม่รู้ตัว จะรู้สึกก็ต่อเมื่อมันมีผลกับสภาพจิตใจของคุณและอาจมีผลให้พฤติกรรมคุณเปลี่ยนไปได้โดยอัตโนมัติ


คุณเคยเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า คิดเรื่องเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การงาน ครอบครัว ความรัก สิ่งรอบตัวรวมไปถึงคนใกล้เคียงเรานี่แหละก็เป็นตัวกระตุ้นหลักอันหนึ่งที่ ก่อให้เกิดความเครียดที่สั่งสมแบบไม่รู้ตัวการรับฟังเรื่องต่างๆ มากมายทั้งที่มีสาระและไม่มี การที่คอยมีคนสร้างปัญหาทีละเล็กน้อยให้กับเรา โดยที่เราอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าไม่อก อัดอั้น ต่อให้เก่งทั้งเก่งขนาดไหนบางครั้งก็ยังหาทางออกไม่ได้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเราก็คือ “ ความเครียด ” นี่เอง เมื่อเราไม่มีทางออก ผลลัพธ์ต่อมาก็คือคุณอาจแสดงอาการออกมาในแบบที่บุคคลรอบข้างคุณก็ยอมรับคุณ ไม่ได้เช่นกัน คุณเคยเริ่มโทษคนอื่น โทษตัวเอง หรือย้ายอารมณ์โกรธของคุณไปให้คนข้างเคียงบ้างหรือไม่ ถ้าเคยมาดูวิธีแก้ไขง่ายๆ กันหน่อยเป็นไง

ลองมองย้อนไปยังเรื่องที่ทำ ให้เรามานั่งเครียด แยกแยะให้ออกว่าเราควรไปคิดถึง มันไหม ค่อยๆ ตัดออกไปคุณจะรู้สึกโล่งอกจนบอกไม่ถูก (อย่าวิเคราะห์เจาะลึกจนเครียดกว่าเก่านะคะ) เลิกยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กซะบ้าง


ตัดตัวปัญหาซะ โดยเฉพาะบุคคลที่นำเอาความเครียดมามอบให้ทั้งทีไม่ต้องการ โดยการบอกไปตรงๆ เลยว่า “พอซักทีฉันขออยู่เป็นสุข หน่อยเถอะ” (ดูเหมือนใจดำ แต่จำเป็นต้องทำ)


หาคนพูดคุย (แต่อย่าทำเหมือนที่คุณเคยทำมาก่อนนะ) ระบายออกมาซะบ้างไม่งั้นสติแตกแน่นอนอย่าไปสร้างความเครียดให้ผู้รับฟังต่อ นะ


3 วิธีนี้ ถ้าทำได้รับรองว่าคุณจะสบายใจขึ้นแน่นอน ตามทฤษฎีบอกว่าถ้าเรามีความเครียดพอเหมาะจะเป็นตัวกระตุ้นในการทำงาน การดำเนินชีวิต ถ้าเมื่อไหร่เราไม่มีความเครียดเลย ก็แปลว่าเมื่อนั้นสมองเราคงกลวงไม่ปัญหาอ่อนหรือบรรลุแล้ว ก็คงเมื่อไม่หายใจแล้วนั้นเอง คุณคิดว่ายังไง.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

เติมพลังให้...ตนเองเสมอ...เมื่อ เจอความล้มเหลว

ทำไมบางคนทำผิดหรือทำพลาด เขาถูกตำหนิหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างย่อยยับ ทั้งที่ความผิดของเขาไม่ใช่เรื่องขอขาดบาดตาย ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ชีวิตเขาถูกกระหน่ำซ้ำเติมทุกอย่าง


เพราะ...ในความผิดพลาด ธรรมชาติของคนจะลงโทษตนเองแล้ว นั่นคือ ความเสียใจ...และต้องหันกลับไปคิดว่า...ทำไมเราผิดพลาดขนาดนี้...ย้ำคิด ย้ำทำ เวียนมา และเสียใจอยู่อย่างนั้น


ถ้าเราเปิดคำวิจารณ์แย่ๆ จากข้างนอก จากไหน จากใครก็ตาม ทำให้เราจมอยู่กับอดีต ความหลังทำให้ความรู้สึก ลงโทษตัวเอง อย่างไม่สิ้นสุด จึงเป็นเรื่องยากที่จะพูความรู้สึกภาคภูมิใจให้พึงกับมา เพื่อเป็นพลังในใจอีกครั้ง ส่วนใหญ่คนเราจะเสียเวลาอยู่กับความผิดพลาด ล้มหนึ่งครั้ง หมดพลัง ยากที่จะลุกขึ้นยื่น


แต่ก็มีคนอีกประเภท...เขาจะ ผิดอะไร กลับไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ หรือซ้ำเติม...คงเป็นเพราะว่าคนกลุ่มนี้จะเคารพและเติมพลังใจในการกระทำของ ตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เมื่อประสบความสำเร็จ ความสำเร็จคือรางวัล เมื่อล้มเหลว ความล้มเหลวคือของขวัญ เมื่อเราเติมพลังใจให้เกียรติตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างก็จะนับถือให้เกียรติเรา


ฉันเคยได้ยินว่า “ คนที่ทำผิดซ้ำสองคือคนโง่ ” คนเรารู้สึกแย่อยู่แล้วเมื่อผิดซ้ำสอง แต่...ฉันเป็นคนหนึ่งที่เคยทำผิดซ้ำที่เดิม ย้ำรอยเดิม ถึง สองสามครั้ง ต่างกันแค่เวลาเท่านั้น ฟังดูแล้วไม่น่าให้อภัย...คนอะไรแย่ชะมัด สิ่งหนึ่งที่ฉันยอมรับและเซ็งตัวเองสุดขีดคือ ฉันพลาดและพลั้ง(อีกแล้ว) แต่ฉันก็เติมพลังใจให้เกียรติกับความผิดพลาดอยู่เสมอ อย่างไร ก็ตามฉันจะไม่เว้นช่องว่างให้ใครซ้ำเติมเด็ดขาด คือ ผิดนะ ใช่ แล้วยังไงก็มันผิดแล้วนี่ แต่ฉัน...ไม่ได้โง่นะ...จะบอกให้...เพราะคนโง่มันเป็นบทสรุปของคนที่ไม่ สามารถทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้เลยตลอดชีวิต


บางครั้งการทำพลาดซ้ำๆ อาจทำให้เสียเวลา แต่อย่าลืมว่าการผิดพลาดทุกครั้งจะเกิดสิ่งที่ดีตามมาเสมอ เพราะสิ่งที่ดีที่สุด อาจเกิดความผิดพลาดที่จุดเดิม...เหมือนผู้หญิงบางคน เปลี่ยนคนรักด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ...จนได้เจอคนที่ดีกว่า บางคนเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ จนได้งานที่ดีที่สุด มักอาจได้หัวหน้าที่ดีที่สุด (จะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์นะ อย่าเสือปะจระเข้ก็แล้วกัน) ทุกการกระทำไม่มีบทสรุปแน่นอนว่าจะเกิดสิ่งที่ดีที่สุด เพราะการกระทำทุกการกระทำจะมีผลลัพธ์ในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จงเติมพลังใจ ให้เกียรติกับชีวิต และผลลัพธ์การกระทำของตัวเองทุกครั้ง แล้วสังคมคนรอบข้างก็จะให้เกียรติในการกระทำของเรา...เพียงแต่เรา...อย่ามอง ตัวเอง...เป็นคนที่ผิดพลาดจบอยู่กับห้วงความล้มเหลว ปืนบันไดความสำเร็จไม่ได้สักที...จงเติมเชื่อไฟ ให้มีพลัง พร้อมที่จะลุกขึ้นมายืนใหม่...อีกครั้ง...อย่างทระนง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b31:

เด็กกับครอบครัวไทยในปัจจุบัน


ทุกวันนี้คนไทย การดำเนินชีวิตประจำวันล้วนมีเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนั้น ในยุคของการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


เป็นที่หน้าสังเกตว่า ความสัมพันธ์ ตลอดจนรูปแบบการดำเนินชีวิตของครอบครัวไทย ในปัจจุบันมีความแตกต่างไปจากครอบครัวไทยในอดีต พ่อ แม่ ลูก ห่างเหินกันมากขึ้น แต่ละคนต่างเป็นอิสระต่อกัน มีทิศทางของตนเองทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่สังคมนอกบ้านทำงานหนัก เรียนหนัก บ้านเป็นเพียงที่พักพิงยามสมาชิกหมดภารกิจ


พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็มีวิธีการเลี้ยงดูหลานที่แตกต่างไปจากเดิม พ่อ แม่ทำงานเหนื่อยกลับมาบ้านอยากพักผ่อนบ้างเป็นผลใกล้คราวใกล้ชิดสนิทสนมตาม แบบธรรมเนียมไทยลดลง หลายครอบครัวเลี้ยงลูกด้วยวิทยาการสมัยใหม่ให้เครื่องยนต์กลไกเป็นผู้ดูแล อบรมสั่งสอนลูกแทนตน ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วีดิโอ อุปกรณ์การเล่นอันทันสมัยนานาชนิด


อีกอย่างหนึ่งที่ตามมา ในยุคที่อุดมไปด้วยความเจริญรวดเร็วนี้ ก็เห็นจะได้แก่ ความวิตกกังวลของผู้เป็นพ่อแม่ ที่เกรงว่าลูกหลานของตนจะรู้น้อยกว่าเด็กอื่น ไม่ทัดเทียมลูกบ้านอื่น ดังนั้นเด็กตัวเล็กๆ จึงถูกผู้ใหญ่กักเกณฑ์ให้ทำสิ่งต่างๆ ที่เกินวัยของเข้าอยู่ตลอดเวลา สมองน้อยๆ ของพวกเขา ต้องคิด ต้องจดจำ รับรู้ความรู้วิทยาการต่างๆ มากขึ้น ต้องเรียนให้หนัก ต้องเรียนพิเศษ ต้องหาความสามารถพิเศษใส่ตัว เด็กเองก็เกิดความรับรู้ว่าตนจะต้องทำแบบนั้นเพราะ ใครๆ เขาก็ทำกัน ถ้าไม่ทำก็สู้คนอื่นไม่ได้ หรือแม้ไม่อยากทำเด็กถูกผู้ใหญ่ใส่ความคิดให้อยู่ทุกวันว่าต้องทำ แล้วสมองน้อยๆ ความคิด ความรู้สึกอันบริสุทธิ์ของเขาก็ซึมซับเอาความคิดเหล่านี้ไว้โดยปริยาย


จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เลยที่จะพบว่าเด็กๆ ในทุกวันนี้ดูไม่สดใสเท่าที่ควรจะจะเป็นแต่ละคนดูเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง เป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ ที่ช่างครุ่นคิด


นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กไทยใน ยุคนี้มีการเสดงออกหลายอย่างที่ผู้ใหญ่ เรียกว่าเป็นปัญหามากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เด็กมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งมักสวนทางกับความคิดของผู้ใหญ่อยู่เสมอเด็กหลายคนมีพฤติกรรมก้าวร้าว ต่อต้าน ไม่เชื่อฟังเที่ยวเตร่กับกลุ่มเพื่อนโดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ปกครอง หรือแม้กระทั่งการใช้สารเสพติดนานาชนิด ทั้งที่รู้เป็นสิ่งที่ให้โทษต่อร่างกาย มีพฤติกรรมบียงเบนไม่ว่าจะเป็น ทอม ดี้ ตุ๊ด กวนเมืองตามแต่จะเรียนกัน เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา คงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะมานั่งโทษกัน ว่าใครผิด...


มาถึงวันนี้ยังไม่สายเกินไปที่บรรดา พ่อแม่ ผู้ปกครอง จะหันกลับไปให้ความสนใจในธรรมชาติของเด็กๆ ว่า แม้เขาจะได้รับความสะดวกสบายในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ วิธีการเลี้ยงเด็กตามแบบไทยๆ ก็ยังไม่เป็นเรื่องที่ล้าสมัย หากผู้ใหญ่รู้จักปรับวิธีการให้เหมาะสมกับยุคที่เปลี่ยนไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร