วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 08:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงเพรียกเรียกชีวิต เรื่องโดย ปลายเทียน

ถ้ามีใครถามคุณว่า “คุณรักชีวิตของคุณไหม” ร้อยทั้งร้อยคงไม่มีใครตอบว่า “ไม่” หากว่า ณ วินาทีนั้นจิตใจคุณปกติสุขดี

สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็เช่นกัน ไม่มีชนิดไหนหรือเผ่าพันธุ์ไดที่ไม่รักชีวิตตนเอง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม่ใบหญ้า สัตว์ หรือแมลง เพียงแต่มนุษย์อย่างเราๆ ไม่เคยเปิดใจ เปิดหูรับฟังเสียงเพรียกแห่งชีวิตเหล่านี้บ้างเท่านั้นเอง

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ฉันไม่รู้ว่าเมื่อติดตามจนจบ คุณจะรู้สึกเหมือนฉันบ้างไหมว่า “ไม่อยากกินปูเค็มอีกแล้ว” เพราะสำหรับฉันเองเมื่อแม่เล่าเรื่องนี้จบ จู่ๆก็เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาทันที

ย้อนกลับไปครั้งแม่ยังเด็ก ราว 40 ปีที่ผ่านมา แถวบ้านของเราผู้คนยังทำนาทำสวนกันมากมาย มองไปทางไหนก็มีแต่ความเขียวขจีน้ำในคลองใสสะอาด ไม่มีปัญหาน้ำเน่าเสียอย่างในปัจจุบัน

นายมี กับ นางพร สองสามีภรรยา เป็นครอบครัวหนึ่งที่ได้อาศัยผืนอินอันอุดมสมบูรณ์นี้ทำมาหากิน เก็บเกี่ยวพืชผัก ดักปลาเพื่อประทังชีวิต แต่ไม่นานนักเมื่อนางพรตั้งท้อง ชีวิตของทั้งคู่ก็เริ่มเปลี่ยน เพราะนางพรแพ้ท้องอย่างหนัก จนออกไปทำงานไม่ได้อย่างเคย ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่นายมีคนเดียว ไหนจะต้องทำงานให้ได้เท่ากับที่เคยมีสองแรงงาน ไหนจะต้องเร่งทำงานเก็บเงินไว้ใช้จ่ายตอนนางพรคลอด งานเก็บผักตักปลากที่เคยทำอยู่ จึงดูจะไม่เพียงพอเลี้ยงชีพเสียแล้ว

นายมีจึงตัดสินใจไปทำงานกับเพื่อนต่างอำเภอซึ่งยึดอาชีพ “ทำปูเค็ม” เพราะเห็นว่างานนี้ไม่ต้องใช้เวลามากนัก แถมยังมีรายได้งามอีกด้วย งานใหม่ของนายมีเริ่มต้นด้วยการตระเวนไปตามป่าชายเลนตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนน้ำ จะขึ้น เพื่อจับฝูงปูแสมที่ขึ้นจากรูออกมาหาอาหาร

กว่าน้ำจะขึ้นกลบลบตลิ่ง นายมีและเพื่อนก็จับปูแสมเป็นๆได้หลายร้อยตัว ถ้าโชคดีหน่อยบางวันก็อาจจับได้มากเป็นพันตัว

เมื่อกลับมาถึงบ้าน นายมีรีบจัดการเทปูแสมทั้งหมดลงในถังที่เตรียมไว้ ตักน้ำล้างโคลนออกจนหมด แล้วจึงเปลี่ยนถ่ายปูที่ล้างเสร็จแล้วลงในถังใบใหม่ ที่เรียกว่าถังหมัก จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนที่สุดแสนทรมานเพราะนายมีต้องเทเกลือสมุทรหลาย กิโลกรัมทับร่างปูแสมลงไปในขณะที่มันยังไม่ตาย แต่แค่ชั้นเดียวยังไม่พอ นายมียังต้องทำเช่นนี้ซ้ำกันหลายๆครั้งจนกว่าจะมีลำดับชั้นไล่เรื่อยไปจนถึง ปากถังหมักและปิดฝาให้สนิท

การเทเกลือลงไปแต่ละครั้งย่อมหมายถึงชีวิตและการสูญเสีย อวัยวะของปูแสม ไม่ว่าจะเป็นขาหลุด กระดองแตก ก้ามหัก แต่สุดท้ายไม่ว่าอย่างไร ปูทั้งหมดก็ต้องตายอย่างแสนทรมาน เพราะไม่อาจต้านทานความเค็มของเกลือได้

จากนั้นนายมีก็จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลาในการผสานความ เค็มของเกลือเข้ากับเนื้อปูจนได้ที่ ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์ ก่อนจะได้ปูเค็มพร้อมส่งให้ลูกค้าต่อไป ระหว่างที่รอเวลานั้นนายมีและเพื่อนยังสามารถเริ่มงานจับและหมักปูแสมระลอก ต่อไปได้อีกเรื่อยๆ เรียกว่าคู่หูทั้งสองต่างทำรายได้ไม่ขาดมือกันเลยทีเดียวตลอดระยะเวลา 8 เดือน

ครั้นพอนายมีคิดจะวางมือจากอาชีพนี้เพื่อกลับไปดูแลนางพรและ ลูก ราคาปูเค็มในตลาดก็ดีดตัวสูงขึ้นๆ ดึงดูดใจให้นายมีต้องทำงานนี้ต่อไปอีก ด้วยความหวังว่าจะเก็บเงินไว้ให้ครอบครัวสักก้อนหนึ่ง ไปๆมาๆกลายเป็นว่านายมียึดอาชีพทำปูเค็มอยู่นานเกือบสิบปีเมื่อเก็บเงินก้อน ได้ตามตั้งใจ เขาจึงตัดสินใจวางมือจริงๆ เสียทีแต่เคราะห์ร้ายก็มาเยือนเสียก่อน เมื่อนายมีเกิดถูกงูกัดเข้า ในเช้าวันหนึ่งขณะตระเวนหาปู

กว่าเพื่อนจะมาพบ พิษของงูก็เล่นงานนายมีร้ายแรงจนถึงขั้นถูกตัดขาข้างขวาทิ้ง กลายเป็นคนพิการขาขาดทันที ปิดฉากอาชีพทำปูเค็มไปโดยปริยาย

นายมีย้ายกลับมาอยู่บ้านกับนางพรและลูกยึด อาชีพปลูกผัก ต่อมาไม่นานนักนายมีก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะประเภทสามวันดีสี่วันไข้ ไปหาหมอไหน ๆก็ไม่หายขาด และน่าแปลกที่ว่าในช่วงที่นายมีป่วยนอนซมอยู่ที่บ้าน นางพรมักจะได้ยินเสียงนายมีร้องโวยวายด้วยความตกใจบ้าง หวาดกลัวบ้างเสมอ

ครั้นพอถามเข้านายมีก็ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง จู่ๆนายมีก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างสั่นเทาด้วยความตกใจกลัวสุดขีด ส่งเสียงร้องโวยวายพร้อมกับยกมือไหว้ปลกๆ ราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง

“พรอย่าเข้ามานะ ปูมันมาอีกแล้ว มันมาเต็มห้องไปหมดเลย มันจะมาเอาพี่ไปอยู่ด้วย”

ฝ่ายนางพรแม้จะพยายามสอดส่ายสายตามองตามมุมห้อง ขื่อ คาน หน้าต่าง ก็ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอย่างที่นายมีพูดเลย จะเห็นก็เพียงอาการหวาดกลัวของนายมีเท่านั้นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่นานนับ เดือน จนนายมีกลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายจิตใจไม่ปกติ

แม่นางพรและลูกจะพยายามทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ สะเดาะเคราะห์สารพัด เพราะหวังว่าผลบุญที่ทำจะช่วยหักลบกลบหนี้กรรม ที่นายมีเคยทำไว้กับเจ้ากรรมนายเวรต่างๆ แต่ทว่าทุกอย่างกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อาการของนายมีนับวันจะมีแต่ทรงกับทรุด

ส่วนนายมีเองก็เริ่มแน่ใจว่า เจ้ากรรมนายเวรที่ตามล่าเขาอยู่คือบรรดาปูแสมที่เขาเคยก่อนกรรมทำเข็ญไว้ นั่นเอง สิ่งที่พวกมันต้องการ คงไม่ใช่แค่ขาของเขาหรือสภาพร่างกายที่เจ็บออดๆ แอดๆ อย่างที่เป็นอยู่ แต่มันคงต้องการทวงชีวิตคืน และเขาก็ต้องชดใช้หนี้กรรมครั้งนี้ด้วยชีวิตเท่านั้น

นายมีคิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของตน เองอย่างเงียบๆ ทิ้งปริศนาอาการประสาทหลอนฝากไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจคนรุ่นหลังว่า

ชีวิตทุกชีวิตมีค่า อย่าทำลายชีวิตผู้อื่นเพราะเห็นแก่ “เงิน” หรือ คิดว่าเป็นเรื่อง “แค่นี้เอง ! ”

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร