วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 14:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ วันนี้มีเรื่องอยากรบกวนถามคุณ...ค่ะ
ว่าพอจะมีความรู้เกี่ยวกับอาหาร พืช ผัก ผลไม้ ที่จะช่วยบำรุง.......ๆๆๆ.....สมอง
ที่หาทานได้ง่ายตามพื้นบ้านเราน่ะค่ะ
ไม่ให้ความจำเสื่อมก่อนวัยอันควรน่ะค่ะ :b3: :b3:
รบกวนช่วยโพสต์มาให้ด้วยนะคะ คือได้อ่านมามากแล้วค่ะ
แต่คิดว่าสมาชิกที่นี่มีความรู้กัน :b4: :b4: :b4: ขอบคุณค่ะ :b55: :b55:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2009, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผัก-ผลไม้ ช่วยบำรุงสมองได้ดี

ผักและผลไม้ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตามต้องหันกลับสู่ธรรมชาติพึ่งผัก ผลไม้กันเป็นแถวๆ

โดยเฉพาะผักจะให้สารอาหารที่ต้านความชรา

ความเสื่อมอย่างได้ผลยิ่ง เป็นพืชผักสีเขียวเข้ม สีส้ม สีเหลือง

ซึ่งเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนป้องกันโรคได้ และยังสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายอีก

.

ผล ไม้ที่มีรสเปรี้ยวให้พลังงานต่ำแต่มีวิตามินสูง เพิ่มความสดชื่น เช่น ส้ม มะม่วง ฝรั่ง ชมพู่ ถ้าเลือกเป็นผลไม้ตามฤดูกาล ปลูกในท้องถิ่น ลดการใช้ยาฆ่าแมลง สารเร่งต่างๆ แล้วยิ่งปลอดภัยต่อร่างกายโดยเฉพาะเนื้อเยื่อสมอง

ดังนั้นการเลือกจึงควรเลือกผักที่มีสีเขียวเข้ม สีเหลือง สีส้ม ทุกชนิด

ยก เว้นผักที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก เช่น ข้าวโพด ฟักทอง แครอท และหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน ผลไม้ดองแช่อิ่ม อบแห้ง เชื่อม หรือคั้นผสมน้ำตาล

.

นอกจากผักผลไม้จะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมองแล้ว

ยังช่วยให้ระบบทางเดินอาหารมีการเคลื่อนตัว ขับถ่ายได้ดีขึ้น

ไม่เกิดการหมักหมมของกากอาหารในลำไส้

ที่สำคัญเป็นอาหารธรรมชาติของจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่

ช่วยรักษาความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ป้องกันการเกิดแผล อาการท้องเสีย และมะเร็งในลำไส้ได้ด้วย

ได้แก่ กระเทียม หน่อไม้ผรั่ง แอ๊ปเปิ้ล กล้วย หัวหอม เป็นต้น

อาหารที่พูดถึงมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช ผัก ผลไม้ และน้ำดื่มสะอาด ควรเลือกกินหลากหลายประเภท

เลือกผลไม้ที่ไม่หวานจัดเป็นมื้อว่าง หากจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้าง เช่น วิตามิน เกลือแร่ น้ำมันปลาบ้างก็คงไม่เป็นไร

แต่ ขอให้กินอย่างมีเหตุผลไม่ใช่ตามแฟชั่น สิ่งสำคัญสำหรับการถนอมสมองของคุณนอกจากอาหารแล้ว คืออย่าปล่อยให้ความเครียดครอบงำเป็นนิจ และรู้จักหยุดพักสมองจากการใช้ความคิดตลอดเวลาก็จะทำให้สมองไม่ล้าจนเกินไป

ที่มา - Health Today Magazine

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับท่านO.wan

ได้รับforward mail มา คิดว่าน่าจะมีประโยชน์นะครับ :b12: ...

กินมะรุมกันเถอะ

เรื่องมะรุม

เมื่อเช้าดูช่อง 9 มา เรื่องมะรุม
มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่สหรัฐอเมริกา ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง เม็ดเลือดขาวกินเม็ดเลือดแดง ( ลูคีเมีย) และปอดมีปัญหาอักเสบ ไปหาหมอ หมอก็รักษาที่ละโรค พอดีปวดฟันไปถอนฟัน หมอให้กินยาเพนนิซิลิน ดันแพ้ยาอย่างรุนแรง จนเกิดอาการบวมและลามไปที่ไตเกิดปัญหา หมอต้องเริ่มรักษาใหม่ของแต่ละโรคเพราะว่ายาที่รักษาแต่ละโรค จะมีเพนนิซิลินเป็นส่วนประกอบ และหมอก็ให้เค้าเตรียมทำใจ

พอดีเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเป็นชาวพม่า แม่ป่วยเป็นมะเร็ง เค้าต้องการหายารักษาโรค ด้วยความหวังดีเค้ามาหาข้อมูลใน internet ให้เพื่อน และรู้ว่ามะรุมมี คุณลักษณะในการช่วย เค้าเลยหาต้นมะรุม ในสหรัฐมีคนที่ปลูกมะรุมในบ้านอยู่บ้าง ซึ่งแต่ละบ้านงกมากและไม่ยอมให้ เพราะที่สหรัฐเค้ากินกันถือว่าบ้านไหนมีต้นมะรุมเสมือนมีโรงพยาบาลที่บ้าน ดังนั้น เค้าเริ่มปลูกต้นมะรุน และกินใบสดที่ใบไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป หรือไม่จะเก็บใบสดมาตากแห้ง ( ต้องมีผ้าขาวบางคลุมเพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำไป) บดให้ละเอียดใส่แค็บซูลกินทุกเช้า
มะรุมไม้กลางบ้านของไทยที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้ว ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300 ชนิด องค์การสหประชาชาติได้ให้การสนับสนุนในการค้น
คว้า และวิจัยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในการรักษาโรคขาดอาหารและอาการตาบอดซึ่งเกิด ขึ้นในเด็กแรกเกิดจนถึงวัยเจริญเดิบโตในประเทศด้อยพัฒนาเช่นกลุ่มประเทศในอา ฟริกาตอนใต้และประเทศอินเดีย กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับพันธุ์ไม้ชนิดนี้ รวมทั้งประเทศไทย กลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน 25 ท่านจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย
โรคงูสวัดแม้แต่กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ , เยอรมัน , รัสเซีย , ญี่ปุ่น , จีน , ก็หันมาให้ความสนใจและทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย
ประโยชน์คร่าวๆ จากวารสารค้นคว้าที่พอจะอ้างอิงได้มีดังต่อไปนี้คือ
1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี
2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อ HIV นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
5. ช่วยรักษา ผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคนทั่วไป ได้ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง
6. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบันหากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8. รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น
10. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ


นอกจากนี้ต้นมะรุมยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายซึ่งไม่สามารถที่จะนำมาอ้างอิงได้หมดในที่นี้ หากสนใจท่านสามารถหาอ่านได้จากเอกสารอ้างอิงกำกับท้ายเอกสารฉบับนี้
วิธีใช้
ใบสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่
เด็กแรกเกิด - 1 ปี คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก
เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ
เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก
การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด หรือวางบนแซนวิช

ผล
รับประทานได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่พอสมควรฝักแก่จะใช้ลำบากเพราะต้องปอกเปลือกเช่นใช้แกงส้มหรือขูดเอาแต่เนื้อใน มาทำแกงกะหรี่ ฝักอ่อนขนาดถั่วฝักยาวสามารถนำมาทำอาหารได้มากมายหลายชนิด อาทิ เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน(เหมือนยำถั่วพลู)
สลัดสดใบมะรุมผักรวม ทอดมันปลากับฝักมะรุมอ่อน แกงเลียงฝักมะรุมอ่อนและใบมะรุม
แกงเผ็ดฝักมะรุมอ่อน ไข่ยัดไส้ใบมะรุมหมูสับ ดอกมะรุมชุบไข่ทอด
ผัดพริกขิงฝักมะรุมอ่อน ผัดจืดฝักมะรุมอ่อนใส่ไข่และกุ้ง ผัดเผ็ดฝักมะรุมอ่อนยอดพริกไทยกับไก่
ฝักมะรุมอ่อนผัดขี้เมา ไก่อบฝักมะรุมอ่อน ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนจิ้มน้ำพริก
ต้มจืดหมูสับใบมะรุมอ่อน ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดสดต่างๆ ราดหน้าฝักและใบมะรุมอ่อนไก่/หมู
แกงจืดใบมะรุมอ่อนเต้าหู้ ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดหูหนู จีน แกงจืดวุ้นเส้นใบมะรุมอ่อนใส่เห็ดสด
แกงเขียวหวานหรือแกงแดงฝักมะรุมอ่อน(จะใส่เนื้อ หรือไก่ก็ได้ตามแต่ชอบ)
ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนชุบแป้งเทมปุระทอด เหล่านี้เป็นต้น

เมล็ด
สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่นใช้ทำอาหารได้ รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา
เปลือกจากลำต้น นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรคปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี * ร้านขายยาจีนนำมาใช้เข้าเครื่องยาจีนรักษาโรคหลายประเภท*
กาก ของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมันสามารถนำมาใช้ในการกรองหรือทำน้ำให้ บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มี ประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนำมาทำปุ๋ยต่อได้

ดอก
ใช้ต้มทำน้ำชาใช้ดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย

ใบตากแห้ง
สามารถ นำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาป่น เป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาในกรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวันแต่ใบแห้งจะขาดไวตามินซีและไวตามินบี ตลอลีนและแร่ธาตุบางจำพวกที่สูญหายในระหว่างการทำให้แห้งควรเก็บผงมะรุมไว้ ในที่มืดเช่นขวดพลาสติกชนิดทึบเพื่ อ กั นการเสื่อมคุณภาพแต่คุณสมบัติอื่นๆ ยังคง เดิมเนื่องจากมะรุมเป็นพืชสมุนไพรกลางบ้านดังนั้นการให้ผลย่อมช้ากว่ายาแผน สมัยใหม่การที่จะใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนและต้องใช้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอจะให้ผล เป็นที่น่าพอใจร่างกายจะแข็งแรงอยู่เสมอคนธรรมดาที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรค ก็สามารถใช้ได้เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อต่างๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดียิ่ง
เอกสารอ้างอิง:

Nature's Medicine Cabinet by Sanford Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times
March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz.
WWW.PUBMED.GOV . (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University , Bangkok 10330 , Thailand . Corresponding author. Tel.: +66-2-218-8378; fax +66-2-254-5195)

' มะรุม ' เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ

ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทาง อีสาน เรียก "ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือ เรียก "มะค้อมก้อน" ชาวกะเหรี่ยง แถบกาญจนบุรีเรียก"กาแน้งเดิง" ส่วน ชาวฉาน แถบแม่ฮ่องสอนเรียก " ผักเนื้อไก่" เป็นต้น

มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย

มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใยมะขามออกเรียงแบบสลับ ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว ดอกมี 5 กลีบ

ฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstick Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา

คนไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกงตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยจะใช้ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง " ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก



คุณค่าทางอาหารของมะรุม


มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค

ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า

วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม

แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด

โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย

ใยอาหาร และ พลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม(ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์

สานเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู

ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม
( คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน 26 แคลอรี
โปรตีน 6.7 กรัม ( 2 เท่าของนม)
ไขมัน 0.1 กรัม
ใยอาหาร 4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม ( 3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี 220 มิลลิกรัม ( 7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม ( 3 เท่าของกล้วย)

พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)

กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด
กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


http://yodnapa.bloggoo.com/archives/236
อีกอันก็คือมะเขือยาวที่เขาอามาผัดกินนั่นก้ช่วยแก้โรคความจำเสื่อมได้เหมือนกัน :b40: :b40: :b40: :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2009, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2004, 08:57
โพสต์: 154


 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 95.95 KiB | เปิดดู 3570 ครั้ง ]
แปะก๊วย : Ginkgo Biloba
แปะก๊วย.. นับว่าเป็นสมุนไพรยอดฮิตอีกชนิดหนึ่งก็ว่าได้ เนื่องจากมีผู้นิยมนำแปก๊วยมาทำเป็นขนมหวานหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บัวลอยน้ำขิง ที่มีแปะก๊วย พุทราแห้ง เม็ดบัว เป้นส่วนผสมอยู่ด้วย หรือจะเป็น เผือกกวน ที่แต่งหน้าด้วย แปะก๊วยกับพุทราแห้ง รสชาติหวานมัน หรือจะเป็น แปะก๊วยในน้ำเชื่อม ซึ่งนับว่าเป็นของหวานรสชาติดี ที่มีราคาแพงอีกชนิดหนึ่ง แปะก๊วย เป็นมีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน แถบตะวันออกเฉียงใต้ และได้มีการขยายพันธุ์ไปยังประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี จากนั้นก็มีการปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา แปะก๊วยเป็นพืชที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีการค้นพบว่าแปะก๊วยบางต้นมีอายุยาวนานกว่าไดโนเสาร์เสียอีก ชาวจีนรู้สรรพคุณของแปะก๊วยมานานมากแล้ว ในขณะที่ชาวยุโรปเพิ่งเริ่มต้นการศึกษาประโยชน์อย่างจริงจัง ของแปะก๊วยเมื่อไม่นานนี้เอง ชาวยุโรปนิยมปลูกแปะก๊วยเพื่อเป็นไม้ประดับมากกว่า เนื่องจากมีลำต้นสูงใหญ่ เหมาะสำหรับเป็นร่มเงาได้ดี
ในตำรายาของจีน ได้นำใบและเมล็ดของแปะก๊วย ใช้รักษาอาการหลอดลมอักเสบ ความดันโลหิตสูง หอบหืด วัณโรค โกโนเรีย ท้องอืดท้องเฟ้อ กระวนกระวาย โรคผิวหนัง นอกจากนี้ยังสามารถนำเมล็ดมาคั่วเพื่อทำเป็นของหวาน ช่วยในการย่อยอาหารได้อีกด้วย ในการวิจัยพบว่าใบของแปะก๊วยมีสารสำคัญ 2 กลุ่ม คือช่วยต้านอนุมูลอิสระมีฤทธิ์ยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด และปรับความยืดหยุ่นของผนังเกร็ดเลือด จึงช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายให้ดีขึ้น ช่วยป้องกันเนื้อสมองตายและถูกทำลายขณะขาดออกซิเจน ช่วยลดอาการบวมที่จอตา และปกป้องเส้นประสาท ทั้งยังช่วยให้ความจำดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการนำแปะก๊วยใช้กับโรคที่เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงแขนขาไม่พอ เนื่องจากเส้นลือดตีบ ซึ่งมีผลกระทบทำให้เป็นตะคริวหรือแขนขาหมดแรง อ่อนล้า หรือปวดบวมเมื่อใช้งานเป็นเวลานานๆ สารสกัดจากแปะก๊วยมีบทบาทมากในผู้สูงอายุทั่วไป ที่มีปัญหาทางสมอง ช่วยลดอาการหลงลืมหรือ โรคอัลไซม์เมอร์ ได้ดี ทั้งยังช่วยสำหรับสาวที่ที่มีปัญหาการปวดประจำเดือน และภาวะหมดประจำเดือนได้อีกด้วย
ปัจจุบันมีสารสกัดจากแปะก๊วยออกขายตามท้องตลาดมากมาย ทั้งที่เป็นสารจากแปะก๊วยโดยตรง และมีสารชนิดอื่นเป็นส่วนผสมด้วย เช่น น้ำมันปลา เราสามารถหาซื้อแปะก๊วยเหล่านี้มารับประทานได้ง่ายขึ้น แต่ควรเลือกดูให้ดีก่อนที่จะนำมารับประทาน หรือจะรับประทานแปะก๊วยสด ไม่ว่าจะนำมาทำเป็นของหวาน หรือรับประทานน้ำชาจากใบแปะก๊วย ซึ่งมีราคาถูกกว่าเมื่อก่อนมาก และก่อนที่จะรับประทานควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อน เนื่องจากแปะก๊วยจะมีฤทธิ์เป็นพิษเมื่อรับประทานมากเกินไป
**************************
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เพิ่มเติมนะคะ...แต่ไม่ใช่เรื่องผัก ผลไม้ที่ถามมา
พูดถึงเรื่องของไข่ ค่ะ
ลูกโป่งเคยได้ยินคุณหมอที่นับถือกันท่านหนึ่งท่านแนะนำให้ทานไข่ค่ะ
ช่วยบำรุงสมองได้ค่ะ

และลูกโป่งลองค้นในinternet เห็นบทความเรื่องไข่
ลองอ่านดูนะคะ น่าสนใจค่ะ


รูปภาพ

:b48: 1 :b48:
ประโยชน์ของ "ไข่ไก่"

หากใครได้ดูรายการ "ข้อเท็จจริง..วันนี้" ทางช่องยูบีซี 7..
ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี..เรื่อง "ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่"..


ศ. นพ. รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อง..กับไข่ไก่"
เรื่องที่มีการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า
จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น
จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
ทางคุณหมอบอกว่า อยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย
เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น
ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย
แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น
เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง
คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น
หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20
แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่
มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด
คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น
ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย
หรือ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
การรับประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก
คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น
ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ
คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค
ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง
ผลก็คือ อาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก
จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่, ไข่เป็ด, ไข่นกกระทา,
และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม
ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้น แล้วแต่ใจชอบ
ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น
คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น
อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้
(หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู)
พร้อมกันนี้ ก้ได้มีการยกแผนภูมิ นำมาประกอบว่าประเทศไทย
มีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด
ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว
โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือ ญี่ปุ่น
รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ
คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน
ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน
แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล....
การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี
อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย
ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่
คุณหมอยังเสริมว่า ภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี
เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย จะไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน

ที่มา... http://tiktoh-karaoke.spaces.live.com/blog/cns!B0C1845E95ABCF65!905.entry

:b48: :b8: :b48:


:b48: 2 :b48:
ยกย่องคุณประโยชน์ของไข่ กินวันละฟองป้องกันมะเร็งได้

นักวิทยาศาสตร์บรูซ กริฟฟิน แห่งมหาวิทยาลัยเซอเรย์
ได้เปิดเผยผลของการวิเคราะห์รายงานการศึกษาไข่ ทั้งหมด 30 เรื่อง
กับหนังสือพิมพ์อังกฤษว่า ไม่พบว่าการกินไข่วันละ 1 ฟอง หรือมากกว่านั้น
ไม่เป็นเหตุให้เสี่ยงกับการป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงกว่าคนที่งดเว้นเลย
“นักโภชนาการรู้แล้วว่าคอเลสเทอรอลในไข่แดง เป็นไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในอาหาร
ไม่ใช่คอเลสเทอรอลพวกที่จะไปทำให้ระดับคอเลสเทอรอลในเลือดสูงขึ้น
ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจ”

เขากล่าวว่า “การมองแต่แง่คอเลสเทอรอลของอาหารไปหมด
เท่ากับเป็นการมองข้ามคุณประโยชน์ของไข่ที่มีอยู่
ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
รวมไปถึงโรคอ้วนและเบาหวานด้วย
ในไข่แดงแต่ละใบมีสารอาหารสำคัญในตัวถึง 13 ชนิด
ไข่ขาวก็อุดมด้วยสารอัลบูเมน
อันเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญอันหนึ่ง ทั้งยังปลอดไขมัน”

ในไข่ยังอุดมด้วยธาตุไอโอดีน ซึ่งสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์
มีธาตุฟอสฟอรัสที่จำเป็นกับความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
หากเด็กหญิงได้กินไข่วันละ 1 ฟอง ขณะอยู่ในวัยรุ่นๆ
จะช่วยป้องกันเสริมไม่ให้เป็นมะเร็งทรวงอก เมื่อตอนมีอายุมากขึ้น.


แหล่งข่าว...หนังสือพิมไทยรัฐ
ที่มา... Bangkok Pattaya Hospital

http://www.pattayahealth.com/pattayahea ... php?tid=49

:b48: :b8: :b48:


:b48: 3 :b48:
ไข่เป็นอาหารสารพัดประโยชน์

ผลศึกษาใหม่ระบุไข่เป็นอาหารสารพัดประโยชน์ ทั้งดีต่อหัวใจ บำรุงสายตา
ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม และช่วยลดน้ำหนัก
ไม่ได้อุดมด้วยคอเลสเตอรอลอันตรายอย่างที่เคยเข้าใจก ัน

ดร.บรูซ กริฟฟิน แห่งคณะชีวศาสตร์การแพทย์และจุลวิทยา
มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ
วิเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับไข่ 30 ชิ้น
หนึ่งในนั้นเป็นผลงานของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ซึ่งระบุว่าผู้ที่กินไข่วันละ 1 ฟองขึ้นไป
จะปลอดจากความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนที่ไม่กินไข่เลย

แม้ในไข่แดงมีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบ
แต่นักโภชนาการยุคปัจจุบันรู้แล้วว่า ไขมันอิ่มตัวในอาหารต่างหาก
ที่เป็นตัวการทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้น
อันเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ
ดังนั้น การพิจารณาเพียงส่วนของคอเลสเตอรอลอย่างเดียว
จึงอาจทำให้หลายคนมองข้ามประโยชน์จากการกินไข่ที่มีต่อโรคหัวใจ
ซึ่งรวมถึงโรคอ้วน และเบาหวาน

โจอัน ลันน์ นักโภชนาการของมูลนิธิโภชนาการอังกฤษขานรับว่า
ไข่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โดยมีสารอาหารครบครันถึง 13 ชนิด
ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่ในไข่แดง ขณะที่ในไข่ขาวมีอัลบูเมน
ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ และไม่มีไขมัน

ลันน์แจงว่า ไข่อุดมด้วยวิตามินบี
ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการทำงานในร่างกาย
รวมถึงวิตามินเอที่ช่วยเรื่องการเติบโตและพัฒนาการ,
วิตามินอีช่วยต่อต้านโรคหัวใจและมะเร็งบางประเภท,
วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซับเกลือแร่และทำให้กระดูกแข็งแรง
ไข่ยังมีไอโอดีน กระตุ้นการผลิตไทรอยด์ฮอร์โมน
และฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อกระดูกและฟัน

นอกจากนั้น การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารบรีสต์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช
ยังระบุว่า เด็กสาวที่กินไข่วันละฟอง
อาจมีความเสี่ยงลดลงในการเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุมากขึ้น
เนื่องจากในไข่มีกรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ

ไข่แดงยังมีสารลูทีนและซีแซนทีนที่ช่วยปกป้อง
หรือรักษาอาการจุดรับภาพที่จอประสาทตาเสื่อมในผู้ป่วยสูงอายุุ
(age-related eye problem macular degeneration)
ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการตาบอดในผู้สูงวัย

ที่สำคัญ ไข่มีแคลอรี่ต่ำเพียง 75 แคลอรี และไขมัน 5 กรัม (ไข่ 1 ฟอง)
โดยวารสารเจอร์นัล ออฟ ดิ อเมริกันคอลเลจ ออฟ นิวทริเชียน
รายงานเมื่อปีที่แล้วว่า ไข่ช่วยลดน้ำหนักได้ ภายหลังทำการศึกษาพฤติกรรมการกิน
อาหารเช้าของกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน
กล่าวคือ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวย์น สเตทในดีทรอยต์ สหรัฐฯ พบว่า
เมื่อผู้หญิงเหล่านั้นกินไข่หรือบาเกล (ขนมปังแข็ง รูปร่างเหมือนโดนัทแต่ขนาดเล็กกว่า)
ซึ่งให้แคลอรี่ในปริมาณเท่ากันเป็นอาหารเช้า ปรากฏว่ากลุ่มที่กินไข่รู้สึกอิ่มกว่า
และทำให้การบริโภคแคลอรี่ตลอดวันน้อยกว่าอีกกลุ่ม

จากที่ผู้เชี่ยว ชาญด้านสุขภาพเคยแนะนำให้กินไข่ไม่เกินสัปดาห์ละ 3 ฟอง
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเกี่ยวกับคอเลสเตอรอลในเลือด
แต่ล่าสุดสำนักงานมาตรฐานอาหารของเยอรมนีระบุว่า
ผู้บริโภคสามารถกินไข่ได้ไม่จำกัด เนื่องจากมีหลักฐานปรากฏชัดแล้วว่า
ไขมันอิ่มตัวต่างหากที่เป็นต้นเหตุทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดพุ่ง
หน่วยงานดังกล่าวเพียงแนะนำว่า หากต้องการกินไข่ทอด
ควรทอดในน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช
ที่สกัดจากดอกทานตะวัน และพยายามรีดน้ำมันออกจากไข่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนกรณี ที่นำไข่ไปเป็นส่วนผสมในอาหารอื่น เช่น เค้ก หรือพาสต้า
ผู้กินยังได้สารอาหารครบถ้วนเหมือนเดิม
เพียงแต่ต้องระวังว่าเค้กหรือพาสตานั้นมีน้ำตาลและไขมันมากเกินไปหรือไม่

ที่มา... http://guru.google.co.th/guru/thread?ti ... %26hl%3Dth

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

ผมเคยอ่านเจอในหนังสือนานมาแล้วครับ

ว่ากล้วยน้ำหว้าของไทยเรานี่แหละครับ

1 ใบ มีวิตตามินเท่ากับใข่ไก่ 2 ฟองเชียวแหละครับ

คนโบราณจึงนิยมใช้เลี้ยงทารกแรกเกิด ลองพิจารณาผลไม้ชนิดนี้ดูบ้างก็ดีนะครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


น้ำมะเขือเทศส่วนผสม.:
มะเขือเทศ 50 กรัม (1 ผลใหญ่)
น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)
วิธีทำ:
นำมะเขือเทศล้างให้สะอาดหั่นให้ชิ้นพอประมาณใส่ในเครื่องปั่น
พร้อมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำสุก ปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ:
คุณค่าทางอาหาร มีเบต้า-คาโรทีน สูงมากช่วยต่อต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีมากเช่นกันป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยา ทำให้เกิดความสดชื่น แก้กระหายน้ำ ผิวพรรณผ่องใส ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยฟอกเลือดและปัองกันโรคมะเร็ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร