วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 07:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2010, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




10-chicken.gif
10-chicken.gif [ 17.22 KiB | เปิดดู 3980 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน

คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้า เข้าไปใน โรงเรือนเลี้ยงไก่
แล้ว ก็ เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!! แล้วทิ้งไข่ไก่ ให้เน่าไว้ในโรงเรือน
เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!!
คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่น เหม็น!!!

คน เลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่
เก็บไข่ไก่ใส่ ตะกร้าเอากลับบ้าน เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน
คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือ เขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน
ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....


ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ "ไข่ไก่ " หรือ เก็บ"ขี้ไก่"

เราเป็นคนเก็บ "ขี้ ไก่" โดยเฝ้าแต่เก็บ เรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา
และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิด ถึงมัน!!!

หรือเราเป็นคนที่เก็บ"ไข่ไก่" เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา
และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง มัน!!

คน เราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ ไก่"
เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ
มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน

ถ้าเรา อยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ"ไข่ไก่" กับชีวิต
ทิ้ง "ขี้ไก่" ไปเถอะ
ชีวิต ของเราจะได้มีความสุขซักที...


(จาก FWD MAIL ครับ)


:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:


เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:
smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




temp10.gif
temp10.gif [ 25.47 KiB | เปิดดู 3910 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

cool

อ่านสักนิด ให้โอกาสตัวเอง ออกจากความทุกข์....


วจนกฺขโม = อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกิน

เมื่อใดที่เราเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี...
เราจะลดและบรรเทากรรมเวรที่ต้องตอบโต้กับผู้กล่าววาจาร้ายใส่เราได้

เป็นการฝึก ขันติ(อดกลั้น) ทมะ(ข่มใจ) รวมไปถึงอภัยทาน(ท่านที่ทำได้ยากเมื่อทำได้จะตัดเวรตัดกรรม) แก่ผู้ที่มาทำร้ายทางวาจา

บางท่าน ใครพูดทับถม หรือเสียดสีเล็กๆน้อยๆ ก็ร้อนใจ นอนไม่หลับ กินไม่ลง สายตาระทม ผิวพรรณหม่นหมองเพราะแรงฟุ้ง เป็นกิเลสอย่างหนึ่งทำให้คิดหมุนวน

นี่เป็นผลของการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาทิ่มแทง
ใครล่ะที่ยินดีเก็บคำพูดของคนอื่นไว้ ถ้าไม่ใช่ใจท่านเอง

บางท่าน โดนด่า โดนพูดเสียด ตั้งแต่เดือนก่อน แต่เก็บเอาคำพูดมาแทงตัวเองทุกๆวัน
รู้หรือไม่ ว่าคนที่ด่าท่าน เขาลืมไปนานแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่ลืม และใช้ใจตัวเองหมักหมมถ้อยคำไร้สาระเก็บไว้ไม่ยอมสลัดทิ้ง

ท่านห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ท่านคงสามารถห้ามคนนินทาได้

ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำกล่าวโทษ เพ่งโทษ
ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำเสียดสี เหน็บแนม
ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำด่าทอ ผรุสวาท
แต่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสมมุติ ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด

ถ้อยคำล่วงเกินต่างๆ มันได้ "ดับ" ไปนานแล้วตั้งแต่ที่คนๆนั้นเขาพูดเสร็จ
แต่ท่านเอง กลับทำให้ถ้อยคำเหล่านั้น "เกิดใหม่" ทุกๆวัน ด้วยการเก็บเอามาคิดแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ ไม่หยุดหย่อน


ข้อความจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยความอดกลั้น.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด ย่อมเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี... อดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกาย.... เมื่อเธออดทนอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ...."
พระพุทธองค์ท่านก็ยังกล่าวถึงการอดทนต่อถ้อยคำต่างๆที่มากระทบเรา หากอดทนได้ ก็เป็นปัจจัยในการปล่อยวางต่อกิเลสเครื่องร้อยรัดดวงจิตของเราได้

ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ
กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑
กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑
กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑
มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม
จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม
จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน

เราจักไม่เปล่งวาจาลามก
เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์
เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น
และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”


หากท่านกำลังฝึกปล่อยวาง ลองสำรวจดูอีกสักหน่อย ว่าได้ปล่อยวางคำพูดของผู้อื่นแล้วหรือยัง

พึงจดจำข้อความที่ให้กำลังใจท่านในการอดทนต่อคำพูดของคนอื่น
"อดทนต่อคำที่ล่วงเกินได้ ประเสริฐยิ่ง"

เมื่ออดทนได้แล้ว ให้ใช้เมตตาลบล้างอำนาจโทสะในใจท่าน การไม่สบายใจในคำพูดของคนอื่นก็เป็นโทสะอย่างหนึ่งที่ท่านเก็บฝังไว้
จงระงับโทสะจิตด้วย

1.เมตตาต่อคนที่ด่าเรา (สงสาร)
2.กรุณาต่อคนที่ด่าว่าเราด้วยการไม่ตอบโต้
3.มุทิตา ยินดีที่ได้ชดใช้กรรมให้เขาด่า (เพราะในอดีตเราต้องเคยทำกรรมกับเขาไว้ เขาจึงตามมาด่า-ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย)
4.อุเบกขา เห็นถึงความไม่เที่ยงของคำพูด มีเกิดมีดับ


ชีวิตนี้น้อยนัก สั้นนัก คนเราได้เวลามาเท่ากัน คือ 1นาทีก็มี60วินาที เท่ากัน อยู่ที่ใครจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงมากกว่ากัน

ดังนั้นอย่าเสียเวลากับ การคิดหมุนวน ในคำพูดของคนอื่นเลย....



(จาก FWD MAIL ครับ)

:b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:
smiley
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b1: สาธุค่ะและขอบคุณเรื่องเล่าดีดีที่คุณningnong หมั่นนำมาฝากนะคะ

:b48: ธรรมะรักษาค่ะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b32:
...ตอนเห็นหัวข้อเรื่องกำลังนึกว่า...ทั้งไข่ไก่และขี้ไก่...ขายได้ราคาทั้งคู่อ่ะค่ะ...
:b9:
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2010, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 19:31
โพสต์: 169

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: ทำดี
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มที่ชอบ
ชื่อเล่น: เก็บเกี่ยว
อายุ: 0
ที่อยู่: ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b32:
...ตอนเห็นหัวข้อเรื่องกำลังนึกว่า...ทั้งไข่ไก่และขี้ไก่...ขายได้ราคาทั้งคู่อ่ะค่ะ...
:b9:
:b12:
:b4: :b4:
ความเห็นตรงกันเลย ครับ :b12: :b4: :b17: :b27:

.....................................................
รักษาที่ดีไว้ ก่อความดีใหม่ๆ ละๆๆชั่วต่อๆไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2010, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:00
โพสต์: 30

ชื่อเล่น: น้ำ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
อายุสั้นหรือยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




120894.jpg
120894.jpg [ 26.44 KiB | เปิดดู 3826 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
cool

สวัสดีกัลยาณมิตรธรรมทุกท่านด้วยครับ :b8: :b16:

ตอนเห็นหัวข้อเรื่องกำลังนึกว่า...ทั้งไข่ไก่และขี้ไก่...ขายได้ราคาทั้งคู่อ่ะค่ะ

ณ.ปี 2506 ไข่สฤษดิ์ ฟองละ 20 สต.(5ฟอง 1 บาท) / ไข่ถนอม 30-50 สตางค์ /ไข่คึกฤทธิ์ ฟองละ 1.50 บาท /ไข่เกรียงศักดิ์ 1.60 บาท /ไข่เปรม(1) 1.26 บาท /ไข่เปรม(5) 1.80 บาท / ไข่อานันท์ 1.00 บาท (ไข่ธงฟ้ายุคอานันท์ 90 สต. 10 ฟอง 9 บาท) / ไข่ชวน 1.65-2.70 บาท /ไข่แม้ว 3.20 (วิกฤตหวัดนก) ยุคแพงสุด 3.50-4.00 บาท / ไข่สุรยุทธ์ 2.60 บาท /ไข่สมัคร 2.50-3.00 บาท /ณ.ปี 2553 ปีนี้ ไข่อภิสิทธิ์ 3.30-5.00 บาท
ประเทศไทย ไข่ไก่ เป็นสินค้าเศรษฐกิจ ใช้ราคาไข่ไก่ ในประเทศไทย เป็นดัชนีชี้ "ค่าครองชีพพื้นฐาน" ของประชาชน ทั่วประเทศ ถ้าไข่ไก่ราคาถูก สินค้าตัวอื่นก็จะถูกตาม ถ้าไข่ไก่ ราคาแพง สินค้าตัวอื่นส่วนมากจะแพงตาม ..ในตอนนี้ไข่กำลังมีราคาสูงครับ ต้องรอบคอบในการใช้จ่าย
ส่วนขี้ไก่ ก็มีราคาเหมือนกันครับ อยู่ที่ราคาตันละ ๒,๐๐๐ - ๓,๕๐๐ บาท เดี๋ยวนี้หน้าฟาร์มไก่จะมีขายขี้ไก่ให้กับเกษตรกร (ใช้ทำปุ๋ย.บางทีก็เป็นอาหารปลาดุก) บางฟาร์มก็นำมาทำเป็นปุ๋ยเอง ขายเป็นถุง ราคาก็แล้วแต่จะตั้ง ก็เป็นรายได้ทางหนึ่งเหมือนกัน

_________________________________________________________________

พอดีไปอ่านบทสัมภาษณ์ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก จากหนังสือ"อีกหนึ่งมุมมอง" ขอนำมาฝากครับ (คัดย่อ เรียบเรียง มาบางส่วน) ...
คำถามมีว่า "ตามหลักธรรมที่ว่าหากไม่ยึดมั่นถือมั่นเราก็จะไม่เป็นทุกข์ แต่ในทางปฏิบัติ การปล่อยวางเช่นนั้นสำหรับปุถุชนธรรมดาทำได้ไม่ง่ายเลยพระอาจารย์มีคำแนะนำต่อเรื่องนี้อย่างไรครับ ?"

... เริ่มต้นก็ต้องเฝ้าดูจิตหรือความรู้สึกนึกคิด พิจารณาคำพูดและการกระทำทางกาย มองดูกาย ดูความคิด สังเกตดูว่าเรากำลังคิดอะไร กำลังพูดอะไร หรือว่ากำลังทำอะไร เราก็เฝ้าดู แล้วก็จะค่อย ๆ มองเห็นว่า ใจของเรานี้เป็นประธาน เป็นหัวหน้า เมื่อเราคิดดี คิดถูก การแสดงออกทางกาย ทางวาจา ก็เป็นไปในทางที่ดี ในลักษณะที่เรียกว่าไม่ยินดียินร้าย บางครั้งเราอาจสังเกตเห็นว่าจิตใจสงบ บางครั้งจิตใจก็ไม่สงบ ก็พิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ธรรมชาติของจิตประภัสสร ผ่องใส มีความสงบ สุขใจโดยธรรมชาติ แต่เมื่อเราเกิดความคิดปรุงแต่ง ยินดียินร้าย ด้วยกิเลสตัณหา และเกิดความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่าง ๆ จิตใจก็เริ่มที่จะไม่สงบ เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้ เราก็จะค่อย ๆ เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่น ยึดมากเท่าไรทุกข์มากเท่านั้น ยึดมั่นน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์
... ทีนี้เรามาลองพิจารณา ความยินดียินร้าย อย่างเช่นเมื่อมีเหตุการณ์มากระทบชวนให้เราโกรธ บางครั้งเรารู้สึกทำใจได้ บางครั้งก็แสดงปฏิกิริยาโกรธ ด้วยทางวาจาบ้าง ทางกายบ้าง ถ้าเราสังเกตเราก็จะเห็นโทษของการแสดงอารมณ์โกรธออกไป หรือเรียกว่าเห็นโทษในการยึดมั่นถือมั่นอารมณ์ คำว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นในที่นี้ ก็หมายรวมถึง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งที่พอใจและไม่พอใจ พระพุทธเจ้าเน้นสอนให้รู้จักปล่อยวาง โดยเฉพาะอารมณ์ที่ไม่สบายใจ เมื่อเราปล่อยวางจึงจะมีจิตใจที่ดี เป็นบุญกุศล และทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ... .. . เรื่องรักษาใจนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เมื่อใจดี ชีวิตก็ค่อนข้างจะได้รับแต่สิ่งดี ๆ ถ้าใจไม่ดีถึงได้สิ่งที่ดีก็ไม่มีคุณค่า ถ้าเราเฝ้าดูอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ก็จะเห็นความจริงข้อนี้ เมื่อเห็นความจริงแล้ว ก็เริ่มปล่อยวางสิ่งภายนอก และเห็นความสำคัญของการรักษาจิตใจมากขึ้น จะเห็นว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เอาใจใส่ ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็คือ การรักษาจิตใจดี ตั้งใจทำงาน เอาใจใส่ หรือว่าใช้หลักอิทธิบาท ๔ ในการดำเนินชีวิต ความสำเร็จและความสมปรารถนาทั้งในการงานทางโลก และทางธรรมก็จะเกิดขึ้น การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นงานใหญ่ที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ..

:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:
smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 14:50
โพสต์: 69

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร