วันเวลาปัจจุบัน 11 ต.ค. 2024, 09:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2012, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5112

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร
วัดโฆษิตาราม
บ้านแค ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท



๐ ปฐมวัย

หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อ เด็กชายกวย ปั้นสน
เกิดวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง
ณ หมู่บ้าน บ้านแค หมู่ที่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
เป็นบุตรของคุณพ่อ ตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้านแค
ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน

คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน
คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน
คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน
คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน
คนที่ ๕ พระกวย ชุตินฺธโร

ปัจจุบันพี่น้องของหลวงพ่อได้ถึงแก่กรรมและหลวงพ่อท่านก็ได้มรณภาพแล้ว

เด็กชายกวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา
ถือว่าเป็นบุตรคนเล็กที่ ก็เป็นที่รักรักใคร่ของบิดามารดา
เมื่อโตขึ้นบิดา มารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับ หลวงปู่ขวด ณ วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือ

ในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดง
จะหาโรงเรียน เรียนก็ยาก เพราะห่างไกลความเจริญ
หลวงปู่ขวดได้ไต่ถามถึงวัน เดือน ปีเกิดของเด็กชายกวย
ตลอดจนลักษณะผิวพรรณ การเดินและการพูดจา
เด็กชายกวยมีวันเดือนปีเกิดของมหาบุรุษ
แสดงว่าวันข้างหน้าจะได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน
ลักษณะสีผิว สีผิวขาว เหลืองแบบคนมีปัญญา
สีผิวต่างจากบิดามารดา ริมฝีปากเล็กแสดงว่าเป็นคนพูดน้อย
ประกายตากล้าแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงว่าเป็น คนเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด
แต่เจ้าอารมณ์ การเดินก็แคล่วคล่องปราดเปรียว

หลวงปู่ขวดได้พอใจและรับไว้เป็นศิษย์
ได้สอนหนังสือ ก.กา สระ ตัวสะกด การันต์ แล้วเรียนบวกลบคูณหารจนคล่อง
เด็กชายกวยยังได้อ่านหนังสือธรรมบท บทสวดมนต์ต่างๆ ของพระ
เด็กชายกวยก็ท่องได้ทั้งๆ ที่อายุเพียง ๖-๗ ขวบเท่านั้น
หลวงปู่ขวดจึงได้ให้เด็กชายกวยเรียนหนังสือขอม
เรียนสูตร, สน นาม อีกมากมาย เด็กชายกวยก็เรียนได้ จำได้

หลวงปู่ขวดได้ทุ่มสติปัญญาในการสอนเด็กชายกวยจนเต็มกำลัง
เพราะรู้ในชะตาของเด็กชายกวยว่า วันข้างหน้าอาจจะได้บวชในพระศาสนา
จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้งๆ ที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว

ต่อมา หลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวย
มาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น ซึ่งใกล้ๆ กับวัดบ้านแค
เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว
บิดามารดาจึงได้พาเด็กชายกวยมาเรียนที่โรงเรียนวัดพร้าว ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี
โดยเดินทางไปเรียนเพราะไม่ไกลนัก ได้สอบไล่ชั้น ป.๑ และ ป.๒
เด็กชายกวยแทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย
เพราะเด็กชายกวยได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว
แถมยังมีความรู้มากกว่ารุ่นเดียวกันมากนัก
ภาษาขอมก็เขียนได้ อ่านได้แตกฉาน เด็กชายกวยจึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก
จึงได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา

ระหว่างที่นายกวยทำไร่ไถนานี้
นายกวยคิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด
การทำไร่ทำนาหาไปใช้ไปไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้
ช่วงนี้ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า
นายกวยไม่ได้ประพฤติเป็นคนเกเร เหมือนกับคนเมืองสรรคบุรีสมัยนั้น
จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อกวยเอง เมื่อถามถึงชีวิตในวัยหนุ่ม
ท่านเล่าว่าท่านเป็นคนซนคือซุกซน ชอบยิงกระสุน (รูปร่างคล้ายธนูแต่ใช้ลูกดินยิง)
คือบ้านไหนตอนกลางคืนไม่ยอมปิดประตูหน้าต่างให้ดี
ท่านจะแกล้งเอาคันกระสุนยิง เพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่างให้ดี


๐ ก่อนบวช

ในวัยหนุ่มนั้น ท่านได้พูดกับบิดามารดาว่า
ถ้าตัวเองได้บวชเมื่อไรจะบวชไม่สึก
ซึ่งท่านเคยเล่าให้คุณย่าฉวย เทียนจัน คนหัวเด่น ผู้เป็นพี่ของคุณยายฉาย
ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลท่านก่อนมรณภาพ
อายุย่าฉวยมากกว่าหลวงพ่อ ๓-๔ ปี
ท่านได้เล่าถึงมูลเหตุของการบวชไม่สึกว่า
ตอนสมัยท่านหนุ่มๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน
ท่านเคยขึ้นหาคนรักของท่านในตอนกลางคืน
โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้พูดไว้ว่าขึ้นหาบ่อยหรือไม่
และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร

คืนวันหนึ่งเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง
ท่านนัดกับคนรักของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้ว
ปรากฏไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สว่างมากกลัวว่าที่พ่อตาจะเห็น
ท่านได้คอยจนกระทั่งเดือนตก คือดึกมากแล้ว
ท่านได้ปีนขึ้นไปหาคนรักของท่าน ปรากฏว่าคนรักของท่าน คอยท่านจนหลับไป
ท่านได้เข้าไปดูคนรักของท่านนอนหลับอยู่
ผมผ้ายุ่งเหยิงนอนอ้าปากน้ำลายไหล
ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายซากศพ หาความงามไม่ได้เลย
ท่านได้ถอยหลังออกมาแล้วปีนหน้าต่างกลับ
และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก
ความตอนนี้คล้ายคลึงกับ เรื่องของพระยสะในพุทธกาล
แสดงว่าหลวงพ่อไม่ยินดีในกามคุณตั้งแต่ก่อนบวช

รูปภาพ

๐ การออกบวช

เมื่อท่านอายุครบบวช บิดามารดาท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้
แต่นายกวยได้พูดกับบิดามารดาว่า
ถ้าจะบวชให้ตนก็ขอให้บวชกันที่วัดไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต
ไม่ต้องมีการแห่ แหน ให้เปลืองเงินเปลืองทอง
โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำว่า
"พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง"

บิดามารดาจึงได้พานายกวยไปหาอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี
จัดการโกนหัวบวชให้ มีหลวงพ่อปา เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์
บวชเมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗
เวลา ๑๕ นาฬิกา ๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี
ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า
"โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก
หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น
ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"


เมื่อบรรพชาอุปสมบทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านแค
ตอนนั้นหลวงปู่มา เป็นเจ้าอาวาสอยู่
พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กันฑ์กุมาร, ทานกัณฑ์
ในแถบนั้นสมัยนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้เลย
ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี
และเทศน์แหล่ชายหม้าย กล่าวถึงพระเวสสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์
ถ้าไม่มีพระนางมัทรีตามเสด็จไปด้วย ก็จะเป็นชายหม้าย
ส่วนพระนางมัทรี ก็จะเป็นหญิงหม้าย
ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้ายชายหม้าย
มีแต่คนนินทาว่าร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงได้ทิ้ง
ครั้นแต่งตัว คนเขาก็ว่าคงอยากจะมีผัวจนตัวสั่น
ครั้นไม่แต่งตัว คนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ สามีถึงได้ทิ้ง
ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสาร มีแต่คนเขาว่า
คงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเร เป็นนักเลงสุรา หรือนักเลงการพนัน
จะอยู่จะกินก็อดๆ อยากๆ
ลูกเต้าหรือก็ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ
ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้าย ชายหม้าย ไม่อาจนั่งฟังบนศาลา
ต้องหลบไปแอบฟังที่ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งน้ำตาไหลเป็นบาง บางคนร้องไห้โฮ

ชื่อเสียงของท่านในการเทศน์ทานกัณฑ์นั้นโด่งดังมาก
แต่กัณฑ์อื่นๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก เพราะการเทศน์เวสสันดรชาดกนั้น
พระนักเทศน์ต้องตลกคะนอง แต่หลวงพ่อไม่ชอบตลกคะนอง
ปัจจุบัน ใบในการเทศน์ของท่านยังอยู่ที่วัด
หลวงพ่อเขียนไว้ว่า พระกวยสร้างถวาย แล้วตอกตรารูปสิงห์ชูคอเอาไว้

อยู่ต่อมาหลวงพ่อได้หยุดเทศน์โดยหลบหรือแอบไปเรียนวิชาแพทย์โบราณกับหมอเขียน
หมอเขียนคนนี้สามารถรักษาโรคระบาด หรือโรคห่าได้
ตอนนั้นคนเป็นโรคระบาดที่บ้านโคกช้าง ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
หมออื่นๆ ก็ตาย เหลือหมอเขียนคนเดียว สามารถรักษาโรคห่า โรคไข้ทรพิษได้

ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระกวยได้มาเรียนพระปริยัติธรรม
เพื่อให้เจริญในศาสนา ได้มาอยู่วัดวังขรณ์ ต.โพธิ์ชนไก่ ๒ พรรษา
ในพรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท แต่พอสอบไล่ เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ
จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร
จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง
จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี

หลวงพ่อศรีองค์นี้เชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐานมาก
เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรีในขณะนั้น หลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว
ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์
ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่าอิติ
ของหลวงพ่อก็เช่นกันและได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง

ได้จำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
ที่วัดตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น ปัจจุบันยังอยู่
หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัดหนองตาแก้ว ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ
ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้
ทั้งๆ ที่หลวงพ่อ เพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา
แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว ๑ พรรษา

ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม
ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท อีก ๑ พรรษา
ได้เรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม
และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระ
ในขณะที่พักจำพรรษาที่วัดหนองแขม ได้มีเพื่อนภิกษุ ชื่อแจ่ม
ได้เดินทางท่องเที่ยว ไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้ แต่เอามาไม่ได้
เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก คล้ายมีเทพและเทวดารักษา
จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู ปรากฏว่ามีตำราอยู่โพรงไม้จริง
มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาใต้โคนไม้

พระภิกษุกวย จึงได้จุดธูปบอกเล่าและอธิษฐานว่า

"ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้ ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก"

แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานขึ้นมาใหม่ว่า

"ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้
ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น"

แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓ ดอก
หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำราและอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้

ต่อมามีคนร่ำลือกันว่ามีคนๆ หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน
ได้เกิดเหตุวิบัติ เจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว

พระภิกษุกวย เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดู
ก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอกไว้ในตำราว่า
ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใครๆ ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะฉิบหาย
พระภิกษุกวยจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่มนี้
ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด หน้าปกเขียนว่า “ครูแรง” ด้วยสีแดง
ปกติไม่มีใครกล้าหยิบต้อง

เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้
ปัจจุบันอยู่ที่อาจารย์เหวียน มณีนัน คนทำทอง ต.ปากน้ำ อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ๑ เล่ม
เก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง แขวนไว้ในกุฏิไม่มีใครกล้ายุ่ง
อยู่ที่อาจารย์ตั้ว ๑ เล่ม อยู่ที่อาจารย์แสวง วัดหนอง อีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑ เล่ม
ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นตำราภาษาไทย
มองดูก็ธรรมดา หลวงพ่อห่อปกไว้อย่างดี ใส่พานไว้บูชาหน้าปกเขียนว่า ทางมรรคผล
ลายแทงนิพพานเขียนโดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ รับหนังสือไว้ พ.ศ. ๒๕๐๒
ปีนั้นหลวงพ่อสดมรณภาพแล้ว ตำรานี้ปัจจุบันยังอยู่ในพานหน้าโต๊ะหมู่ท่าน
กรุณาอย่าไปแตะต้อง บางคนกลับไปบ้านไม่สบายเพ้อคลั่งปวดหัวก็มี
เข้าใจว่าหลวงพ่อได้ศึกษาตำราเล่มนี้ในบั้นปลายของชีวิต

เมื่อหลวงพ่อออกจากวัดหนองแขมแล้ว
ได้ไปจำพรรษาที่วัดบางตาหงาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
ได้มาเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
ได้เรียนวิชาทำแหวนแขน, ตะกรุด, มีดหมอ และอื่นๆ
และได้เรียนวิชารักษาโรคกระดูกหักจากหลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐี จ.อุทัยธานี
เข้าใจว่า หลวงพ่อคงจะเรียนวิชากับหลวงพ่อองค์อื่นๆ อีก
เพราะในตำรารักษาไข้ ยังได้กล่าวถึงครูของท่านองค์หนึ่งคือ
หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน กับหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว
ก็เข้าใจว่าชอบพอกัน เพราะหลวงพ่อเคยทำพระพิมพ์ยอดขุนพล
แล้วนำเหรียญหลวงพ่อกัน กดลงไปด้านหลัง

ศิษย์ร่วมรุ่นของหลวงพ่อที่เป็นที่รู้กันคือ หลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู อ.บรรพตพิสัย
คือครั้งหนึ่ง พระโชน วัดหัวเด่น ได้ไปกราบหลวงปู่
หลวงปู่ได้พูดว่าสรรคบุรี ไม่รู้จักท่านกวยหรือ
พระโชนได้พูดว่า เป็นศิษย์ครับ หลวงปู่หัวเราะชอบใจใหญ่เลย
ได้พูดว่า "ท่านกวยเขาใจจริง" เรียนวิชามาด้วยกัน เขาใจจริง เขาไม่กลัวอะไร

จากคำบอกเล่าจากพระภิกษุแบนและพระหลวงตา
ตลอดจนศิษย์รุ่นเก่าได้พูดตรงกันว่า
หลวงพ่อกวยตอนที่อยู่ที่วัดก็เป็นพระที่มีอาคมเหมือนพระทั่ว ๆ ไป
แต่เมื่อท่านกลับมาจากเรียนวิชาจากเมืองเหนือ (หมายถึง นครสวรรค์)
เมื่อท่านกลับมาท่านเก็บตัว พูดน้อย มีจิตมหัศจรรย์ วาจาสิทธิ์ เหนือกว่าพระทั่วไป

เรื่องที่หลวงพ่อไปเรียนวิชามากับหลวงพ่อเดิมนี้
มีหลักฐานคือมีรูปถ่ายของหลวงพ่อเดิม มีจารด้วยลายมือ พบในกุฏิของหลวงพ่อ
หลักฐานอีกอย่างหนึ่งคือ ลุงลอน คนสักยันต์แทนหลวงพ่อก็มี มี ๒ รูป สมัยนั้นเดินไป
หลังสงคราม หลวงพ่อจะไปเรียนวิชาทำทอง เล่นแร่แปรธาตุ
แต่หลวงพ่อเดิมไม่สอนให้ ในช่วงนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่า
หลวงพ่อกลับวัดบ้านแคเมื่อไร แต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๔

เมื่อหลวงพ่อกลับมาอยู่วัดบ้านแค หลวงพ่อได้ทำการสักให้ศิษย์
มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดสักกันทั้งกลางวันกลางคืน
ทางเดินสมัยก่อนต้องเดินเท้าเอา ลำบากมาก
อย่างดีก็ขี่จักรยาน รถ ๒ แถว มีเข้าวัด ๑ คัน ออก ๑ คันเท่านั้น
มีศิษย์สักมาก ได้จดบัญชีไว้ ๔ หมื่น ๔ พันคน
แล้วหลวงพ่อก็ไม่ได้จดชื่อศิษย์อีกเลย ไม่ถามแม้แต่ชื่อ
ศิษย์สักของหลวงพ่อหลายคนยิงไม่ออก เป็นเรื่องแปลกมากที่คนธรรมดาจะยิงไม่ออก

ต่อมา หลวงพ่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา หลวงพ่อได้หยุดสัก
หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ว่า ถ้าท่านไม่เลิกสัก
หลังคากุฏิท่านสามารถเอาแบงค์ร้อยมามุงหลังคาแทนได้
(สมัยนั้นแบงค์ ๕๐๐ แบงค์ ๑,๐๐๐ ยังไม่มี)
แล้วหลวงพ่อก็ทำแต่เรื่องรางของขลัง
เช่น ตะกรุด, มีดหมอ, แหวนแขน, พระพิมพ์ ฯลฯ

ในสมัยนั้นเมื่อเสือ (หมายถึงโจร) เดินผ่านวัดหลวงพ่อ
ต้องยิงปืนถวายทุกครั้ง ทั้งกลางวัน กลางคืน

ในวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส
เข้าใจว่าหลวงพ่อคงจะกลับวัดบ้านแคมาก่อนหน้านี้หลายปี
เพราะจากคำบอกเล่าของคนเก่าเล่าไว้ว่า
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๔
หลวงพ่อได้มาอยู่ที่วัดบ้านแคแล้ว ได้นำตะกรุดของครูบาอาจารย์มาแจก
เป็นของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ก็มี เป็นของหลวงพ่อเดิมก็มี เป็นงาก็มี
ที่หลวงพ่อทำเองก็มี เพราะมีคนมาขอกันมาก
ตลอดจนสมัยนั้นมีเสือเข้ามาปล้นบ้านกันมากมาย
บ้านเมืองข้าวยากหมากแพง ผู้คนเดือดร้อน บ้างก็เจ็บป่วย
ไม่มีหมอ ไม่มียา พระกวยก็ช่วยจนสุดกำลัง
คนก็เรียกกันว่า อาจารย์กวยบ้าง หลวงพ่อกวยบ้าง
หลวงพ่อคร่ำเคร่งสักให้ศิษย์บ้าง แจกเครื่องรางบ้าง พระบ้าง ตะกรุดบ้าง
รักษาโรคบ้าง บ้านเมืองก็เกิดข้าวยากหมากแพง
หลวงพ่อจึงตัดสินใจถือธุดงควัตร
ข้อฉันอาการเพียงมื้อเดียวมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เรื่อยมา

ในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ (คู่สวด)

รูปภาพ

๐ ปัจฉิมวัย

หลวงพ่อไม่ชอบการก่อสร้าง ชอบความเป็นอยู่แบบสมถะ
แม้กุฏิของหลวงพ่อก็เป็นไม้ทรงไทยโบราณ
แต่การก่อสร้างนั้น หลวงพ่อยกหน้าที่ให้กรรมการวัด
แม้การก่อสร้างก็ให้กรรมการวัดและชาวบ้านทำ
ยกเว้นส่วนที่ยากจึงจ้างช่างทำ
ฉะนั้น ทางวัดจึงมีแต่กุฏิเก่าๆ ที่สร้างใหม่ก็มีมีแต่พระอุโบสถ,
ศาลาทำบุญ กุฏิชุตินฺธโร ที่ศิษย์สร้างถวายเท่านั้น

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน
และมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ ด้วยอาการสงบ
สิริอายุรวมได้ ๗๔ ปี ๕๔ พรรษา


ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ หลวงพ่อได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท
หมอได้วินิจฉันโรคว่าหลวงพ่อเป็นโรคขาดอาหารมาเป็นเวลา ๓๐ ปี
ได้ให้สารอาหารประเภทโปรตีนกับหลวงพ่อ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน
ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

เมื่อกลับวัดหลวงพ่อก็ยังได้ฉันอาหาร
เพียงวันละ ๑ ครั้ง เช่นเดิม โดยไม่เปลี่ยนความตั้งใจ
หลวงพ่อยังคงคร่ำเคร่งในการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า สุขภาพหลวงพ่อมองดูภายนอกก็แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อได้วงปฏิทิน
วันที่ท่านเริ่มเจ็บเอาไว้ด้วยสีน้ำเงิน และวงปฏิทิน
วันที่ท่านมรณภาพเอาไว้ด้วยตัวหนังสือสีแดง
คือวันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒
พร้อมทั้งเขียน พระคาถา นะโมตาบอด ให้ไว้เป็นคาถาแคล้วคลาดและกำบัง

หลวงพ่อเขียนว่า
"อาตมาภาพพระกวย นะตันโต นะโมตันติ ตันติ ตันโต นะโม ตันตัน
จะมรณภาพวันที่ ๑๑ เมษายน เวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที"


พอวันที่ ๑๑ มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร
เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล
มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลย ไม่มีรสชาติ
บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉัน
แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขึ้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์
ปลุกเสกวัตถุมงคล กลางคืนก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล
บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้วกลับผอมหนักเข้าไปอีก

เมื่อมีศิษย์มาเยี่ยม ศิษย์เห็นท่าน หลายคนร้องไห้
ท่านไม่ชอบ แทบทุกคนจะร้องไห้ ท่านจะดุศิษย์ว่า

"มึงร้องไห้ทำไม กูไปดี เป็นห่วงแต่พวกมึงนั่นแหล่"

วันที่ ๑๐ เมษายน กลางคืนมีศิษย์มาเฝ้าท่านเต็มไปหมด
ตอนเช้ายิ่งมาก เพราะท่านจะมรณภาพ แต่ท่านก็ไม่มรณภาพ
ท่านผอมมากมีแต่หนังหุ้มกระดูก มีแต่ประกายตาที่สดใสเท่านั้น
จนกระทั่งตกกลางคืนท่านก็ไม่มรณภาพ

ค่อนสว่างวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒
ทางกรรมการวัดและศิษย์ใกล้ชิดได้ประชุมปรึกษากันว่า
สงสัยในกุฏิท่านจะลงอาถรรพณ์เอาไว้ ตลอดจนตำราอักขระเลขยันต์
ตลอดจนรูปครูบาอาจารย์ คงจะไม่มีใครกล้ามารับท่านแน่
อยากเห็นท่านไปดี จึงปรึกษากัน นำท่านออกมาที่หอสวดมนต์
เมื่อเตรียมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุ้มท่านมาจำวัดที่เตียงที่หอสวดมนต์
ท่านลืมตาขึ้นเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย แล้วหลับตาพนมมือ

เกิดอัศจรรย์ ระฆังใบใหญ่ที่หอสวดมนต์ได้ขาดตกลงมา
ดังหง่างๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ดังยาวนาน ศิษย์ที่อยู่ศาลาเข้าใจว่าท่านมรณภาพแล้ว จึงได้ตีระฆัง
คือคาดว่ามีคนตีระฆัง เมื่อจับเวลาดู เป็นเวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที
จับชีพจรท่านดู ปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว
ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยโบราณ

ศิษย์มากันเต็มไปหมดมืดฟ้ามัวดิน ทางวัดได้จัดสวดอภิธรรม ๑๐๐ วัน
กลางคืนได้นำเทปที่ท่านเทศน์ นำมาเปิดให้ศิษย์ฟัง

ปัจจุบันในวันที่ ๑๒ เมษายนของทุกปี เป็นวันทำบุญประจำปีเพื่ออุทิศและระลึกถึงหลวงพ่อ
ได้จดจำวันนี้ไว้ จะอยู่ใกล้หรือไกล ในวันที่ ๑๒ เมษายนทุกปี
ควรจะทำบุญใส่บาตรหรือ มากราบหลวงพ่อที่วัด
หรือนำผ้าป่ามาทอดเพื่อระลึกถึงหลวงพ่อ ขอจงปฏิบัติให้ได้ทุกปี
ท่านจะมีแต่ความสุขความเจริญ
ชีวิตจะไม่ตกต่ำเหมือนกับคำพรของหลวงพ่อที่เคยให้ไว้

"ขอศิษย์ทั้งหลายจงอย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา"

ก็ขอสมมุติยุติพระประวัติของหลวงพ่อไว้แต่เพียงเท่านี้

:b48: :b48:

ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/monk ... ist-01.htm

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร