วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 13:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2012, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อโง่น โสรโย

วัดพระพุทธบาทเขารวก
ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร



๐ปฐมวัย

หลวงพ่อโง่น โสรโย เดิมท่านชื่อ ทองสุก นามสกุล สิงหเสนี
บิดาชื่อ ทองอุ่น สิงหเสนี เป็นนักเรียนเก่าประเทศฝรั่งเศส
เมื่อชาวฝรั่งเศสมาเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งค้าไม้ซุงจากเอเชียไปยุโรป
บิดาของท่านจึงทำหน้าที่ควบคุมการทำไม้
ทั้งล่องแพไม้สักจากเหนือมากรุงเทพฯ และก็ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงบอกแก่ผู้เขียน**ว่า

“อาตมาไม่มีบ้านเกิด เพราะเกิดบนแพ ขณะที่พ่อล่องมาในแม่น้ำปิง จังหวัดกำแพงเพชร”

หลวงพ่อโง่นเกิดปี พ.ศ.2446 แต่วันที่เท่าไหร่เดือนอะไร ท่านจำไม่ได้
ท่านพูดถึงบิดาของท่านว่า

“พ่อของอาตมาเป็นคนดี ไปที่ไหนมีเมียที่นั่น ท่านอยู่กรุงเทพฯ ก็มีเมียกรุงเทพฯ
เขาส่งไปทำงานที่เวียตนาม ก็ได้คนแกวเป็นเมียอีกคน ไปอยู่ประเทศลาวก็ได้เมียลาว
ท่านเป็นหัวหน้าล่องแพไม้สักจากเชียงใหม่ไปปากน้ำโพ ท่านก็ได้เมียชาวเชียงใหม่อีกคนหนึ่ง
แล้วมาได้ที่เมืองตากอีกคนหนึ่ง

อาตมาก็เลยปลงตกเมื่อเห็นสภาวะความเป็นอยู่ของท่าน ก็น่าสมเพชเวทนา
ไม่รู้ว่าจะเอาใจเมียคนไหนกันแน่

แม่ของอาตมานั้นเป็นคนพวน อยู่บ้านหมี่ ลพบุรี นี่เอง
พอลูกออกบวช โยมแม่ก็นุ่งขาวห่มขาว บวชชี จนสิ้นชีวิตในขณะที่ก้มลงกราบพระ
ส่วนโยมพ่อนั้นเมื่อชราแล้ว ท่านก็ตัดได้เหมือนกัน ท่านสิ้นชีวิตไปนานแล้วโยม”


(**หมายเหตุ - ผู้เขียนประวัติในตอนนี้ คือ ทองทิว สุวรรณทัต
จาก หนังสือโลกลี้ลับ ฉบับที่ ๔๘ ปีที่ ๕ ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๓๑)


วัยเด็กในต่างแดน

จากพระภิกษุที่มีลักษณะเป็นพระบ้านนอก แต่พูดจาฉะฉานนั้น ใครเลยจะคิดว่า
หลวงพ่อโง่น โสรโย จะใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปทั่วยุโรปมาแล้ว
ทั้งสำเร็จปริญญาวิศวกรรมจากประเทศฝรั่งเศส และผ่านวิทยาลัยของญี่ปุ่นอีกด้วย !

ทั้งนี้จากคำบอกเล่าของท่าน

“อาตมาเมื่อครั้งเป็นเด็กได้ติดตามคุณพ่อที่เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำอินโดจีนไปประเทศเวียตนาม 2 ปี แวนคูเวอร์ 2 ปี เมืองนี้อยู่ในประเทศแคนาดา

ต่อจากนั้นก็ไปอยู่โฮโนลูลู 2 ปี แล้วท่านก็พาไปอยู่ฝรั่งเศสเลย ท่านไปเป็นเลขาธิการสภาคองเกรส
เดิมทีท่านเห็นอาตมาเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง ท่านก็เลยขอเป็นบุตรบุญธรรม แล้วก็ไปอยู่โมนาเวีย ซัดเซพเนจรไปสแกนดิเนเวีย ไปเรียนหนังสือกับโป๊ปองค์ปัจจุบันนี้ ท่านเป็นชาวโปล สมัยนั้นอาตมานับถือศาสนาคริสต์”



เลิกคริสต์มานับถือพุทธ

เหตุที่หลวงพ่อโง่นจะหันมานับถือพุทธศาสนานั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า อาตมาไม่ได้บวชเพราะความเลื่อมใสหรอก การบวชนี่มาจากสาเหตุหลายอย่าง มีบวชเพราะเพื่อน บวชเพราะมิตร บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะคลายกำหนัด บวชเพราะไม่ขัดสกุล บวชเพราะหวังในลาภ ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ อุปชีวิกา บวชมาเพื่อหากิน อุปชีวิกา บวชเล่น บวชพอได้บุญ ฯลฯ

อาตมาไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อนเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอะพระเข้าองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุน เมืองเหนือประเทศลาว ท่านพูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง ท่านมาปักกลดซอมซ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกสาว ๆ เขาเลื่อมใส

แม่เล็ก ล่ำซำ ก็เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสท่าน เดี๋ยวนี้เขาแก่แล้ว เขามา ชวนอาตมาว่า “พี่ ๆ ไปกราบพระ ด้วยกันไหม ?” อ้ายเราก็นับถือศาสนาคริสต์อยู่ ก็เลยเอาไม้กางเขนซ่อนไว้ในอก

พระองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อวัง จิตฺตวโร


ซึ้งใจในธรรม

พออาตมาเข้าไปถึง ท่านก็ชี้หน้าว่า “นี่ถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม ?”

แล้วท่านก็บอกเลยว่า “ถือศาสนาคริสต์ก็ดี ไม่มีเครื่องหมายในศาสนาใดดียิ่งไปกว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์เขามีเครื่องหมายบวก ถ้าเรามองคนในแง่บวกแล้วใจจะสบาย”

ท่านสอนนะ “ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรามองในแง่บวกแล้วใจจะสบาย อย่าง สามีไปมีเมียน้อยนี่ ถ้าภรรยามองในแง่บวก แหม! แฟนเรานี่ยอดจริง ๆ ใจก็สบาย

เออ...นี่ลูกมีคำถามอยู่ในกระเป๋าเสื้อของลูก ทำไมไม่ดึงเอาขึ้นมาถาม หลวงพ่อ ล่ะ”

อ้ายเราก็กำลังจะควักออกมา อาตมาเขียนไว้อย่างนี้ โยม เขียนไว้ว่า

1. ศาสนาพุทธทำไมจึงถือวันพระ ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ จะเอาวันอื่นไม่ได้หรือ ?

2. ศาสนาพุทธมีการล้างบาปหรือเปล่า ?

3. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาจริง หรือเป็นปรัชญา ?

ปัญหาเหล่านี้อาตมาไปถามพระ องค์ไหนก็โดนด่ากลับมา แต่หลวงพ่อองค์นี้ท่านอธิบายให้อาตมาฟังว่า

“ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาอย่างแท้จริงตามหลักวิชาการแผนใหม่ ศาสนาที่แท้จริงจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า

และศาสนาพุทธก็มิใช่ปรัชญา ปรัชญาต้องมีเจ้าของ อย่างปรัชญาของท่านเพลโต้ ของท่านฟูโซ่ ของท่านกงจื๊อ อันนี้เป็นปรัชญา

พระพุทธศาสนาไม่มีเจ้าของ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของพระพุทธ ศาสนา โลกทั้งโลกเป็นเจ้าของ พระพุทธศาสนาเป็นของเราทุกคน พระพุทธเจ้าท่านค้นพบของจริงที่มีอยู่ในคน ที่มีอยู่ในโลก แล้วนำมาสอนคนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นศาสนาพุทธจึงอยู่ในระหว่างกลาง ทั้งปรัชญาและศาสนา

พระพุทธเจ้าค้นพบทุกข์ ท่านค้นพบสมุทัย ท่านค้นพบนิโรธ ท่านค้นพบมรรค ซึ่งทุก ๆ คนมีด้วยกันหมด มันมีมาก่อนแล้ว ท่านค้นพบจึงมาสอนคนอื่น

ฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงมิใช่ศาสนา และมิใช่ปรัชญา อยู่ในระหว่างกลาง ลูกเอ๋ย... จำไว้”
พอฟังท่านอธิบายให้ฟัง มันถูกหัวใจของเราอย่างจังเลยโยม !

ส่วนที่ถามว่า ขึ้น 8 ค่ำ แรม 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 15 ค่ำ ทำไมจึงถือเป็นวันธรรมสวนะ ท่านอธิบายว่า

“พระพุทธเจ้าของฉันท่านเป็นโลกวิทู เป็นผู้แจ้งโลก
วัน 8 ค่ำ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม พระอาทิตย์กับดวงจันทร์กำลังทำมุม สแควร์กัน ผัวเมียจะทะเลาะกันก็อยู่ ใน 7 ค่ำ 8 ค่ำนี้ อย่าไปทวงหนี้ทวงสินกัน ผัวเมียให้ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

ถ้าวันแรม 15 ค่ำ จะมีโจรผู้ร้ายชุกชุม การปล้นฆ่าทารุณจะเกิดขึ้น ไปดูสถิติของกรมตำรวจเขาก็ได้ เพราะเดือนมันมืด ใจคนมันมืดมน

ขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์มันแจ่มกระจ่าง อาชญากรมันจะก่อคดีในทางที่เกี่ยวกับความรักความใคร่มากกว่าปกติ การข่มขืน การปลุกปล้ำกระทำการชั่วมากกว่า เป็นกามกิเลส มันดลดวงจิตของคนอย่างนี้

ดวงจิตของคนจะมีการกวัดแกว่ง มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แทนที่จะทำเช่นนี้ จึงสมควรเข้าวัดให้พระท่านอบรมสั่งสอน พระพุทธเจ้าท่านรู้จักกฎของโลก ท่านจึงได้กำหนดไว้

แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะขโมยของของเขา ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะรักกันด้วยความใคร่ ก็ให้เข้าวัด รักกันด้วยเมตตา”

โยมเอ๋ย ! คำพูดของท่านเหมือน กับท่านเข้ามานั่งในหัวใจของอาตมา ด้วยเวลานั้นกำลังเรียนดาราศาสตร์อยู่ด้วย แหม ! ท่านเก่ง !

แล้วท่านยังบอกอีกว่า กลับไป ให้ไปอ่านคัมภีร์ศาสนาคริสต์ เล่มที่ 5 เมื่อเปิดอ่านแล้วจะโยนหนังสือทิ้ง !


อาตมาก็นึกสงสัยว่า “เอ๊ะ ! นี่ ยังไงกัน หนังสืออยู่ในกระเป๋าของเรา ท่านก็รู้ กลับไปพออ่านเล่มที่ 5 พระ เจ้าสร้างโน่น พระเจ้าสร้างนี่ พระเจ้าสร้างโลก เป็นคัมภีร์เรื่องสร้างโลกของเรา ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ จะมีกลางวันอย่างไร ถ้าไม่มีพระจันทร์ จะมีกลางคืนอย่างไร เอ๊ะ ! มีพระเจ้าบ้า ! เราก็โยนทิ้ง ”


ยังบวชไม่ได้

หลวงพ่อโง่น เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านประจักษ์ในความจริงเช่นนั้น ท่านก็เข้าไปนมัสการพระอาจารย์วัง ไปกราบเรียนขอบวชกับท่าน แต่พระอาจารย์ยังกลับบอกว่า

“เอ็งยังบวชไม่ได้ เอ็งยังต้องไปใช้กรรม เพราะเอ็งไปโกหกผู้หญิงเขาไว้ 2 คน เมื่อชาติก่อน”

หลวงพ่อโง่นท่านก็ตั้งใจไว้ว่า พบท่านอาจารย์วังภายหลังก็จะขอบวชอีก จะต้องกลับมาบวชกับท่านให้ได้ แล้วจากนั้นหลวงพ่อโง่นก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอันดี แต่กลับโดนต้ม โดนหลอกจนหมดตัว ท่านบอกว่า

“แล้วก็ไปเจอะคนที่สอง โดนต้มอีก เรียบร้อย ก็เลยเป็นอันบวชดีกว่ากู”

พระดี ๆ มีเป็นร้อย

ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า “ปัจจุบัน พระอาจารย์วังยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?”

ท่านตอบว่า

“อาจารย์วังท่านมรณภาพไปแล้ว มรณภาพที่ประเทศลาว อาตมาไปทำศพท่านเอง อาตมาถือว่าท่านเป็นอาจารย์องค์แรกของอาตมา

พระดี ๆ อย่างนี้ในเมืองไทยมีเป็นร้อย ๆ องค์ แต่ท่านไม่สนใจกับคน ในกรุงเทพฯ นี่ก็มี

แต่ญาติโยมทุกวันนี้หลงรูปสมบัติ ถ้าเห็นกุฏิหลวงพ่อองค์ไหนมีแอร์ มีเตียง มีโต๊ะ มีเก้าอี้ ถ้าได้รับเป็นเจ้าภาพอย่างนี้ละชอบ !”



บวชแล้วมุ่งปฏิบัติ

เมื่อปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อโง่น โสรโย ก็อุปสมบท ณ วัดเทพศิรินทราวาส
โดยมี พระเทพสิทธิการมุนี (จันทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านบอกว่า อุปัชฌาย์ของท่าน เป็นอาจารย์ของ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) และเคยถูกส่งไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครพนมมาแล้ว

หลังจากที่หลวงพ่อโง่นอุปสมบทแล้ว ท่านสนใจในการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง สำนักใดสอนกรรมฐาน ท่านก็เข้าไปขอฝึกกรรมฐานด้วย จนท่านจำไม่ได้ว่า ท่านได้ไปอยู่สำนักใดมาบ้าง

บางครั้งก็ออกธุดงค์ไปเหนือจดใต้ บางครั้งก็ไปจำวัดแถวอำเภอแกลง จังหวัดระยอง แต่ปัจจุบันท่านยึดถือการปฎิบัติหนักไปในทางมหาสติปัฎฐาน 4 ควบกับมรณานุสติ ท่านบอกว่า

“ทุกวันนี้นึกแต่ว่า หายใจไม่ออกก็ตาย หายใจไม่เข้าก็ตาย จะนึกอะไรก็ช่างเถิดโยม ขอให้จิตมันสงบจากนิวรณูปกิเลส ให้มันวางได้ ให้มันว่างได้ นั่งอยู่ที่ไหนให้มันสบายที่สุด จิตใจมันจะหลงอย่างไร ก็นั่งอยู่อย่างนั้น จนจิตมันสงบเอง

แต่อิริยาบถที่จะทำสมาธิสำคัญที่สุด คือ อิริยาบถนอน เพราะทุกคนจะต้องนอนตายในที่สุด ท่านจะนอนท่าไหนก็ได้ แต่ต้องทำอิริยาบถรู้ รู้จิต รู้สภาพจิตที่มันจะลงสู่สภาวะใต้สำนึก

จิตมี 2 อย่าง คือ จิตเหนือสำนึก อย่างหนึ่ง จิตใต้สำนึก อย่างหนึ่ง

จิตใต้สำนึกคือ จิตหลับ เรานอนหลับ คือ การตายน้อย ๆ นี่เอง

อาตมาสอนอยู่ว่า อิริยาบถที่สำคัญที่สุดที่ท่านจะลืมไม่ได้ ก็คืออิริยาบถนอน ให้ฝึกสติเอาไว้ เพราะทุกท่านจะต้องนอนตาย เวลาหลับให้หลับอย่างมีสติ หลับไปก็จะเป็นสุข



คำสอนที่ถูกทาง

หลวงพ่อโง่น กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมต่อไปว่า

“คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนให้พวกเรานั่งดูสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ หรือให้คอยนั่งดูนิพพาน ชั้นโน้นชั้นนี้

แต่ท่านสอนให้ดูตัวเอง ให้เห็นดวงจิตของตัวเอง

การนั่งไปเห็นสวรรค์ไปอย่างโน้น สวรรค์ไปอย่างนี้ นรกขุมนั้น นรกขุมนี้ อ้ายนี่มันพวกประสาทหลอน

การทำสมาธิ การศึกษาเรื่องนี้ อาตมาไม่ได้ศึกษากับพระอาจารย์องค์เดียว เห็นสำนักไหนสอนปฏิบัติที่ใด ก็เข้าไปทั้งนั้น แต่เราต้องไปเลือกเอา

เปรียบเสมือนอาตมาเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ เราจะต้องเลือกเอาดอกใดดอกหนึ่งที่ชอบใจ

เราไม่ได้ตำหนิติเตียนท่าน แต่บางสำนักมันเกินไป เช่น นั่งอย่างนี้หนา ให้ตามหลวงพ่อไปหนา เห็นสวรรค์ไหม ?...มันผิด ! นั่นมันพวกประสาทหลอน

พระอาจารย์ที่อาตมาเคารพนับถือคำสอนที่ถูกทางในปัจจุบันจริง ๆ มีอยู่องค์เดียวคือ หลวงพ่อพุทธทาส ท่านสอนถูกหลักพระไตรปิฎก

ถ้าสอนทางโลก อาตมายกให้องค์เดียวอีกเหมือนกัน คือ ท่านปัญญานันทะ

ถ้าสอนในทางธรรม คือว่าเอาจิตใจให้พ้นทุกข์จริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อพุทธทาส”


มาอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวก

ผู้เขียนเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวกว่า มีมาจากเหตุใด

หลวงพ่อโง่นบอกว่า เริ่มแรกเดิมทีอาตมาไปเจอ หลวงพี่ชวน (หลวงพ่อโอภาสี) อาตมาไปพบท่านที่วัดบวรนิเวศ หลวงพ่อโอภาสีท่านบอกว่า

“คุณต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อสร้างบารมีนะ เพราะที่นี่จะพาธงชัยของพระศาสนาไปทั่วผืนแผ่นดินไทย คงจะต้องมาอยู่ที่นี่ ที่โรโตรัว นิวซีแลนด์ ขั้วโลกใต้”

หลังจากนั้นอีก 20 ปี อาตมาก็มาอีกกับ หลวงน้าโฮม (ท่านเจ้าคุณโฮม วัดปทุมวนาราม) ท่านก็บอกว่า

“อาจารย์ต้องมาสร้างบารมีอยู่ที่นี่ บรรดาเทวดาเจ้าพ่อเมืองแกลงเขาอยู่ที่นี้ เขาจะให้อุปการะ หลวงปู่ครูบาโลกอุดรท่านเสด็จไปแล้ว ท่านก็เคยอยู่ที่นี่”

ตอนที่อาตมามาครั้งแรกยังเป็นป่าทึบอยู่ หลวงพ่อใหญ่ชื่อ หลวงพ่อชื่น จิตฺตวโร เจ้าอาวาสวัดนี้ เป็นพระสายเดียวกัน ท่านเก่งทางวิทยาคม เก่งหลายอย่าง เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อโอภาสี ท่านไปรับอาตมามาอยู่กับท่าน อยู่กันเพียง 2 องค์ เวลาท่านมรณภาพไม่มีเงินติดตัวสักสลึง ! นับจากนั้นอาตมา ก็เริ่มค่อย ๆ ก่อสร้างไปตามกำลัง


เหงียนง๊อกกลายเป็นโง่น

จากนายทองสุก สิงหเสนี กลายเป็น หลวงพ่อโง่น โสรโย นั้น ท่านบอกว่ามีสาเหตุจากตอนที่ท่านไปเรียนวิศวะ ประเทศฝรั่งเศส โดยทุนของ

เวียดนาม และได้ปริญญาเกียรตินิยม ทำให้เวียดนามต้องการให้ท่านเป็นนักเรียนของประเทศเขาเต็มตัว จึงเปลี่ยนชื่อท่านจาก ทองสุก เป็น เหงียน ง๊อก ท่านจึงได้ชื่ออยู่ที่นั่น และทางฝรั่งเศสก็ให้บัตรซิติเซ่นไว้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ท่านจะไปฝรั่งเศสไม่ต้องทำวีซ่า

แล้วต่อมาเมื่อกลับมาเมืองไทย เรียกกันไปกันมาอย่างไรก็ไม่ทราบ กลับกลายเป็นโง่นไป ซึ่งท่านก็ยอมรับโดยดุษณี ไม่ว่าอะไร


นั่งสมาธิในหิมะ

รูปภาพ

ที่นอรเวย์ ขั้วโลกเหนือ นั่งสมาธิอยู่ภายในหิมะ เป็นเวลา 8 ชั่วโมง

จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อโง่น โสรโย ที่ผ่านมา ผู้เขียนทราบว่าท่านได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เพราะบิดาบุญธรรมที่อุปการะท่าน ตามใจท่านทุกอย่าง ท่านจึงมีโอกาสเดินทางทั่วยุโรป จากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้ ทั้งเคยไปเรียนที่เวียดนาม ญี่ปุ่น มาแล้ว

ตลอดเวลาการให้สัมภาษณ์ ท่านจะพูดภาษาอังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง แถมเวียดนามให้ฟังอีก แต่ผู้เขียนมีสติปัญญาน้อย จึงไม่สามารถถ่ายทอดภาษาเหล่านั้นให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายฟังได้

ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ เมื่อครั้งท่าน เดินทางไปยังขั้วโลกเหนือในครั้งหลังนี้ ท่านอยู่ในสมณเพศแล้ว ท่านเห็นหิมะขาวสะอาด น่านั่งสมาธิ ท่านก็ไปนั่ง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจ จนฝรั่งที่เห็นอุทานออกมาว่า

“ที่นั่นไม่ใช่คน เป็นผี”

เพราะมิใช่ท่านนั่งเพียงชั่ว 5 หรือ 10 นาที แต่ท่านนั่งอยู่นานถึง 8 ชั่วโมง ! ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา คงจะแข็งตายไปแล้ว !


รู้หลายภาษา

อาจจะมีบางท่านที่เห็นรูปร่างของหลวงพ่อโง่นแล้ว ไม่เชื่อว่าท่านเดินทางมารอบโลกแล้ว แต่เมื่อเห็นฝรั่งไปนมัสการ ท่านก็พูดโต้ตอบเป็นภาษาของเขา เมื่อญี่ปุ่นไปหา ท่านก็โต้ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น

หรือแม้แต่เต่าที่มีไข่บนเขารวก ส่งเสียงตามภาษาสัตว์ ท่านก็แปลให้ลูกศิษย์ของท่านฟังได้

ความอัศจรรย์มีในตัวท่านหลายอย่าง ดังจะเห็นจากการก่อสร้างต่าง ๆ ที่ท่านออกแบบแปลน และควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ บนวัดพระพุทธบาทเขารวกเอง หรือที่พิจิตรซึ่งท่านสร้างเป็นรูปจระเข้ขนาดใหญ่โต จนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับสั่งว่า “น่าเข้าไปนั่งทำสมาธิในนั้น !”


รูปขันธ์ไม่เปลี่ยนแปลง

ที่น่าประหลาดอีกข้อหนึ่งก็คือ ใครก็ตามที่เห็นหลวงพ่อโง่น เมื่อ 30-40 ปี มาแล้ว จะยืนยันได้ว่า รูปขันธ์ของท่านไม่เห็นเปลี่ยนแปลง อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น

แม้แต่ พล.ต.ต.ถาวร คล่องเชิงศร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการการศึกษา กรมตำรวจ ผู้อนุเคราะห์ความสะดวกในการเดินทางแก่ผู้เขียน ก็ยังยืนยันว่า

“ผมรู้จักท่านตั้งแต่ยังเป็นร้อยโท จนทุกวันนี้ก็เห็นหลวงพ่ออย่างนี้แหละครับ ไม่เห็นแก่ลง ยังแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วว่องไวเหมือนเดิมทุกอย่าง แปลกจริง ๆ”

แต่จากการที่ผู้เขียนอยู่ใกล้ชิดท่าน ขณะยื่นเครื่องอัดเทปไปใกล้ท่านนั้น ผู้เขียนสังเกตเห็นแววตาดำอันเริ่มฝ้าฟางของท่านอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ หลวงพ่อคงจะหลีกเลี่ยง ความเป็นอนิจจังไม่พ้น แม้เนื้อหนังของท่านจะไม่เหี่ยวย่นเหมือนคนชราทั่วไป มิหนำซ้ำยังเดินเหินว่องไวก็ตาม แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ปกปิดความชราไว้ไม่พ้น นั่นก็คือ แววตาของท่าน ที่ผู้เขียนเห็นด้วยตัวเอง !


ไม่ทานเนื้อสัตว์แต่เยาว์วัย

ที่ทราบมาว่า หลวงพ่อโง่น ท่านฉันแต่ผักเป็นอาหารมาแต่เยาว์วัยนั้น ผู้เขียนยังสงสัยอยู่ จึงได้กราบเรียนถามท่าน ได้รับคำตอบว่า

“อาตมาเป็นมาแต่เด็กเล็ก ๆ แล้ว โยม ฉันเนื้อไม่ได้ มันขยะแขยง อดคิดไม่ได้ว่า เนื้อเขาก็เหมือนเนื้อเรา

เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มเคยไปเยี่ยมญาติของแม่ที่บ้านหมี่ เห็นสาว ๆ ชาวพวนเขาสวย ก็เกิดนึกชอบเขา แต่พอเห็นเขากินไก่เท่านั้น ใจมันห่อเหี่ยวไปเลย

ครั้งไปอยู่ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เกิดไปชอบกับสาวญี่ปุ่นเข้า แต่พอเห็น เขากินปลาดิบเท่านั้น ก็ทนไม่ไหว ความรู้สึกเช่นนี้สวนเกิดขึ้นมาเอง เกิดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ มันขยะแขยงจริง ๆ โยม

ทุกวันนี้ก็เลยขอฉันแต่อาหารผัก และฉันมื้อเดียวมาหลายสิบปีแล้ว


ขอให้ทำจริง

รูปภาพ

การปฏิบัติของท่านนอกจากจะ ทำให้จิตว่างอยู่เสมอแล้ว หลังเที่ยงคืน ท่านจะนั่งสมาธิในกุฏิตามลำพังไปจนฟ้าสาง และท่านปฏิบัติเช่นนี้มาช้านาน และสม่ำเสมอตลอดมา

ท่านบอกว่า

“ถ้าจะปฏิบัติจริง ๆ ต้องนั่งสมาธิ ให้ได้วันละ 5 ชั่วโมงซีโยม ยิ่งนั่งนาน ยิ่งได้พิจารณาเห็นธรรมต่าง ๆ การปฏิบัตินั้นจะทำโดยวิธีใดก็ตาม ขอให้ทำจริงเท่านั้นเป็นพอ”


เป็นพระต้องทวนกระแส

ท้ายสุด หลวงพ่อโง่น โสรโย กล่าวแก่ผู้เขียนว่า

“พระโลกนาถศาสดาของเรา ท่านมีปราสาทราชมณเฑียรอยู่ถึง 3 ฤดู ท่านยังทิ้งไปบำเพ็ญทุกรกิริยาถึง 6 ปี ท่านก็ทรงเสวยพระกระยาหารของนางสุชาดา เสร็จแล้วเอาถาดทองคำลอยน้ำ ถ้าถาดทองคำนี่ทวนกระแสน้ำได้ก็จะเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้มันเป็นบุคลาธิษฐาน

แต่ถ้า ธรรมาธิษฐาน จริง ๆ วิถี ชีวิตของชาวบ้านกับชาววัดมันทวนกระแสกัน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โยมต้องเอา เพราะเป็นสิ่งที่เลี้ยงตัวเองกับครอบครัวและวงศ์ตระกูล เงินทอง ลาภยศ ต้องเอา แต่ต้องเอาในทางที่ถูก ยศก็ต้องมี สรรเสริญก็ต้องเอา สุขก็ต้องเอา

แต่พระนี่ทวนกระแสเขา ลาภมี กูไม่เอา ได้มากูก็บริจาคให้คนอื่นหมด ยศกูไม่เอา เพราะเป็นเรื่องของกิเลส สรรเสริญ ใครไม่ต้องมาสรรเสริญ ความสุขนี่อย่าติดซีโยม เพราะ ดวงจิตเรา ถ้ามีทุกข์ มันจะเห็นทุกข์ จิตใจจะเข้มแข็ง ถ้าเจอแต่ความสุขมันจะ อ่อนแอ


รูปภาพ

:b48: :b48:

พิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย
ณ เมรุชั่วคราว วัดพระพุทธบาทเขารวก
ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
จากหนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ ๓๘๘ ปีที่ ๒๒ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๕

ประวัติฉบับบทความ

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนผู้มีความเคารพนับถือได้ร่วมกันประกอบพิธีใน การพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่โง่น โสรโย ณ เมรุวัดพระพุทธบาทเขารวก ตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่โง่น โสรโย ในครั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ มิตรญาติ อย่างหาที่สุดมิได้

หลวงปู่โง่น โสรโย ได้อุบัติมาใช้ชีวิตในสมณเพศ บำเพ็ญประโยชน์และคุณูปการแก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา ตลอดถึงสังคมทุกระดับอย่างดียิ่ง เป็นเนติแบบอย่างอันงดงามของผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองด้วย ความสะอาดบริสุทธิ์ยุติธรรม มีความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นชีวิตจิตใจ หลวงปู่มีอัธยาศัยเปี่ยมล้นด้วยเมตตา สันโดษ รักสงบ เสียสละ ตามวิสัยของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในอุบายแนะนำสั่งสอนเหล่าประชากรโดยพุทธวิธี มีกุศโลบายในการรักษาตนให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งภายนอกและภายใน มีทัศนวิสัยในการปฏิบัติที่สมสมัย มีจิตใจใฝ่รู้วิชาทุกแขนง นำมาแก้ไขดัดแปลงก่อให้เกิดประโยชน์โสตถิผล ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทำความแช่มชื่นให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็น มีความเยือกเย็นเป็นสุขใจแก่ผู้เข้าใกล้ ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่านอย่างน่าอัศจรรย์

หลวงปู่โง่น โสรโย อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม โดยมี ท่านเจ้าคุณสารภาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนมเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาพรหมมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทปีแรก พระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ผู้อุปการะคือ หลวงพ่อวัง ได้ร้องขอและส่งให้ไปอยู่กับพระสหายของท่าน คือ เจ้ายอดแก้ว บุญทัน บุปผรัตน์ ธมมญาโณ ที่วัดสุวรรณารามราชมหาวิหาร นครหลวงพระบาง ราชอาณาจักรลาว ซึ่งต่อมา เจ้าบุญทัน บุปผรัตน์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แห่งราชอาณาจักรลาว ต่อมากรุงเวียงจันทน์แตกใน พ.ศ. ๒๕๑๘ พระองค์ได้เสด็จลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๕๒๘

ส่วนหลวงปูโง่น โสรโย ในขณะนั้นเป็นพระนวกะ ได้เรียนนักธรรมและบาลีแบบลาว ซึ่งเจ้ายอดแก้ว บุญทัน ทรงรักใคร่โปรดปรานมาก เพราะดั้งเดิมเป็นสายญาติกัน และใช้งานได้คล่อง พูดไทยได้เก่ง เว้าลาวได้ดี ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสก็อาศัยได้ เพราะในระยะนั้นประเทศลาว ยังเป็นอาณานิคม เมืองขึ้นของฝรั่งเศส ท่านจึงต้องการให้พระภิกษุที่เข้ากับชาวต่างชาติรู้เรื่อง อยู่ด้วย เมื่อเวลาว่างท่านให้เข้าป่าเพื่อแสวงหาต้นไม้ที่เป็นยาสมุนไพร เพราะพระองค์ท่านทรงสนใจรับรู้ในเรื่องยาสมุนไพรมาก ตอนเข้าไปในป่าถึงเขตทุ่งไหหิน โดนทหารลาวและทหารฝรั่งจับในข้อหาเป็นจารชนจากเมืองไทยไปสืบความลับ ถูกขังคุกขี้ไก่ ๓๐ วัน พร้อมพระลาว ๒ รูป กับเด็กอีก ๑ คน เด็กคนนั้น คือ เจ้าสิงคำ ซึ่งต่อมาก็คือ ท่านมหาสิงคำ ผู้ทำงานช่วยพวกลาวอพยพร่วมกับสหประชาชาติ อยู่ที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ ท่านจึงไปมาหาสู่บ่อย เพื่อขอความช่วยเหลือให้พี่น้องชาวลาว หลวงปู่โง่นก็ได้ช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่ความสามารถจะมี

เรื่องการติดคุกขี้ไก่อยู่เมืองทุ่งไหหินนั้นสนุกมาก เขาเอาไก่ไว้ข้างบน คนและพระอยู่ข้างล่าง ไก่ขี้ใส่หัวตลอดเวลา เหม็นก็เหม็น ทรมานก็ทรมาน สนุกก็สนุก ได้ศึกษาธรรมไปในตัว ความทราบถึงเจ้ายอดแก้ว พุทธชิโนรสสกลมหาสังฆปาโมกข์ ท่านได้ร้องขอให้ปล่อยตัว แต่ทหารปล่อยเฉพาะพระลาว ๒ รูป กับเด็ก ๑ คน ส่วนหลวงปู่โง่นเขาไม่ปล่อย เพราะเข้าใจว่าเป็นคนไทย ด้วยเหตุที่พูดไทยได้เก่ง ทั้งนี้ ขณะนั้นเป็นช่วงระหว่างสงครามอินโดจีน ฝรั่งยุให้คนไทยกับคนลาวเป็นศัตรูกัน เห็นคนไทยก็จับขังหรือฆ่าทิ้งเสีย จึงมารู้ตัวเข้าคราวหลังว่า เรามันคนปากเสีย ปากพาเข้าคุก เพราะพูดภาษาไทย

ภายหลังสมเด็จพระสังฆราชลาว ท่านออกใบสุทธิให้ใหม่ โอนเป็นพระลาวเป็นคนลาวไป เขาจึงปล่อยตัวออกมา แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาของพวกนักสืบอยู่นั่นเอง จึงกราบทูลลาผู้มีพระคุณ หาทางมุ่งกลับเมืองไทย แต่ไม่รู้จะมาอย่างไร จึงตัดสินใจไปพบคนที่รู้จักรักใคร่คือ ท้าวโง่น ชนะนิกรซึ่งเป็นข้าราชการลาวอยู่ในระยะนั้น ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง มีแต่หลุมหลบภัยและเสียงปืน ที่พี่ไทยกับน้องลาวยิงกันไม่ขาดระยะ ต้องธุดงค์ปลอมแปลงตัว เดินเลียบชายฝั่งแม่น้ำโขงลงมาทางใต้ ถึงใกล้เมืองท่าแขก ได้รับความช่วยเหลือจากพระลาวที่รู้จักกัน คือ ครูบาน้อย หาทางให้ได้เกาะเรือของชาวประมงข้ามฝั่งมาไทย พอถึงแผ่นดินไทยก็โดนร้อยตำรวจเอกเดช เดชประยุทธ์ และ ร้อยตำรวจโทแฝด วิชชุพันธ์ จับในข้อหาเป็นพระลาวหลบเข้ามาสืบราชการลับในราชอาณาจักรไทย ถูกจับเข้าห้องขัง ฐานจารชน อยู่ ๑๐ วัน ร้อนถึงพระพนมคณานุรักษ์ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าเมือง ได้เจรจาให้หลุดรอดออกมา

พอพ้นจากห้องขังมาได้ ก็เข้ากราบพระอุปัชฌาย์คือ ท่านเจ้าคุณสารภาณมุณี สั่งให้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานกับ พระอาจารย์วัง ที่ถ้ำไชยมงคล ภูลังกา และไปหา พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ตอนเข้าพรรษา พระอุปัชฌาย์ให้มาจำพรรษาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ สอบได้นักธรรมตรี พ.ศ. ๒๔๘๖ สอบได้นักธรรมโท พ.ศ. ๒๔๘๗ สอบได้นักธรรมเอก ต่อมาหนีออกธุดงค์เข้าถ้ำ จำพรรษาที่ถ้ำบ้านยางงอย อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม กับอาจารย์สน อยู่ ๑ ปี พระอุปัชฌาย์รู้ข่าวเรียกตัวกลับ สั่งให้มาอยู่วัดอรัญญิกาวาส จังหวัดนครพนม โดยบังคับให้เป็นครูสอนนักธรรมโท อยู่วัดศรีเทพ ๒ ปี เพราะวัดทั้งสองอยู่ใกล้กัน ไปกลับได้สบาย ผลของการสอนได้ผลดีมาก นักเรียนสอบได้ยกชั้นทั้ง ๒ ปี พระอุปัชฌาย์ชมเชยมาก และปีต่อมาได้เปลี่ยนเป็นครูสอนนักธรรมเวลาเช้า ส่วนเวลาบ่าย หลวงปู่เป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์

ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ สอบเปรียญธรรม ป.ธ.๓ แต่ต้องตกโดยปริยาย เพราะข้อสอบรั่วทั่วประเทศ จึงต้องสอบกันใหม่ เกิดความไม่พอใจในวิธีการเรียนแบบสกปรก จึงย้อนกลับไปพึ่งใบบุญของสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศลาว และได้ตั้งใจเรียนแบบลาว สอบเทียบได้เปรียญ ๕โดยสมเด็จพระยอดแก้วสกลมหาปรินายก ออกใบประกาศนียบัตรให้ จากนั้นท่านสั่งให้ไปเรียนต่อที่ประเทศพม่า พอดีขณะนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพม่าพากันเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของอูนุ มีการจับพระชาวต่างชาติเข้าคุก หลวงปู่โง่นก็พลอยโดนด้วย แต่โชคดีที่พระมหานายกของพม่า คือ ท่านอภิธชะมหา อัตฐะคุรุ ได้ขอร้องและทำใบเดินทางให้เข้าประเทศอินเดีย เลยเข้าไปเมืองฤๅษีเกษ แคว้นแคชเมียร์ ไปฝึกฝนอบรมวิชาโยคะ ๑ ปี เมื่อมีเพื่อนนักโยคะชักชวนขึ้นไปเมืองยางเซะ และเมืองลาสะ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศธิเบต เพื่อศึกษาภูมิประเทศ และหลักการทางพระพุทธศาสนามหายาน

พ.ศ. ๒๔๙๔ กลับมาเมืองไทย ท่านเจ้าคุณรัชมงคลมุนี วัดสัมพันธวงศ์ ส่งให้ไปเป็นหัวหน้าก่อสร้างพระอุโบสถจตุรมุขหลังใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ที่วัดสารนาถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อยู่ได้ ๕ ปี พระอุโบสถจวนเสร็จ ขออำลาหนีไปพักผ่อนชั่วคราว ไปพักอยู่กับญาติๆ ที่เมืองอังกานุย ประเทศนิวซีแลนด์ แล้วไปอยู่แคนเบอร่า ประเทศออสเตรเลีย อยู่แห่งละ ๑ ปี แล้วไปอาศัยอยู่กับญาติโยมเก่า ที่เขาเคยอุปการะอยู่ประเทศลาว ที่เมืองรียอง ประเทศฝรั่งเศส

พ.ศ. ๒๔๙๘ กลับเมืองไทย ไปช่วยท่านมหาโฮม คือ เจ้าคุณราชมุนี วัดสระประทุม ที่ปากช่อง จากนั้นเดินธุดงค์เข้าป่าเข้าถ้ำหลายแห่ง คือ ถ้ำเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ถ้ำตับเต่า อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วล่องใต้ไปอยู่ถ้ำจัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ถ้ำขวัญเมือง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แล้วมาถ้ำมะเกลือ เหมืองปิล็อก จังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นขึ้นถ้ำฤๅษี (ถ้ำมหาสมบัติ) ถ้ำเรไร จังหวัดเพชรบูรณ์

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงพ่อแพร คือ ท่านเจ้าคุณเพชราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์องค์ก่อน ได้นิมนต์มาสร้างโรงเรียนประชาบาล วัดท่าข้าม และสร้างพระประธานใหญ่ ไว้ที่เขตอำเภอชนแดน แล้วท่านร้องขอให้ไปอยู่แคมป์สน เขตอำเภอหล่มสัก อยู่ได้ปีเดียว ท่านเจ้าคุณวิมลญาณเวที วัดมงคลทับคล้อ ซึ่งเป็นเครือญาติกันมาก่อน ขอให้มาสร้างฌาปนสถาน และบูรณะศาลาการเปรียญวัดมงคลทับคล้อ พอเสร็จเรียบร้อย ท่านร้องขอให้มาช่วยเหลือประจำอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เพราะเป็นแดนทุรกันดาร หน้าแล้ง จะขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ ด้วยความเห็นชอบและเลื่อมใสของท่านเจ้าอาวาส ตลอดจนญาติโยม ได้ลงมือพัฒนาสถานที่นี้ให้ได้รับความสะดวกสบายขึ้นหลายอย่าง อาทิ ได้ขุดสระกักเก็บน้ำไว้ในบริเวณหมู่บ้าน เก็บน้ำให้ชาวบ้านไว้ใช้ตลอดปี สร้างถนนจากบ้านวังหลุมถึงเขารวก เป็นระยะทาง ๕.๕ กิโลเมตร และสร้างโรงเรียนประถมศึกษา เป็นอาคารชั้นเดียว ยาว ๕๐ เมตร มีห้องเรียน ๘ ห้อง อีกทั้งปั้นหล่อรูปสมเด็จพระปิยมหาราชไว้ที่หน้าเสาธง มีขนาด ๑ เท่าครึ่ง ตั้งอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ของทุกปี จะให้มีพิธีถวายบังคมพระบรมรูป และแจกทุนการศึกษาแก่เด็กยากจนไม่น้อยกว่าปีละ ๑๐๐ ทุน ทุนละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดมาจนทุกวันนี้

หลวงปู่ได้แปรผันสังขารของท่านเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๒ รวมสิริชนมายุได้ ๙๔ ปีเศษ นับว่ามีอายุมากในปัจจุบัน แต่สังขารของหลวงปู่ไม่แก่เฒ่าอย่างที่ทุกคนคิด เพราะท่านมีวิธีรักษาจิต เพื่อชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัติ มีธรรมสมบัติเป็นจิตใจ จึงเป็นใจที่สงบ อันใจที่สงบนั้น ย่อมไม่แก่ชราคร่ำคร่าดังพระพุทธภาษิตว่า สตญฺจ ธมโม นชรํ อุเปติ ธรรมของผู้มีใจสงบนั้น ย่อมไม่เข้าถึงความแก่ชราคร่ำคร่า ก็คือการชะลอความแก่ไว้ด้วยธรรมสมบัตินั่นเอง

คนส่วนมากมักปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม แต่หลวงปู่ท่านใช้ชีวิตของท่านเดินย้อนรอยกรรม โดยการนำตัวแฝงเข้ามาเป็นอุปกรณ์การเดินทางเพื่อย้อนรอยกรรม จึงทำให้ชีวประวัติของท่านโดดเด่น โลดโผน เป็นวรธรรมคติแก่ผู้ศึกษาและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

อันปฏิปทาของหลวงปู่โง่น โสรโย นั้น ตรงกับคำว่า “ปะฐะ วิปปะภาโส” แปลว่า ผู้ยังพื้นปฐพีให้สว่างไสว เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยที่เป็นดวงตาของโลก มีความชื่นชมยินดีเป็นที่รวมใจ มีรัศมีสีทองผ่องอำไพส่องโลกนี้ เป็นคาถาที่ปรากฏใน โมรปริตร์ ถ้าคิดถึงหลวงปู่ก็ให้เจริญมนต์บทนี้ จะได้รับความคุ้มครองจากธรรมสมบัติตามปฏิปทาบารมีของหลวงปู่โง่น โสรโย เหมือนท่านอยู่กับเราในฐานะตัวแฝง ตลอดไป

:b53: :b53:

ที่มา
(๑) http://www.dharma-gateway.com/monk/monk-main-page.htm
(๒) http://pck.onab.go.th/index.php?option= ... mitstart=1

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร