วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 11:54
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, พระมหาวีระ ถาวโร)
วัดท่าซุง (วัดจันทาราม) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี


เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช

อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก

ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด

พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่

พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"

พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

มรณภาพ

ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล, สร้างโรงเรียน, จัดตั้งธนาคารข้าว, ออกเยี่ยมเยียนทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร, ยา, อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ

ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย, วาจา, ใจ, ในทาน, ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี

ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก, หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร

ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า, อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน, การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ, การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย, การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน, การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 15 ก.ย. 2010, 15:49, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 11:54
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ลาพุทธภูมิ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
การลาพุทธภูมิของหลวงพ่อมีหลายสาเหตุ
สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือต้องการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕๐๐๐ ปี
อีกสาเหตุหนึ่งคือท่านเห็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

การเจริญพระกรรมฐานที่เราศึกษากัน พวกเรามาเจริญกรรมฐานที่นี่แล้วไปฟังที่อื่นไม่รู้เรื่องน่ะ
อย่าว่าท่านนะ อย่าไปว่าสำนักนั้นสอนไม่ดี เพราะเราไม่ได้ตามกันมา คือ จะต้องตามกันจึงจะพูดรู้เรื่อง
คนที่เขาศรัทธาในสำนักอื่นก็เหมือนกัน มาสำนักเราเขาอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ติดตามกันมา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี เขาก็ดีเหมือนกัน
คนที่จะพูดให้คนทุกประเภทรู้เรื่องได้น่ะ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว
แต่สำหรับพวกสาวกนี่ต้องอาศัยเป็นคนที่ติดตามกันมาแต่ในอดีตชาติ
ทำบุญร่วมกันมาแบบนี้แหละ
ฉันก็เกิดเป็นพระเรี่ยไรญาติโยมอยู่ตลอดเวลายังงี้ มันน่าเกิดทุกชาตินะ แต่มันไม่ยังงั้นน่ะซิ
บางชาติก็พาพวกไปรบกับเขาสนุกสนาน ไอ้ฉันก็หัวโจกผู้หยงผู้หญิงก็คว้าดาบเข้าฟันกับเขา
ตีกับเขา โอ๊! สนุก! เผลอ ๆ ก็ลงนรกกันสนุกเสียที
แต่คิดว่าพวกเรานี่คงจะไม่ลงนรกมาประมาณ ๑,๐๐๐ ชาติแล้วนะ
แล้วอย่ากลับไปอีกเลย ถ้าหัวหน้าไม่ลงลูกน้องก็ไม่ลงหรอก ใช่ไหม...

ความจริงอาตมาไม่รู้เอง มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อคราว พ.ศ. ๒๔๙๗
ปีนั้นนั่งนึก ๆ ดู เอ..ไอ้กูนี่ตายแล้วจะไปไหนดีหว่า...มานั่งคิดบัญชีตั้งแต่เกิดมา
มันทำบาปมากกว่าทำบุญ รู้ตัวว่าทำบาปมาเยอะ แต่การทำบาปก็เป็นสาธารณประโยชน์
ถึงเป็นสาธรณประโยชน์ก็จริง แต่ไอ้การฆ่าเขานี่มันก็บาป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นโจรเป็นผู้ร้าย
ก็มานั่งคิดว่าน่ากลัวจะไปนรกเล่นสบาย ๆ นั่งเลือกเอาสักขุม ขุมไหนก็ช่างมันเถอะ!
รำพึงดูว่าจะเปลื้องตัวเองให้พ้นนรกจะทำยังไง การเจริญพระกรรมฐานน่ะจริง เจริญมาตั้งแต่วันบวช
แต่ก็เกรงกำลังใจว่าเวลาตาย ถ้าจิตเราเสียนิดหนึ่งอาจจะไปนรก
พอคิดถึงตอนนี้ก็มีเสียงไม่แว่วหรอก ดังชัด! เสียงถามว่า "จะไปขุมไหนดีล่ะ?"
เสียงจากข้างบน ถ้ามาจากข้างล่างล่ะยุ่งแน่ เสียงเพราะนะ
เหมือนเสียงเด็กก็ไม่ใช่ เป็นเสียงเด็กกับเสียงผู้หญิงบวกกัน
เสียงประเภทนี้มาจาก ๒ แห่ง คือ จากพรหมหรือจากนิพพาน
แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าจะเป็นเสียงพรหม ถามว่า "จะไปขุมไหนดี ตัดสินใจแล้วหรือยัง?"
ตอบไปว่า "ยังหาที่เลือกไม่ได้" แล้วเสียงนั้นก็ตอบมาบอกว่า
"จะไปได้ยังไงในเมื่อท่านไม่ไปมา ๑,๐๐๐ ชาติแล้ว..."
เราเลยนึกว่าแกโกหกน่ะซิ! ๑,๐๐๐ ชาติถอยหลังไป โอ้โฮ! ขนาดหนักเลย
ฆ่านับหัวไม่ถ้วน รบทัพจับศึกนี่ฆ่ากันมาเท่าไหร่ ก็ถามว่า
"มันจะแน่ได้ยังไง ไม่ตกนรก ๑,๐๐๐ ชาติ"
แกบอกว่า "ถอยหลังไปดูซิ! ทุกชาติเล่นฌานสมาบัติ รบก็รบกัน
เวลาเลิกจากรบก็ทำบุญสุนทาน สร้างวัดสร้างวาให้ทาน เจริญกรรมฐาน
ก็ใช้กำลังฌานหนีนรกมาทุกชาติ แล้วทำไมชาตินี้จึงจะไปล่ะ?"

เอ..ชักครึ้ม ๆ ค่อยยังชั่วหน่อย ก็เลยร้องถามไป "ถ้าฉันตายเวลานี้ไปอยู่ที่ไหน?"
อีตอนนั้นความจริงยังไม่ถอนจาก "พุทธภูมิ"
เขาเลยตอบว่า "ชาตินี้ก็เลือกเอาซิ! อยากจะไปอยู่พรหมหรืออยู่ดุสิต?"
ก็เลยนั่งนึกนอนนึกจะไปไหนดีหว่า .. จะไปอยู่ชั้นดุสิต ผู้หญิงมากนี่ ดูท่าจะไม่ไหว
เพราะอีตอนนั้นข้าง ๆ วัดแกทะเลาะกันเรื่อย พูดกันแค่คนละคำเราก็แย่แล้ว
ถ้าจะไปอยู่พรหมก็นานเกินไป เลยคิดว่า เอ้า! อยู่ไหนก็ช่างมันเถอะ! ใช้ได้..
ถ้าเขาพูดกันมากนัก เราทำเฉย ๆ เสียมันก็หมดเรื่อง..

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลายปีนะ ปีนั้นนั่งอยู่คนเดียว
พระเขาไปหากินผีกันหมด เขานิมนต์ไปมาติกาบังสุกุลหมดวัด
ฉันมันเป็นคนขี้เกียจนี่ ถ้าไม่มาป้อนถึงวัดก็ไม่ค่อยจะเอาหรอก
แล้วก็เป็นห่วงถ้าไปกันหมดเดี๋ยวขโมยลักวัด เลยนั่งอยู่คนเดียว
ประมาณสัก ๔ โมงเช้า ลองนึกดู เออ..ไอ้กูมันเกิดมาเป็นคนมากี่ชาติหนอ
แล้วเป็นสัตว์มากี่ชาติ นึกเท่านี้ก็มีเสียงกังวานมา เสียงเพราะมาก
เสียงผู้หญิงบวกผู้ชายเหมือนกัน แต่กังวานมากนี่เป็นเสียงจากนิพพาน
แต่ฟังชัดมากเหมือนกับเราคุยกันใกล้ ๆ บอกว่า "คุณอยากจะรู้หรือว่าเกิดเป็นคนกี่ชาติ? เกิดเป็นสัตว์กี่ชาติ?"
ก็เลยตอบว่า "พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบ" ท่านก็บอกว่า "ดูข้างหน้านี่ซิ!" ก็มองไปข้างหน้า
ไอ้ชาติที่เกิดเป็นคนนี่นอนเรียงกันยาวสัก ๑๐ กว้าง ๑๐ นี่นะเรียงขึ้นไป มันเลยเขาพลองตั้ง ๒ เท่า
ส่วนภาพเสดงชาติที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นอีก ๔ เท่า จากสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่สูงเท่า ๆ กันแหละ
คิดเฉลี่ยแล้วเป็นสัตว์มากกว่าเป็นคนมาก แหม...เรามีบุญเยอะ
ท่านก็เลยบอกว่า "นี่แค่สัตว์กับคนนะ นรกยังไม่ได้คิด" แหม..ขนาดนรกยังไม่ได้คิด
ท่านก็เลยบอกว่า"เราทิ้งอัตภาพมาขนาดนี้แล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์
ขณะที่เราเกิดเราก็คิดว่าเราไม่ตาย แต่ทุกชาติเราก็ตาย ทำไมชาตินี้เราจะห่วงใยอะไรต่อไปอีกรึ
ยังคิดว่าเราจะเกิดต่อไปรึ เห็นไหม.. แต่ละอัตภาพที่เกิดมาน่ะมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์
แล้วการเกิดแต่ละชาติมันไม่ใช่เป็นมนุษย์เสมอไป ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานจากสัตว์เล็กไปถึงสัตว์ใหญ่ก็มี
บางคราวเกิดเป็นเทวดาก็มี เป็นพรหมก็มี เป็นสัตว์นรกก็มี แต่ไอ้เทวดากับพรหมน่ะมันน้อยกว่า
สัตว์นรกและสัตว์เดรัจฉาน แล้วคุณจะหวังเกิดมาทำไมล่ะ .. ?"

เราก็นั่งตาปริบ ๆ ไอ้เราก็ไม่อยากจะเกิด แต่มันก็เกิดจะไปว่ายังไงมัน เลยถามท่านว่า "ถ้าอย่างนั้นล่ะ! จะไม่เกิดได้ไหม?"
ท่านบอกว่า "ไม่เห็นมันยากนี่" แน่ะ! พูดกับคนไม่ยากนี่ พูดกับคนที่ไม่รู้จักเกิดก็ "ไม่ยาก!" ถามว่า "ไม่ยากจะทำยังไง?"
ไอ้ที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อความไม่เกิด แต่ว่ากำลังใจยังไม่ได้ตัดสินแน่นอนนัก ยังมีจังหวะห่วงหน้าห่วงหลัง
มีจุดหนึ่งที่คิดว่าเราต้องการสงเคราะห์ประชาชนให้มีความสุข เพราะอาศัยพุทธภูมิเป็นสำคัญ
จิตอีกดวงหนึ่งคิดว่าทำบาปขึ้นมานี่ เป็นพระอรหันต์ไปนิพพานเสียดีกว่า
ท่านบอก "อย่าให้มันแย่งกันซิ! เอาด้านใดด้านหนึ่ง" ถามว่า "ถ้าด้านใดด้านหนึ่งใช้เวลานานไหม?"
ท่านบอก "ไม่นาน" ถามว่า "เท่าไหร่?"
ท่านก็ตอบ แต่จะไม่บอกนะว่าท่านบอกว่าไง ท่านก็กะเวลาให้ อ๋อ! เรื่องเล็ก ๆ
แต่ว่าต้องเป็นนักเรียนทุน พอเรียนจบแล้วต้องทำงานใช้หนี้ ๑๒ ปี ก็ทำตามท่านรู้สึกว่าง่าย
ที่ง่ายเพราะอะไร เพราะว่าอันดับต้นที่บวชใหม่ ๆ เล่นสมาบัติ ๔ ถึงสมาบัติ ๘
พอถึงสมาบัติ ๘ อาศัยที่ปรารถนาพุทธภูมิ มันก็ยั้งตัวอยู่แค่นั้น ก็ฟัดกันเรื่องสาธารณประโยชน์
"พุทธภูมิ" นี่ห่วงคนอื่นมากกว่าห่วงตัว ตัวเองจะมีกินหรือไม่มีกินไม่สำคัญ ขอให้สาธารณชนเขามีความสุข
จิตใจมันขยายไปแบบนั้นนะ ไอ้ที่นอนก็เป็นเสื่อขาด ๆ เก่า ๆ ของใหม่ไม่มีในกุฏิ เวลานี้ที่วัดมีของดี ๆ มาก
ชาวบ้านเขาจัดให้ ถ้าชาวบ้านเขาให้ชนิดไม่จำกัดล่ะหมด แจกเรียบ!!!...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


..พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพ ยักขา ปะรายันติ..

ขออนุโมทนาสาธุ..คุณ..นาสังสิโม..ที่นำบทความดี ๆ ..มาให้อ่าน

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อ

" ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกอีกไม่กี่วัน มันก็พัง ฉนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
ท่านบอกว่ามีความสุข พระอรหันต์ทั้งหลาย ร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่าท่านมีความสุข
เราก็พยายามทำให้สุข เหมือนอย่างท่านบ้าง ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่า คิดว่าเราดีไว้เสมอ
มองดูความบกพร่องของจิต ว่าจิตของเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี ..... "


แก้ไขล่าสุดโดย jossriring เมื่อ 16 ก.ย. 2010, 19:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง

" จงเห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเลยในโลกนี้ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น แปรปรวน เสื่อมไป สลายไป ทุกอย่างไม่มีอะไรควรยึดถือทั้งสิ้น...... "


แก้ไขล่าสุดโดย jossriring เมื่อ 16 ก.ย. 2010, 20:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง

การที่จะหนีอบายภูมิทั้ง ๔ คือการไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัชฉาน
ต่อไปนั้น ต้องกำจัดสังโยชน์ คือ อารมณ์ชั่ว ๓ ประการ ให้พ้นจากใจ อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ ประการ คือ
๑. ที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ตายตัดทิ้งไป ให้มีความรู้สึกว่ามันจะต้องตายแน่และไม่ประมาทในชีวิต
คิดทำความดีต่อไป
๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ตอนนี้ตัดทิ้งไป
ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
๓. สีลัพพตปรามาส มีการปฏิบัติในศีลไม่แน่นอน ไม่จริงจัง
อันนี้ต้องทิ้งไปหันมากลับมาปฎิบัติในศีลให้แน่นอนและจริงจัง ฆราวาสเพียงแค่ศีลห้า
หรือว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้แล้ว สำหรับภิกษุสามเณรก็มีศีลของท่าน


แก้ไขล่าสุดโดย jossriring เมื่อ 16 ก.ย. 2010, 19:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...นัตถิ โลเก อนินทิโต... คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก
พระพุทธเจ้าเองยังถูกนินทา อาตมาเป็นสาวกรุ่นจิ๋วของพระองค์ทำไมจะไม่ถูกนินทา
เวลานี้คำนินทา คำติเตียนก็เกลื่อนโลก เต็มโลกไปหมด ไม่เห็นหนักใจอะไร
จะนินทาสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็แก่ลงไปทุกวัน ใครเขาสรรเสริญยังไงก็ตาม
ก็ยังแก่ลงทุกวัน นินทาก็แก่ สรรเสริญก็แก่
ฉะนั้น คำนินทาและสรรเสริญทั้ง ๒ ประการนี้ ท่านพุทธบริษัท
องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงแนะนำว่า จงอย่าถือเอาเลยทั้ง ๒ อย่าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
เราก็ต้องรู้ด้วยว่าร่างกาย ความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เรา คือจิตที่เรียกว่า อทิสมานกาย
ที่เข้ามาอาศัยร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัยอันนี้ ร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา
แล้วมันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเรา เราจะปรนเปรอบังคับบัญชามันอย่างไรก็ตาม
มันจะไม่ยอมปฏิบัติตามด้วยประการทั้งปวง


แก้ไขล่าสุดโดย jossriring เมื่อ 16 ก.ย. 2010, 20:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
อุเบกขาบารมีตัวนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ตรงกับภาษาไทยที่ใช้กันเป็นปกติว่า ช่างมัน
ขันติบารมีนี่ก็เหมือนกันใช้คำว่าช่างมัน ตรงตัวดี คนที่มี บารมีต้น
นี่นะ เขาเก่งแค่ทานกับศีลอย่างเก่ง ถ้าอุปบารมี ก็เก่งแค่ฌานสมาบัติ จิตใจพอใจมาก
แต่พูดเรื่องนิพพานไม่เอาด้วย คนที่มีบารมีเข้าถึง ปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะพอใจในนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
ลูกรักทั้งหลาย ธรรมส่วนใดที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอน ที่พ่อจะปกปิดไว้ไม่มี
พ่อสอนหมดทุกอย่างเมื่อพ่อตายแล้ว ขอลูกแก้วของพ่อ จงประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ส่วนนี้ทั้งหมด ในเมื่อขันธ์ 5 มันทรงไม่ไหว พ่อก็อยู่ไม่ได้ พ่อสอนลูกอยู่เสมอว่า
ขันธ์5เป็นของธรรมดามัน เกิด แก่ เจ็บ และตายเหมือนกันหมด ลูกจะเกาะขันธ์ 5 ของพ่ออยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอดสมัยไม่ได้ ความดีที่จะเกิดมีขึ้นนั้นไซร้คือการปฏิบัติตนเอง ฟังแล้วก็จำ
จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำได้ ในที่สุดในไม่ช้าก็จะบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล


แก้ไขล่าสุดโดย jossriring เมื่อ 16 ก.ย. 2010, 20:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง

ไปนิพพานนี่ไปไม่ยาก ตัดตัวเดียวที่ร่างกาย คือ สักกายทิฏฐิ ตัวอย่าง ท่านปูติคัตตติสสะ ติสสะ เนื้อเน่านะ ปูติคัตตะ แปลว่ากายเน่า ท่านติสสะ อาศัยที่ท่านฆ่านกชาติก่อนแล้วก็หักแข้งหักขานกหักปีกบ้าง เป็นต้น เวลาเก็บไว้ข้างวัน พอมาชาติหลังนี่พอท่านบวชพระก็ป่วย ฌานสมาบัติท่านก็ไม่ได้ ท่านพุพองทั้งตัว ผลที่สุดก็เน่าทั้งตัว จนปฏิบัติไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงมาแนะนำว่า ติสสะ เธอจงพิจารณาตาม ความเป็นจริงว่าร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็จะนอนทับถมพื้นแผ่นดิน จะมีวิญญาณไปปราศแล้วมีสภาพมีสภาพเหมือน ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ฟังเสียงแค่นี้ พระติสสะ จิตตัดร่างกายทันที พระพุทธเจ้าบอกว่าร่างกายไม่มีความหมาย ท่านก็เลยไม่ติดในร่างกายแล้วก็ตายทันที พระถามว่า ติสสะ ตายแล้วไปไหน พระพุทธเจ้าบอกว่าไปนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง

ขอเล่าถึงบุคคลอีกคน นั่นคือท่านโกมารภัจ บุคคลนี้เราไม่ควรละเลย
ท่านโกมารภัจนี่สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านคิดเอาเปรียบพระพุทธเจ้า
ท่านเป็นหมอรักษาพระพุทธเจ้าหายจากโรค ท่านคิดจะชลอให้ตายที่หลังท่านใช่ไหม
หมอเสียอย่างถ้าพระพุทธเจ้าตายก่อนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครแสดงธรรมให้เราฟังถ้าเราสงสัย
ถ้าพระพุทธเจ้าตายทีหลัง เราตายก่อนเราได้เปรียบ ท่านตั้งใจตามนั้น แต่นี่พระพุทธเจ้าไม่ยอมฉันยา
ถ้าฉันยานั้นไม่มีทางนิพพานจริงๆท่านโกมารภัจ เวลาที่เขาถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าก็เสียใจมากก็คิดว่าเราไม่ควรมีชีวิตต่อไปในเมื่อเราสิ้นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือว่าสิ้นสุดทุกอย่าง ทรัพย์สินทั้งหมดไม่มีความหมายสำหรับเรา บุตร ธิดา ภรรยา ข้าทาสหญิงชายทั้งหมดไม่ความหมายสำหรับเราแม้แต่ร่างกายแสนจะเลวนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับเรา อันนี้เขาเรียกอารมณ์พระอรหันต์นะ
ทุกคนจำไว้ให้ดี คนจะเป็นอรหันต์เริ่มต้นต้องมีอารมณ์แบบนี้

ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน...เล่ม๙


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
ฉะนั้น ขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายจึงควรทราบว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
ความตายเป็นของเที่ยง ทุกคนก็เกิดมาต้องตาย วิชาความรู้ต่างๆที่พระพุทธเจ้ามอบให้
ก็บอกให้ทุกคนแล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบัง สอนให้ทุกอย่างเพื่อนิพพาน
ทีนี้ใครจะไปได้หรือไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละบุคคล ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า
"อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" ตนย่อมเป็นที่พึ่งของตน
ถ้าเราไม่รักษาความดี คือ ๑.ทาน การให้ ๒.ศีล การรักษา
๓.ปัญญา การพิจารณาขันธ์ ๕ ยอมรับความเป็นจริง
ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้ ทุกคนก็จะหาความสุขไม่ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว ถ้าทุกคนรู้จักให้ทาน
ยังไม่ไปนิพพานเพียงใด กี่ชาติๆจะไม่มีความยากจน ถ้าทุกคนรู้จักรักษาศีล ก็จะมีแต่ความสุข
ถ้าทุกคนรู้จักใช้ปัญญา ก็จะสามารถไปนิพพานได้โดยเร็ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
ความเมตตากรุณา ใน 2 ประการนี้ องค์สมเด็จพระชินศรีทรงสอนว่า
ในอันดับแรก อย่าเพิ่งแผ่เมตตาไปในบุคคลที่เราคิดว่าเป็นศัตรู ต้องยับยั้งไว้ก่อน ให้แผ่เมตตา
คือ ความรัก กรุณาความสงสาร เฉพาะในบุคคลกลุ่มเดียวกัน มีอารมณ์ไจเหมือนกันเป็นกลุ่มคนที่เรารัก เพราะว่าถ้ามุ่งหน้าไปหาศัตรูแล้วก็จิตมันจะหวั่นไหว

จนเมื่อกำลังใจของเรามั่นคงดีแล้วต่อไปเราก็ มองดูองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสงเคราะห์ไม่เลือกบุคคลใด เพราะกำลังใจเข้มแข็ง ความจริง
พระเทวทัตเป็นศัตรูของพระองค์มานับแสนกัป แต่ตอนที่พระเทวทัตมา ก็บวชกับองค์สมเด็จพระบรมครู พระองค์ก็ไม่ทรงถือโทษ กลับให้การอุปสมบท สอนให้ได้อภิญญาสมาบัติ
น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ เห็นศัตรูเป็นมิตร มีจิตประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี
พระพุทธเจ้าทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น แต่ตอนนี้ต้องขอให้ ใจมันสูงเสียก่อนนะ
กำลังใจเข้มแข็งเสียก่อน


แก้ไขล่าสุดโดย jossriring เมื่อ 17 ก.ย. 2010, 12:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2007, 18:55
โพสต์: 32

ที่อยู่: กรมอิเล็กทรอนิกส์ทหารเรือ สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง
ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือ ต้องการให้อารมณ์สงัด และเยือกเย็น
ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการ และความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อยากให้พ้นอบายภูมิ คือไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปตร อสุรกาย สัตย์เดียรฉาน อย่างต่ำถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์และต้องเป็นมนุษย์ชั้นดีคือ
๑. เป็นมนุษย์ที่มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีอายุสั้นพลันตาย
๒. เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วย ไฟไหม้
โจรเบียดเบียน น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายเสียหาย
๓. เป็นมนุษย์ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาท ไม่ดื้อด้านดันทุรังให้มีทุกข์
เสียทรัพย์สินและเสียชื่อเสียง
๔. เป็นมนุษย์ที่มีวาจาไพเราะ เมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง
๕. เป็นมนุษย์ที่ไม่มีอาการปวดประสาท คือปวดศรีษะมากเกินไป
ไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ
รวมความว่าโดยย่อก็คือ ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการ
เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ ทรัพย์สินไม่เสียหายจากภัย ๔ ประการคือ
ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วม และเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุข ไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร