วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 15:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท
(พระครูวิหารกิจจานุการ)
เขียนโดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


สารบัญ

1. เมื่อข้าพเจ้าตาย
2. เขียนเรื่องตัวเอง
3. ตายครั้งที่ 1
4. ความตายปรากฏ
5. ผลของความตายครั้งที่ 1
6. ท่องนรก
7. พระใหญ่ลงอเวจี
8. ปฏิปทาของฉันเมื่อเด็ก
9. เข้าเขตกาสาวพัสตร์
10. ซักซ้อมความเข้าใจ
11. แนะนำเรื่องการปฏิบัติ
12. ผลที่จะได้รับเมื่อปฏิบัติจริง
13. เมื่อถึงวันบวช
14. อาชีพป่าช้า
15. ผีสาวอาละวาด
16. จิตเข้าสู่ฌาน
17. อารมณ์ฌาน
18. พระและชาวบ้านเจ้าของถิ่น
19. ท่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
20. ปฏิปทาของหลวงพ่อปาน
21. หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา
22. อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน
23. โลกียอภิญญา
24. ชื่ออภิญญาโลกีย์
25. วิธีฝึก
26. ธุดงค์
27. ปฏิปทาในยามอยู่ป่า
28. หลวงพ่อเมตตา
29. หลวงพ่อปานออกธุดงค์
30. ฝันรอบแรก
31. ฝันรอบ 2
32. พบโขลงช้างที่สระบุรี
33. หลวงพ่อปานไหว้พระพุทธบาท

34. ปาฏิหาริย์พระบรมธาตุ
35. นมัสการพระพุทธฉาย
36. ไปเขาวงพระจันทร์
37. ท่านเจ้าของอาหารพบวัวเขาอ่อน
38. พบลาวเก่งวิชา
39. เจ้าพ่อขุนด่าน
40. อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน
41. บวงสรวง
42. พิสูจน์ด้วยการเชิญพบ
43. เขาวงพระจันทร์
44. อยากเห็นฤาษีและแม่ชี
45. ส่วนผสมน้ำยาที่ทำให้ตาทิพย์ขนาดปกติ
46. ยาตาทิพย์ขนานพิเศษ
47. คณะธุดงค์ออกเดินดง
48. คณะสหายเก่าติดตามตลอดเวลา
49. พบพระอภิญญาในป่าลึก
50. หลวงพ่อปานเมื่อเด็ก
51. ปราบพระเลว
52. หลวงพ่อปานเมื่อหนุ่ม
53. สู่ร่มกาสาวพัตร์
54. หลวงพ่อปานเรียนหมอ
55. หลวงพ่อปานสร้างพระ
56. หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเนียม
57. หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่ง
58. หลวงพ่อปานไหว้ศพ
59. คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
60. หลวงพ่อปานทอดกฐิน
61. หลวงพ่อปานปราบอหิวาตกโรค
62. หลวงพ่อปานกับขรัวอีโต้
63. หลวงพ่อปานใช้หนี้สงฆ์
64. หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเล็ก
65. ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน
66. อวสาน
67. ดาบกายสิทธิ์
68. ตายครั้งที่ 2
69. ตายครั้งที่ 3


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อข้าพเจ้าตาย

วันนี้ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 เห็นร่างกายพอมีแรงบ้าง หลังจากที่มันทำท่าจะพังมาประมาณ 4 เดือนเศษ เมื่อมันกลับฟื้นคืนสภาพมาเกือบจะปกติ เวลาพอมีว่าง เพราะตัดสินใจว่า นับแต่นี้ไปจะทำตนเป็นคนที่ไม่มีพันธะผูกพัน หมดหนี้จากงานก่อสร้าง หมดหนี้จากกิเลสตัณหา คือตัดความทะเยอทะยานใดๆ ทั้งสิ้น ตั้งท่ารอความตายที่แท้จริงจะมาถึง วางภาระเสียให้หมด เวลาตายจะได้ตายอย่างคนไม่มีห่วง งานที่จะทำต่อไปและทำจนสิ้นลมปราณก็คือ รักษาสมณธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ด้วยชีวิต แนะนำศิษย์ด้วยธรรมชั้นสูง งานนี้แม้ไม่มีใครจ้างก็ทำ จะทำตนเป็นคนมีงานอย่างเดียว งานประเภทอื่นถ้าจะพึงมี เช่น งานก่อสร้าง ก็จะทำประเภทถึงช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ใครให้ทุนก็ทำหรือชอบใจก็ทำ ไม่ชอบใจไม่ทำ เพราะงานอดิเรกอย่างนี้ ทำมาแล้วหลายสิบล้านบาท เป็นผลสำหรับกามาวจรสวรรค์ งานประเภทนี้มากเพียงพอหรือเกินพอแล้ว งานด้านที่สูงกว่านั้นนิดหนึ่ง คือ งานด้านสังคมสงเคราะห์ ส่วนวัสดุก็ให้มาแล้ว มีจำนวนเงินนับล้าน งานด้านศีลธรรมก็ทำเอง และสงเคราะห์มาเกินความจำเป็น งานด้านรักษาอารมณ์ ก็ทำมาแล้วเกิน 30 ปี เห็นว่างานทุกประเภทที่พระสงฆ์ชั้นสวะอย่างผู้เขียนจะพึงทำ ทำมาพอแล้ว ดูเหมือนจะเกินไปเสียด้วย เมื่อรู้ตัวว่าพอก็จะเลิกสนใจ งานประเภทใดที่ล่วงสมณธรรมจะตัดให้หมด คนเลวจะเลิกสังคม เมื่อจะตาย จะมัวอาลัยกับคนและสัตว์ ตลอดจนสิ่งไม่มีชีวิต ความหลงว่าอะไรๆ เป็นของเรา เป็นความฉลาดของคนที่คิดว่าตนจะไม่ตาย สำหรับคนที่รู้ตัวว่าตนเองจะตาย จะมีอะไรเหลือไว้อีก สำหรับทรัพย์สิน ตัดใจแล้ว ตายเมื่อไรก็สบายใจ หมดทุกข์ หมดกังวล


เขียนเรื่องตัวเอง

หนังสือนี้ไม่ใช่ตำรา สำนวนที่เขียนก็ไม่ได้อิงสำนวนตำรา เป็นหนังสือคุยกับเด็ก การพูดกับเด็ก พูดภาษาตำราเด็กฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อท่านอ่านแล้ว จงอย่าเอาไปเป็นตำรา เพราะเป็นมุมหนึ่งของชีวิตเมื่อตายเท่านั้น การตายของแต่ละคนจะเอาสิ่งที่ตนพบเห็นหรือได้มาจะให้เหมือนกันทุกคนไม่ได้ ด้วยสิ่งที่พบเห็นหรือได้มา จะได้หรือจะพบตามกำลังความดีที่ตนทำไว้ ในส่วนกามาวจรสวรรค์ คือสวรรค์ 6 ชั้น ได้แก่ ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี รวม 6 ชั้น เป็นที่อยู่ของอากาศเทวดา หรือพรหมอีก 20 ชั้น หรือที่ต่ำลงมา ได้แก่ ภูมิเทวดาหรือรุกขเทวดา หรืออบายภูมิ 4 มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ท่านที่ตายแล้วไปพบ จะพบแต่ภูมิที่ตนมีส่วนความดีหรือความชั่ว เข้าถึงเท่านั้น ส่วนอื่นที่มิใช่วิสัยของตนจะเข้าถึง จะพบไม่ได้ และแต่ละภูมิ แต่ละชั้น มีความเป็นอยู่ ความสุข กิจการงานที่ปฏิบัติก็ไม่เหมือนกันเสมอไป เว้นไว้แต่พระนิพพานที่ใครๆ ก็มีสภาวะเหมือนกัน เมื่อท่านผู้นั้นเข้าถึงพระนิพพาน ความแตกต่างกันไม่มี เมื่อท่านอ่านหนังสือนี้แล้ว จงอย่าเอาเรื่องในหนังสือนี้ไปเถียงกับคนอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับหนังสือนี้ ด้วยไม่ประสงค์ให้เป็นตำรา เพียงเล่าเรื่องที่เคยตายและสิ่งที่พบมาของมนุษย์ชั้นเลวคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าท่านยึดเอาเป็นตำราก็จะกลายเป็นสร้างระบบศาสนาขึ้นแข่งขันกับพระพุทธเจ้า ด้วยความรู้ทั่วไปทุกภพ พระพุทธเจ้าท่านรู้จริง รู้ตรง และกล่าวสอนไว้ครบแล้ว เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจึงจะถูก อย่าเอาของหลวงตาเลวๆ องค์หนึ่งที่มีความดีไม่เท่าหนึ่งในหลายพันล้านของพระพุทธเจ้าไปเป็นสรณะเลย จะกลายเป็นสหายของท่านเทวทัตไป

เรื่องที่เขียนนี้เป็นการเขียนแก้ว่าง และเล่าเรื่องของตนเองก่อนสิ้นลมปราณ เห็นว่าจะดีกว่าคนอื่นเขียนเมื่อสิ้นลมปราณแล้ว เพราะคนอื่นที่เขียน เขาก็จะเลือกเขียนแต่ที่ตอนดี ตอนใดที่เลวเขาไม่กล้าเขียน ถ้าขืนเขียน ชาวบ้านชาวเมืองจะหาว่ากลั่นแกล้งคนตาย เมื่อไม่เขียน เปรตก็จะกลายเป็นเทวดาไปหมด เห็นว่าไม่ถูก ความดีความชั่ว ใครจะรู้เรื่องของใครแน่นอน เมื่อเห็นว่าเขียนเองดีกว่า เขียนได้สบาย จะด่าจะประจานตนเองอย่างไรก็ได้ ชาวบ้านไม่เกี่ยว และเขียนได้ละเอียดดีกว่าคนไม่รู้ความจริงเขียน แม้แต่เจ้าของเรื่องเขียน เรื่องของตนเอง ก็เขียนให้ครบไม่ได้ ด้วยจำไม่ได้ทั้งหมด แล้วใครที่ไหนเล่าจะมานั่งบรรยายเรื่องของคนที่ตายไปแล้วให้ครบถ้วน เรื่องของเรื่องก็เป็นอันว่าคนที่เขียนแทนเมื่อตายแล้วเป็น นักยกเมฆเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เลือกยกเอาแต่ตอนที่ดีหรือเห็นว่าดี เมื่อพูดกันตามประสาชาวบ้านก็ต้องพูดว่าเขียนโกหกกันไม่น้อยกว่า 80% สู้เขียนเองไม่ได้ การเขียนเริ่มวันนี้มันจะจบเมื่อไรก็ช่างมัน มีแรงก็เขียน ไม่มีแรงก็นอน จะจบก่อนตายหรือตายก่อนจบก็ตามใจ


ตายครั้งที่ 1

เรื่องตายนี้ ตายมาหลายครั้ง ไม่ใช่ลองตายหรืออยากตาย มันตายเอง ตายแล้วก็กลับฟื้น การตายทุกครั้งตายด้วยโรคทางเดินอาหารไม่ดี โรคท้องผุ หรือกระเพาะลำไส้ผุ มาพูดเรื่องตายเลยดีกว่า ประวัติดั้งเดิมการเขียน เขียนไปมันก็ไม่พ้นเรื่องของคนตาย จะเป็นเทวดาระดับไหนก็ตาย ลงเกิดมาเดินดินกินข้าว หรือกินขนมปัง กินถั่ว กินงาอะไรก็ตาม มันก็เจ๊งกันตอนตายเหมือนกันหมด อย่าเอาเลวมาเขียนให้เป็น ดีเลย ถ้าดีจริงแล้ว ไม่มีใครมาเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หรือเข้านิพพานสบายกว่าแยะ เมื่อเกิดมาเพื่อ แก่เจ็บตายเหมือนกันก็ยังจะมาเขียนประวัติโกหกชาวบ้าน ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ จะเอาประโยชน์ตรงไหน โกหกเท่าไร ถ้าเราทำเลวมันก็ไม่ดีขึ้นมาได้ แต่ถ้าเราทำดี ใครจะประณามอย่างไรมันก็ไม่เลว เลิกโกหกกันดีกว่า หรือใครจะโกหกต่อไปก็ตามใจไม่ขัดคอใคร

การตายครั้งที่ 1 เป็นการตายเมื่อวัยเด็ก อายุ 12 ปี เคยบอกกับใครต่อใครว่าอายุ 17 ปีมาก่อน นั่นเป็นเรื่องของคนที่จำประวัติตนเองไม่ได้ เมื่อเขียนนี้ ท่านแม่มาบอกจึงทราบชัดว่าการตายครั้งแรกไม่ใช่อายุ 17 ปี ตายเมื่ออายุ 12 ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนพิษงู ก่อนตาย ตอนป่วยก่อนวันตาย 1 วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ต.สาลี อ.บางปลาม้า ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งมาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จ ก็เข้าวงเหล้ากับเขา แต่ทว่าไม่ได้กินเหล้า ชอบกินหอยโข่งพล่า เนื้อมันอร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งเล่น มันไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าขณะนั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยอหิวาต์กันเกลื่อน พระพบคนตายเป็นปกติประจำวัน ด้วยเมื่ออหิวาต์เกิด หมอมีกำลังอ่อนกว่าโรค โรคก็เลยครองเมือง ชอบใจคนไหนก็ยึดคนนั้นได้ตามชอบใจ กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่กันไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด หนุ่มสาวที่เคยหิวรัก ปกติตอนเย็นเมื่อว่างงานเห็นเดินไปมาหาสู่กันตามปกติ แต่ตอนที่เทวดาอหิวาต์มาและคนตายมากๆ เข้า หาหนุ่มสาวหิวรักเดินไม่ได้เลย กลางคืนเงียบและรู้สึกเยือกเย็นอย่างไรชอบกล สุนัขหอนตั้งแต่ตอนค่ำเกือบตลอดแจ้ง คนในบ้านใกล้เคียงต่างเกรงความตายทั่วกัน

ตอนนั้นพระชักจะมีราคา ที่ว่านี้ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นพระพุทธเจ้าต่างหากที่ว่ามีราคา ไม่มีใครไปหาซื้อ แต่ทว่ามีคนสนใจบูชากันมาก ด้วยมองเห็นความตายเคลื่อนใกล้ปลายจมูกเข้ามาทุกที ทุกบ้านพากันบูชาพระ ที่บูชานั้นไม่ใช่เคารพในคุณพระพุทธ พระธรรม ตามที่ได้ยินเสียง บางคนบ่นบูชาออกเสียงดังได้ยินว่า เจ้าประคู้ณ กรุณาปัดเป่าโรคร้ายนี้ให้ออกไปพ้นบ้านพ้นเมือง แล้วแกก็ออกชื่อคนในบ้าน เมื่อประกาศชื่อเสร็จก็ลงท้ายว่า ขอพระโปรดป้องกันอย่าให้คนที่ออกชื่อนี้ตายเพราะโรคนี้เลย เป็นอันว่าที่จุดธูปนั้นไม่ใช่บูชาความดี เป็นการจุดธูปเรียกพระพุทธเจ้ามาใช้ให้เป็นยามป้องกันโรคร้ายหรือใช้ให้พระพุทธเจ้าไปขับโรค ยามปกติแกก็ไม่บูชา เรื่องของคนที่จะเห็นคนอื่นดีก็ตอนที่ตนมีทุกข์ พอมีสุขเข้าก็มักจะลืมกัน นี่ว่ากันถึงคนเลว คนอกตัญญูไม่รู้จักคุณคน ส่วนคนที่ดีนั้นมีพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ คนประเภทนี้เป็นพ่อคนแม่คนทั้งโลก หายากมาก มีน้อยกว่าคนอกตัญูไม่รู้คุณคน ด้วยคนที่มีพรหมวิหาร 4 เป็นคนมีบารมีสูง ประสงค์นิพพานชาตินี้ก็มีหวังไปได้ไม่ยากเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ความตายปรากฏ

เมื่อวันรุ่งขึ้น ตอนเช้าเวลาประมาณ 9 น. ก็เริ่มปวดท้อง แล้วท้องก็ถ่าย มันถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัดเป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้ และใช้ให้คนรีบไปตามลุงที่เป็นหมอ ด้วยลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ 3 เวลาประมาณ 8.50 น. ดูนาฬิกาที่บ้านเห็นเกือบ 9 น. มีอาการเพลียมาก แรงไม่มี ท้องก็ปวดมาก ภายในมีความร้อน ความปวดของท้องปวดมาถึงผิวหนัง ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้ จะขมวดหรือรัดเข็มขัดทำไม่ได้ ด้วยมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้ เมื่อท่านลุงมาถึง ท่านก็ฉีดยาให้ 1 เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านให้กินยาแล้ว ท่านแม่ก็หยิบพระพุทธองค์ที่ฉันรักมากที่สุด มาวางไว้ทางขวามือ พอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมาก เห็นจะเป็นธูปแขก มันหอมชื่นใจจริงๆ เมื่อท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จ ท่านก็บอกว่า ลูกภาวนาว่าพุทโธนะลูก ภาวนาไว้ จำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาจงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็วๆและจะไม่เจ็บท้อง

เรื่องภาวนาพุทโธนี้ ท่านแม่สอนและบังคับเป็นปกติ เมื่อยามปกติ ท่านจะบังคับให้บูชาพระก่อนนอน ให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วก็ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ แล้วให้ภาวนาว่า พุทโธ 3 ครั้ง ต้องว่าให้ท่านได้ยินจึงจะนอนได้ เมื่อเด็กๆ ฉันกลัวผี ท่านแม่บอกว่า พระพุทโธผีกลัว เมื่อกลัวผีจงภาวนาว่าพุทโธ ผีจะไม่หลอก เมื่อกลัวผีเมื่อไรฉันก็ภาวนาพุทโธเสมอ ไม่ใช่ภาวนาเอาบุญ ฉันภาวนากันผีหลอก จะเป็นบุญบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

มาตอนนี้ท่านให้ภาวนาว่าพุทโธ เป็นการภาวนารักษาโรค และภาวนากันตายด้วย ถ้าโรคหาย มันก็ต้องไม่ตาย เมื่อท่านแม่สั่ง ฉันก็ภาวนาฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานฉันเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่าม หน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจ เมื่อหลับตา ฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการทางท้องที่ปวดรู้สึกคลายลง พร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด

ต่อมาเกิดแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระเลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไป 9 น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันเห็นสั้นเข้ามาทุกที ชั่วเวลา 2-3 นาที มันก็เกิดมองอะไรไม่เห็นเลย แต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือ ฉันมองไม่เห็นพระ ฉันรู้สึกเสียใจที่ฉันไม่สามารถมองเห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตาเสีย ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี แต่ฉันห่วงพระ เสียดายภาพพระพุทธที่ฉันรัก ฉันเลยคิดเอาว่า เมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่าพุทโธ พระท่านจะไปหาทันที ไปในร่างทิพย์ ฉันคิดได้ ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ใจฉันอยากเห็นท่านขอให้ท่านมาหาฉัน

พอภาวนาได้สัก 3 รอบ ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธ เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมด ไม่เป็นเหลี่ยมเห็นของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็ม ไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉัน ท่านยิ้มน้อยๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองฉันก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม 3 คราวเขาไม่ยิ้มรับ ฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ใคร่ดี แต่เป็นเรื่องของคนมีกิเลส ว่ากันตามอารมณ์ของคนปกติมีกิเลส ท่านผู้อ่านอย่าเอาไปปฏิบัติตาม มันเป็นกรรมที่เป็นอกุศล จะเอาก็เลือกเอาแต่ตอนที่ดี มาพูดกันถึงภาพพระต่อไป ฉันรักท่านมาก ท่านสวยและสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัว มี 6 สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลด แต่สวยมากกว่าจนเทียบกันไม่ได้ ตัวท่านเองแทนที่จะเป็นสีเหลือง กลับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว

มองไปมองมาปรากฏว่า ตัวฉันกลายเป็นคน 2 คน คือ คนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูตัวฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีเหลือง มีแก้วประดับผ้าหมดทั้งผืน มองดูเนื้อฉันมีสีทองมาจับ และเป็นสีทองทั้งตัว บนหัวมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและ ชฏามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก ดูตัวที่นอน

ฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉัน แต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลย มันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระ ท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบาย ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้าน ด้วยที่นั่นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้านปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปไหว้ท่าน ลาท่านไปหลังบ้าน ท่านไม่ยอมพูดด้วย ท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน ไปหาใครก็ไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดบ้าน แล้วเลี้ยวออกไปยืนข้างทาง ผ่านหลังบ้าน รู้สึกสบายใจมาก

ขณะที่ยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านที่สนใจกับเจ้าคนที่นอนอยู่นั้นร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม เห็นเขาร้องไห้ต่อเมื่อมีญาติตายหรือเสียของรัก นี่ไม่มีใครตายสักคน เขาร้องไห้ทำไม คิดแล้วก็ไม่สนใจ มายืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่ง ไม่ถึง 10 นาทีกะเวลาโดยประมาณ เห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด ฉันคอยอยู่ข้างทาง คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน

เมื่อพวกเขามาใกล้ เห็นชาย 4 คนคุมมา คน 4 คน นุ่งผ้าเขียวเหมือนกัน ตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตาม หัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาใหญ่ ฉันก็เลยทำตัวใหญ่มั่ง ใหญ่และสูงเท่าเขา ชาย 4 คนๆ หนึ่งเดินนำหน้า มีสมุดข่อยในมือ สองคนเดินขนาบข้าง 2 ข้าง คนที่ 4 เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี

เมื่อหัวหน้าใหญ่มาหาฉัน ฉันเข้าไปยกมือไหว้เขา ถามเขาว่าลุงจะไปไหนกันครับ เขามองหน้าฉัน แล้วเขาก็เปิดสมุดข่อย เขาบอกว่า หนู ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลาน เดี๋ยวแม่จะบ่นหา แล้วเขาก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน เขากลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจ คิดว่าตาลุงนี่ท่าจะอย่างไรเสียแล้ว
ถามว่าไปไหน ดันเปิดบัญชีแล้วบอกว่าไม่มีชื่อในบัญชี เรื่องอะไรที่แกจะมาบังคับเรา ต้องถามเอาความให้ได้ จึงเดินตามแกออกไป เห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายหน ทราบว่าเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่า เมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอถึงคนที่ขนาบข้างและคนท้ายถามเขาอย่างนั้นเขาทำอย่างเดียวกันก็เลยสงสัยใหญ่ คิดว่าตาเฒ่าหัวงูพวกนี้มันบ้าหรือดี

เราถามอย่างหนึ่ง แต่ทำอย่างหนึ่ง ดีละ พวกแกปกปิดฉัน ฉันก็มีมือมีเท้า ฉันจะต้องรู้ว่าพวกแกเดินขบวนไปทางไหนกัน เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร ก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือ ไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ ทีทางเล็กๆ เดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามทาง แล้วมีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ 10 ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมาก มันยาวเพียงใดไม่ทราบ ด้วยมันยาวและสูงมากเสียอีกด้วย หัวหน้าเขาขึ้นไป เมื่อถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ

ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไป ทั้ง 4 คน รู้สึกว่ามีอาการตกใจมาก แกถามว่าพ่อหนูมาทำไม ก็ได้บอกแกว่า เมื่อผมถามลุงว่าลุงไปไหน ลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย แล้วถามแกว่าพวกนั้นเขาไปไหนกัน แกฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมาก แกพากันบอกว่า ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก จะว่าเลวก็ไม่เชิงนะ คนที่ลงนรกนี่มีเกียรติขนาดเทวดามารับ มันไม่เลวจริงๆ ใครอยากไปบ้างก็เชิญตามสบาย แต่ลูกแกะไม่ขอร่วมทางไปด้วย ถามแกว่าคนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร แกบอกว่าคนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรม ขาดความเมตตาปราณี เมื่อทำชั่วอีก เขาก็นำมาลงโทษอีก ว่าแล้วแกก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาลงไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินตามที่คิดหรือพูดกัน มีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามแกลงไปเห็นผืนดินใหญ่ ใหญ่โตกว้างขวาง ยังมีที่ว่างมาก ใครจะไปปลูกบ้านที่นั่นก็ได้ถ้าหาซื้อที่ยาก ที่นั่นเขาแจกฟรี คนไม่อยากไปเขายังมารับลงไปเลย แสดงว่ามีมากกว่าความต้องการของคน หรือว่านักจัดสรรที่จะไปจับจองจัดสรรบ้างก็จะดีเหมือนกัน

มองลงไปเห็นที่ทั้งที่ มีอาคาร 3 หลัง มีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายจากที่มองลงไปยืนอยู่หลายพันคน มีคนตัวโตๆ อย่างพวกตาลุงเยอะแยะ ยืนถึงหอกหน้าถมึงทึง แสดงว่าควบคุมพวกนั้นอยู่มากมาย อาคารในจำนวน 3 หลังๆ กลางและลึกเข้าไปเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย คนเข้ามีพวกตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม มีพวกที่สวนออกมา มีพวกตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก

เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีพระอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทางเมื่อเห็นคนเข้าออกก็นึกสงสัยว่าพวกนี้เขาเข้าออกอาคารหลังนั้นเพื่ออะไร จึงถามตาลุงหัวหน้าหมู่ว่า ลุงครับ พวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน พอถามเท่านี้ ตาลุงหัวหน้าหมู่แกแสดงท่าทางเป็นคนรู้ขึ้นมาทันที แกบอกว่าเมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก แกชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่มีจำนวนหลายพันคน แกบอกว่าคนที่ยืนคอยอยู่นั้นเขาคอยการตัดสินของพญายมราช เรียกตัวและจะชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พญายมฯชำระคดีแล้ว นายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษากฎหมายเมืองนรก ก็นำไปลงโทษตามโทษานุโทษที่พวกเขาทำไว้ พูดแล้วแกก็ชี้มือไปทางตะวันออก แกบอกให้มองตามมือแกชี้ เมื่อมองตามไป เห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกล ไม่รู้ว่าที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน

แกบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษสัตว์คนที่ทำชั่ว ลมปราณสิ้นแล้ว เขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามแกว่าเขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง แกบอกว่าต้องโทษเหมือนกันหมดก็คือ ถูกไฟเผาเหมือนกัน แต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตาย ต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ เมื่อแกบรรยายตามเรื่องของแกแล้วก็ออกปากขออนุญาตลงไปดู

พวกแกทุกคนต่างแสดงอาการเดือนร้อนมาก ร้องออกมาพร้อมกันว่า ไม่ได้ หลานชาย อย่าลงไป ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง 4 คน จะถูกลงโทษอย่างหนัก ถามว่าเพราะอะไรลุงจึงจะถูกลงโทษ และใครเป็นคนลงโทษลุง แกบอกว่า เพราะกฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนที่จะตาย (ออกจากร่าง) ก่อนที่จะตาย ถ้าภาวนาพุทโธ หรือ อรหัง คนประเภทนี้ ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก พญายมฯ จะลงโทษลุงทั้ง 4 อย่างหนัก ก็บอกแกว่า เมื่อลุงไม่ได้จับผมไป ผมไปเองลุงจะถูกลงโทษอย่างไร มันไม่ใช่ความผิดของลุง แกตอบว่าไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงพาคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร ไม่เนื่องด้วยลุง พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป พวกแก 4 คน พากันยืนเกาะแขนกั้นไม่ให้ลง นึกขำในใจ คิดว่าเทวดานี้ทำเหมือนเด็กๆ

เมื่อออกปากอยากดูการลงโทษ แกบอกว่าได้ แกถามว่าอยากดูนรกขุมไหน ถามแกว่านรกมีกี่ขุม แกตอบว่าขุมใหญ่มี 8 ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ 16 ขุม ยมโลกียนรกมีอีก 10 ขุม บอกแกว่าอยากดูนรกขุมใหญ่ 1 ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร แกชี้มือบอกว่านรกขุมที่ 1 อยู่ตรงนี้ พอแกชี้ก็เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้ อาวุธก็ประหาร ตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก 3-4 เล่ม แทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันที ไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ ชมพอเห็นพอที่จะคุยกับนักปราชญ์ประเภทดี แต่สอนชาวบ้านได้นิดหน่อย ตาหัวหน้าหมู่ก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว ทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้ว หลานต้องรีบกลับ แกบอกให้กลับก็เกิดจำทางเดิมไม่ได้

ตาลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง แกคงโมโหที่ทำให้แกลำบาก แกจับขา 2 ขา เอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าแก แกพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงหน้าบ้าน เห็นประตูบ้านแกเสือกหัวเข้าประตู พร้อมกับด่าว่า เอ้า...อ้ายห่า เข้าไป เสือกตามไปทำไมก็ไม่รู้ พากูลำบากด้วย แล้วแกก็หายไป พอตาลุงเสือกหัวเข้าประตูบ้านก็มีความรู้สึกทางร่างกาย ลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายน้ำจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ 30 ปีมานั่งมองอยู่ข้างๆ ได้ออกปากขอความกรุณาแกเพื่อให้แกหาน้ำให้สักขัน แกคงฟังไม่ถนัด แกก้มลงเอาหูมาใกล้ปาก ก็ออกปากขออีกครั้งว่า น้าครับ ขอน้ำผมสักขันเถอะครับ พอแกได้ยินเข้าเท่านั้น แทนที่จะไปหาน้ำมาให้ แกโดดผลุงข้ามตัวไปสัก 1 วา แกร้องเสียงดังว่า ผีหลอก

ดูเถอะท่านผู้อ่าน มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆ ตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี เรื่องของคนนี่มันสับสนบอกไม่ถูก เมื่อทุกคนเขาได้ยินเจ้าทิดหัวเหม่งขี้ขลาดเกินคนร้องว่าผีหลอก ทุกคนก็เข้าใจว่าฟื้นแล้ว ด้วยเมื่อหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติท่านมา ท่านมีศักดิ์เป็นลุง ท่านห้ามทุกคนทำกิจทุกอย่างแก่ร่างกาย ท่านบอกให้ปล่อยไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้น เขาอยากเห็นการฟื้น รวมทั้งเจ้าทิดจอมขี้ขลาดตาขาวคนนั้นด้วย ต่างก็ล้อมวงกันเข้ามาตามธรรมเนียมของไทยมุง ท่านลุงเป็นพระมีคำสั่งให้เอาน้ำสะอาด สมัยนั้นก็นำฝนเป็นน้ำสะอาดอันดับ 1 เอามาให้ 1 ขันขนาดใหญ่ ฉันก็กินเสียจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นเมื่อก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ไม่ทราบว่ามันหายไปทางไหน ร่างกายสบาย

ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า เรียนมาจากหลวงพ่อปาน วันนั้นท่านแม่เองก็ต้องบรรยายเรื่องภาวนาเสียจนเหนื่อย วันต่อมาพวกกลัวตายพากันมาเรียนเป็นการใหญ่ แต่ใครจะได้อะไรไปบ้างเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ส่วนฉันไปแล้วเขาไม่ให้นรก เมื่อฟื้นแล้วความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ก็เป็นเรื่องแปลก เมื่ออยากเห็นท่านคราวไร เป็นเห็นท่านชัดเจนทุกครั้ง และการไปนรกฉันไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย อยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ไปทุกที ฉันไม่รู้ว่าเข้าฌานกันอย่างไร พออยากไปนรก ฉันจำได้ว่าก่อนเห็นนรกฉันเห็นพระองค์นั้นก่อน แล้วฉันก็กลายเป็นคนมีตัว 2 ตัว แล้วฉันก็ไปนรกได้

ฉันจำได้และก็ปฏิบัติตามนั้นเป็นปกติตลอดมาจนบวชพระ คือ ทุกครั้งที่ฉันอยากไปนรกฉันก็นึกถึงพระองค์นั้นก่อน เมื่อเห็นท่านก็บอกว่าฉันจะไปเที่ยวนรก พอท่านยิ้มฉันก็ไปปรากฏตัวที่เมืองนรกทุกคราว ไม่เห็นต้องตั้งท่าตั้งทางทำพิธีรีตองอะไรเลย การไปนรกเป็นปกติของฉันทำให้ฉันเป็นคนเลว เพราะเมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์ พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์ เมื่อเทศน์จบแล้วถาม

ท่านว่าท่านเคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่เคยเห็น ถามท่านว่าเมื่อไม่เคยเห็นแล้วท่านเอาอะไรมาเทศน์ ท่านบอกว่าอ่านจากตำรา เมื่อพูดเรื่องที่ไปเห็นมา ท่านหาว่าโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี่หลอกลวงชาวบ้านหากิน ไม่เห็นมีอะไรดีสักนิด คุยเป็นผู้รู้เอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ทำมาหากิน แล้วมานั่งโกหกชาวบ้านว่าตนเป็นผู้วิเศษ เล่าเรื่องสวรรค์นรกให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยทำให้เกลียดพระ ไม่อยากไหว้พระ ตามความรู้สึกขณะนั้นคิดว่า เอาอาหารให้พระพวกนี้ให้หมาที่บ้านดีกว่า มันช่วยเป็นยาม พระก็แล้วก็ไป เวลาจะให้ก็ต้องประเคน ต้องไหว้ กินเสียของแล้วหาคุณประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธรูปไหว้ พระที่ลุงท่านรู้สวรรค์นรก องค์นี้ไหว้

องค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้เด็ดขาด ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคน ใครจะประเคนก็ตามใจ แต่ฉันไม่ยอมประเคนเด็ดขาด ต่อมาเมื่อพบคู่ปรับ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางโคนม อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์นี้ไหว้ได้สุดตัว เพราะจะเอาอะไรก็ได้ นรก สวรรค์ หรือนิพพาน ท่านกล้ายืนยันทุกประตูเรื่องที่ไปเห็นมาท่านพูดถูกหมด แล้วยังท้าทายทุกอย่าง อย่างไหนท่านก็ทำได้ อยากจะเรียนไปสวรรค์ พรหม หรือระดับนิพพาน ท่านบอกว่าท่านมีครบทุกอย่าง พระดีท่านมี แต่พระประเภทหากินหลอกชาวบ้านก็มี ฉันมันเลวเองที่ไปหาว่าพระท่านไม่ดี ไม่อยากไหว้พระ ปฏิปทานี้อย่าเอาไปปฏิบัติตาม ปล่อยให้ฉันระยำไปคนเดียวก็แล้วกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลของความตายครั้งที่ 1

วันนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2514 ฉันไม่มีเวลาว่างมากนัก เพราะมีคนเขาเอาเรือมาให้เจิม อาชีพเจิมเรือดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีคนชอบเอาเรือมาให้เจิม เมื่อเขาให้เจิมก็เจิม เจิมแล้วมันเป็นอย่างไรฉันก็ไม่เข้าใจ เขาว่ากันว่าเรือที่เจิมแล้วหากินคล่อง แต่ตามที่ฉันคิด ฉันคิดว่าเมื่อเจิมแล้วเจ้าของเรือหรือหรือรถที่มาให้เจิมเป็นคนเกียจคร้านไม่ขยันทำมาหากิน หรือเป็นคนขยันแต่ไม่ฉลาดในการติดต่อ ฉันคิดว่าเรือหรือรถที่ฉันเจิมให้ไปคงไม่มีผลตามที่เขาพูดกัน เมื่อเขาเชื่อว่าดี ฉันก็ทำให้เขา อย่างน้อยก็อาจเป็นเหตุสร้างกำลังใจให้แก่เจ้าของเรือหรือรถที่มาเจิม เรื่องของกฎของกรรมเดิมก็มองเห็นยาก เลยไม่มีใครอยากมอง ผลงานที่จะดีมีผล หรือไม่ดีไม่มีผล มันเป็นกฎของกรรมในอดีต จะเป็นอดีตใกล้ปัจจุบันคือทำเดี๋ยวนั้นเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีมีผล หรืออดีตไกลปัจจุบันคือเวลาผ่านไปไกลหน่อยนานหน่อยจึงได้ผลกรรม แปลว่าการกระทำ เราทำให้ลูกค้าคือคนที่มาซื้อของๆ เราถูกใจ ชอบใจในตัวเรา อย่างนี้เรียกว่ากุศลกรรม คือทำด้วยความฉลาด การที่ทำให้คนที่มาซื้อของไม่ชอบใจเรียกว่า อกุศลกรรม แปลว่าทำด้วยความโง่

เรื่องของกรรมคนเรามักจะมองข้ามไป เห็นเป็นเรื่องปรัมปรา เข้าใจว่าเก่าเกินไป เลยมองผ่านไป ความดี ความชั่ว รวยหรือจน ไม่ใช่เรื่องของเทพเจ้าบันดาล มันเป็นเรื่องที่เราทำแต่เมื่อเราไม่ไว้วางใจตัวเราเองก็เลยต้องอาศัยพระอาศัยเจ้าเป็นกำลังใจ ก็ดีเหมือนกัน เป็นการหาที่พึ่งทางใจ แต่ถ้าคนนำๆ ไปในทางที่ผิดก็จะเลยทางดีไป ถ้าคนนำๆ ไปในทางที่ถูกก็จะมีผลดีไม่น้อย เพราะคนที่มีเกาะ แม้จะเกาะพลาดไป แต่คนนำฉลาดในการนำก็สามารถนำให้เข้าในทางที่ถูกได้ เช่น การเจิมรถเจิมเรือ ถ้าคนเจิมบอกให้เจ้าของรถเรือเกาะแต่แป้งหรือสีที่ทาให้ เป็นการนำผิด เมื่อทาแป้งหรือสีให้แล้วแนะนำให้ขยัน พูดดี มีความระมัดระวัง บอกให้ยึดอะไรสักอย่างหนึ่ง จะเป็นเจ้าหรือพระก็ตามที่เขาเคารพนับถือพอเป็นหลักใจ ผลของการเจิมก็ได้ผล แต่ถ้าคนเจิมมุ่งเอาดีเกินไป ผลของการเจิมดีหรือชั่วอย่างไร ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องของเจ้าของเรือหรือรถนั่นเอง ถ้าโง่เจิมกี่ล้านครั้งก็ไม่ได้ผล ถ้าฉลาดไม่เจิมเลยก็รวยมหาศาล เรื่องการเจิมของผ่านไป เมื่อมันมาชนเข้าก็เขียนเปะปะไว้อย่างนั้นเอง จะได้ทราบว่าพระยิ่งแก่ยิ่งงานมาก แต่ถ้าพระเมางานก็มีหวังลงนรก


ท่องนรก

คิดจะผ่านผลงานที่ฟื้นแล้วเข้าสู่เกณฑ์อุปสมบท ก็พอดีท่านอาจารย์ใหญ่มาเตือนว่าไม่ควรผ่าน เพราะถ้าผ่านหนังสือจะหาผลยาก เราไม่ได้เล่านิทาน แต่ในการพูดตามความจริงไม่ใช่เรื่องที่จะกลัวการกล่าวหาว่าอวดวิเศษ ความจริงถ้าเรามีความวิเศษ ถ้าจะอวดก็ไม่ใช่ของแปลกเพราะมีอวด พระพุทธเจ้าท่านไม่ห้าม ท่านห้ามแต่พวกไม่มีของวิเศษแต่โกหกชาวบ้านว่ามีต่างหาก คนที่เขามีจริงก็เลยไม่อยากอวด เรื่องที่เล่าสู่กันฟังนี้ไม่ใช่เรื่องของผู้วิเศษ เป็นกฏของผลกรรม ท่านว่าพูดได้เต็มที่ไม่ต้องกลัวใครว่า ถ้าเขาไม่เชื่อเชิญเขาทำอย่างเมื่อเป็นเด็ก แล้วเชิญลองตายดู เมื่อตายแล้วถ้ามีผลไม่เหมือนกันจะปรับกันอย่างไรก็รับการปรับด้วยประการทั้งปวง

ท่านผู้อ่านจะลองทำอย่างเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักธรรมวินัย ทำไปแบบนกแก้วนกขุนทอง พูดตามคนสอน แต่ไม่รู้เรื่องที่พูดอย่างฉันทำเมื่อสมัยเด็กบ้างทำให้ได้อย่างนั้น แล้วก็ตายจริงหรือลองตายก็ได้ เพราะผลตอนนั้นฉันมารู้เมื่อบวชแล้วว่า มันเป็นฌานและเป็นมโนมยิทธิ จะลองตายได้อย่างสบาย ตายนานตายเร็วก็ได้ ตายประเดี๋ยวเดียวหรือตายนับชั่วโมง ตายนับวันก็ได้ ตายไปหาสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านว่ามีแต่เราไม่เห็น ไปค้นให้พบตามต้องการ มันเป็นการตายเล่นโก้ๆ และมีประโยชน์ ทดสอบคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างสบาย กรรมแบบนี้พระประเภทบวชเพื่อหนีสงสารท่านทำได้ทุกองค์ ไม่มีอะไรเป็นของแปลก เว้นไว้แต่พระที่บวชตามประเพณีหรือบวชนอกแบบไม่เข้าใจ จึงทำไม่ได้ เพราะกฏของพระที่บวชนั้นจำต้องปฏิบัติศีล สมาธิ และวิปัสสนาครบถ้วน เมื่อทำได้ครบถ้วนแล้ว กิจที่เด็กไร้เดียงสาทำได้เรื่องอะไรพระที่เป็นนักปราชญ์จะทำไม่ได้ เว้นไว้แต่ท่านจะไม่ทำเพราะเห็นว่ามีผลช้า ท่านจะมุ่งเอาอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก ก็เป็นภาระของท่านที่จะเว้นกรรม อย่างนี้เสีย เรื่องที่เด็กทำได้ผู้ใหญ่ทำไม่ได้ไม่เคยปรากฏมีในประวัติศาสตร์

เมื่อฟื้นคืนชีพแล้วฉันก็ชอบรักษาอารมณ์ เมื่อขณะฉันจะตายนี่ท่านอาจารย์ให้เล่าให้ฟัง ฉันก็ต้องเล่าให้ฟัง แต่ทว่าตอนนั้นเป็นเพียงปฏิปทาของเด็กอายุ 12 ปี และฉันก็รักษามาจนถึงวันบวชพระ ฉันรักอารมณ์อย่างนั้น ฉันชอบท่องเที่ยวอย่างนั้น ฉันรักพระองค์ที่รูปร่างสวย มีรัศมีสว่างผ่องใส ฉันต้องเห็นท่านทุกวัน บางวันถ้าฉันว่าง ฉันเห็นท่านวันละหลายชั่วโมง ท่านเป็นพระใจดี ฉันเรียกท่านเมื่อไหร่ท่านมาหาฉันทันที เมื่อท่านมาหาฉัน ท่านยิ้มสวย รูปร่างท่านก็สวย ผิวกายก็ผุดผ่อง รัศมีก็สว่างสวยงาม

ถ้าฉันอยากจะเห็นตัวท่านเป็นเพชรทั้งตัว เพียงนึกว่าอยากเห็นท่านเป็นเพชร ไม่ต้องออกปาก ตัวท่านก็เป็นเพชรทันที ท่านใจดี ฉันรักท่านมาก ทุกวันถ้าถูกใครว่าฉัน ฉันไม่สบายใจ ฉันก็หาที่ปลอดคนเรียกท่านให้มาหา วิธีเรียก ฉันยกมือไหว้ฟ้าแล้วก็กราบ ภาวนาว่าพุทโธ 3 คำ เมื่อครบ 3 คำ ท่านมาหาฉันทันที พอมาท่านยิ้ม ฉันก็หมดความทุกข์ใจ ถ้าฉันอยากไปดูนรก ฉันก็บอกท่านว่าผมอยากไปดูนรก เมื่อบอกท่านแล้วท่านไม่พูด ท่านยิ้ม พอท่านยิ้มฉันไปถึงที่เคยไปกับตาลุง 4 คนทันที ไม่ทราบว่าไปได้อย่างไร ฉันคิดว่าอาการยิ้มของท่านเป็นการส่งฉันไป วันเวลาไม่แน่นอน จะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดีไม่ดีเวลาที่ฉันกินข้าวคนเดียวหรือดายหญ้าสวนที่ตำบลบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี บ้านยายฉันอยู่ที่นี่ ฉันไปอยู่กับยายฉัน ฉันอยากไปนรกฉันก็วางมีด วางงานเสีย ภาวนาว่าพุทโธ 3 คำ ท่านก็มาหา ฉันบอกว่าฉันจะไปดูนรก ท่านก็ยิ้ม ฉันก็ไปนั่งตรงที่ฉันนั่ง

เมื่อฉันอยากเห็นขุมนรกไหน เขาทำอะไรกัน ฉันก็เห็นตามใจฉันนึก เหมือนกับฉันไปอยู่ในสถานที่นั้น แต่ทว่าฉันไม่เคยขอให้ท่านส่งไปสวรรค์หรือพรมโลก เพราะฉันไม่มีความรู้ เคยไปนรกก็ไปแต่นรก แต่ทว่าเมืองนรกก็มีคนลงไปใหม่ทุกวัน ฉันจะเล่าเรื่องคนดีที่ว่าเป็นนักปราชญ์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ และเคยหาว่าฉันไปนรกได้เป็นเรื่องโกหก แต่ท่านเองเป็นพระใหญ่ เขาเรียกท่านว่าท่านเจ้าคุณ พอท่านตายฉันไปดักดูท่านที่ทางเข้าเมืองนรก พบท่านไปทางนั้น เขารับท่านไป ท่านมีวาสนาใหญ่ กรรมส่งท่านลงอเวจี กรรมอะไรของท่าน ฟังกันต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


พระใหญ่ลงอเวจี

หลังจากฉันฟื้นจากตายได้ไม่ครบ 1 ปีดี พระที่ท่านยายกับท่านแม่ชอบนิมนต์มาเทศน์ และเป็นพระองค์เดียวกันกับที่ท่านหาว่าฉันมีอารมณ์ใกล้บ้า เพราะชอบเอาเรื่องของคนตกนรกมาเล่าให้ท่านยายฟังทุกวัน ทั้งนี้เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรก และเขาทำอะไรมาจึงลงนรก เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องนรกนี่เอง ฉันก็เลยต้องลงนรกเป็นประจำวัน เวลาไปนรกฉันไปไหนไม่ได้ นอกจากยืนอยู่ที่ยอดเขาที่ตาลุงแกสั่งว่าห้ามเข้า ความจริงมีสิทธิ์จะไปได้ แต่ทว่าตอนนั้นฉันเป็นเด็กไม่รู้เรื่องธัมมะธัมโมอะไรกับเขาเลย ปกติก็เป็นคนเคารพในคำสั่งของท่านยายและท่านแม่เคร่งครัดอยู่แล้ว เรื่องคำสั่งไม่เคยละเมิด เว้นไว้แต่เป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เลยไม่ถูกลงโทษเพราะขัดคำสั่ง

แม้อยู่โรงเรียนเรื่องขัดคำสั่งไม่เคยถูกลงโทษเลย เมื่อไปเมืองนรกก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่งตาลุง แต่ก็ทำให้ตาลุงคนนั้นลำบากใจไม่น้อย เพราะถ้าฉันเกิดสงสัยไม่เข้าใจอะไร ฉันก็นึกถึงตาลุงคนนั้น เมื่อนึกถึงแกๆ ก็มาหาทันที ถามอะไรแกก็บอกให้ฟังละเอียดตามที่ต้องการรู้ เมื่อฉันได้ยินข่าวว่าท่านเจ้าคุณที่คุณยายนับถือมาตาย ท่านเจ้าคุณองค์นี้ฉันไม่ไหว้และไม่ยอมประเคนของ ด้วยเกลียดท่านที่ท่านหาว่าเรื่องนรกที่ฉันเล่าให้ท่านยายฟังเป็นเรื่องโกหกพกลม ตัวท่านเองท่านพูดว่า บวชมา 30 ปีเศษแล้ว ไม่เคยเห็นนรกสักนิด

ฉันเลยเกลียดท่าน ด้วยคิดว่าพระแบบนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน เป็นความคิดของเด็กโง่ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม เลยไม่ยอมเคารพ แม้แต่นิ้ว 10 นิ้ว ก็เสียดายเวลาที่จะยกมือไหว้ท่าน เมื่อท่านมา ท่านยายให้ประเคนของก็ไม่ยอมประเคน โดยเรียนท่านยายต่อหน้าท่านว่า พระที่มีความสามารถไม่เท่าเด็กไม่อยากให้อะไร ท่านโกรธมาก เพราะท่านเป็นเจ้าคุณ วัดอยู่ฝั่งพระนคร ท่านมีศักดิ์ใหญ่ แต่ท่านจะทำอะไรฉันได้ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านยายไม่กล้าขัดใจฉัน เมื่อทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณตาย ท่านยายไปเยี่ยมศพท่าน ไม่ได้ชวนฉันไป ถ้าชวนฉันก็ไม่ไปเพราะเกลียดมาก เมื่อท่านอยากไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ

ฉันว่างเพราะไม่มีคนสั่งงาน ฉันไปนั่งเล่นที่ชานบ้าน บ้านอยู่ริมน้ำ มีต้นจากที่ปลายสะพาน 1 ต้น ฉันไปนั่งในต้นจาก เอากระดานพาดทางจาก ด้วยจากต้นนั้นท่านยายปลูกไว้นาน ต้นใหญ่มาก เมื่อลมพัดเย็นสบายใจก็เลยคิดว่าท่านเจ้าคุณท่านตายแล้วท่านจะไปทางไหน จะไปถามตาลุงดู

จึงนึกถึงพระรูปสวยองค์ที่เคยมาหาฉัน พอภาวนาว่าพุทโธ 3 คำ ท่านก็มาหา ท่านยิ้ม ก็กราบเรียนท่านว่าผมอยากไปดูนรก ท่านยิ้มอีกครั้ง ฉันก็ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาลูกที่เคยไป เมื่อไปถึงก็นึกถึงตาลุงๆก็มาหา แกถามว่าหลานต้องการพบทำไม บอกแกว่าได้ข่าวว่าพระตาย 1 องค์ มีชื่อว่า...เขามีชื่อว่าอะไรจะบอกชาวบ้านทำไม ไม่บอกให้รู้แต่บอกให้ตาลุงรู้ เมื่อตาลุงทราบแล้วก็บอกว่าเขาตัดสินแล้ว ขณะนี้อยู่ในอเวจี ถามแกอีกว่าพระตกนรกด้วยหรือ แกตอบว่า พระตกนรกเป็นประจำ เพราะพระบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระก็ต้องตกนรก ถามแกว่า พระเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก แกตอบว่า ก็พระดีแต่สอนชาวบ้าน ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดี แต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมด และมีโทษหนักมาก ฉันอยากเห็นท่านเจ้าคุณ ก็บอกตาลุงว่าผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ แกก็บอกว่าได้ แล้วก็ร่ายเวท แกยกมือขึ้นเท่านั้นเองแล้วก็ปรากฏว่าภาพอเวจีมาปรากฏใกล้ตัวฉัน ฉันเห็นท่านเจ้าคุณฉันก็จำได้ ภาพของท่านที่ปรากฏมีดังนี้

1. ยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบนปักติดอยู่ที่มือทั้ง 2 ข้าง ปลายด้ามหอกติดเพดาน หัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น

2. หอกปักด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้าม ตรึงติดกำแพง
เรื่องหอกเว้นพรรณนา เป็นอันว่าปักยึดจนขยับเขยื้อนไม่ไหว ถามท่านลุงว่า ท่านเจ้าคุณมีโทษอะไร มีหอกปักตรึงแล้วมีเปลวไฟละเอียดละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุมพุ่งมาเผาตลอดเวลา ตาลุงบกว่าลุงจะไม่บอก จะให้ท่านบอกเอง แล้วตาลุงก็บอกให้แกขึ้นมาหา พอตาลุงเรียก ปรากฏว่าเครื่องพันธนาการหลุดหมด ไฟดับ ท่านเดินขึ้นมา ท่านเห็นฉันเข้า ท่านกล่าวขออภัย ท่านลุงบอกว่าการขออภัยขณะนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะโทษที่เหยียดหยามผู้ทรงฌาน ถูกตัดสินแล้ว ฉันถามท่านลุงว่าใครเป็นผู้ทรงฌาน

ท่านลุงบอกว่าเธอนั่นแหละเป็นผู้ทรงฌาน คำนี้ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันคิดว่าเมื่อฉันจะมาฉันเดินไปที่ชานบ้านไปที่สะพานติดกับชาน ฉันเอาสะพานพาดก้านจาก เพราะเหตุนี้กระมังที่เขาเรียกว่าผู้ทรงฌาน แต่ฉันก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้กับตาลุง ตาลุงบอกให้ท่านเจ้าคุณนรกบอกเรื่องที่ตนทำผิดเมื่อตายแล้วลงอเวจี ท่านเจ้าคุณบรรยายให้ฟังดังนี้

1. เมื่อบวชแล้วไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สมถะ วิปัสสนา ไม่เคยสนใจ ผิดความหมายของพระ ด้วยพระเป็นสรณะที่พึ่งระดับ 1 ใน 3 ระดับ เมื่อทำตนไม่สมควร จัดเป็นความผิด คือ เป็นคนลวงโลกหลอกลวงชาวบ้านว่าเป็นพระ เอาเปรียบชาวบ้าน

2. ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้วไม่ยอมประพฤติตามธรรม มุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน เป็นทางนำทรัพย์สินให้เกิดแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์นั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณะประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา เอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ให้กู้ อันเป็นวิสัยของฆารวาส พระท่านห้ามไม่ให้ทำ แต่ฝืนทำ

3. เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศคิดว่าตัววิเศษ แม้แต่ผู้ทรงฌานแกพูดแล้วแกชี้มาที่ฉันก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยาม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง

4. ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ สมัยนั้นพระราชาคณะ ไม่มีสะพรั่งเหมือนดอกเห็ดอย่างสมัยนี้ ใครเป็นพระครูหรือเจ้าคุณ ศักดิ์ศรีท่านใหญ่น่าดู เจ้าคุณหายากเหมือนหาหัวอุตพิดและมีพิษมาก เพราะจะไปที่ไหนต้องต้อนรับกันอย่างเจ้า (เจ้าไม่มีศาล) เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจก็ต้องใหญ่ ครองความเป็นใหญ่ไว้มาก ลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งก็ต้องเสียเงินตามอัตราของตะกร้าใหญ่ ต้องนิมนต์เทศน์ติดเงินก้อนใหญ่ๆ เวลามาขอยศขอตำแหน่งก็ต้องหาพานมาประเคนมีแบงค์ใบใหญ่ๆ ท่านก็เลยกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ มีลูกหนี้ใหญ่ๆ คือมีเงินให้กู้มากๆ มีทองจำนำเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ๆ แล้วก็เลยตกนรกขุมใหญ่ มีความทุกข์ทรมานใหญ่ รวมความแล้วท่านเป็นพระใหญ่ หลอกลวงใหญ่ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตกนรกขุมใหญ่ สมกับวาสนาบารมีใหญ่

ได้ถามท่านว่า ขณะนี้มีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเป็นเครื่องยืนยันความใหญ่ของท่านบ้าง ท่านตอบว่า ตามที่คณะกรรมการสำรวจสิ่งของที่ได้แล้วขณะนี้ มีเงินสดอยู่ 73,032.75 บาท ทองคำที่รับจำนวนไว้ 35 บาท ทองคำที่ซื้อไว้เองเพื่อเตรียมหมั้นแม่สาวน้อยเจ้าของร้านขายของมีค่ามีน้ำหนัก 50 บาท ของที่คณะกรรมการตรวจพบไม่ได้ คือ เงินที่ชาวบ้านกู้ไปอีก 4 หมื่นบาทเศษ อันนี้ไม่มีหลักฐาน ถามท่านว่าของที่ว่ามีขณะนี้อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าคณะกรรมการควบคุมไว้ ถามท่านอีกว่าวันนี้คุณยายไปเยี่ยมศพท่าน คุณยายจะทราบเรื่องนี้ไหม ท่านตอบว่าทราบ เพราะกรรมการเขาเขียนทรัพย์สินที่ค้นได้ใส่แผ่นกระดาษประกาศไว้ ดีใจที่ได้หลักฐานมายืนยันกับท่านยาย

5. ที่ท่านว่าเป็นกรรมหนักในฐานะที่ท่านเป็นพระปลอม คือ บวชแต่ตัว และมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิต้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดีที่เป็นอริยเจ้ามาไหว้ท่าน ท่านก็เลยทำใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าคุณ กรรมนี้อีกข้อหนึ่งที่ชวนท่านลงอเวจี

เมื่อได้เรื่องแล้วก็ดีใจมาก ลาตาลุงกลับ ท่านเจ้าคุณก็ลงนรกไปตามตำแหน่งใหญ่ของท่าน เมื่อคุณยายกลับก็เอาเรื่องทรัพย์สินของท่านเจ้าคุณออกบรรยาย คุณยายตกใจมาก ถามว่า พ่อเล็กรู้มาได้อย่างไร เรียนท่านว่าเมื่อคุณยายไปฝั่งโน้น ฝั่งพระนคร ชาวธนบุรีเรียกว่าฝั่งโน้น

สมัยนั้นจากตลิ่งชันก็ไปลำบาก ต้องมีเรือยนต์หรือไปเรือโดยสาร ที่บ้านไม่มีเรือยนต์ก็ต้องอาศัยเรือโดยสารขนาดเล็กของพระยาภิรมย์ภักดี ออกเป็นเวลา วันหนึ่งเรือออกไม่เกิน 5 เที่ยว การที่จะแอบอ่านป้ายเอามาเบ่งนั้นไม่มีทางทำได้แน่ เมื่อคุณยายท่านฟังแล้วท่านจึงแปลกใจถามว่าทราบมาได้อย่างไร จึงเรียนท่านว่า เมื่อคุณยายไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ ผมก็ไปสืบทางเมืองนรก พบท่านเจ้าคุณลงอเวจี ท่านลุงเรียกมาให้เล่าความประพฤติเมื่อท่านมีชีวิต ท่านเจ้าคุณบอกให้ฟัง ผมจึงทราบ เมื่อพูดจบท่านยายก็เรียกน้าสมใจที่ไปด้วยให้เอากระดาษที่จดทรัพย์สินท่านเจ้าคุณที่คณะกรรมการเขียนประกาศไว้ น้าสมใจอ่านให้ท่านฟัง เมื่ออ่านแล้วน้าสมใจก็บอกว่าตรงกันทุกอย่าง ท่านยายถึงกับเปล่งอุทานว่าไม่น่าเลย พระใหญ่พระโตทำไมเลวทรามอย่างนี้ พ่อเล็กไม่เคารพนั้นถูกแล้ว ยายเองเสียอีกยังโง่กว่าพ่อเล็ก

นี่เป็นมุมหนึ่งของนรกที่ใครๆ ก็สามารถเห็นได้บวชเพื่อความเป็นพระ แต่ถ้าท่านบวชกันเพื่อแสวงหาความรู้มาเป็นอาชีพ หรือเพื่อยศศักดิ์ เพื่อลาภผล เพื่อเป็นเหยื่อล่อสตรีที่เห็นว่าดีว่างาม ท่านไปตามท่านเจ้าคุณองค์นี้ ถ้าบวชแล้วปฏิบัติตามคำปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะ มัง ภันเต" เขียนตัวหนังสืออาจพลาดจังหวะบ้างก็ช่างมัน แปลความว่า ท่านทั้งหลาย ข้าฯ ขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นอันว่าท่านที่บวชเพื่อเข้าถึงพระนิพพานทุกองค์ เรื่องเห็นนรกสวรรค์เป็นเรื่องกล้วยๆ ไม่มีอะไรหนักเลย ถ้าทำไม่เห็นก็จงทำตามแบบเจ้าเล็กเด็กอายุ 12 ปี เอาแบบฉบับของเจ้าเด็กคนนี้เป็นครู มันก็คงไม่ยากอะไรเลย คุณยายหลังจากทราบเกียรติความดีเด่นระดับอเวจีของท่านเจ้าคุณแล้ว ต่อนั้นมาท่านพยายามหาแต่พระที่ควรบูชาเท่านั้น คนที่เป็นนักดูพระก็คือเจ้าเล็กคนเดนตายนั่นเอง

เมื่อท่านยายปรึกษาจะหาพระมาเทศน์ เจ้าเล็กก็ต้องไปหาตาลุง ตาลุงก็ชี้พระพอที่จะพบได้ในสมัยนั้น อยู่ไม่ไกลเกินไป ก็คือ

1. ท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณบรรพต คณะ 11 วัดสระเกศ จ.พระนคร
2. ท่านอาจารย์พริ้ง วัดมะกอก จ.พระนคร
3. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ จ.ธนบุรี
4. หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
5. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
6. หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมด อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
7. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
8. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี

แกบอกว่ามีอีกมาก เป็นพระอริยะก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี ที่บอกมาแล้วนั้นมีทั้งพระอริยะและพระโพธิสัตว์ ทำบุญด้วยผลมากกว่าการลงทุน ท่านยายเคยรู้จักหลวงพ่อปานมาก่อน เมื่อเห็นหลวงพ่อปานติดอยู่ในบัญชีพระดีก็เลยไม่ไปไหน เกาะหลวงพ่อปานแจ คือ ยึดความรู้ที่หลวงพ่อปานสอนแบบง่ายๆ ท่านภาวนาคำว่าพุทโธจนท่านสิ้นลมปราณ คือ พอขาดเสียง ท่านก็หมดลมพอดี ตอนจะตายถามท่านว่าคุณยายเห็นอะไร ท่านตอบว่าเห็นพระพุทธ ถามท่านว่าสวยไหมครับ ท่านบอกว่าสวยมาก และท่านก็บอกว่าพระท่านสวยมากขึ้นทุกที ในที่สุดหลวงพ่อองค์ยิ้มท่านก็มา ท่านใกล้จะสิ้นลมปราณเต็มที แต่ท่านสติดีมาก ท่านยิ้มทั้งๆ ที่ปากก็ว่าพุทโธ

ท่านบอกว่า พ่อเล็ก หลวงพ่อองค์ยิ้มของหลานมาหายายแล้ว ถามว่าคุณยายอยากไปไหนครับ คุณยายบอกท่าน ท่านพาไปได้ ท่านยายบอกว่ายายไม่อยากเกิด ยายเบื่อเกิด ถามว่าท่านว่าอย่างไร ท่านยายบอกว่า ท่านยิ้มแล้วบอกว่าจะเอาไปพักในที่ไม่ต้องกลับมาเกิด ต่อไปจะสบายมาก ท่านยายเรียก พ่อเล็กจุดธูปให้ยาย 5 ดอก เอาดอกบัวมา 5 ดอก จุดเทียนด้วย ยายจะเอาไปไหว้พระจุฬามณี ยายเห็นบ้านยายแล้ว พระท่านชี้ให้ดู เมื่อจุดธูปเสร็จบอกท่านให้ทราบ

ท่านบอกว่า ท่านขอลาทุกคน อะไรที่ล่วงเกินกันขอให้ต่างอภัยกัน แล้วท่านก็ว่าพุทโธๆๆ จนท่านสิ้นลมปราณ เมื่อคุณยายตายก็เลยถือโอกาสไปหาท่านลุง เมื่อพบแล้วถามท่านว่าคุณยายไปอยู่ที่ไหน ท่านลุงบอกว่าอยู่ดาวดึงส์ ถามว่าท่านยายจะมาเกิดอีกไหม ท่านลุงบอกว่า บารมีเขาดี เขาจะนิพพานบนสวรรค์ ฉันฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลยว่านิพพานเป็นอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิปทาของฉันเมื่อเด็ก

ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องของฌานสมาบัติต้องมีศีลดี ก็เมื่อเป็นเด็กจะมีศีลวิเศษขนาดไหน เรื่องนี้ฉันยอมรับว่าที่ฉันไปนรกได้ฉันไม่เข้าใจว่าเป็นฌานหรือเปล่า ฉันตายไปแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมาฉันก็ไปตามที่ฉันตายไป มันจะเป็นฌานหรือเป็นระเบียงบ้าน เรื่องนี้ฉันไม่เข้าใจ แต่ทว่าเมื่อฉันเป็นเด็กสิ่งที่ฉั้นปฏิบัติเป็นปกติจนถึงวันบวชพระก็คือ

1. ไม่ฆ่าสัตว์ จำได้ว่าเคยฆ่าปลาไม่เกิน 6 ตัว เพราะผู้ใหญ่บังคับ ต่อมาไม่ยอมฆ่าอีกตลอดมาจนถึงวันบวช เว้นไว้แต่ที่คนข่มเหงฉัน หรือผู้ร้ายที่ปล้นขาวบ้าน ถ้าฉันเลี่ยงไม่พ้นฉันยิง และตายไปประมาณ 30 คนเศษ คนเลวฉันคิดไปว่าไม่บาปเป็นความคิดสมัยก่อนบวช

2. ไม่ลักของใคร

3. ไม่เป็นชู้ภรรยาใคร แต่ลูกเขานี่ซิคิดว่าไม่ผิดศีล เมื่อเขาเมตตาก็ต้องรับความปรานี อย่างนี้บาปหรือเปล่าใจตอนนั้นคิดว่าไม่บาปและไม่ได้ฝืนใจใคร ทุกคนสมัครใจร่วมกัน คงไม่เป็นไรมาก

4. เรื่องโกหก ถ้าจะเอาบ้างแต่ก็ไม่ร้ายแรง ที่โกหกมากก็คือพวกสาวๆ เพราะไม่โกหกแกไม่เชื่อ เลยต้องโกหก ตามใจคนรักคงไม่บาป

5. เรื่องของคนเมาหรือการพนัน ปลอดแน่ นอกจากจะลองทดสอบความเมากับน้าคราวเดียว คือ น้าเป็นนายตำรวจจับคนเมามาได้ แกก็บอกว่าที่แกด่าอาละวาดขาวบ้านแกเมาแกไม่รู้เรื่อง เพื่อทดสอบให้แน่ใจว่าคนเมาพูดเองและฟังคนอื่นพูดรู้เรื่องหรือเปล่า สองคนน้าหลานว่าน้ำตาลเมาเขามา 1 ไหครึ่ง เห็นรู้เรื่องทุกอย่าง พูดเองก็รู้ คนอื่นพูดก็รู้ ต่อไปเมื่อจับคนเมามาได้และถ้าแกแก้ว่าทำไปเพราะเมา แกไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ถามแกว่าแกชอบเมาอะไร สุราชนิดไหน น้ำตาลเมา น้ำขาว อุ หรือเบียร์ เป็นต้น เมื่อแกบอกว่าแกเมาอะไรก็ไปหามาให้แก เมื่อแกกินเมาแล้วก็ซ้อมด้วยไม้กระบอง ตีเสียช่ำมือทุกราย ถ้าแกบอกว่าเจ็บก็ไม่ยอมเลิกตี บอกแกว่าคนเมาไม่รู้เรื่องไม่เจ็บ ล่อเสียอานไปหลายรายการ เพียงรายสองรายก็ปรากฏว่าในเขตของน้าหาคนเมาทำยายากเต็มทน ที่ชอบเมาจริงๆ ก็พยายามเมาในมุ้ง เป็นการปราบที่มีผลมาก ชาวบ้านสบายใจไปตามๆ กัน

นอกจากนี้แล้ว ขณะที่เป็นเด็กและฆราวาสมีอารมณ์แปลก คือ มีความรู้ที่เกิดเอง คือ ที่ไหนก็ตามมีอะไรเป็นพิเศษ เช่น คนตาย ของดีกว่าปกติ เมื่อไปนอนคืนเดียวก็ปรากฏว่ารู้หมด ว่าที่บ้านนี้หรือตรงนี้มีคนตายแล้วกี่คน อายุ รูปร่าง อาการป่วยเมื่อจะตาย ตายแล้วไปไหน มันเห็นเองรู้เอง ไม่ได้ทำอะไร เพียงไปนอนเท่านั้น ถ้าไม่เห็นก่อนหลับก็ตอนตื่นใหม่ๆ คนตายจะมาเล่าเรื่องของตนให้ฟังจนหมด เมื่อสว่างแล้วถามเจ้าของบ้านทุกบ้านพากันยอมรับว่าจริง ปฏิปทาก่อนบวชมีเท่านี้ มันจะเป็นฌานเป็นสมาบัติ หรือเรื่องที่รู้มันรู้ได้อย่างไร อ่านตำราแล้วไม่เข้าใจ ถ้าถามพระท่านบอกว่าของเก่าตามมา

เป็นอันว่า เรื่องเมื่อฟื้นจากตายความจริงมีเรื่องมากมาย เขียนสักพันหน้าก็ไม่จบ มันจะมีประโยชน์อะไร เขียนไปเขียนมาก็คุยกับตาลุง ไปสวรรค์ก็ไม่กล้าไป เขียนไปก็เปลืองสายตาคนอ่าน เลิกเขียนดีกว่า เอาเวลาเขียนไว้ตอนเข้าอุปสมบทต่อไป ตอนนี้ขอเอวังเพียงนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน นี้เวลาว่างหายาก ก็ขอพักตอนที่สองไว้เพียงเท่านี้


เข้าเขตกาสาวพัสตร์

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2514 เป็นวันที่ 3 ของการบันทึกความทรงจำ การเขียนกำหนดแน่นอนไม่ได้ เพราะว่างก็เขียน สบายใจก็เขียน ถ้าไม่ว่างหรือไม่สบายกายใจก็ไม่เขียน สุดแล้วแต่อารมณ์หลวงตาแก การเขียนนี้ตั้งใจจะเขียนไม่มากนัก เพราะหนังสือหนามากอ่านนานจบ คนขี้เกียจอ่าน เปลืองเงินคนออกสตางค์ค่าพิมพ์ เขียนยาวไปก็ได้ประโยชน์น้อย เพราะไม่ใช่หนังสือสอนวิชาร่ำรวย ไม่ใช่แบบบอกหวยบอกโป เขียนมากก็ไร้ประโยชน์ จะเขียนเท่าที่พอใจ

วันนี้จะเขียนเรื่องเข้าเขตกาสาวพัสตร์ คือเข้าบวช ท่านผู้อ่านจงทราบเจตนาในการบวชของฉันเสียก่อน คนอื่นที่เขาจะบวชเขามีเจตนาอย่างไรฉันไม่ทราบ แต่ฉันก่อนบวช ฉันมีเจตนาอย่างนี้ คือ ไม่บวชตามประเพณี พอครบอายุจะบวชได้ก็บวช ก่อนที่ฉันจะบวช ฉันอยากหาอาจารย์ต่อวิชาให้ฉัน เพราะปกติฉันไปเที่ยวนรกได้ แต่ไปเพียงเขตแดนนรกกับแดนอิสระ ยังเข้าเขตนรกจริงไม่ได้ เมื่อไปถึงชายแดนก็ต้องไปนั่งจ๋องคอยถามตาลุง อยากเห็นอะไรก็ต้องนึกให้ภาพนั้นมาปรากฏที่ข้างหน้า มันเป็นอย่างนี้มา 10 ปีเศษ เรื่องของคนที่ตัณหาบังคับสันดาน มันมีคำว่าพอที่ไหน เห็นได้รู้ได้แล้วมีความพอใจเมื่อไร อยากลงไปท่องนรกได้ด้วยตนเองก็ไม่กล้าไป เพราะตาลุงแกสั่งไว้ไม่ให้ไป แกห้าม ความดีของตาลุงฉันลืมไม่ได้ ฉันมีธุระไปกวนแกทุกวัน เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนลงนรก และก็ชอบถามว่าเขาทำบาปอะไรจึงลงนรก แล้วก็ถามต่อไปว่าเราจะช่วยเขาได้ด้วยการทำบุญอย่างไร ฉันก็เลยต้องกลายเป็นพระมาลัยลอยไปลอยมาระหว่างนรกกับมนุษย์เป็นกิจประจำวัน

ท่านยายเมื่อทราบว่าใครลงนรก ถ้าเขาผู้นั้นอยู่ไม่ไกล ท่านมักจะสอบถามญาติของคนที่ลงนรกว่า เมื่อก่อนตายคนที่ตายทำบาปอย่างที่เคยทราบมาหรือเปล่า เมื่อเจ้าภาพรับคำว่าเคยทำ ท่านก็จัดแจงทำบุญสงเคราะห์ทันที และตัวท่านเองก็เกาะหลวงพ่อปานแจ เรียนพระกรรมฐานและร่วมบำเพ็ญกุศลเป็นประจำ ท่านหายใจเป็นหลวงพ่อปานทุกวัน อะไรๆ ท่านว่าหลวงพ่อปานบอกท่านมา ท่านทำตามทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่หลวงพ่อปานไม่บอกแต่ท่านทำก็คือ เรื่องลูกและหลานเจ้าชู้ น้าหลาน 2 คน เป็นคนมีเมตตาสูง สงเคราะห์สาวเรื่อยตลอดมา คือ พยายามหาเมียมาฝากแม่เสมอ ไม่รู้ว่ากี่คน เมื่อนำมาท่านก็รับภาระปกครองให้เสมอ บางรายยังเด็กมาก แม่ผัวต้องปอกอ้อยให้ลูกสะใภ้กินก็มี เพราะเมื่อท่านสั่งให้ลูกสะใภ้ปอกอ้อยให้กิน คุณลูกสะใภ้เกิดปอกอ้อยไม่เป็น ภาระการปอกอ้อยก็เลยต้องเป็นภาระของแม่ผัว

เมื่อมีสาวน้อยและสาวมากมาบ้านมาถามหาท่านน้าหรือเจ้าเล็ก ท่านมักจะออกปากบอกว่าเจ้า 2 คน หมายถึงน้าหรือเจ้าเล็กไปทำอะไรเอ็งบ้าง ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา หมายถึง มีครรภ์เอ็งบอกแม่นะ แม่จะรับภาระเอง แล้วท่านก็ประกาศเป็นกฎของท่านว่า เจ้า 2 คน น้าหลานนี้เจ้าชอบเป็นคนเจ้าชู้ ถ้ามีใครเขามาแจ้งพวกเอ็งไปทำเขาตั้งท้องฉันจะรับทันที โดยที่พวกเจ้าจะค้านไม่ได้ นี่เป็นกฎของท่านยาย และท่านก็ทำจริงตามท่านพูด เมื่อมีใครมาแจ้งว่าท่านน้าย่องไปทำให้แกมีลูก ท่านไม่สอบสวน ท่านรับทันที เมื่อน้ามาจากทำงานสอบถามน้าปรากฏว่าจริงทุกราย เป็นอันว่าจำเลยทำเป็นปกติ เมื่อศาล รับฟ้องก็ไม่ต้องสอบสวนจำเลย ด้วยมันจริงเสียทุกราย สำหรับรายการของเจ้าเล็กก็จอมซุกซนเหมือนกัน แต่ทว่ามียาวิเศษไม่ต้องกินไม่ต้องทาไม่ต้องรักษาก็ไม่มีใครมีลูก ท่านยายเลยไม่ต้องแบกภาระ การรับ ลูกสะใภ้แบบสาธารณะนี้หลวงพ่อปานไม่ได้สอน แต่ท่านทำของท่าน เมื่อท่านอาจารย์ทราบปฏิปทาเข้าก็ชมเชยเป็นการใหญ่ ท่านเลยทำใหญ่ ท่านบอกว่าที่ท่านทำท่านเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน ไม่ประสงค์ชื่อเสียงความดีเด่นอะไร

เมื่อฉันมีศรัทธาอยากจะบวช ที่จะบวชไม่ใช่เลื่อมใสใคร อยากได้อาจารย์ดีที่ต่อวิชาความรู้ให้ได้สิ่งที่ต้องการก็คือ

1. อยากไปเที่ยวในเขตนรกด้วยตนเอง
2. อยากไปเที่ยวสวรรค์ เขาว่ามีนางฟ้ามากและสวยๆ เสียด้วย
3. อยากไปชมพรหมโลก เห็นคุณยายบอกว่าหลวงพ่อปานท่านว่าเป็นดินแดนที่สวยกว่าเมืองเทวดา

เมื่อเข้าไปหาหลวงพ่อปานท่านก็รับรองทุกอย่าง ท่านว่าท่านไปได้และท่านสามารถสอนให้ไปได้ ถ้าคนที่เรียนจะเรียนกับท่านอย่างโง่ๆ คือไม่ทำอะไรเกินอาจารย์สั่ง ฉันชอบใจมาก ในอันดับแรกฉันบอกท่านว่าฉันกลัวผี แต่ทว่าฉันก็สงสัยเรื่องผีว่ามันมีจริงเพียงใด เรื่องของสัตว์นรก ตาลุง หลวงพ่อองค์ยิ้ม ฉันไม่คิดว่าเป็นผี ท่านสามารถให้พิสูจน์ด้วยการภาวนาคาถา 4 คำ การพิสูจน์คราวนั้นมีคนร่วมพิสูจน์ ไม่น้อยกว่า 200 คน แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงศักดิ์ทางราชการ เมื่อต่างภาวนาไม่เกิน 5 นาที ทุกคนยอมรับว่าเห็นผีทุกคน สำหรับคนอื่นเขาเห็นอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ฉันจะแอบไปรู้เรื่องคนอื่นเข้ามันจะเกินพอดี ฉันเองเห็นหลายผี มันเป็นคนที่ฉันรู้จักเสียส่วนใหญ่ที่เขาตายไปแล้วนั่งอยู่ข้างตัวฉัน ที่ไม่รู้จักก็มี บางคนก็เหมือนคนธรรมดา บางคนก็สวยมาก ฉันไม่เห็นน่ากลัวตรงไหน บางรายสวยเสียจนอยากเห็นบ่อยๆ

เมื่อทุกคนยอมรับว่าเห็น ท่านก็เลยเทศน์เรื่องสวรรค์ นรก พรหม และพระนิพพาน อีก 4 รายการ ท่านก็ทำให้เห็นได้ คราวนี้ฉันกับเพื่อนฉันเป็นยอดนักเบ่งด้วยกัน เกิดอยากเห็นสวรรค์มีนางฟ้ามากกว่าเทวดา เทวดา 1 องค์ มีนางฟ้าเป็นร้อยๆ พันๆ สงสารนางฟ้าแกจะเหงา จะหาโอกาสไปเป็นเพื่อนคุยกับแก อ้ายคนเราลงมีใจเลวลงเสียอย่างเดียวมันก็เลวหมดตัว เขาเรียนกรรมฐานกันเพื่อพระนิพพาน แต่ฉันอยากเรียนเพื่อจะไปเป็นผัวนางฟ้า อารมณ์อย่างนี้ถ้ายังไม่ว่าเลว คนประเภทใด เลวกว่านี้ยังมีอีกหรือ

เมื่อท่านเทศน์จบ ท่านถามว่า ใครอยากเห็นสวรรค์ พรหมโลก และพระนิพพานบ้าง ฉันกับเพื่อนเกลออีก 3 คน ยกมือก่อนเพื่อน ท่านเห็นเข้าท่านก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา ท่านถามว่าอยากเห็นจริงหรือ เรียนท่านว่าอยากเรียนขอรับ ท่านบอกว่า สำหรับคณะของเธอ 4 นี้ เรียนได้และได้ผลมากเกินคาด จะเรียนไหม เรียนท่านว่าคณะผมพร้อมที่จะเรียนครับ

ท่านบอกว่าฉันรับเธอเป็นศิษย์ฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่ทว่าถ้าเธอเรียนกับฉันเพื่อเอาดีต้องเรียนอย่างคนโง่นะ คือว่า ถ้าฉันสอนแบบไหน ให้ทำอย่างไร เธอต้องทำและคิดเท่านั้น การเรียนเอาดีต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เรายอมตายดีกว่าปฏิบัติไม่ได้ผล หรือยอมตาย ดีกว่าฝ่าฝืนคำสั่งครูบาอาจารย์ เต็มใจรับท่าน เพราะเรื่องการรับคำสั่งแล้วรักษาคำสั่งเป็นของปกติ ไม่มีอะไรหนักใจเลย ด้วยทำมาตั้งแต่รู้ภาษาคน ไม่เคยขัดคำสั่งที่ประกอบด้วยเหตุผล แต่ทว่าคนที่ไร้เหตุผลถ้าสั่งงานก็มักจะพบศอกกลับที่คาดไม่ถึงทุกราย จนเป็นที่รู้กันในวงงานที่ทำ เขาหาว่าบ้า โต๊ะคนบ้า ใครอย่าก้าวก่าย ถ้าขืนสั่งนอกเหนืออำนาจ ดีไม่ดีมันชักปืนไล่ยิงเอาเฉยๆ ใครอย่าไปยุ่งกับคนบ้า ความจริงเขาหาว่าฉันและเพื่อนบ้า เพราะฉันบ้าระเบียบวินัยก็เลยสบาย เพราะพวกบ้าฝ่าฝืนระเบียบวินัยไม่กล้ายุ่ง เมื่อฉันมีอารมณ์บ้าระเบียบวินัยอยู่แล้ว

ท่านบอกอย่างนั้นจะมีอะไรหนักใจ ทุกคนยอมรับอย่างไม่มีอะไรหนักใจ หลวงพ่อท่านยิ้ม ท่านบอกว่าพวกเธอเข้มแข็งมาก เรื่องนรก สวรรค์ พรหมโลก เธอปฏิบัติกับฉันไม่เกิน 3 เดือนเป็นอย่างช้า ไปได้สบาย ฉันกับพวกกราบท่านและขอเรียนทันที ท่านบอกเรียนได้ แต่ผมยังยาวเรียนไม่ได้ ผมมีสภาพเหมือนเขา เธอมีสภาพเหมือนกระทิงเปลี่ยว เมื่อกระทิงเปลี่ยวตัวเมามันและมีอานุภาพมากยังมีเขาอยู่ ทำพระกรรมฐานเอาดียาก และภาระของเธอก็มาก เธอต้องตัดเขาเสียก่อน คือโกนผมเข้าวัดบวชเป็นพระ เมื่อเธอบวชแล้วไม่เกิน 3 เดือน ฉันรับรองว่าเธอทั้ง 4 ท่องสวรรค์ นรก พรหมโลกได้อย่างสบาย

คณะของฉันยิ้มสดชื่นไปตามๆ กัน รับรองท่านว่าจะบวชและก็ยอมบวช เรื่องอาชีพ ไม่อาลัย ไม่จำเป็นต้องอาศัยอาชีพเดิม ถ้าสึกอาชีพเก่าเขาไม่ให้ทำก็ทำสวน กินตามเดิมก็ได้ ที่ดินก็มี สวนของยายก็ไม่มีอะไรน่าวิตก เป็นอันว่ารับกับท่านว่าจะบวชแน่นอน เดือนกรกฎาคม 2480 เป็นเดือนบวช เดือนที่ตกลงกันเป็นเดือนเมษายน 2480 เมื่อตกลงกันแล้วท่านแจกหนังสือวิสุทธิมรรคสมาธินิเทศคนละเล่ม ดูเหมือนท่านจะเตรียมมาให้ ท่านให้อ่านให้เข้าใจ เดือนมิถุนายนท่านให้ไปซักซ้อมความเข้าใจกับท่านที่วัด

เมื่อท่านสั่งแล้วเวลาก็ใกล้ 14 น. ท่านก็ลาที่ประชุมกลับ พวกฉันก็กลับ นับตั้งแต่รับหนังสือวิสุทธิมรรคมาแล้วก็พยายามอ่าน หนังสือนี้ต้องพยายามอ่านจริงๆ อ่านรู้เรื่องยากแท้ๆ ภาษาพระฉันไม่ชินมาก่อน และก็แถมเกลียดพระที่บวชแล้วชอบอวดรู้อวดวิเศษเที่ยวเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องบุญบาปนรกสวรรค์ แต่ตัวท่านเองเมามันดูไม่ได้เลย เป็นพระแล้วยังบ้าลาภ อยากร่ำรวย อยากสวยงาม อยากมียศ อยากให้ชาวบ้านชม เมื่อเทศน์แล้วถามว่านรกสวรรค์ท่านเห็นหรือเปล่า

ก็ตอบว่าไม่เห็น ไม่เคยทำให้เห็นตามที่เทศน์สอนชาวบ้าน แต่เที่ยวสอนคนอื่นเขา เราเห็นมาเองก็ดันมาว่าเป็นเรื่องโกหกพกลมบ้าๆ บอๆ ถ้าหลงทำไปจะบ้าแก้ไม่หาย พระระยำแบบนี้ทำให้ฉันไม่ไหว้พระ ฉันเกลียดพวกบ้ารวย บ้ายศ บ้าสรรเสริญ บ้าสวย พระต้องละ ดันมาเกาะเลว เมื่อเลวเท่ากัน แถมฉันดีกว่าที่เห็นหลวงพ่อองค์ยิ้มได้ ไปนรกได้ ถามตาลุงก็ได้ อยากเห็นอยากรู้เรื่องเมืองนรกตรงไหนก็ได้ เมื่อคนสอนมีความสามารถไม่เท่าฉัน เลวกว่าฉัน บางท่านดันลงอเวจี ฉันจะไหว้จะเคารพให้เสียศักดิ์ศรีฉัน หาทำไมตำแหน่งเจ้าคุณ ดีจริงทำไมไม่กันนรกให้ได้ เป็นอะไรก็ลงนรก เป็นเพื่ออะไร เพราะฉันไม่สังคมกับพระที่ไม่ถูกใจฉันๆ เลยไม่ค่อยรู้ภาษาพระ

เมื่อมาอ่านวิสุทธิมรรคเข้าก็ชวนนอนหลับเสมอ กว่าจะเข้าใจภาษากันวันเวลาก็ผ่านไปเกือบ 10 วัน พอจะเริ่มรู้ภาษากันบ้าง ท่านผู้ใหญ่ไปหารือกับพระ ฉันบอกว่าพระสวะพระจัญไร ฉันไม่ขอพึ่งบารมี ดีไม่ดีจะแนะนำผิด เว้นไว้แต่หลวงพ่อปาน ยังไม่อยากไหว้พระองค์อื่นจนกว่าฉันจะเห็นว่าท่านดี เรื่องของกิเลสตัณหาเป็นอย่างนี้ แถมพระท่านก็เป็นทาสกิเลสตัณหาเสียด้วย ก็เลยไม่มีที่พึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ซักซ้อมความเข้าใจ

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2480 ก็ไปหาหลวงพ่อปาน ท่านซักซ้อมความจำในกรรมฐาน 40 กองในวิสุทธิมรรค ท่านบอกว่ากรรมฐาน 40 กอง ในวิสุทธิมรรคมีความจำเป็นต้องใช้ทั้งหมด เพราะเราจะปฏิบัติเอาดีกัน ถ้าปฏิบัติอวดชาวบ้านก็ไม่ต้องเรียนมาก ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ก็ได้ ทำนั่งหลับตาหลอกชาวบ้านไปสักพัก คนที่บ้าพระหลับตาก็จะมาเป็นแถว เวลาเขามาก็ทำท่าสงบเสงี่ยม พูดน้อย ลืมตาน้อย เท่านี้ ลอกหนังหัวชาวบ้านกินสบาย เพราะชาวบ้านคลั่งพระหลับตามีมาก แต่ทว่าการทำอย่างนั้นพระมีหวังลงอเวจีไม่ยาก มันเป็นมายา

เธอบวชแล้วจงอย่าทำอย่างนั้น เมื่อมายามี กิเลสก็มี ความดีจะไม่ปรากฏ เมื่อบวชแล้วจงเป็นคนปล่อย อย่าปกปิดความเลว อย่าอวดความดีที่ตนยังไม่มี ดีหรือเลวเท่าไรให้ชาวบ้านเขาเห็นสบายๆ จงอย่าหวังการกราบไหว้ของคนอื่น เขาไหว้หรือไม่ไหว้จงอย่าเห็นเป็นสาระ เราบวชเพื่อละ ทำแค่ดี อย่าหวังให้ชาวบ้านชมว่าดี ด้วยชาวบ้านนิยมของปลอม ถ้าหวังคำชมเราก็ต้องทำตนเป็นพระปลอม เวลาตกนรกไม่มีใครช่วยเรา ท่านพูดเท่านี้ก็นึกถึงท่านเจ้าคุณนรกได้ คิดว่าชาตินั้นทั้งชาติจะไม่ยอมรับตราตั้งจากใคร ด้วยเกรงว่าถ้าลงไปนรก ดีไม่ดีเจ้าคุณนรกแกไปอยู่ก่อนเกิดมีพวก แกอาจนำพวกมาซ้อมเอาก็ได้


แนะนำเรื่องการปฏิบัติ

ท่านบอกว่าในหนังสือวิสุทธิมรรค ท่านแนะแนวปฏิบัติไว้ตรงตามพระพุทธพจน์ (พระดำรัสของพระพุทธเจ้า) เรื่องอารมณ์พระกรรมฐานแต่ละกองต้องจำให้ขึ้นใจ นิมิตแต่ละกองต้องจำให้ได้ เคล็ดลับในการดูวิสุทธิมรรคท่านสอนต่อไปว่า พวกเธอทั้ง 4 ต่างมีบารมีสั่งสมมาจากชาติก่อนมาก ท่านหันมาทางฉัน ท่านบอกว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิไว้ และบารมีก็ใกล้จะจบเต็มที เธอต้องศึกษาให้มาก ต้องจำและทำทุกด้านของพระกรรมฐาน เพราะพุทธภูมิต้องเป็นครูเขา ครูถ้ามีความรู้ไม่ครบถ้วนจะทำให้ศิษย์เสียผล อุปนิสัยของคนไม่เสมอกัน ฌานทั้ง 8 ต้องศึกษาให้ครบ เมื่อดูพระกรรมฐานในวิสุทธิมรรค

ก่อนอ่านควรจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธเจ้าและอธิษฐานว่า กรรมฐานกองใดบ้างที่ข้าพเจ้าเคยเจริญมาและได้ผลมาแล้วในชาติอดีต ขอให้มีใจรักกรรมฐานกองนั้น เมื่อดูไปเกิดความพอใจกองใดบ้างจงทำเครื่องหมายไว้ เมื่อดูตลอดแล้วจะเห็นว่าเรารักหลายกอง แล้วกลับดูใหม่ดูเฉพาะกองที่เรารัก ก่อนดูให้อธิษฐานว่ากรรมฐานกองไหนถ้าจะปฏิบัติได้ผลเร็วขอให้รักกองนั้นมากกว่ากองอื่น เมื่อรักกองไหนมาก ทำกองนั้นจะมีผลไม่เกิน 15 วันเป็นอย่างช้า เมื่อขณะเจริญพระกรรมฐานที่เรารัก จงจำนิมิตกรรมฐานทุกกองพร้อมทั้งอารมณ์ไว้ให้แม่น เมื่อกรรมฐานกองต้นถึงที่สุด นิมิตกรรมฐานเก่าที่เราเคยได้จะปรากฏ จงยึดเอากรรมฐานกองนั้นทำต่อไปไม่เกิน 7 วัน กรรมฐานกองนั้นก็จะถึงที่สุด เมื่อมีนิมิตกรรมฐานกองใดเกิดขึ้น ก็จงทำอย่างนั้นต่อไป การเจริญพระกรรมฐานจะมีผลเกินกว่าที่เธอตั้งใจ


ผลที่จะได้รับเมื่อปฏิบัติจริง

ตามคำแนะนำของหลวงพ่อเป็นความจริงทุกอย่าง เพื่อน 2 องค์เมื่อทำกรรมฐานกองต้นจบ แกมีนิมิตกสิณเกิดติดต่อกันหมดทั้ง 10 กอง แกเลยได้อภิญญาไป ส่วนฉันเมื่อกรรมฐานกองต้นจบ นิมิตเตโชกสิณก็ปรากฏ พบกสิณ 7 กอง ต่อไปกสิณก็ไม่มาอีก กลายเป็นอสุภบ้าง อนุสสติบ้าง เลยเล่นอภิญญากับเขาไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องด๊อกแด๊กๆ อยู่กับชาวบ้านจนจะแก่ตายอยู่แล้ว และกำลังทำท่าจะตายจะเข้าป่า หลวงพ่อท่านก็ว่าแกมีหนี้มากต้องใช้หนี้กรรมไปก่อน หมดนี้กรรมแล้วไปได้ น่ากลัวป่าที่จะไปคงไม่ใช่ป่าชัฏ อาจจะเป็นป่าช้ามากกว่า เวลานี้ก็เตรียมป่าช้าไว้ในกุฏิแล้ว เห็นป่าคราวใดสบายใจมาก มันสุขใจเหลือเกินที่เห็นป่าช้า


เมื่อถึงวันบวช

เมื่อบวช มีท่านพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปานและหลวงพ่อเล็กเป็นคู่สวด ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปานท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อ หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า 3 องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน 2 องค์นี้พอครบ 10 พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ หมายถึงฉัน จงเข้าป่าไปกับเขาแต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมากต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ 20 พรรษา จงออกจากสำนักเดิมเจ้าจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ ฟังดูเถอะ พระแกมีลูกยอแจกเหมือนกัน แล้วพวกฉันก็บ้ายอ พอดีกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


อาชีพป่าช้า

เมื่อท่านพระอุปัชฌาย์มีบัญชาอย่างนั้น ปกติตามพระวินัยพระไม่ครบ 5 พรรษาต้องอยู่ในโอวาทของพระอุปัชฌาย์ตลอดไปจนกว่าจะครบ 5 พรรษา เรียกว่า นิสัยมุตตกะ คือพ้นอกพ่อแม่จะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าดีไม่พอ ท่านอุปัชฌาย์ก็ปล่อยไม่ได้ ต้องโอบอุ้มกันต่อไป เมื่อบวชระยะต้น ถูกท่านอุปัชฌาย์เรียกอบรมปีละ 3 ครั้ง ไม่เหมือนสมัยนี้ อุปัชฌาย์กับพระที่บวชให้ไม่เห็นเขาพบกัน บวชให้ได้เงินแล้วก็หายเงียบไป พระพุทธวินัยถ้าเขาจะเลิกใช้กันแล้วกระมัง ในกรุงเทพฯ เป็นอย่างไรไม่ทราบ ตามหัวเมืองขณะนี้ไม่ไหวจริงๆ

เมื่อท่านอุปัชฌาย์มีบัญชาอย่างนั้น ท่านคู่สวดก็ถือเป็นคำสั่ง ฟังเรื่องพระแก่ไว้บ้างก็ดี ท่านปฏิบัติกันอย่างไร พอออกจากโบสถ์ หลวงพ่อปานก็เรียกเข้าอบรมกรรมฐานทันที แม้แต่ส้วมก็ยังไม่ได้เข้า เมื่ออบรมเสร็จเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ท่านปล่อยให้ระบายถ่ายของเก่า และเตรียมตัว เมื่อเตรียมเสร็จก็พาเข้าป่าช้าทันที เป็นอันว่าออกจากโบสถ์ก็เข้าป่าช้า ท่านว่าบวชเอาดีเขาบวชกันแบบนี้ เมื่อเข้าป่าก็ต้องอาศัยกระท่อมที่เขาเก็บศพ กระท่อมไหนว่างอยู่กระท่อมนั้นต้องแยกกันอยู่คนละกระท่อม ห่างกันมาก ป่าช้าก็รก มีกระต่าย มีเสือปลา นึกเอาเองก็แล้วกันว่ามันรกขนาดไหน

เดี๋ยวนี้ป่าช้านั้นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันท่านให้รถเหล็กไถเสียเตียนแล้ว เสียดายเหลือเกิน พระไม่มีป่าช้าดีๆ อาศัยเจริญสมณธรรมอีก เมื่อทราบว่าทางวัดไถป่าช้าหมด ไปดูด้วยตนเองเห็นเป็นเรื่องจริงก็เลยไม่ได้ไปวัดบางนมโคอีกเลย นับตั้งแต่ วันที่เห็นป่าช้าเตียน เพราะหมดสัญลักษณ์ของคนบ้าป่าช้า เมื่อท่านนำเข้าป่าช้า กว่าจะหากระท่อมว่างได้แต่ละองค์ก็กินเวลานาน เมื่อได้ที่แล้วท่านก็กลับ เมื่อจะกลับ

ท่านบอกว่า ถ้าพวกเธอประมาทไม่รักษาอารมณ์กรรมฐานเธอจะถูกผีหักคอตาย ถ้าเธอรักษาอารมณ์พระกรรมฐานไว้เธอจะปลอดภัยและได้ดีเร็ว แล้วท่านก็กลับ เมื่อท่านเดินออกมาได้ 2-3 ก้าว ท่านหันไปพูดว่า พวกเธอจะเกิดอะไรผิดปกติก็ตาม ห้ามไปหาฉันในเวลากลางคืน จะพบฉันได้ต่อเมื่อได้เห็นแสงอรุณที่ส่องแล้ว (แสงทอง) แล้วท่านก็กลับ ดูเถอะท่านผู้อ่าน ลีลาของท่านไม่ย่อยเลย สมกับเจ้าตัวดี 4 ตัวที่อยากแสวงหาคุณธรรมพิเศษ ผลจะเป็นอย่างไรอ่านต่อไป


ผีสาวอาละวาด

คืนแรกที่เข้าป่าช้าก็พบกับความศักดิ์สิทธิ์ของป่าช้า นั่นคือผีดิบอาละวาด เมื่อหลวงพ่อท่านกลับออกมาแล้วต่างก็ตั้งพิธีกรรมตามใจชอบ คือ ใครเห็นว่าอะไรควร ก็ทำกันตามอารมณ์ของตัว เพราะต่างคนต่างอยู่ ป่าช้าก็แสนจะรก เดินไปมาหาสู่กันก็แสนจะยาก เกรงว่าเจ้างูร้ายนายป่าช้ามันจะเล่นงานเอา ก็เลยต้องต่างคนต่างอยู่ สมัยนั้นไฟฟ้าที่วัดบางนมโคยังไม่มีใช้ มีตะเกียงรั้วคนละลูกจุด มีแสงรำไร น่ากลุ้ม ไม่น้อยเลย พอค่ำดีฉันก็เข้าสมาธิตามแบบฉบับของหลวงพ่อที่ท่านสอน ท่านสอนว่าก่อนภาวนาให้ปลงสังขารตามแบบไตรลักษณ์ก่อน ฉันจะไม่อธิบายว่าเขาปลงกันอย่างไร

เมื่อปลงสังขารพอสบายก็เริ่มภาวนา ท่านว่าอย่างนั้น หรือว่าใครปลงสังขารได้ตลอดเวลาจนกว่าจะถึงเวลาเลิกโดยไม่ภาวนาเลยยิ่งดีใหญ่ ที่ท่านสอนแบบนั้นความจริงท่านป้อนวิปัสสนาญาณให้พอใจ ด้วยพวกฉันทั้งพวกเป็นพวกบ้าสมถะ ฉัน ไม่ต้องการวิปัสสนา เพราะนิพพานฉันไม่สนใจ ฉันต้องการเห็นสวรรค์และนางฟ้า อยากจะดูนางฟ้าว่าจะสวยขนาดไหน คนสวยเคยเห็นและรู้รสสัมผัส ตอนนี้อยากเห็นนางฟ้า และอยากได้นางฟ้ามาเป็นเมีย คนนี่ถ้าลงได้บ้าแล้วมันบ้าไม่น้อย บ้าพอกับวาสนาบารมีทีเดียว อย่างฉันเป็นตัวอย่าง เมื่อท่านเห็นว่า ไม่ชอบวิปัสสนา ท่านทราบว่าอารมณ์สมถะเป็นเพียงกำลัง วิปัสสนาเป็นอาวุธ ที่จะประหัตประหารกิเลส เมื่อผู้ปฏิบัติไม่ชอบก็เลยบอกวิปัสสนาเป็นสมถะเสีย เจ้าจอมโง่ที่บรมบ้าไม่ฉลาดเท่าท่านก็เลยคิดว่าวิปัสสนาเป็นสมถะ เมื่อปลงขันธ์ 5 ตามรูปสักกายทิฏฐิในแนวไตรลักษณ์แล้ว พออารมณ์สบายก็ขยายอารมณ์ออกในแนวพรหมวิหาร 4 เมื่อเห็นอารมณ์ชุ่มชื่นด้วยปีติ ความอิ่มใจปรากฏ ฉันก็เริ่มบทภาวนา คือ ตั้งจิตจับลม 3 ฐานตามวิสุทธิมรรค หลวงพ่อท่านก็สอนตามนั้น หายใจเข้ารู้ว่าลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบท้อง หายใจออกรู้ว่าลมกระทบท้อง กระทบอก กระทบริมฝีปาก ฉันทำได้ไม่เห็นจะยากเลย ง่ายจะตายไป นึกในใจว่าของกล้วยๆ แบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่ากรรมฐานระดับที่ 2 เมื่อกำหนดลมอยู่แล้ว คือสติคอยจับการกระทบไม่พลาดเป้าหมาย ท่านให้ภาวนาว่า พุทโธ อันนี้ยิ่งหวานจ๋อยใหญ่ เพราะว่ามาเป็นปกติ อันที่ 3 ท่นให้กำหนดรูปพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่ชอบให้เห็นว่าลอยอยู่ภายนอกหรือในอก อันนี้ก็กล้วยอีก ได้แล้วตั้งแต่อายุ 12 ปี เอาของที่ได้แล้วมาสอนง่ายจะตายไป

แปลกอยู่อย่างเดียวที่กำหนดลมเท่านั้นเอง เห็นว่าเป็นของใหม่ ฉันทำตามท่านไปพักหนึ่งประมาณชั่วโมงครึ่ง เห็นอารมณ์สบาย ฉันเกิดนึกถึงหลวงพ่อองค์ยิ้มของฉันขึ้นมา ฉันเลยขอเห็นหลวงพ่อองค์ยิ้มแทนพระพุทธรูป พอหลวงพ่อองค์ยิ้มมา คราวนี้ท่านพูด ท่านเรียกฉันว่า สัมพเกษี ฉันอาจจะได้ยินเพี้ยนไป คงจะเป็นคำว่า สรรพเกษีกระมัง ท่านพูดว่าการรักษาลมหายใจเข้าออกเป็นฌานนะลูก จงรักษาให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จิตของลูกจะมีกำลัง จะท่องเที่ยวไปไหนก็ไปได้เอง นรกสวรรค์ พรหม แม้พระนิพพานก็สามารถไปได้ ฉันดีใจเกือบตายที่หลวงพ่อองค์ยิ้มของฉันพูดกับฉัน เวลาผ่านมา 10 ปีเศษที่ฉันพบท่าน ท่านยิ้มอย่างเดียว ท่านไม่เคยพูดเลย แต่ยิ้มท่านยังมีประโยชน์ ฉันจะไปนรกท่านยิ้มปัปเดียวฉันถึงนรกเลย

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4 ชั่วโมง ฉันก็พัก หยิบนาฬิกาข้อมือที่ติดตัวมาออกมาดูเห็นบอกเวลา 23 น. ฉันพักจากทำสมาธิ วันนี้ดูอารมณ์ชุ่มชื่นผ่องใสมากเหมือนเมื่อยังไม่ได้บวช มีความสุขบอกไม่ถูก ฉันออกมาเดินนอกกระท่อม รอบๆ กระท่อมที่ฉันอยู่มีกระท่อมที่ยังมีศพอีก 3 กระท่อม พระท่านบอกว่าเมื่อวันวานนี้เขาเอาศพหญิงอายุ 18 ปี ตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอตายด้วยโรคอะไรไม่ทราบมาไว้ ฉันเดินไปใกล้กระท่อมหลังนั้น ตอนดึกมันเงียบสงัดดีจริง แสงไฟนอกจากระท่อมฉันแล้วไม่มีที่ไหนเลย เสียงสิ่งที่มีชีวิตไม่มีเสียงปรากฏเลย มองไปดูบนวัดเห็นแสงไฟดับหมดแสดงว่าพระหลับ มองไปทางกระท่อมเจ้า 3 เพื่อนก็เงียบสงัด ฉันมันอิ่มใจที่หลวงพ่อองค์ยิ้มท่านพูดกับฉัน ใจมันฟูไม่อยากนอน ไม่อยากหลับ เดินไปเดินมาอยู่คนเดียว มองความวิเวกด้วยอารมณ์เป็นสุข

พอเดินเข้าไปใกล้กระท่อมแม่สาว ได้ยินเสียงอึดๆๆๆ แล้วมีเสียงตีข้างโลงดังปัง ฉันหยุดยืนฟังเสียอึดๆๆๆ ดังตลอดเวลา ฉันคิดว่าแม่นี่จะอาละวาดกระมัง อยากจะรู้นักว่าคนตายแล้วจะมีฤทธิ์เดชสักแค่ไหน กลับมาที่กระท่อม ถือตะเกียงหาเครื่องมือด้วย ตอนเย็นเห็นสิ่วกับขวานอย่างละ 1 เล่ม ที่สัปเหร่อลืมเอาไว้ จึงไปนำสิ่วกับขวานมา พอมาถึงโลงก็งัดฝาโลง เมื่อเปิดออกไปแล้วกลิ่นแกเหม็นจัง ตอนที่ไปโอ๋สาวๆ ไม่เห็นมันเหม็นอย่างนี้เลย หรือไม่ได้มองตรงที่เหม็นก็ ไม่ทราบ หรือหน้ามันมืดเลยเห็นของเหม็นคิดว่าเป็นของหอมไปก็ไม่รู้ ยืนท้ายลมทนไม่ไหว ต้องขยับไปทางเหนือลม เอาไฟฉายส่งลงไป

เห็นแกนอนลิ้นจุกปาก ขึ้นอืด น้ำเหลืองเดือดทางปากปุดๆ เสียงที่ดังลอดออกมาเป็นเสียงน้ำเหลืองไหลนั่นเอง เสียงดังปังปรากฎอีกเป็นเสียงที่สายตราสังที่เขามัดมือมัดเท้าขาด มือเท้าแกวัดข้างโลง เลยดังปัง เป็นอันว่าแกไม่มีเจตนาหลอก แกทนไม่ไหวต่างหาก ตอนนี้เลยใช้อารมณ์อสุภกรรมฐานตามที่เรียนมาเข้าพิจารณาเลยได้อุสภสัญญาเล็กน้อยพอมองสาวไม่สวย เมื่อไปทะเลาะกับแม่สาวน้อยกลอยใจ พอเข้าใจว่าเธอไม่แกล้งหลอก และได้อสุภสัญญาพอควรแก่อารมณ์ก็กลับมานอน ปรากฏว่านาฬิกาบอกเวลา 2 น.เศษ เมื่อนอนก็ปลงตามภาพที่เห็นมา พอใจสบายอยากจะหลับปรากฏว่าพวกที่ยิงตายสมัยก่อนบวช มีจำนวนประมาณ 30 คนกว่า มันมานอนคว่ำหน้าเป็นแถว ได้พยายามแผ่เมตตาขอให้รับส่วนบุญ มันไม่เอาสักอย่าง ทำอย่างไรก็ไม่เอา มันบอกว่ามันจะพยายามขัดขวางการบำเพ็ญฌานด้วยประการทั้งปวง เมื่อมันไม่เอาจริงๆ ก็เลยนอนแล้วก็หลับไป เมื่อคนจะนอนผีจะว่าอย่างไรคน ไม่เกี่ยว นอนปิดหูปิดตาส่งเดช มันเมื่อยมันเข้าต่างก็ถอยทัพกลับเป็นแถว

เมื่อแสงทองปรากฏก็เตรียมตัวออกบิณฑบาตรปฏิบัติตามระเบียบของพระ เมื่อกลับมาและฉันอาหารร่วมกับพระทั้งหมด มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข เมื่อฉันเสร็จหลวงพ่อท่านมองหน้าฉัน ท่านพูดว่า เมื่อคืนคุณทรงอารมณ์ได้ดีมาก ศพหญิงสาวมีประโยชน์ แต่ทว่าคุณตอกตะปูที่เขาตอกไว้ไม่ครบ ฉันแล้วกลับไปตอกเสียให้ครบ ถ้าไม่ทำให้ครบเจ้าของศพเขาจะหาว่ายักยอกทรัพย์สินของเขา เป็นพระต้องระมัดระวังอย่าใช้คำว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าของจะมีค่าน้อยขนาดไหน ถ้าเขาไม่อนุญาตมีโทษทั้งนั้น

เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่ากระผมเปิดโลงผี ท่านบอกว่าท่านทราบตั้งแต่ตอนกลางวัน คือ ทราบตั้งแต่ยังบวชพระไม่เสร็จว่าเธอจะต้องเปิดฝาโลงผี จึงจัดเธอไว้ที่นั่นเพื่อให้เปิดได้สะดวกๆ แล้วท่านก็พูดต่อไป พวกที่จองเวรเธอ ขอให้สัญญากับมันว่าปีหน้า 2481 จะบวชพระให้ 7 องค์ ทอดกฐินให้ 7 วัด ขอให้มันอโหสิกรรม (งดจองกันต่อไป) เสีย ถามท่านว่าทราบอย่างไร ท่านบอกว่าท่านทราบพร้อมกับทราบเรื่องงัดฝาโลงผี นี่เป็นเรื่องแปลกที่คาดไม่ถึง เลยเกิดศรัทธาในตัวท่านมากขึ้น พอกลับมาถึงที่พัก เจ้าพวกจัญไรมาปรากฏอีกก็เลยให้สัญญากับมันตามที่หลวงพ่อสั่ง มันยอมรับและไม่มารบกวนอีกเลย เรื่องการสร้างกรรมชั่ว ถ้าเห็นตัวอย่างแบบนี้พอเชื่อได้ สำหรับวันนี้เหนื่อยแล้วขอพักก่อน วันต่อไปจะนำเรื่องที่เห็นว่าควรมาเล่าให้ฟังต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเข้าสู่ฌาน

เมื่อวันที่ 24-27 ฉันมีธุระเกี่ยวแก่การตอบจดหมายเสีย ไม่มีโอกาสคุยกับลูกหลาน วันนี้พอว่าง วันที่ 27 พฤศจิกายน 2514 อากาศมันหนาวเย็นเหลือเกิน ฉันเป็นคนแก่ไม่ชอบความหนาว แต่ฉันคิดว่าฉันจะทนหนาวไปชั่วคราว โดยไม่ทำใจให้ลำบากเพราะความหนาว จนกว่าจะสิ้นลมปราณ เมื่อฉันตายแล้วฉันก็จะไม่หนาว เพราะบ้านที่ฉันจะไปอยู่ใหม่ไม่มีหนาว ไม่มีร้อน มันเย็นพอสบาย บ้านก็สวยตระการตาน่าอยู่จริงๆ หาความลำบากไม่ได้เลย ฉันอยากไปอยู่บ้านหลังนั้นเร็วๆ จะได้มีความสุข แต่ทว่าฉันจะรีบไปก่อนกำหนดเวลาไม่ได้ ด้วยฉันสร้างความชั่วไว้มากในอดีต ฉันต้องชดใช้กรรมไปจนกว่าจะหมดโทษตามกำหนดของกรรม ฉันไม่หนักใจเรื่องใช้กรรม เพราะฉันหวังความสุขข้างหน้า เรื่องของกรรมงดไว้เท่านี้ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเห็นด้วย

จะพูดให้ฟังเรื่องบวชเลยทีเดียวก็เสียดายความฝัน คนแก่ชอบนอนฝัน เมื่อฝันได้ตามความตั้งใจแล้วมันมีความสุข เมื่อวันที่ 27 เดือนนี้ ได้ยินข่าวเขาปฏิวัติกัน ฉันคิดถึงลูกหลานว่าทุกคนเขาอยู่ในเขตปฏิบัติจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ก็เลยอยากฝัน เมื่อนอนหลับฝันว่าทุกคนไม่มีใครเดือดร้อน เพราะคณะปฏิบัติเป็นคนไทยและรักคนไทย ตั้งใจเขี่ยไทยที่เอาใจออกห่างออกนอกวงการ ฉันตื่นแล้วฉันก็สบายใจ

เมื่อคืนวันที่ 28 ฉันฝันอีก คราวนี้ฝันว่าฉันออกจากตัวไปที่พระจุฬามณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไปถึงเชิงจุฬามณี ที่ตรงนั้นฉันเคยพบพรหมและเทวดามากมาย แต่วันนี้เงียบเชียบเหลือเกิน หาใครสักคนก็ไม่ได้ ฉันเดินเข้าไปใกล้ประตูด้านทิศตะวันตกของจุฬามณี เห็นท่านมเหสักขา ท่านเป็นเทวดายามอยู่ที่หน้าประตู ท่านยกมือไหว้แล้วท่านรายงานว่า วันนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์ จึงไม่ใคร่มีใครเดินหรือยืนให้เห็น ฉันรีบเข้าไปเห็นพรหม เทวดา พระ นั่งกันสงัดเต็มจุฬามณี แยกเป็นพวกๆ พรหมแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ พรหมโลกีย์นั่งอยู่พวก 1 พรหมอริยะนั่งอยู่พวก 1 เทวดาก็เหมือนกัน พวกที่ได้ญาณแต่ยัง ไม่ตายเห็นไปนั่งอยู่พวก 1 ฉันเดินหลังต่ำ (ก้มหลัง) เข้าไปนั่งรวมกับพระที่ไม่อยากเกิด ได้ยินเสียงเทศน์ว่าคนที่ละขันธ์ 5 ได้แล้วมีความสุขกว่าพวกทรงขันธ์ 5 มาก เช่น เทวดาหรือพรหมก็ตามที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็ละขันธ์ 5 มาแล้ว ลูกหลานก็คงจะเข้าใจแล้วว่าขันธ์ 5 คืออะไร เพื่อความแน่ใจหลวงตา คือฉันจะย้ำสักหน่อย

เพื่อความมั่นใจ คำว่าขันธ์ 5 พวกนักธรรมที่ชอบคุย เขาชอบโม้เป็นคุ้งเป็นแควว่ามันมีรูปกับนาม ฟังน่าเบื่อหู แล้วเขาว่าต่อไปอีกว่ารูป ได้แก่ รูป คือสิ่งที่เห็นด้วยตาและมีการสัมผัสรู้สึก มีตัวตน เนื้อหนัง เป็นรูป ส่วนนามนั้นได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาว่าอย่างนี้ ลูกหลานฟังรู้เรื่องไหม ฟังได้ก็ฟังไป ฟังไม่ได้เขาก็พยายามพูดให้ฟังน่ารำคาญ ฉันว่าพูดอย่างนี้ดีกว่า เอาภาษาชาวบ้านมาใช้ดีกว่า ฉันแม้จะบวชเป็นหลวงตาแก่ แต่ฉันเป็นลูกชาวบ้าน ฉันชอบภาษาชาวบ้าน รู้เรื่องง่ายไม่ต้องแปลไม่ต้องขยายความ ฉันว่าขันธ์ 5 ก็คือร่างกายของเรา มันจะมีอะไรบ้างก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องแยก เพราะเราไม่ต้องโม้ เมื่อเรามีร่างกาย ท่านว่าอย่างนั้น มันก็ปวดเมื่อย หนาว ร้อน หิว มีความป่วยไข้ไม่สบาย และมีเรื่องยุ่งจิปาถะ อยากสวย อยากดี อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากเก่ง อยากเด่น ไม่อยากหนาว ไม่อยากร้อน ไม่อยากหิว ไม่อยากกระหาย ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ดังนี้เป็นต้น

ดูขันธ์ 5 แล้วเหมือนคนบ้าที่มันบ้าฝืนอารมณ์เราทุกอย่าง หรือว่าเราบ้าฝืนกฎที่มันต้องเดินไป ช่วยกันคิดดูก็แล้วกัน เราบ้า หรือขันธ์ 5 มันบ้า เรื่องนี้ปล่อยไป มาว่ากันตามที่ท่านเทศน์ ท่านเทศน์สั้นๆ ว่า พรหมและเทวดาเมื่อละขันธ์ 5 มาแล้วมีความสุข เพราะไม่ต้องหนาว ไม่ต้องร้อน ไม่หิว ไม่ป่วย ไม่เมื่อย ไม่มีความลำบาก จากเหตุที่เกิดจากกายคือขันธ์ 5 ดีกว่าเกิดเป็นมนุษย์มาก ฉันนั่งฟังแล้วฉันก็สบายใจ ฉันเห็นว่าท่านเทศน์ถูก เทศน์ตรงตามความเป็นจริง ท่านเทศน์ต่อไปว่า การละขันธ์ 5 มาเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตามยังเอาสุขแท้แน่นอนไม่ได้ เพราะเทวดาหรือพรหมที่ได้บรรลุมรรคผลถึงระดับสกิทาคามีขึ้น หรือถึงอนาคามีแล้วก็ตาม ต่างก็ยังมีกังวล ยังมีภาระที่ต้องทำ และยังมีความหนักใจ คือเทวดาที่ได้อริยะต่ำกว่าสกิทาคามีต้องลงไปเกิดอีก จะต้องมีขันธ์ 5 จะต้องลำบาก ต้องมีทุกข์ เทวดาหรือพรหมที่ได้อริยะตั้งแต่สกิทาคามีขึ้นไป ก็ยังมีภาระที่ต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ สู้ละขันธ์ 5 แล้วเข้านิพพานเลยไม่ได้ ท่านเทศน์เท่านี้แล้วท่านก็หยุด ฉันเห็นมีโอกาส ฉันกราบท่านแล้วทูลถามท่านว่า คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายและสั้นที่สุด

ท่านตรัสว่า เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลนก็ไม่มี แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า ภาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็น เหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายแล้วก็จะเข้านิพพานได้ทัน พอท่านพูดจบฉันก็ตื่นจากหลับ ฉันฝัน อย่างนี้คิดว่าเป็นเรื่องของพระแก่ฝัน จะจริงเท็จอย่างไรจงใคร่ครวญเอาเอง ชอบใจก็เอาไปใช้ ไม่ชอบใจก็วางไว้ อย่าเอาอารมณ์เข้าไปเกาะมันจะเป็นกังวล ต่อไปนี้มาเรื่องเดิมกันต่อไปดีกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


อารมณ์ฌาน

เมื่อเข้าบวชได้ 3 วัน นับตั้งแต่วันออกบวช หลวงพ่อปานท่านสั่งให้รักษาลมหายใจเข้าออก ท่านถือเป็นหลักใหญ่ ก่อนภาวนาท่านให้ปลงขันธ์ 5 ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ต้องอธิบายนะ และสอนให้ใคร่ครวญอารมณ์ชั่วที่เกาะใจให้ระงับเสียชั่วคราว คือ นิวรณ์ 5 ได้แก่ การพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ หรือเสียงประจบเอาใจ กลิ่นที่ชอบใจ รสอร่อยจากรสอาหารหรือรสสัมผัส และให้ตั้งอารมณ์เมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งโลก ตัดความสงสัย ตัดอารมณ์นอกรีตนอกรอยที่คิดเกินครูสอน ระงับความง่วงเมื่อมันเข้ามาขัดจังหวะ แต่ไม่ให้ทนง่วงจนเกินพอดี

ท่านบอกว่าจะเกิดโรคประสาท เขาจะหาว่าทำกรรมฐานบ้า ความจริงทำกรรมฐานรักษาอารมณ์ให้ปกติเป็นการปฏิบัติตัดอารมณ์บ้า แต่ถ้าใครทำจนเป็นบ้า คนนั้นก็เป็นคนทำเกินพอดี เกินคำสั่งของพระพุทธเจ้า เรียกว่าลูกศิษย์ไม่เชื่อครู เรื่องการพยายามเกินพอดีท่านกำชับมาก ห้ามทำเด็ดขาด ถ้าทราบจะถูกประณามในที่ประชุม ท่านสอนการใคร่ครวญ ท่านให้ทำให้มาก เมื่อมีอารมณ์ระงับความชั่วได้แล้วและพอมองเห็นจริงกับ ไตรลักษณ์บ้างแล้ว จึงให้ภาวนา วิธีสอนของท่านมีผล 2 ทาง คืออารมณ์คิดหรือใคร่ครวญ เป็นการปล่อยเรือให้ไหลไปตามกระแสน้ำก่อน คือไม่เอาเรือขวางเมื่อน้ำเชี่ยว

ทั้งนี้เพราะจิตมีความสัมพันธ์กับความคิด ที่ไม่มีขอบเขตมาแล้วหลายแสนกัป คิดเป็นชาติเกิดก็หลายล้านชาติ ทุกชาติที่เกิดมันคิดตามอารมณ์ของมัน ไม่มีใครห้ามปราม มันมีอิสระในความคิด ตอนนี้เราจะเกิดมาห้ามมันคิด เอะอะก็ห้ามกันเลย มันจะไหวหรือ ท่านให้คิดก่อน แต่หาเรื่องให้คิดในมุมกลับ คือคิดตัด คิดระงับ แต่ก็ไม่ตัดไม่ระงับทันทีทันใด เช่นคิดถึงรูป มันก็ต้องมองความสวยกันก่อน เมื่อจะระงับอารมณ์ที่ติดในความสวย คราวนี้ต้องแก้ผ้าคนสวยกัน เมื่อแก้ผ้าแล้วเห็นว่าสวย ก็ต้องผ่าท้องกันเอาตับไตไส้ปอดออกมาดู

คราวนี้จะมีอะไรสวย มันก็หมดเรื่องกัน เมื่อหาเรื่องให้คิด จิตพอมีอารมณ์สบาย แม้ไม่มีโอกาสเที่ยวไกลนักแต่ยังมีโอกาสเที่ยว อารมณ์กลุ้มก็บรรเทา อันนี้เป็นวิธีบรรเทาอารมณ์กลุ้มของจิต อันดับที่ 2 เมื่อใคร่ครวญตามนั้นก็เกิดอารมณ์เบื่อในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส หมดความสงสัยเพราะเห็นจริงกับความจริงที่มองเห็น เกิดอารมณ์ยับยั้ง ใจไม่ดิ้น มีอารมณ์เบื่อ หมดสงสัย ใจก็เป็นสมาธิง่าย ถ้าพิจารณาไม่เห็นตอนความเปลี่ยวไม่ลด ท่านห้ามภาวนา

เมื่อทำตามท่านรู้สึกว่ามันง่ายจริงๆ ใคร่ครวญพอสมเหตุสมผลแล้วเริ่มจำความเคลื่อนไหวของ ลมหายใจ จับภาพพระโดยเฉพาะหลวงพ่อองค์ยิ้มง่ายมากและแจ่มใสชัดเจน ทรงอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง คืนที่ 2 ลองตั้งอารมณ์อย่างนั้น 5 ชั่วโมง เห็นทรงได้สบาย จะทรงอารมณ์เมื่อไรก็ได้ พอย่างเข้าวันที่ 3 ยิ่งมีความคล่อง ทรงอารมณ์ได้ฉับพลันนานเท่าไรก็ได้ พอเช้าวันที่ 4 เวลาฉันข้าวเช้า หลวงพ่อท่านฉันอิ่มท่านวางมือ มองไปมองมาท่านหัวเราะแล้วพูดว่า เออ เจ้ากระทิงเปลี่ยว 4 ตัวมันเก่งว่ะ มันทรงฌาน 4 กันหมดทั้ง 4 องค์ น่ารักนะ เขามา 3 วัน เขาทรงฌาน 4 ได้ พวกที่บวชพระก่อน เขาได้อะไรกันบ้าง เรื่องของฌานที่ท่านบอกฉัน ฉันไม่เห็นมีอะไร มีอารมณ์สบายและความตั้งมั่นเท่านั้น ไม่เห็นมีรูปมีร่าง คิดว่าหนังสือที่เขาเขียนๆ มากไป ถ้าเราทรงฌานจริงไม่มีอะไร นอกจากใจไม่กังวล รักษาอารมณ์ให้ทรงตัวเท่านั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์อะไรเลย


พระและชาวบ้านเจ้าของถิ่น

ตามที่หลวงพ่อพูดว่าพวกบวชก่อนเขาได้อะไรบ้าง เรื่องของคนนี้เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ที่เขาเห็นว่าของที่มีอยู่ในบ้านเป็นของมีค่าน้อย และไม่ใคร่สนใจอะไรกับสิ่งที่อยู่ในบ้าน มีเมียอยู่ที่บ้านดีกว่าพวกขายเนื้อสดเยอะ โรคก็ไม่มี เงินก็ไม่เสีย แต่พ่อเจ้าประคุณสนใจกันเมื่อไร ดันออกไปเสียเงินเสียค่ายารักษาโรค เสียเวลาการงาน เพราะเห็นของดีที่บ้านเป็นของเลว แม้อาหารการบริโภคก็เหมือนกัน ที่บ้านจะเอาเปรี้ยวเค็มอย่างไรก็ได้ไม่ชอบ ชอบออกไปเสียเงินแพงๆ แต่ไม่เห็นว่าอาหารราคาแพงมันช่วยลดความแก่ลงได้เลย เรื่องของหลวงพ่อปานก็เหมือนกัน พวกเราไปปฏิบัติเพื่อผลที่ต้องการ

แต่ชาวบ้านกับชาววัดเจ้าถิ่นเขาไม่สนใจ ยิ่งเราพูดเรื่องผลให้เขาฟัง เขากลับหาว่าบ้าๆ บอๆ เลยไม่ต้องพูดให้ฟังต่อไป พวกเจ้าถิ่นก็ดีแต่คุยโม้ แต่เอาดีอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้คุณธรรมอย่างนี้ที่วัดบางนมโค นอกจากอาจารย์ฉัตรแล้วอย่าไปหาใครอีก ไม่มีเลย สมัยที่หลวงพ่อปานสอนพวกฉัน พระที่นั่นเขาก็พยายามไปหาอาจารย์ที่อื่นสอน ไม่ต่างกับสมัยพระพุทธเจ้าอยู่เลย พระพุทธเจ้าทรงคุณวิเศษขนาดนั้น เทวทัตและพระโกกาลิกะยังลงอเวจีได้ ที่เขียนบอกไว้ก็เกรงว่าท่านที่อ่านพบจะเข้าใจว่าเจ้าถิ่นเขาสนใจอยากไปเรียนบ้าง จะไปพบของญี่ปุ่นเข้า พระได้นักธรรมเอก นักธรรมโท ดีแต่โม้ให้พวกเราฟัง เมื่อพูดเรื่องปฏิบัติเขาว่าครึเกินไป พวกเหล่ากอเทวทัตมากจริงๆ เรื่องนี้ขอผ่านไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เมื่อกาลเวลาในการฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อปานผ่านมาเดือนเศษ การรักษาอารมณ์ทำได้เป็นปกติ ตั้งอารมณ์นานเท่าใดก็ได้ การเห็นนรกตามความสามารถเดิม เห็นได้ชัดเจน แจ่มใสมาก ไปหาตาลุงก็ง่าย แต่ทว่าการลงนรกเองไปสวรรค์เอง ไปไม่ได้ และสวรรค์ที่ต้องการเห็นก็ยังไม่เห็น เพื่อนๆ อีก 2 คนเขาไล่เบี้ยกสิณ 10 กันจนจบเกม เขาฝึกอภิญญากัน เขามีความสามารถตามพื้นเพและวาสนาบารมีของเขา เขาคล่องด้วยประการทั้งปวง แต่ฉันมันเกะกะๆ อยู่ ไปไหนไม่รอดเลย ในที่สุดทนความอดอยาก ไม่ไหว

วันหนึ่งใกล้กลางเดือน 10 ฉันคิดว่าสัญญาที่หลวงพ่อให้ไว้กับฉันไม่ถึงที่สุด ฉันยังลงไปนรกเองไม่ได้ ไปสวรรค์และพรหมก็ไม่ได้ ฉันต้องไปทวงสัญญากับหลวงพ่อ เมื่อฉันข้าวเช้าเสร็จก็ห่มผ้าตามระเบียบ เข้าไปกราบหลวงพ่อ พอเงยหน้าขึ้น ท่านถามว่าเธอจะมาทวงสัญญาฉันหรือ ความจริงเรื่องนี้ยังไม่ได้พูดกับท่านและยังไม่ได้บอกใครเลย เพียงคิดในใจเท่านั้น แปลกใจ แต่ไม่มีอะไรสงสัยด้วย ไม่ว่าอะไรที่ผิดปกติท่านพูดก่อนบอกเสมอ เมื่อท่านถามก็กราบเรียนท่านตามตรง

ท่านบอกว่าดี ความจริงเธอไปได้แล้วแต่เธอไม่ไปเอง ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ คิดว่าถ้าไปได้ทำไมเราจะไม่ไป ก็ไปไม่ได้จึงไม่ไป แต่ ไม่กล้าพูด เพียงเรียนท่านว่ากระผมไม่เข้าใจวิธีไป ท่านบอกว่าไม่ยากเลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอกลับไปแล้วเข้าฌานรักษาอารมณ์ให้คงที่ตลอดเวลา รักษาลมจนปรากฏว่าไม่มีลม ลมหายใจ รักษารูปพระให้ แจ่มใส ทรงกำลังใจ จับนิมิตไว้ ฉันมีเวลาฉันจะไปแนะเธอ ปัปเดียวไปได้เลย นรก สวรรค์ พรหม เธอไปได้หมดแล้ว พอฟังท่านบอก ใจมันพองโตบอกไม่ถูก มีอารมณ์ครึ้มมาก คิดว่าวันนี้แหละถ้าไปได้ล่ะก็ นายเอ๋ย ฉันจะเที่ยวไปให้จบแดนเลย อีเมืองไหนที่ใครอยากรู้ฉันจะไปให้ปรุ อารมณ์อย่างนี้มันมีกิเลสตัณหาผสมอยู่ด้วยถึง 90% มีอารมณ์ดีไม่เกิน 10% หรืออาจมีอารมณ์ดีไม่ถึง 3% ก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะคนที่บ้าดีอย่างฉันแม้จะเป็นดีผสมชั่ว ทำอย่างไรเสียก็ยอไม่หลุด

เมื่อท่านสั่งแล้วก็กราบลาท่านมา เมื่อมาถึงกระท่อมก็ทรงเครื่องครบ พาดสังฆาฎิ นั่งขัดสมาธิ ตั้งแต่เช้ายันเพล อากาศก่อนฝนจะตกมันร้อนระอุ ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ด้วยฤทธิ์อยากไปสวรรค์อุตส่าห์ทนเอา ทรงสมาธิจนไม่รู้สึกร้อน เพราะอารมณ์เป็นเอกัคตารมณ์ คือทรงอารมณ์เดียวจนไม่รู้สึกว่าหายใจ เห็นภาพหลวงพ่อองค์ยิ้มสวยอร่ามแพรวพราวระยิบระยับคล้ายเพชรอย่างดีประดับทั่วองค์ ลืมความปวดเมื่อยความร้อนเสียสิ้น มีอารมณ์แจ่มใส อารมณ์เหมือนมีพระอาทิตย์ปรากฏในอกสัก 100 ดวง เมื่อเสียงกลองเพลปรากฏ อารมณ์ที่กำหนดไว้เดิมว่าถึง 11 น. อารมณ์จงคลาย มันก็คลายตัวของมันเอง ความจริงไม่ได้ยินเสียงกลองเพล เพื่อนทั้ง 3 แอบมายืนอยู่ข้างกระท่อมเมื่อไรไม่รู้ เจ้าฤาษีโพธิวัตรอ้ายเจ้าเกลอมันถามว่าจะไปสวรรค์หรือวะ กูนึกว่าไปแดกข้าวลิงเสียแล้ว อ้ายเจ้าระยำนี่มันเก่งกว่าฉันเยอะ มันถามก็เลยทำเฉยเสียไม่ตอบมัน ต่างพากันไปฉันข้าวเพล

เมื่อพบหลวงพ่อ ท่านบอกว่า ฉันไม่ว่างเลย แขกมากจริงๆ เป็นพวกก่อสร้าง เพลแล้ว เธอฉันเสร็จแล้วไปเตรียมตัวไว้ตามฉันสั่ง ฉันว่างฉันจะไปแนะให้ เรื่องของตัณหาพายุ่ง ความอยากเป็นกำลังใหญ่ เมื่อฉันเพลแล้วก็เข้ากรรมฐานกันใหม่ หมายถึงการทำสมาธิกันอีก ตอนนี้คิดว่าตอนบ่ายหลวงพ่อท่านต้องมีเวลาว่าง ถ้าท่านมาเราทรงอารมณ์พลาด ท่านอาจตำหนิเอา เลยทำตามแบบที่เรียนมาทุกประการ ไม่มีอะไรหนัก ตัดกังวล ไม่มีความฝืน วางอารมณ์ทุกประการ จับนิมิตเป็นสรณะ คำว่า สรณะ หมายความว่าที่พึ่ง คือ นิมิตกับลมหายใจเข้าออกเท่านั้นที่จะบอกสัญลักษณ์อารมณ์ฌาน รักษาอารมณ์ ทรงอารมณ์เป็นปกติ ตั้งแต่เพลถึง 14 น. ไม่เห็นหลวงพ่อมา อากาศที่มีฝนตั้งเค้ามันร้อนอย่าบอกใครเชียว ระอุไปหมดทั้งตัว จีวร-สบง ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

หลวงพ่อท่านไม่มาก็คิดว่า เรานั่งตั้งแต่เช้า จะฝืนอิริยาบถเกินไป จึงคิดจะผ่อนคลายอิริยาบถสักครู่ จึงคลายสมาธิทรงอารมณ์ไว้ในอุปจารสมาธิ คือ รักษานิมิตไว้พอเห็นถนัด เปลื้องเครื่องทรงเต็มยศพระออก เครื่องเต็มยศพระก็คือ สบง 1 สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) 1 จีวร (ผ้าที่ห่มพระ) 1 รวมเป็น 3 ตัวด้วยกัน สำหรับอังสะ (ผ้าพาดชั้นในคล้ายเสื้อชั้นใน) รัดประคดเอว (ผ้าคาดพุง) ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องประกอบ เมื่อเอาสังฆาฎิ จีวรออกแล้วยังไม่แก้สบงด้วยเกรงว่าสุนัขมันจะอาย ไปเอาผ้าสำหรับอาบน้ำฝนที่เขานิยมถวายกันวันเข้าพรรษามาผลัดนุ่งแทน แล้วจึงเปลื้องสบงออก ผ้าอาบน้ำฝนอีกผืนหนึ่งมาคล้องคอ ผืนแรกนุ่งลอยชาย เมื่อเปลี่ยนเครื่องเสร็จก็ถือกล่องสบู่ ขันน้ำ เข้าห้องน้ำที่ทำไว้ติดกระท่อม

พอเข้าไปในห้องน้ำอาศัยไอน้ำทำให้เกิดความเย็น มีความสบายเกิดขึ้น คิดจะอาบน้ำทันทีก็เกรงว่าจะเป็นไข้ เพราะกำลังร้อนจัด อารมณ์ก็จับนิมิตไว้เป็นปกติ ใจคิดว่าถ้าเราไปได้เราจะไปชั้นดาวดึงส์ก่อน เพราะชั้นนั้นเขาว่ามีนางฟ้ามากเหลือเกิน และเป็นเทวสถานของพระอินทร์ อยากจะเห็นพระอินทร์ อยากเห็นจุฬามณี อยากเห็นสวนดอกไม้บนเมืองสวรรค์ เมื่อคิดแล้วก็ปล่อยอารมณ์คิดเสีย ด้วยเกรงว่าอารมณ์จะ ฟุ้งซ่านเกินไป ถ้าหลวงพ่อท่านมา หากทรงฌานไม่ทันท่านจะหาว่าขัดคำสั่ง เมื่อปล่อยอารมณ์แล้วก็คิดว่าจะพักในห้องน้ำแล้วจึงจะอาบน้ำ จึงนั่งพิงตุ่มน้ำ ตุ่มที่มีน้ำมี

ความเย็นกำลังสบาย จิตที่ทรงสมาธิตลอด เมื่อวันมีความสบายเกิดขึ้น ไม่มีอารมณ์เครียดทางกาย ใจว่างจากความอยาก อารมณ์เกิดเป็นเอกัคตารมณ์มาทันที อารมณ์ดับวูบแล้วก็มีความรู้ตัวขึ้นคล้ายตื่นจากหลับ มันไม่ได้ตื่นที่ตุ่มน้ำ มันไปตื่นที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นตัวเองยืนอยู่มีอาการคล้ายตายวาระแรก คือ พอเพลินมีอารมณ์วูบแล้วเห็นตัวเองยืนอยู่ข้างร่างเดิม

แต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น มีความรู้สึกว่าตัวเองมายืนอยู่ข้างสวนดอกไม้ สวนนี้ช่างสวยเหลือเกิน มีไม้ดอกล้วนๆ ปลูกไว้เป็นระเบียบ แต่ละสีไม่ปะปนกัน เป็นแถวยาวเหยียด ไม้ดอกแต่ละต้นมีสภาพเหมือนแก้วแพรวพรายไปทั้งต้น ไม้และดอกก็เป็นแก้วไปทั้งหมด มันสวยบอกไม่ถูกจริงๆ สถานที่นั้นเงียบสงัดไม่มีใครเลย ยืนแปลกใจสงสัยอยู่ครู่หนึ่งได้ยินเสียงแจ๋วๆ ฟังเพราะจับใจ ไม่แหบ ไม่เครือ เสียงมีกังวาน แจ่มใสดังมาข้างหลัง เสียงนั้นเป็นเสียงหญิง ได้ยินเธอพูดว่า โอ้โฮ! พระคุณเจ้ามาโปรดชาวสวรรค์หรือเจ้าคะ พวกดิฉันขอฟังเทศน์เจ้าค่ะ พวกเรา พระท่านมาโปรดแล้ว มาฟังเทศน์กันเร็ว เธอพูดเอาเองตามประสาผู้หญิง ไม่เคยให้ฉันตอบเลย พอเหลียวไปมองดูเธอ เห็นหญิงร่างอรชรอ้อนแอ้นเอวเล็กเอวบาง ร่างสมส่วนสมทรงทุกอย่าง เครื่องแต่งตัวสีเขียวอ่อนมองเย็นตา นุ่งผ้าจีบคล้ายละคร มีเนื้อบางๆ แต่มองไม่เห็นเนื้อ เป็นเสื้อแขนสั้น มีผ้าสไบเฉียงเหมือนมหาอุบาสิกาสมัยโบราณ ผ้าทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน เครื่องประดับแพรวพราวบอกไม่ถูก

มองดูระยับไปทั้งร่าง คิดในใจว่าเธอนี่ช่างสวยและร่ำรวยเสียจริงๆ เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน เมื่อเธอเรียกพวกเธอ พอสิ้นเสียงปรากฏร่างสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันนับร้อยแต่งตัวเหมือนกันหมด สวยเหมือนกัน รูปทรงไม่ต่างกันเลย ผิวพรรณหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก มานั่งพับเพียบพนมมือเป็นแถว กะประมาณพวกเธอเห็นจะเกินกว่าทหาร 5 กองพันเป็นไหนๆ แต่ไม่เห็นมี ผู้ชายเลย ครั้นก้มลงมองดูตัวเองกลับมีสภาพเหมือนอสรกุ๊ย เพราะหัวโล้นนุ่งผ้าลอยชาย และมีผ้าคล้องคออีก 1 ผืน รู้สึกอายใจมาก ถามเธอว่าที่นี่เขาเรียกเมืองอะไร เธอตอบว่าเมื่อก่อนจะมาพระคุณเจ้าว่าจะไปเมืองไหน ตอบเธอว่าฉันอยากเห็นดาวดึงส์ อยากเห็นสวนดอกไม้

เธอตอบว่าที่นี่เขาเรียกว่าดาวดึงส์เจ้าค่ะ สวนนี้เขาเรียกว่าสวนจิตรลดาวัลย์ เป็นสวนของพระอินทร์ ขอพระคุณเจ้ากรุณาเทศน์โปรดพวกฉันเป็นการเสริมสร้างบารมีสักกัณฑ์เถิดเจ้าค่ะ พอทราบว่าเป็นดาวดึงส์ก็ตกใจ คิดว่ามาได้อย่างไร และแม่พวกนี้ทราบความคิดของเราได้อย่างไร จึงถามเธอว่า เธอทราบได้อย่างไรว่าฉันคิดจะมาดาวดึงส์ เธอตอบว่าเทวดาทราบความคิดของคนเจ้าค่ะ มนุษย์คิดเทวดาทราบแล้ว และที่พระคุณเจ้าคิดอยากแต่งงานกับนางฟ้า พระอินทร์ท่านก็ทราบแล้ว ถ้าหากพระคุณเจ้ายังมีความประสงค์อย่างนั้นไม่มีทางมาดาวดึงส์หรือสวรรค์ชั้นใดได้เลย

ตอนนี้พระคุณเจ้ามีอารมณ์ชั่วระงับแล้ว ทรงสมาธิสมบูรณ์มาได้ พอเธอพูดตรงใจเลวเข้าชักอายบอกไม่ถูกเลย และเรื่องที่เธอขอให้เทศน์จะเอาอะไรมาเทศน์ด้วยไม่เคยเรียนเทศน์ พอบวชก็มุ่งปฏิบัติ ตอบเธอว่าฉันบวชใหม่เทศน์ไม่เป็น ขออย่าให้เทศน์เลย เธอตอบว่าเทศน์ตามที่ทราบก็แล้วกันเจ้าค่ะ คำสองคำก็พอแล้ว ที่นี่พระมาโปรดยาก อยากฟังเทศน์ก็ไม่ใคร่ได้ฟัง นานๆ จะมีพระทรงคุณวิเศษมา สักครั้ง เธอยิ่งพูดฉันยิ่งอาย อารมณ์ที่คิดอยากจะเป็นผัวนางฟ้าไม่มีเลย ด้วยพวกเธอเห็นพระแล้วไม่ทำท่าเหมือนสาวๆ เมืองมนุษย์ สาวเมืองมนุษย์ยังมีการพูดหยอกเย้าล้อเลียน พวกนางฟ้านี่จะฟังแต่เทศน์อย่างเดียว แล้วพวกเธอก็สวยเสียจนไม่อยากรัก เพราะคิดว่าถ้าขืนรักเธอคงไม่ตกลงด้วยแน่ เมื่อทราบว่าเขา ไม่ตกลงด้วยก็ไม่คิดรัก เลยสบายใจดีกว่าเยอะ เมื่อทนอายไม่ไหวก็ขอร้องเธอว่า

ฉันแต่งตัวไม่เป็นปริมณฑล คือ ไม่ถูกต้องตามระเบียบของพระ ยังเทศน์ไม่ได้ ขอให้กลับไปแต่งตัวใหม่ก่อน แม่นางฟ้าก็จอมตื๊อเหลือเกิน แกบอกว่าพวกแกไม่ต้องการเครื่องแต่งตัว พวกเธอต้องการแต่ธรรมเท่านั้น แม่ตื๊อสะเด็ดเลย ในที่สุดก็ตัดบทว่ารอก่อน ฉันยังแต่งตัวไม่เป็นปริมณฑลเพียงใดฉันก็จะไม่เทศน์ ขอให้ฉันกลับลงไป แต่งตัวใหม่ก่อน พวกเธอเห็นหลวงตาเฒ่าหัวงูไม่ยอมแน่ เธอก็ยอมตกลง เมื่อคิดว่าจะกลับมันก็ไม่มีอะไรมาก ปรากฏว่ารู้สึกตัวมีอาการคล้ายหลับแล้วตื่นขึ้น นึกถึงสัญญาไม่ใช่นึกถึงความงามของนางฟ้า เรื่องอยากได้นางฟ้าขอยกยอดทิ้งไป รูปร่างอย่างเจ้าหัวโล้นโกนหัวห่มเหลือง ใครเขาเลวอย่างนี้บ้าง กำเริบอยากจะเป็นผัวนางฟ้า มันบ้าเกินไปแล้ว ฉันมีอารมณ์เลวๆ พอที่จะอวดได้เยอะ ถ้าให้คนอื่นเขาเขียน อาการเลวๆ อย่างนี้ไม่มีใครเขียน เขาก็เขียนยกย่องให้ฉันเป็นเทวดาไปเท่านั้นเอง ปฏิปทาสัตว์นรกอย่างนี้รับรองว่าไม่มีใครเขาเขียนให้ฉันแน่ เมื่อหาคนอื่นเขียนให้ไม่ได้ ฉันเขียนของฉันเอง

ชาวบ้านเขามีดีจะอวดและก็อวดดีกันมาก แต่ฉันมีเลวอวด คนบวมๆ อย่างฉันยังมีอีก ขณะนี้ยังไม่มีใครโผล่หัวออกมาจากโปง เมื่อมีคนเปิดโปงโผล่หัวให้เห็นสักคน คิดว่าไม่ช้าคงโผล่หัวเป็นแถว แล้วพวกเธอทั้งหลายจะได้รับทราบความเลวที่ชาวบ้านชอบปกปิด แต่พวกบวมผิดปกติชอบเปิด มันก็จะเป็นเรื่องชวนสนุกไม่น้อยเลย เมื่อความรู้สึกปรากฏ ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ได้นั่งหลับฝัน ไปปักใจเอาเองว่าเป็นผลของสมาธิ จึงเดินเข้ากระท่อมนุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ ว่ากันเต็มยศ แต่ทว่าเลยเต็มไปหน่อย เพราะอาศัยที่ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติมาก่อน ตอนบวชฉันเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเขาเขียนภาพพระมาลัยตอนที่ท่านไปเที่ยวสวรรค์และนรก ท่านมีรองเท้า มีไม้เท่า มีย่าม มีบาตร

ฉันเห็นภาพนั้นฉันก็คิดว่าจะไปสวรรค์ต้องมีเครื่องครบตามพระมาลัย ฉันเลยเสริมเครื่องยศเลยพระวินัยเข้าให้ คือพระวินัยมีแต่สบง จีวร สังฆาฏิ ฉันเติมรองเท้า ไม้เท้า ความจริงไม้เท้าไม่มี ฉันเลยเอาไม้ท่อน เป็นไม้ไผ่ขนาดย่อม โตกว่าแขนนิดหน่อย ยาวประมาณ 1 เมตรเศษ เอามาแทนไม้เท้า มีย่ามมีบาตรสะพายไหล่เสร็จ ทีนี้ตอนที่จะออกไปสวรรค์ จะไปตรงไหน จะนั่งในกระท่อมเกรงว่าจะไปไม่ได้ ต้องไปนั่งในห้องน้ำ เพราะไปที่ตรงนั้นจึงไปได้ ความคิดเช่นนี้เป็นความโง่ของฉัน เพราะโทษของการที่ไม่ได้ศึกษามาก่อน แต่ท่านที่ศึกษามากๆ ฝ่ายปริยัติเวลาท่านไปกัน ท่านไปแบบไหนไม่เคยถามท่าน ท่านคงไปได้แน่เพราะท่านไม่โง่เท่าฉัน เมื่อทรงเครื่องเสร็จก็ยุรยาตรเข้าห้องอาบน้ำ ไม่มีส้วมรวมอยู่ด้วย พอนั่งก้นถึงพื้นรู้สึกว่าไปป๋ออยู่ที่เดิม ไม่ต้องตั้งท่าอะไรเลย ง่ายเหลือเกิน พอขึ้นไปที่เดิมไม่เห็นมีใครสักคน นางฟ้าหรือแม้แต่เงานางฟ้าก็ไม่มี พิจารณาดูตัวเองมันช่างรุงรังเต็มทน คิดว่าเป็นระเบียบจะต้องทำเลยจำใจทำ ยืนเก้ๆ กังๆ

สักประเดี๋ยวเดียว คราวนี้ปรากฏเทวดาผู้ชายองค์หนึ่งมาหา ไม่สวมชฎา แต่เครื่องแต่งตัวแพรวพราวไปหมด เสื้อแขนยาว ผ้านุ่งยกสวย มีเพชรประดับเต็มเสื้อผ้าไปหมด มาถึงมายกมือไหว้บอกว่า พระอินทร์ท่านให้นิมนต์ไปที่เทวสภา ตอนนี้ชักยุ่ง คิดว่าเพียงเทศน์ให้นางฟ้าก็จะพอเทศน์บุ้ยใบ้อะไรก็ได้ คราวนี้เกิดมีเทวดาทั้งดาวดึงส์ดันมาฟังหมด แถมมีพระอินทร์รวมอยู่ด้วย คงจะแย่แล้วตาเถรมาลัยปลอม แต่ว่าเมื่อเป็นเทวบัญชามา ยากจะขัด พอเดินออกนอกที่เดิมไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลก็ถึงเทวสภา อาคารหลังนี้สวยระยับจับตาจริงๆ เขาไม่ได้ใช้หินอ่อนอย่างสภาผู้แทน ของเขาเป็นแก้วหลายสีแพรวพราวระยับตา เป็นแก้วล้วนๆ ไม่มีหินปนสักนิด มีเทวดานางฟ้านั่งเต็มอาคาร และดูสวยจริงๆ วิมานหรืออาคารก็เป็นแก้ว คนก็มีแก้วประดับแลดูรัศมีกายรัศมีแก้วสว่างช่วงโชติสวยงามพรรณนาไม่ไหว ใครอยากเห็นก็ไปดูเอาเอง

พอเดินเข้าไปใกล้ มีเทวดาองค์หนึ่ง เทวดานี่สวยทุกองค์ นางฟ้าก็สวยทุกคน อย่าพรรณนาเลย ท่านเดินเข้ามาใกล้ ท่านไม่ได้สวมชฎา แต่ในใจมีความรู้สึกว่าท่านเป็นพระอินทร์ ตัวท่านไม่เขียว ผิวค่อนข้างเหลือง ทรวดทรงสวย เทวดาแก่ไม่มี หนุ่มสาวทั้งหมด ท่านออกมาหา ท่านพูดว่า คุณเอาบาตรส่งมาให้โยม บนสวรรค์ไม่มีใครเขาใส่บาตรหรอก ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว คุณจะบิณฑบาตเอาไปไหน บอกท่านว่าเห็นเขาเขียนภาพพระมาลัยไว้อย่างนั้น คิดมาสวรรค์ต้องเตรียมพร้อมจึงแต่งมาอย่างนี้ ท่านยิ้มแล้วก็ตอบว่าคราวต่อไปไม่ต้องเอามา ภาพนั้นคนเขียนภาพเขาไม่เคยเห็นพระมาลัยเวลาไปสวรรค์ เขาคิดเอาเอง เขียนตามความคิดเห็น มันไม่ถูกต้องอะไร ไม้เท้า ย่ามรองเท้าก็เหมือนกัน ทีหลังไม่ต้องเอามา อายท่านเสียเกือบแย่

เมื่อเข้าไปในเทวสภา ท่านก็แนะนำเทวดาหลายร้อยองค์ว่าเป็นพ่อเป็นแม่บ้าง เคยเป็นญาติบ้าง เป็นลูกพี่ลูกน้อง บริวาร ผู้บังคับบัญชา และภรรยา พวกภรรยานี่เกินกว่า 200 คน แกไปแออัดอยู่บนนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ท่านบอกว่าเป็นภรรยาเอกที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายแสนชาติ คนนี้ชื่อว่า พรรณวดีศรีโสภาค คุณเรียกแกสั้นๆ ว่าแม่ศรี แกเข้ามาหา แกแต่งตัวสวยกว่านางฟ้าอื่นทั้งหมด ทรวดทรงสวยมาก ท่าทางมีอำนาจ ท่านบอกว่าเขามีอำนาจควบคุมเวชยันต์วิมานของโยม ท่านแนะนำตัว

ท่านว่าท่านเคยเป็นพ่อฉันมาหลายแสนชาติ ท่านออกปากอนุญาตในการทัศนาจรดาวดึงส์ บอกว่ามาเมื่อไรก็ได้ โยมอนุญาตทุกสถานที่ ท่านแม่ศรีแกก็บอกว่าลูกแกลงมาเกิด 2 องค์ ให้ฉันติดตามสอนจะได้กลับมาที่เดิมหรืออาจไปสูงกว่าเดิม พระอินทร์ท่านเตือนแม่ศรีว่า พระยังหนุ่มอยู่ยัง ไม่ควรพบลูก รอเมื่อถึงกาลอันสมควรจะพบกันเอง เมื่อท่านแนะนำแล้วก็ถามแม่ศรีว่าเธอทำไมไม่มาเกิด เธอตอบว่าท่านจะลงไปบวช ถ้าฉันไปเกิดด้วยท่านก็ทนบวชไม่ไหว ฉันทราบว่าท่านจะบวชฉันจึงไม่ไปเกิด เมื่อมีโอกาสคุย ใจชักกล้า

พอได้เวลาท่านให้ขึ้นแท่นสูงเป็นแก้วเก้าสี ท่านให้เทศน์ ไม่รู้จะเทศน์อะไรเลยเทศน์เรื่องที่ปฏิบัติมา พวกเทวาชอบใจมาก เทศน์เดี๋ยวเดียวก็เลิก พระอินทร์ท่านบอกว่าข้างล่างเกือบสว่างแล้ว นิมนต์กลับก่อน วันต่อไปนิมนต์มาตามสบาย คุณจะมาก็มาได้นานแล้ว คุณไม่ปล่อยอารมณ์ ถ้าปล่อยอารมณ์หรือฉลาดพอ คุณมาได้ตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ลาท่านมา ปรากฏว่าเมื่อ รู้สึกตัวเวลาเลย 2 น. ของวันใหม่ เจ้าสามเพื่อนกับหลวงพ่อปานมายืนคุมอยู่หน้าห้องน้ำ เจ้าเพื่อนโพธิวัตรมันว่า เฮ้ย บิณฑบาตเมืองสวรรค์ได้อะไรบ้าง มาแบ่งกันกินบ้างสิวะ เลยเอามือเขกหัวมันโป๊กถนัด มัน ไม่ว่าอะไร

ที่เอาเรื่องนี้มาเขียน ไม่ใช่ว่าอวดความสามารถ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนักปฏิบัติตาม พระพุทธโอวาท เอามาเขียนเพื่อให้ทราบว่าเมื่อจิตยังมีกังวล การปฏิบัติสมาธิไม่มีผล ถ้าตัดกังวลได้แล้วจะพบผลมหาศาล หลวงพ่อท่านพูดว่า คุณ ฉันทราบว่าคุณไปได้ตั้งแต่เด็ก แต่คุณไม่ฉลาด เมื่อฉันเห็นคุณโง่ก็อยากให้คลายโง่ด้วยตนเอง ต่อไปนี้จะไปไหนก็ได้ตามใจชอบ แต่อย่าลืมทรงสมาธิ อ่านแล้วก็คิดเอาเอง สำหรับวันนี้ขอพักเท่านี้ วันหน้าคุยใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิปทาของหลวงพ่อปาน

ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2514 วันนี้อากาศอุ่นมากแต่เช้า ฉันเป็นคนแก่มีความจุกจิกหลายเรื่อง แม้แต่อากาศมันร้อนฉันก็ไม่ชอบ มันหนาวฉันก็ไม่ชอบ รวมความว่าฉันไม่ชอบโลกนี้ทั้งโลก เพราะฉันมองไม่เห็นจุดของความสุขมีในโลกนี้เลย วานนี้วันที่ 28 เจ้าพนักงานไฟฟ้าเขามาเก็บค่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้ ฉันไม่มีสตางค์ให้เขา นนทา อนันตวงษ์ เขาสงสาร เขาออกไปให้ 226 บาท เมื่อเขาทราบว่าฉันไม่มีสตางค์ติดตัวแล้ว ฉันยังเป็นหนี้ค่ายารักษาโรคหมออีก 300 บาทเศษ เขาเลยให้อีก 1,200 บาท คนนี้เขาเมตตาฉันเสมอ ฉันอาศัยเขาในความเป็นอยู่มาก ที่เมืองนี้มีอาจารย์สบสุข ประกอบไวทยะกิจ อีกท่านหนึ่ง มีเมตตาสงเคราะห์เป็นปกติให้กินให้ใช้อยู่เสมอ นี่ดีว่ายังไม่ลงทุนไปกรุงเทพฯ นะ ถ้าไปฉันคงรบกวนกระเป๋าใครเข้าให้อีก เช่น คณะบ้านท่าน พล.อ.ต.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์, พ.อ.แสวง แก้วมณี, คุณฉลวย ปิณินทรีย์, บ้านคุณสนั่น, วาสนา หุตะสิงห์, บ้านคุณพงศ์, พิมพา คุณากร และคณะของท่านเจ้ากรมเสริมอีก มีรายนามไม่จำกัด เขาสงสารเขาจึงพากันให้ ชีวิตฉันอยู่ได้เพราะการสงเคราะห์จากท่าน

ผู้มีคุณตามที่กล่าวนามมานี้เป็นส่วนใหญ่ ฉันว่าฉันตายเมื่อไร ท่านที่กล่าวนามมานี้ขาดความสิ้นเปลืองไปมาก ลูกหลานจำไว้ว่า ความเกิดเป็นคนไม่ดี เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ดี เป็นเทวดาและพรหมพอมีดีมั่งแต่ไม่ดีมาก เพราะยังมีกฎบังคับให้เกิดเป็นคนและสัตว์ดิรัจฉานอีก สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ ใครเขาจะว่าเราบ้าช่างเขา เราบ้าไปสู่สถานที่สิ้นทุกข์ดีกว่าบ้าสะสมความทุกข์ ฉันเป็นคนแก่พูดบ่นพล่ามเสมอ กว่าจะรู้ตัวก็เข้าไปเกือบ 10 นาที ต่อไปนี้มาพูดกันตามหัวข้อเรื่อง คือปฏิปทาของหลวงพ่อปาน อาจารย์ฉันดีกว่า

เรื่องของหลวงพ่อปาน ลูกหลานอยากให้พูดประวัติของท่าน ฉันตรองแล้วเอาประวัติท่านมาพูดไม่ได้ เพราะฉันเกิดทีหลังท่านและไม่ทราบประวัติละเอียด เมื่อพวกเธออยากฟัง ฉันจะเล่าเรื่องของท่านตามที่ฉันทราบ มันมีส่วนพาดพิงถึงฉันด้วย เพราะนอกจากที่ฉันจะสัมผัสกับท่านแล้วเรื่องอื่นรู้ยาก มี บางส่วนที่ฉันไม่เห็นและเกิดไม่ทันแต่ท่านเล่าให้ฟัง ฉันพอนึกออกก็จะนำมาเล่าให้ฟัง มันคงไม่เรียงลำดับเรื่องได้ เพราะนึกไปเล่าไป เอากันแค่เรื่องก็แล้วกันนะ อย่าเอาลำดับเรื่องเลย

ตามที่ฉันเล่าเรื่องของฉันมาในตอนต้นก็มีความประสงค์จะให้ลูกหลานทราบคุณสมบัติของ หลวงพ่อปาน เรื่องนี้ฉันปกปิดมานาน เพราะเกรงว่าท่านนักปราชญ์จะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม จะปรับโทษฉัน เรื่องฉันจะมีโทษเพราะพูดจริงฉันไม่หนักใจ แต่เกรงว่าท่านที่ลงโทษฉันจะเป็นบาป สงสารท่าน เมื่อลูกหลานขอร้องก็ต้องพูด พูดแล้วก็ไม่หนักใจ เพราะฉันไม่ใช่พระตามทัศนะของชาวบ้าน หลวงพ่อท่านบอกให้พวกฉันเป็นฤาษี ตัวฉันเองปกติท่านเรียกว่าอ้ายลิงดำ ฉันเลยตั้งชื่อฉันว่าฤาษีลิงดำ เพื่อนฉัน เจ้าสวัสดิ์มันออกป่าไปแล้ว ท่านเรียกอ้ายลิงขาว เพื่อนอีกคนหนึ่งคือเจ้าน้อม ท่านเรียกว่าอ้ายลิงเล็ก รวมความแล้วฉัน 3 คนไม่ใช่พระและไม่ใช่คน เป็นลิงหมดทั้ง 3 ตัว ถ้าจะพูดกันให้เพราะหน่อยก็เรียกว่า สามสัตว์ดิรัจฉาน ค่อยเพราะนิดหน่อย

เมื่อลูกหลานฟังฉันพูด จงคิดว่าฟังเรื่องของสัตว์ดิรัจฉานพูดให้ฟัง จะสบายใจมาก เมื่อบวชฉันก็บวชแปลก บวชในสังกัดพระมหานิกาย แต่คำขอบรรพชาแบบธรรมยุตินิกาย เป็นลูก 2 พ่อไป หรือคน 2 ชาติ อย่างคนที่มีพ่อเป็นเจ๊ก แม่เป็นไทย ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร เมื่อบวชแล้วเรียนแล้วเห็นทั้ง 2 นิกาย ท่านไม่ลงสังฆกรรม (ลงโบสถ์) ร่วมกันก็นึกแปลกใจ ถามหลวงพ่อท่านว่านิกายไหนดีกว่ากัน ท่านบอกว่าราคาเท่ากัน เพราะเป็นพุทธสาวกเหมือนกัน ใช้คำสอนจากพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน แต่แตกสามัคคีกัน ท่านบอกว่าเธอเข้าป่าเป็นฤาษีดีกว่า ไม่ต้องเป็นพวกใคร เป็นพวก พระพุทธเจ้าโดยตรงนั่นแหละดี อย่าเมาลาภ อย่ารับยศ อย่าหลงสรรเสริญ อย่ามั่วสุขกับกามสุข จะ สบายใจมาก จะได้เป็นพระตามคติของพระพุทธเจ้า นอกนั้นทางจะมีความเห็นว่าอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน เรื่องของพระฤาษีไม่เกี่ยว


หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา

เรื่องอภิญญาเป็นเรื่องธรรมดาของพุทธสาวก ไม่ใช่ของวิเศษมหัศจรรย์อะไรเลย เป็นของธรรมดาสามัญแท้ๆ หนังสือตำราเขียนยกย่องเลยพอดีไปเองต่างหาก เลยทำให้นักศึกษาภายหลังท้อถอยคิดว่ายากลำบากเต็มที เลยพากันไม่เอาเสียเลย อภิญญาโลกีย์เป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลกมีสิทธิ์จะทำให้เกิดได้ เพราะเมื่อมาเป็นคนได้เหมือนกัน สิ่งที่มีสิทธิ์เสมอกันตามปกติธรรมดาที่สามารถเห็นกันง่ายๆ มีอยู่ คือ จะเป็นคนเกิดในตระกูลใดก็ตาม มีฐานะ มีความรู้ศักดิ์ศรีเพียงใดก็ตาม มีสิทธิ์แก่ ป่วย ตาย เหมือนกันหมด เพราะเป็นโลกียวิสัยคือเป็นวิสัยของคนที่เกิดในโลกจะทำได้

ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องฌานและอภิญญา ท่านบอกแล้วว่าเป็นฌานโลกีย์และอภิญญาโลกีย์ เป็นทรัพย์สินที่คนเกิดมาในโลกจะพึงทำให้มี ให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ของยากเกินไป เพียงแต่ทำให้ถูก ทำพอดี ทำตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่เห็นต้องลงทุนลงรอนอะไรเลย เสียเวลารวบรวมกำลังใจนิดเดียวก็ได้ ที่ว่าทำไม่ได้ก็เพราะอยากดีเกินไปหรือขี้เกียจเกินไป รู้มากเกินไป หลงลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุขมากเกินไป จึงทำไม่ได้ เรื่องความดีทางใจ คนจนพวกจนยศ จนสรรเสริญ จนพะเน้าพะนอ ทำได้ดีกว่าคนที่รวยประเภทนั้นเพราะเมาน้อย คนเมามาก ขาดสติมาก เมาน้อย ขาดสติน้อย ไม่เมาเลยมีสติสมบูรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน

เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่าอภิญญาแล้วก็มักจะคิดว่า ท่านที่ได้อภิญญาจะต้องมีความรู้แจ่มใสเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูคือ มีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียงทิพยจักษุญาณอย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน

1. ทิพยจักษุญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสว่างคล้ายพระอาทิตย์ส่องแสงจัด ไม่มีเมฆบัง ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาดในการเห็น

2. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความสว่างเหมือนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง มองเห็นคนกลางคืนเมื่อเดือนหงายมีสภาพอย่างไร ต่างกับกลางวันอย่างไร พิสูจน์เอาเอง

3. พระอัครสาวกทั้งสอง มีความสว่างเหมือนคบเพลิงดวงใหญ่สว่าง แต่แสงสว่างไม่ไกลเหมือนความสว่างของดวงจันทร์

4. ของพระอรหันต์สาวก สว่างเหมือนแสงตะเกียงดวงน้อย

5. ของท่านที่ได้ฌานโลกีย์ สว่างเหมือนอากาศเมื่อพระอาทิตย์ลับแล้ว กำลังมัวตา มองดูอะไรก็ไม่เห็นถนัดนัก

ข้อเปรียบเทียบนี้ยังไม่ละเอียดพอ แต่เกรงว่าลูกหลานจะเบื่อฟัง เอามาเปรียบเทียบเพียงย่อๆ ท่านที่ได้ฌานและอภิญญาไม่ใช่รู้อะไรหมด ยิ่งเป็นฌานโลกีย์ด้วยแล้ว ยิ่งมีจังหวะพลาดง่ายเหลือเกิน เพราะมีอุปาทานมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าไม่ประมาทคิดว่าตัวดีไม่เป็นไร ถ้าประมาทเมื่อไรเจ๊งเมื่อนั้น สำหรับพระอริยท่านรู้ว่าท่านไม่ดีเสมอ ไม่มีความประมาท เรื่องเจ๊งไม่มี

ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องที่เล่ามาแล้ว ที่ฉันบอกเห็นอะไร ไปไหน คิดอะไร แล้วหลวงพ่อปาน รู้เรื่องที่บอกมา ไม่ใช่ฉันอวดตัวฉัน ที่บอกก็เพื่อให้ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านรู้อภิญญา ที่เราเรียกว่าทิพยจักษุญาณ แต่ที่แท้แล้วญาณต่างๆ ของอภิญญามีชื่อหลายอย่าง จะนำมาเล่าให้ฟัง


โลกียอภิญญา

โลกียอภิญญานี้ท่านแยกเรียกว่าวิชชา 8 ก็มี อภิญญา 5 ก็มี จะเอามารวมไว้ที่เดียวกัน และบอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้วก็เรียนแล้วกัน คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน จะพากันเลอะใหญ่ ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคนจนตัวฉันเกือบลงนรกมา หลายที ทั้งนี้เพราะตีความหมายของตำราไม่ตรง เมื่อทราบแล้วต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่เกือบแย่ อยากหุงข้าวเป็นก็ไปเรียนกับพ่อครัว อย่าไปเรียนกับลิงที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู อยากได้อภิญญา ถ้าไปหาคนที่ไม่ได้ จะเอาอะไรมาสอน ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ จะเสียเวลาเปล่า

ชื่ออภิญญาโลกีย์

1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้

2. ทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์

3. มโนยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ ถอดกายใจออกท่องเที่ยวได้

4. ทิพยจักษุญาณ มีอารมณ์เป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์

5. จุตูปปาตญาณ รู้สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์มาเกิดนี้มาจากไหน

6. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์ใจของคนและสัตว์

7. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วได้ตามความต้องการ

8. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว

9. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิด

10. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องราวในปัจจุบันที่ปรากฏขึ้นในที่ไกลหรือโลกอื่น

11. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรม


วิธีฝึก

อิทธิฤทธิ์ฝึกด้วยการทรงกสิณ 10 อย่างครบถ้วน นอกนั้นทรงกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นบาท แล้วก็สามารถทำให้เกิดได้ไม่ยากเลย ที่ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านเป็นพระทรงอภิญญา ในอันแรกทราบจากทานรู้อารมณ์คิด คิดว่าจะทำอะไร ผิดหรือถูก ท่านทราบก่อนเสมอ ตามที่ลูกหลานฟังมาแล้วใน ตอนต้น จะเห็นว่าท่านรู้ก่อนบอกเสมอ แถมรู้ก่อนฉันเกิดด้วย ที่ท่านกล้าบอกว่า พวกแกบำเพ็ญบารมีด้านพุทธภูมิกันมาคนละมากๆ แล้ว อันนี้ท่านรู้ก่อนฉันเกิด ท่านจะพูดตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ช่าง แต่ที่พบในปัจจุบันท่านพูดตรงทุกอย่าง ฉันเชื่อว่าท่านทรงอภิญญา

คำว่าอภิญญา แปลว่า รู้ยิ่งกว่าความรู้ปกติ ความรู้ปกติจะรู้อารมณ์คิดโดยตรงไม่ได้นอกจากเดาจากอาการ มันก็ไม่แน่นักว่าจะถูกเสมอไป เท่าที่ท่านใช้ ส่วนใหญ่ท่านใช้เจโตปริยญาณได้คล่องมาก พวกฉันตั้งอารมณ์กรรมฐานอยู่ในป่าผิด ไม่มีใครพูด บอกใคร พอพบท่านตอนเช้าท่านเตือนทันทีว่า ตั้งอารมณ์ผิดควรแก้ไข เป็นอย่างไรก็บอกกันเลย ไม่ใช่มานั่งสอบอารมณ์ศิษย์ ปล่อยหรือหัดศิษย์เป็นคนชอบโกหกครู ตามที่พระองค์หนึ่งห่มจีวรคร่ำหาว่าฉันเป็นเถรส่งบาตร ทำตามแบบเก่าไม่ทันสมัย ท่านเองปล่อยให้ศิษย์โกหกเล่นตามสบายใจ ทำกันไม่เท่าไรก็สำเร็จ อย่างนี้พุทธสาวกท่านไม่ใช่ ครูกรรมฐานถ้าไม่ได้เจโตปริยญาณ ฉันคิดว่ามีผลแก่ศิษย์น้อยเหลือเกิน เรื่องนี้ขอพักไว้เท่านี้ มาพูดกันถึงปฏิปทาของหลวงพ่อปานต่อไป คำว่าปฏิปทาแปลว่าความประพฤติ คนอื่นเขาแปลว่าอย่างไรช่างเขา ฉันพอใจแปลอย่างนี้ มันฟังง่ายดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ธุดงค์

ต่อไปนี้จะนำปฏิปทาของหลวงพ่อปานเรื่องธุดงค์มาเล่า ให้ลูกหลานฟัง คำว่า ธุดงค์ ลูกหลานคงเห็นว่าเป็นของปกติธรรมดา คือ มีพระเดินถือกลด (ร่มผ้าขาว) มีมุ้งกลมๆ พอจะกางกับกลดได้ เที่ยวปักกลดตามข้างเสาเรือนชาวบ้านบ้าง ตามกลางทุ่งนาบ้าง เข้าปักกลดในตลาดแม้ใจกลางกรุงเทพฯ ก็มีบ้าง ท่านพวกนี้ท่านธุดงค์เหมือนกัน แต่ทว่าเป็นธุดงค์ตามแบบของพระพุทธเจ้าบ้าง แบบเดียรถีย์บ้าง เอาแน่นอนอะไรไม่ค่อยได้ คำว่าธุดงค์มีข้อปฏิบัติอยู่ 13 ข้อ จะออกป่า ออกทุ่ง หรืออยู่ในวัดก็ทำได้ สุดแล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน แบบที่อยู่ในวัดก็ทำได้ เช่น ฉันอาหารเวลาเดียว ถือนั่งเป็นวัตร บิณฑบาตทางเดียว ถือผ้าใช้นุ่งห่มเฉพาะ 3 ผืน ดังนี้เป็นต้น หรือจะออกป่าอยู่ตามโคนไม้ก็ได้ เรื่องข้อปฏิบัติธุดงค์จะไม่พูดให้ฟังละเอียด จะพูดแต่ธุดงค์ออกนอกวัดที่พวกเธอเห็นกันประจำ

สมัยนี้ฉันสงสัยเห็นท่านธุดงค์กันแปลกมาก เที่ยวปักกลดใกล้บ้านเกินไป ปักอยู่แห่งละหลายๆ วัน รับเงินที่เขาถวาย แจกพระ แจกตะกรุด และให้หวยบอกบุญให้ชาวบ้านไปทำบุญที่วัด ฉันแปลกใจมากที่พระสมัยนี้มีความรู้มาก มีตำแหน่งหน้าที่เป็นใหญ่เป็นโตกันมาก ทำไมปล่อยให้เรื่องธุดงค์แปลกไปมาก พระธุดงค์ความจริงเป็นพระละ ตามระเบียบท่านให้ปักกลดไกลบ้านไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพื่อไม่ให้เสียงชาวบ้านรบกวนเมื่อยามที่ต้องการความสงัด และไม่ไกลเกินไปสำหรับเมื่อต้องการอาหารจากชาวบ้าน ท่านบัญญัติให้ปฏิบัติเพื่อละ แต่เห็นพระท่านรับเงินรับของถวายที่มีค่า ฉันแปลกใจคิดว่าพระพุทธศาสนาสิ้นแล้วหรืออย่างไร ปฏิปทาภายนอกจึงเข้ามาแทรกแซงได้ ธุดงค์ที่ฉันจะเล่าให้ฟังนี้มีระเบียบดังนี้

1. พระธุดงค์มีหลักปฏิบัติเหมือนกันหมด คือ ไปหาที่สงัดเพื่อปฏิบัติละกิเลส ไม่ใช่ไปแสวงหากิเลส (ลาภผลหรือบอกบุญชาวบ้าน)

2. ปฏิบัติแบบอุกฤษณ์ คือ ออกจากวัดแล้วมุ่งเข้าป่าสูง ไม่ต้องการอาหารจากชาวบ้าน ถ้าไม่ดีจริงให้มันตายไปเลย

3. ออกธุดงค์แบบธรรมดา ปักกลดไกลบ้านเกินกว่า 1 กิโลเมตร ไม่รับเงิน ไม่ให้หวย ไม่แจกของขลัง มุ่งปฏิบัติความดี เงินทองก็ไม่มีติดตัวไป

4. ก่อนออกธุดงค์ฝึกพระกรรมฐานด้านสมถภาวนาดีพอสมควรที่จะเลี้ยงตัวรอด

5. ถือการละเมิดกิเลสเป็นสรณะ

ตามที่กล่าวมาเป็นการบอกแต่โดยย่อ พอเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามใจ การธุดงค์ที่จะพูดต่อไปจะแสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อปานเป็นพระอภิญญา พวกฉันที่เป็นศิษย์เมื่อฝึกตามครบ 1 พรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็อยากออกธุดงค์ ท่านฝึกฝนวิธีการธุดงค์อย่างเครียด เพราะพวกฉันสามสัตว์หรือสามลิงหรือสามองค์ จะเรียกว่าอย่างไรมันก็ถูกทั้งนั้น อยากปฏิบัติแบบอุกฤษณ์ เมื่อไม่ดีก็ให้ตายเสียในป่า ฉันเคยบอกแล้วว่าคณะฉันไม่มีใครเต็มเต็งเลย บ้าๆ บอๆ เกินชาวบ้าน หลวงพ่อปานชอบคนบ้า ท่านสั่งมา เราบ้าทำทุกอย่าง เรื่องกำหนดเวลาหรือไม่ทันครบ เราทำกันเสร็จก่อนเป็นไหนๆ ท่านชอบใจ

เมื่อบอกท่านว่าจะออกธุดงค์แบบยอมถวายชีวิต ท่านก็ตกลง ซ้อมพระกรรมฐานทุกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรหมวิหาร 4 ต้องรักษาเป็นฌานได้ตลอดเวลา หลักสูตรวิชชา 3 สองข้อต้น เพียงไม่กี่เพลงพวกเราเอามาครองเสียสบายใจ เมื่อของในกระเป๋าเป็นของสำคัญที่ต้องมีไปในระหว่างธุดงค์ เมื่อถึงเวลาซักซ้อมไม่มีอะไรหนัก การซ้อมหาข้าวที่ไม่ต้องหุงกิน พวกฉันได้ป่าอำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เป็นสนามซ้อม ไม่มีอะไรบกพร่อง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เดือนยี่ มีนาคม 2480 ก็ออกเดินทางเข้าป่า

สมัยนั้นการเปลี่ยน พ.ศ. เปลี่ยนกันเดือนเมษายน เดือนมีนาคม ยังเป็น พ.ศ. 2480 เมื่อสมาทานเสร็จ ท่านก็สั่งว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจงพยายามหนีบ้าน รีบเดินให้พ้นเขตบ้านภายใน 3 วัน เป็นอย่างช้า ต่อจากนั้นจงอยู่แต่ในป่าที่ไม่มีบ้านบิณฑบาต ถ้าเธออยู่ในป่าโดยไม่พบบ้านเลยไม่ถึง 3 เดือน เข้าเขตบ้าน เธอจงอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้า ถ้าอยู่ในป่าเป็นปกติครบ 3 เดือน โดยไม่อาศัยชาวบ้านกินเลย เธอกลับมาหาฉันได้ เมื่อได้รับบัญชาแล้ว สามลิงสามสัตว์หรือสามฤาษีมุนีบวมต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครวิตกกังวลอะไรเลย พวกเราหวังเดินเข้านิพพาน นิพพานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หวังส่งเดชไปอย่างนั้น ท่านว่าธุดงค์ต้องหวังนิพพาน ไม่ใช่ธุดงค์ไปประจบชาวบ้าน หรือมุ่งขอทานชาวบ้าน หรือขายของให้แก่ชาวบ้าน ท่านบอกว่าพวกนั้นไม่ใช่พระ เป็นเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวช

ฉันฟังแล้วฉันไม่เข้าใจเดียรถีย์มันเป็นอย่างไร สนใจอย่างเดียวคือป่าสูง ออกจากวัดร่วมกับสหาย ข้ามหน้าวัด เดินตัดออกทางหัวเวียง มุ่งผักไห่ ปักกลดที่ใกล้ตำบลท่าแก้ว พอฉันข้าวเช้าแล้วเดินตัดเข้าเขตอำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรณณบุรี ข้ามเขตศรีประจันต์ ปักกลดที่ อ.ไร่รถ รุ่งขึ้นออกจากไร่รถ ตอนนี้ไม่รู้ว่าตำบลอะไรบ้าง เพราะมีแต่ป่า เดินกัน 7 วัน ก็ถึงป่าที่ชอบใจ คือ มี ต้นไม้สูง ภายล่างร่มรื่น เตียน อากาศสบาย สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่เดินกันเป็นปกติ ไก่ป่าตัวน้อยๆ ที่เขาว่าเปรียว เห็นพวกฉันเข้าไม่หนี เพราะมันไม่เคยถูกสัตว์คนรบกวน ด้วยเป็นดินแดนที่พวกพรานเดินไปหาสัตว์ไม่ถึง มีเขาใหญ่ มีธารน้ำที่ใสสะอาด มันจะมีชื่อว่าตำบลอะไร สามลิงสามสัตว์ไม่สนใจ หาทำเลได้เหมาะก็ปักกลด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิปทาในยามอยู่ป่า

1. เจริญพรหมวิหาร 4 ในระดับฌานเสมอ

2. เจริญเทวตานุสติ สลับพรหมวิหาร 4

3. เอาใบไม้ที่ร่วงหล่น ต้นไม้ที่ยืนตาย กระดูกสัตว์ที่ตายและปรากฏให้เห็นเป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ

4. ตอนเช้า เช้ามืด ทรงพรหมวิหาร 4 พอใกล้สว่างทรงเทวตานุสสติกรรมฐาน พอสว่างใช้วิปัสสนาญาณและพรหมวิหาร 4

ออกเดินบิณฑบาตทั้งๆ ที่ไม่มีบ้าน เราอยู่กันที่โคนต้นไม้ เห็นทางไกลหลายๆ กิโล เพราะไม่มีป่าบัง เป็นป่าไม้ใหญ่ มีใบเฉพาะยอด ข้างล่างโปร่งเตียนน่าสบาย และก็สบายจริงๆ เราเดินกันไปไม่ถึง 200 เมตร ก็มีเด็กหญิงชาวป่าแต่งตัวด้วยผ้าเก่ารุ่งริ่ง อายุประมาณไม่เกิน 13 ปี มารอใส่บาตรพวกเรา ข้าวของเธอสีเหลืองหอมใส่มาคนละ 3 ทัพพีไม่มีกับข้าว มีแต่ดอกไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นใส่มาในข้าวองค์ละ 1 ดอก ดอกไม้มันมีกลิ่นหอมชื่นใจชอบกล คล้ายกลิ่นกระแจะผสมเกสร เมื่อกลับมา ฉันข้าว 3 ทัพพีอิ่ม พอดีและชุ่มชื่น ไม่อยากแม้แต่น้ำ มีอาการปลอดโปร่ง

เธอใส่บาตรอย่างนั้น 2 วัน วันที่สองเจ้าลิงเล็กมันขี้สงสัย มันว่าเด็กคนนี้มาจากไหนวะ บ้านไม่มีสักหลัง เดินสำรวจออกไปประมาณเกือบ 10 กิโลเมตร ก็ไม่ปรากฏว่ามีบ้าน เวลาเธอมาใส่บาตรไม่ทราบว่ามาจากไหน พอเดินไปก็พบ เจ้าลิงถุงนี่สร้างความระยำ วันรุ่งขึ้นพอเธอมาใส่บาตร มันถามว่า น้องสาว บ้านเธออยู่ไหน เธอเดินมาคนเดียวไม่กลัวเสือหรือ เธอมองหน้าเจ้าลิงเล็กแล้วเธอก็ไม่ว่าอะไร เธอหัวเราะเสียงดังเข้าป่าไปประมาณ 10 เมตร ก็มองไม่เห็นตัว นับตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีใครมาใส่บาตรให้กินอีก เจ้าลิงระยำนั่นมันสร้างความเดือดร้อนทั้งพวก มีความรู้แต่ไม่ได้นำออกใช้เพราะเข้าใจว่าเป็นคน

ตอนที่ซ้อมนั้น ซ้อมหาจากต้นไม้ ไม่ทันอาศัยต้นไม้ก็มีคนมาดักทางใส่บาตร เลยคิดว่าคนธรรมดา เจ้าลิงปากอยู่ไม่สุข ไปถามเธอเข้าเลยไม่ให้กินทั้งเหล่า ปลาข้องเดียวกัน เมื่อเน่า 1 ตัวพลอยเหม็นไปด้วยกัน เมื่อไม่ใครให้พวกเราก็ตัดใจละ ไม่ละเลยทีเดียว ละการออกหากินแต่ไม่ละการกิน คงกินต่อไป ไม่ได้กินข้าว กินหญ้าแทน เห็นเปราะป่าอยู่ใกล้ๆ ดึงใบที่ม้วนอยู่ตรงกลางมากินแทนข้าว เป็นคนเป็นแล้ว เป็นลิงก็เป็นแล้ว แต่ควายยังไม่ได้เป็น คราวนี้มาสมาทานเป็นควายดูบ้างเห็นมันดีแน่ ไม่เป็นไร อาหารไม่เหม็นคาวดี


หลวงพ่อเมตตา

ขณะที่อดอาหารเข้าวันที่ 3 แม้จะอดอาหาร เรื่องอาหารเมื่อยากอดก็อดไป แต่ระเบียบใดๆ ที่หลวงพ่อสั่งไป พวกเรารักษากันด้วยชีวิต ไม่ละ ไม่ขาด ไม่บกพร่อง เพราะพร้อมที่จะตายเพื่อพระนิพพาน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหน ท่านสั่งอย่างไร พวกเราทรงไว้อย่างนั้น คืนวันที่ 3 จากวันอดข้าว เวลาประมาณ 2 ทุ่ม 20 นาที เรื่องเวลานี่เอาแน่นอนไม่ได้ เพราะไม่มีนาฬิกาไป ใช้แต่นาฬิกากะ คือกะๆ เอาอย่างนั้นเอง ด้วยฉันเวลาเดียวไม่ต้องมีนาฬิกา นั่งทำสมาธิกันตามปกติ ทุกองค์ต่างก็เห็นหลวงพ่อปานไปหา ท่านพูดว่าคนที่เขาใส่บาตรเขาเป็นเทวดา

ทำไมเจ้าขัดคำสั่งพ่อ เรื่องของเขาๆ จะอยู่ที่ไหน มีอาชีพอะไร เราไม่ควรสนใจ เราต้องการอย่างเดียวคืออาหาร เขาให้แล้วก็แล้วกัน ไปถามเขาทำไม พรุ่งนี้ไปสายเดิม (ทางเดิน) พ่อตกลงกับเขาไว้แล้ว จะมีคนใส่บาตรเพิ่มเป็น 3-4 คน จงอย่าคุยกับเขา อย่าสนใจเขา เราต้องการแต่อาหารจงจำไว้ แล้วท่านก็หายไป เมื่อเลิกกรรมฐานก็ลืมตาและคุยกัน ต่างคนต่างก็พูด แย่งกันพูด เล่าเรื่องที่หลวงพ่อปานมาบอก ท่านบอกเหมือนกันทั้งสามสัตว์ อาการที่ต่างคนต่างบอกช่างเหมือนกับพวกดูหนังดูละครมาด้วยกัน ต่างคนต่างเล่าเรื่องละครนั้นสู่กันฟัง เคยพบเสมอเมื่อยามอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกุฎิอยู่กับทางผ่าน แกมาดูแล้วแกเล่าสู่กันฟัง เหมือนกับฉันและเพื่อนต่างคนต่างเล่าเรื่องหลวงพ่อปานมาส่ง เป็นอันว่าท่านสงเคราะห์ และท่านมีญาณพิเศษจริงๆ รุ่งเช้าเมื่อเดินไปบิณฑบาตก็ปรากฏว่ามีคนใส่บาตร 4 คน มีผู้ชายรวมอยู่ด้วย 1 คน ท่านแน่มาก อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าอภิญญา เราจะเรียกอะไรดี

ตอนกลางคืนหลังจากที่เห็นหลวงพ่อปานแล้ว พวกฉันก็คุยกันตามประสาลิงสามสัตว์เท่านั้น เมื่อคลายอารมณ์ก็คุยกัน เรื่องที่คุยกันก็ปรารภพระนิพพานและอารมณ์พระกรรมฐาน เจ้าสองลิงชำนาญกสิณ ฉันมีกสิณกับเขา 7 กอง ไม่ครบ 10 กอง หลวงพ่อท่านให้พักหันไปเจริญอนุสสติและอสุภ และอย่างอื่นตามที่เห็นว่าสมควร พวกสองลิงเขาสงสัยเรื่องอสุภ ฉันบอกเขา ฉันสงสัยวิธีฝึกอภิญญา เขาก็บอกให้ คุยกันไปพอเพลิน เจ้าเพื่อนรักเพื่อนเกลอย่อมาเมื่อไรไม่รู้ มานั่งพับเพียบขาหลังข้าวหนึ่งเรียงหน้าอย่างเรานั่งพับเพียบ อีกรายขาหนึ่งไปข้างหลัง สองขาหน้ายันพื้น เจ้าเพื่อนนี้เป็นใครลูกหลานคงสงสัย เขาคือเสือโคร่งตัวมหึมา มันใหญ่จริงๆ หัวมันนั่งเลยหัวพวกฉันไปหลายศอก มันนั่งทำหนวดดุบดิบๆ เหมือนจะคุยด้วย ทำท่าคล้ายยิ้ม เขามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วขยับหนวด ไม่รู้มันคุยเรื่องอะไรของมัน ท่าทางมัน ไม่น่ากลัวเลย

พวกฉันมีอาการและใจปกติ เขาคุยอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็อำลาไป มันคงจะคิดว่า เอ เจ้าเสือ 3 ตัวนี่ทำไมไม่มีลายและหัวก็โล้น เขี้ยวก็สั้น หรือมันจะคิดว่าเจ้าลิง 3 ตัวนี่ทำไมไม่มีหาง เสือกมานั่งอยู่ทำไมที่โคนไม้ เมื่อมันไปแล้วพวกฉันเข้ากรรมฐาน ทรงฌานกันใหม่ พอเหนื่อยก็หลับสบาย เรื่องตายไม่สนใจ เรื่องธุดงค์ของฉันที่นำมาเล่าก็เพื่อให้ทราบว่าเมื่อทำอะไรผิดหลวงพ่อปานท่านรู้ด้วยญาณจริง พอมาถึงวัดท่านพูดเรื่องปากเสียก่อนอื่น เจ้าลิงเล็กทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมชอบกล เป็นอันว่าธุดงค์ของคณะฉัน ฉันเล่าให้ฟังเท่านี้ ด้วยไม่ต้องการโฆษณา ที่นำมาเล่าเพราะเกี่ยวพันกับเรื่องของหลวงพ่อ ต่อไปจะนำเรื่องของหลวงพ่อปานโดยตรงมาเล่าสู่ลูกหลานฟังตามที่จะพึงทำได้ วันนี้ขอเอวังกันเท่านี้ วันหน้าฟังต่อไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร