วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 06:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:53
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ดื่มนมแล้วท้องเสียทุกครั้ง...เลิกดื่มเลยดีไหม !!

ปัญหาการดื่มนมแล้วท้องเสียนี้พบได้บ่อยพอสมควร โดยเฉพาะในคนไทยและคนในทวีปเอเชียและแอฟริกา เมื่อพบปัญหานี้ คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขปัญหาโดยการหลีกเลี่ยงการดื่มนมไปเลยก็ถือว่าเป็นการกำจัดที่ต้นเหตุที่ถูกต้องวิธีหนึ่ง แต่มีผลเสียคือ ทำให้ขาดการดื่มนม ซึ่งอาจทำให้ความแข็งแรงขอกระดูกในร่างกายลดลงได้ นมถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ให้แคลเซียมมากที่สุด การจะรับประทานอาหารอื่นๆ เพื่อให้ได้จำนวนแคลเซียมมากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นทำได้ยาก และต้องรับประทานอาหารจำนวนมาก และเป็นประจำทุกวันจึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มนม ซึ่งทำได้ง่ายและสะดวกกว่า อีกทั้งการดื่มนมวันละ 2 – 3 แก้ว ก็ได้รับจำนวนแคลเซียมเพียงพอต่อควาต้องการของร่างกาย

ทำไมดื่มนมแล้วจึงท้องเสีย คำถามนี้เป็นคำถามที่มีผู้ใหญ่ให้ความกระจ่างได้น้อย หลายๆคนที่เกิอาการนี้ มักจะคิดว่าตนเองแพ้นมวัว ดื่มนมทีไรท้องเสียทุกครั้งความจริงก็คือ คนไทยแถบเอเชียและคนแถบแอฟริกานั้น จะมีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแลคโตสตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4 – 5 ปี หลังจากอายุนี้ น้ำย่อยจะลดน้อยลงจนหมดไป จึงย่อยน้ำตาลแลคโตสไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ดีว่า น้ำตาลแลคโตสนี้พบในน้ำนม ที่ได้จากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมแพะ จึงทำให้ดื่มนมที่ได้จากสัตว์ทีไรทำให้ท้องเสียทุกครั้งไป

แต่ในปัจจุบันคนไทยอีกจำนวนมากที่ดื่มนมวัวแล้วไม่เกิดอาการใดๆเลย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเมื่อมีการดื่มนมวัวอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในลำไส้จะมีการสร้างน้ำย่อยน้ำตาแลคโตสได้ จึงทำให้คนที่ดื่มอย่างต่อเนื่องจะไม่เกิดปัญหาการย่อยน้ำนมที่ดื่มนอกจากอาการท้องเสียแล้วอาการอื่นที่คนทั่วไปอาจนึกไม่ถึงว่าเกิดการย่อยนมได้ไม่ดีก็คืออาการท้องอืด จุกเสียด และแน่นหน้าอก รวมทั้งการผายลมบ่อยๆ

เมื่อพบปัญหานี้คือ ท้องเสีย จุกเสียด แน่นท้องทุกครั้งที่ดื่มนม คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลิกดื่มนมไปเลย แต่ความเป็นจริง เราสามารถเอาชนะอาการเหล่านี้ได้ทุกคน ขออย่าได้ท้อแท้โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยในขั้นแรกให้ดื่มนมหลังรับประทานอาหารเช้า โดยดื่มประมาณ 30 มล. วันเว้นวัน

ถ้ามีอาการดังที่กล่าวมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในครั้งต่อไปก็ให้ลดจำนวนลงมาครึ่งหนึ่ง จนมั่นใจว่าไม่มีอาการ เช่น ดื่มนมหลังอาหารเช้าเพียง15 มล. แล้วไม่เกิดอาการใดๆ ก็ให้คงการดื่มนั้นไปสัก 7 วัน ในสัปดาห์ต่อมาให้ดื่มนมเพิ่มเป็น 30 มล. โดยให้ดื่มทุกวันหลังอาหารเช้าเช่นเดิม และในสัปดาห์ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 60 มล. ทุกๆวัน แล้วเพิ่มครั้งละ 30 มล. ในทุกสัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการใดๆ ก็ให้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 240 มล. หรือประมาณ 1 แก้ว หรือ 1 กล่องนม ก็จะเป็นจำนวนนมที่ต้องการได้ ในกรณีที่เพิ่มไปได้เพียง 150 มล. แล้วเกิดอาการจุกเสียด ก็ให้ลดลงมาในระดับก่อนหน้าที่ไม่เกิดอาการ แล้วคงระดับนั้นไปอีก 2 – 3 สัปดาห์ จึงค่อยเพิ่มจำนวนอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อสามารถดื่มนมได้ครั้งละ 240 มล. หลังอาหารโดยไม่เกิดอาการใดๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถดื่มนมในขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารได้ โดยในขั้นแรกอาจจะลองดื่มเพียง 60 มล. ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็นครั้งละ 120 180 และ 240 มล. ตามลำดับ ถ้าสามารถดื่มนมครั้งละ 240 มล. ในขณะท้องว่างโดยไม่เกิดอาการใดๆ ภายหลังดื่ม 8 ชั่วโมง ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาการย่อยและการดูดซึมนมแล้ว ต่อไปก็ควรเพิ่มการดื่มนมเป็นวันละ 2 แก้ว หรือ 2 กล่อง

เนื่องจากนมวัวที่เรานำมาดื่มนั้นมีการปรับแต่งทำให้มีหลายคุณภาพ โดเฉพาะทางด้านไขมันที่เราเรียกว่านมสด หรือรสจืด จะมีไขมันอยู่ 4% นมพร่องมันเนยมีไขมีนอยู่ 2% และนมขาดมันเนยจะไม่มีไขมันเลยแต่นมทั้ง 3 ชนิดมีน้ำตาลแลคโตสเท่ากันคือ 4 – 5 % จึงแตกต่างกันเฉพาะจำนวนไขมันจึงให้พลังงานที่แตกต่างกัน แต่ให้จำนวนแคลเซียม แร่ธาตุ น้ำตาลนม และโปรตีน เท่ากันโดยนมวัวสด นมพร่องมันเนย และนมขาดมันเนย จะให้พลังงาน 170 130 และ 85 กิโลแคลลอรีต่อ240 มล. ตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กที่มีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว แนะนำให้ดื่มนมขาดมันเนยเพื่อจะลดจำนวนพลังงานที่ได้จากนม

ยังมีนมวัวที่อยู่ในรูปอื่นๆ ที่อาจจะรับประทานระหว่างวัน เช่น ชีส เค้ก หรือไอศกรีม ก็จะเป็นแหล่งที่ให้ แคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนั้น ผักใบเขียว โดยเฉพาะ บริเวณก้านก็จะให้แคลเซียมได้มากพอควรเช่น คะน้า และบรอกโคลี เพียงแต่การดูดซึมแคลเซียมจากผักอาจได้ไม่ดีเท่ากับการดูดซึมจากนมและใบางโอกาสอาจจะไม่อยากดื่มนม หรือไม่มีโอกาสดื่มนม หรือไม่ชอบดื่มนม ก็ควรที่จะรับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมเป็นประจำทุกวันอย่างต่ำวันละ 1,000 มก. ทั้งนี้เพื่อบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแกร่งตลอดเวลา และได้รับแสงแดดเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาทีขึ้นไป ก็จะทำให้คุณภาพของกระดูกในร่างกายแข็งแรงอย่างเต็มที่ และยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและเบาหวานด้วย

ข้อมูลจาก http://www.dld.go.th/dairy/dairy_note/drinkmilk/how_to_drink.html


แก้ไขล่าสุดโดย LOCOMOTIVE เมื่อ 13 มิ.ย. 2010, 22:00, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร