วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 12:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ


วัดประดู่ฉิมพลี
แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ



พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) ท่านเป็นชาวสมุทรสงคราม ถือกำเนิดในสกุลรัตนคอน ณ บ้านใกล้คลองบางน้อย ตำบลบางพรหม อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม มีนายลอยและนางทับ รัตนคอน เป็นบิดามารดา เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๗ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๐ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม ๒ คน โดยท่านเป็นคนโต คือ

๑. พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ)

๒. นายเฉื่อย รัตนคอน (ถึงแก่กรรมไปแล้ว)

ฉายแววแต่เยาว์วัย

ประกายแห่งสติปัญญา และลักษณะแห่งความเป็นผู้นำของท่านได้ฉายแววมาแต่เยาว์วัย ดังเป็นที่ประจักษ์แก่บิดามารดา และญาติๆ ว่า ท่านเป็นผู้มีความเข้มแข็งว่องไวประจำนิสัย มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รู้แยกแยะผิดชอบชั่วดี มิเคยสักครั้งที่จะนำความหนักใจให้กับบิดามารดา ชอบที่จะติดตามบิดามารดาไปวัดอยู่เป็นประจำ เป็นผู้มีความกตัญญู มีความขยันมานะอดทน มีน้ำใจเสียสละ มีวาจาไพเราะสุภาพอ่อนโยน จึงเป็นที่รักยิ่งของบิดามารดา หลายครั้งท่านมักแอบไปวัดเพียงลำพังเพื่อฟังการสวดมนต์ของพระภิกษุ-สามเณร จนถึงกับสามารถท่องจำได้อย่างแม่นยำในบางบทบางตอน และถึงแม้ท่านจะเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มท่านก็หาได้มีจิตใจฝักใฝสตรีเพศดุจคนรุ่นเดียวกันไม่ จึงนับว่าเป็นนิมิตหมายแห่งการดำเนินสู่มรรคาแห่งการตัดวัฏฏะอย่างสิ้นเชิง

การศึกษาเบื้องต้นในปฐมวัย

เมื่อครั้งเยาว์วัยทั้งสองท่านได้ศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นอยู่ที่วัดเกาะแก้ว ปากคลองบางน้อย ตำบลบางพรหม อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม ครั้นต่อมาบิดามารดาได้เสียชีวิตไปหมด พระภิกษุแก้ว (ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงตาแก้วโม่ง) ซึ่งเป็นญาติกับท่าน ได้จำพรรษาอยู่กับพระอุดรคณารักษ์ ที่วัดพระเชตุพนฯ ได้นำท่านมาฝากไว้กับพระอธิการสุข (เจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี) มาแต่เพียงหลวงปู่โต๊ะคนเดียว ส่วนนายเฉื่อยนั้นคงอยู่ที่วัดเกาะแก้วตามเดิม พระอธิการสุขกับพระภิกษุแก้วนั้นท่านทั้งสองเป็นเพื่อนที่รักใคร่สนิทสนมและ เคารพนับถือกันมาก ในระยะที่นำมาฝากไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลีนั้น อายุของท่านขณะนั้นได้ ๑๓ ปีเศษ

สู่ความเป็นเหล่ากอของสมณะ

ครั้นเมื่อท่านมีอายุย่างเข้า ๑๗ ปี ก็ได้ทำการบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดประดู่ฉิมพลี เมื่อในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ โดยมีพระอธิการสุข เจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลีในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเมื่อท่านได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร ท่านก็มีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่องเรียนพระสูตรต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและว่องไว มีความประพฤติไม่เป็นที่หนักใจแก่หมู่คณะ สนใจในการเจริญสมาธิกรรมฐานอย่างมุ่งมั่น ความในข้อนี้พระอาจารย์พรหม ผู้ซึ่งอบรมสอนสมาธิกรรมฐานให้กับท่านในสมัยนั้น ถึงกับเคยกล่าวไว้ว่า แทบทุกคืนจะเห็นสามเณรโต๊ะหลบไปนั่งกรรมฐานเพียงลำพังในโบสถ์ บางครั้งก็เห็นไปเดินจงกรมอยู่ในป่าริมคลองบางหลวงเพียงลำพัง พระอาจารย์พรหมยังได้เล่าอีกว่า สามเณรโต๊ะมักชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ พูดน้อย แต่ช่างซักถามในข้อธรรมต่างๆ

สู่เพศบรรพชิต

ครั้นเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดประดู่ฉิมพลี เมื่อวันอังคาร เดือน ๘ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ เวลา ๑๕.๓๐ น. โดยมี

พระครูสมณธรรมสมาธาน (แสง) วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์

พระครูอักขรานุสิต (ผ่อง) วัดนวลนรดิศ เป็นพระกัมมวาจารย์

พระครูธรรมวิรัติ (เชย) วัดกำแพง เป็นอนุสาวนาจารย์

มีฉายาในพระพุทธศาสนาว่า "อินฺทสุวณฺโณ"

เมื่อท่านได้อุปสมบทแล้วท่านก็ได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมด้วยความ วิริยะอุตสาหะด้วยจิตที่มุ่งหวังที่จะบรรลุสู่แดนเกษม ต่อมาพระอธิการคำเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลีในสมัยนั้น ได้ลาสิกขาออกไป ท่านจึงรับภาระหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี เมื่อท่านมีอายุได้ ๒๖ ปี พรรษา ๖ และมีฐานานุกรมที่ พระใบฎีกา ท่านได้รับภาระ เป็นเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลีสืบมาจนถึงแก่กาลมรณภาพ และถึงท่านจะมีภาระหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ ท่านก็มิย่อท้อต่อการศึกษาและการปฏิบัติทั้งทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ด้วยความมุมานะจนสอบได้ น.ธ.ตรีได้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ครั้นเมื่อพระอาจารย์พรหม ผู้ซึ่งให้การอบรมสมาธิกรรมฐานแก่ท่าน ได้มรณภาพไปแล้วท่านก็ได้ออกแสวงหาศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐาน

เห็นทุกขเวทนา

เมื่อหลวงปู่โต๊ะได้อุปสมบทแล้วใหม่ๆ ได้มีโรคระบาดเกิดขึ้น คือ ไข้ทรพิษ หลวงปู่ท่านได้เป็นโรคนี้เหมือนกัน และเป็นชนิดร้ายแรงด้วย แทบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อถึงเวลานอนต้องใช้ใบตองรองนอน ต่อจากนั้นท่านได้ตักเอาน้ำขึ้นมาแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าจะมีชีวิตอยู่ ขอให้จงเกิดมีนิมิตเห็นพระ ถ้าจะไม่มีชีวิตอยู่ก็ขออย่าให้ได้เห็นอะไรเลย และในคืนนั้นเอง หลวงปู่ท่านก็ได้นิมิตไปว่า หลวงพ่อวัดบ้านแหลมได้มาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ ครั้นรุงเช้าท่านก็ได้เอาน้ำพระพุทธมนต์ทีได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ทางศีรษะนอน ขึ้นมาฉันและประพรมอีกครั้งหนึ่ง นับแต่นั้นมาโรคดังกล่าวก็ทุเลาเป็นปกติ

ตำแหน่งในทางคณะสงฆ์

หลวงปู่ท่านได้บริหารงานวัดด้วยความเที่ยงธรรมสม่ำเสมอ ประกอบด้วยเมตตาธรรมอนุเคราะห์ให้ได้รับความร่มเย็นทั่วหน้า ทางคณะสงฆ์จึงได้พร้อมใจถวายสมณะศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นลำดับ ดังนี้

พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี เป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของพระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนฯ

พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็นพระครูสังฆวิชิต ฐานานุกรมของ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ

พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูวิริยกิตติ

พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นเจ้าคณะตำบลวัดท่าพระ

พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ "พระสังวรวิมลเถร"

พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชสังวราภิมณฑ์"

ปฏิปทาและจริยาวัตร

หลวงปู่ท่านเป็นผู้เยี่ยมด้วยความสะอาด แห่งความประพฤติทั้งทางกาย วาจา ใจ และเยี่ยมด้วยจิตซึ่งทรงไว้ด้วยคุณธรรม กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ และวิมุตติญาณทัศนะ ตามลำดับ เป็นลูกศิษย์พระตถาคตผู้งกงามด้วยความประพฤติทั้งภายนอก และภายในไม่มีที่ติ มีความองอาจกล้าหาญต่อการละชั่ว ทำดี ดำเนินตามรอยบาทวิถีที่พระศาสดาพาดำเนิน เป็นผู้ซื่อตรงต่อตนเอง และต่อพระธรรมวินัย อยู่ที่ใดไปที่ใดมีสุขโตเป็นที่รองรับ มีโอชารสแห่งธรรมเป็นที่ซึมซาบ มีความสว่างไสวอยู่ด้วยสติปัญญาเป็นเครื่องส่องทาง ท่าเป็นผู้เทิดทูน ศาสนธรรม ไว้ได้ทั้งทางปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อย่างเต็มภาคภูมิ

ตลอดเวลาที่ท่านทรงสมณเพศอยู่นั้น ท่านตั้งมั่นในสัมมาปฏิบัติ ที่ทรงดอกทรงผลตลอดต้นชนปลาย ท่านเป็นผู้รักสันโดษ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ท่านเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ของพระภิกษุ-สามเณรอย่างใกล้ชิด ให้ความอนุเคราะห์สงเคราะห์อย่าวสมเหตุสมผลอย่างสม่ำเสมอ กิตติศัพท์กิตติคุณฟุ้งขจรไปถึงไหน ก็เกิดความหอมหวลชวนให้เคารพเลื่อมใสในที่นั้นๆ และในการประชุมเพื่ออบรมธรรม ท่านก็เปิดโอกาสให้ผู้สนใจถามปัญหาธรรมะอยู่เป็นประจำ ซึ่งท่านก็ตอบอย่างกระจ่าวแจ้งชัดถ้อยชัดคำไม่มีอ้ำอึ้ง ยังความกระจ่างให้บังเกิดแก่ผู้ซักถามอย่างน่าอัศจรรย์แสดงให้เห็นว่าท่าน เป็นผู้แตกฉานในธรรมทั้งโดยอรรถ และโดยพยัญชนะ

หลวงปู่ท่านเป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยอัปจายนธรรม มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตัว ในเรื่องนี้เป็นที่ประจักาชัดในพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ได้ไปพบปะสนธนาธรรมกับหลวงปู่ ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็น พระศาสนโสภณ จนถึงกับกราบอาราธนาให้หลวงปู่ไปสอนกรรมฐานบรรยายธรรมเป็นประจำที่วัดบวร นิเวศวิหาร แต่หลวงปู่ท่านก็ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งที่พรรษายุกาลท่านมากกว่า

อัธยาศัยและกิจวัตร

พระราชสังวราภิมณฑ์ท่านมีอัธยาศัยงดงาม สุภาพอ่อนโยน มากด้วยเมตตากรุณา ยินดีสงเคราะห์ อนุเคราะห์แก่ผู้อื่น สัตว์อื่น โดยเสมอหน้า ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นผู้ซื่อตรง ถ่อมตน ยึดมั้นในระเบียบประเพณีและความกตัญญูกตเวที ทั้งมีความภักดีในองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์อย่างแน่นแฟ้น ผู้ที่มีโอกาสได้เข้าใกล้ชิดคุ้นเคยกับท่าน จะยืนยันในความที่กล่าวนี้ได้ทุกคน อีกประการหนึ่ง ท่านเป็นคนหมั่นขยันและแน่วแน่ ตั้งใจทำสิ่งใดแล้วเป็นต้องทำจนสำเร็จ กิจที่ท่านปฏิบัติเป็นนิจในแต่ละวันจนตลอดชีพของท่าน คือ ตื่นขึ้นเจริญสมณธรรม

๐๘.๐๐ น. นำภิกษุ-สามเณร ทำวัตรสวดมนต์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

๑๔.๐๐ น. อนุเคราะห์ศิษย์ที่มาถวายสักการะบ้าง ที่มาขอบารมีธรรมบ้าง ที่มาสนทนาธรรมบ้าง

๑๘.๐๐ น. นั่งบำเพ็ญสมณธรรมไปจนถึง ๒๐.๐๐ น. แล้วนำภิกษุ สามเณรทำวัตรค่ำ

ในระยะหลังท่านนั่งบำเพ็ญสมณธรรมนานเข้าจนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. หรือ ๒๔.๐๐ น. โดยไม่ย่อท้อต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเนื่องแต่ความเสื่อมของสังขาร ในวันธรรมสวนะท่านจะแสดงธรรมแก่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาเป็นประจำ และทุกวันพฤหัสบดีจะมีภิกษุ สามเณรจากวัดต่างๆ รวมทั้งผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม มาขอฝึกปฏิบัติกรรมฐานเป็นจำนวนมาก นับว่าท่านได้เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวอย่างยิ่งของคนทั่วไป

การปฏิบัติธรรม

พระราชสังวราภิมณฑ์ ท่านสนใจศึกษาด้านวิปัสสนาธุระมาแต่ยังเป็นสามเณร เท่าที่ทราบท่านศึกษากับพระอาจารยืพรหม วัดประดู่ฉิมพลีก่อน พระอาจารย์พรหมมรณภาพแล้ว จึงไปศึกษากับหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ จังหวัดสมุทรสาคร แลวออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือหลายครั้ง ต่อมาจึงได้มารู้จักคุ้นเคยกับหลวงพ่อสด คือ พระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำ ซึ่งมีอายุแก่กว่าท่าน ๔ ปี หลวงพ่อสดได้ชักชวนท่านให้ไปเรียนกับพระอาจารย์โหน่งที่จังหวัดสุพรรณบุรี อีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้น ท่านก็กลับมาปฏิบัติจิตภาวนา โดยตัวของท่านเองที่วัดต่อมา แม้ว่าท่านจะมีภารกิจในด้านบริหารหมู่คณะและการสงเคราะห์ อนุเคราะห์ผู้อื่นส่วนมากก็ตาม ท่านก็หาได้ละเลยเพิกเฉยส่วนวิปัสสนาธุระไม่ คงขะมักเขม้นฝึกฝนอบรมตามโอกาสอันควรตลอดมา จึงปรากฏว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุระพระศาสนาส่วนนี้อยู่รูปหนึ่ง และโดยอัธยาศัยที่เคยอบรมด้านวิปัสสนาธุระมามาก จึงได้รับอาราธนาให้เข้าร่วมในพิธีประสิทธิ์มงคลต่างๆ แทบทุกงาน ทั้งในกรุงและหัวเมือง ตลอดจนถึงต่างประเทศ

บารมีหลวงปู่โต๊ะ

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เดือนมีนาคม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร แต่ด้วยทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายจึงได้ทรงเสด็จกลับประเทศไทยก่อน ส่วนสมเด็จพระบรมฯ ต้องอยู่ศึกษาวิชาทหารอีก ๑ เดือน เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้เสด็จกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ทรงกังวลเป็นห่วงสมเด็จพระบรมฯ เป็นอย่างยิ่ง จึงได้นิมนต์ “หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ” วัดประดู่ฉิมพลี เข้าไปในพระราชวัง และได้ทรงมีพระราชเสาวนีย์กราบเรียนหลวงปู่โต๊ะให้ช่วยสมเด็จพระบรมฯ ด้วย

หลวงปู่ทราบพระราชเสาวนีย์ เมื่อกลับถึงวัดประดู่ฉิมพลี หลวงปู่ได้นั่งปฏิบัติกรรมฐานและบอกกับทุกคนว่า งดรับกิจนิมนต์ใดๆ ชั่วคราวเป็นระยะเวลา ๑ เดือน (ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ เมษายน ๒๕๒๓) เว้นไว้เฉพาะแต่กิจนิมนต์ของสำนักพระราชวังเท่านั้น ในเวลานั้นได้มีศิษย์ของหลวงปู่ได้มาอุปสมบทที่วัดประดู่ฉิมพลี ๒ รูป หลวงปู่ได้ถามว่า เวลาที่ประเทศไทยกับประเทศอเมริกาเหมือนกันหรือไม่ ? ศิษย์ทั้งสองซึ่งบวชและได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ตอบว่า ไม่เหมือนกัน เวลานี้ที่ประเทศไทยจะเป็นเวลากลางวัน แต่ที่อเมริกาจะเป็นเวลากลางคืน เมื่อทราบคำตอบดังนั้น ท่านก็ได้เริ่มนั่งปฏิบัติกรรมฐานโดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน หลวงปู่ท่านนั่งปฏิบัติกรรมฐานโดยส่งกายทิพย์ จิตทิพย์ ถึงด้วยสมาธิธรรมเพื่อไปช่วยคุ้มครองสมเด็จพระบรมฯ ที่อเมริกา เป็นเวลาถึง ๑ เดือน


ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๓ หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปเจริญพุทธมนต์ ณ พระราชวังไกลกังวล (หัวหิน) หลังจากกลับมาหลวงปู่ก็เริ่มอาพาธ และได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ครั้นเมื่ออาการอาพาธทุเลาจนหาย ท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ฉิมพลีตามเดิม และแข็งแรงขึ้นตามลำดับ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เดือนมกราคม หลวงปู่ท่านได้นำงาช้าง ๑ คู่ทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ณ พระราชวังสวนจิตรลดา ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์หลวงปู่ก็อาพาธอีก สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ถวายพระบรมราชานุเคราะห์เรื่องแพทย์โดยตลอด

จนถึงเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๔ ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ หลวงปู่ได้ละสังขารของท่านไปอย่างสงบ เมื่อทางสำนักพระราชวังทราบข่าวเรื่องการละสังขารของหลวงปู่ สมเด็จพระบรมฯ ก็รีบเสด็จมายังวัดประดู่ฉิมพลี โดยรับสั่งถึงเรื่องการดำเนินการต่างๆ และทรงประทับสนทนากับลูกศิษย์หลวงปู่ที่อยู่ด้วยในเวลานั้น โดยมีบทสนทนาว่า “เป็นไปได้ไหมระหว่างที่ฝึกอยู่ที่ประเทศอเมริกา ตอนที่ทำการฝึกบิน ตอนอยู่ในเรือรบ และตอนฝึกภาคสนาม เหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหลวงปู่โต๊ะอยู่เสมอ เหมือนหลวงปู่ได้ตามเสด็จอยู่ทุกที่”

ทุกคนที่นั่งฟังพระดำรัสก็ได้มองที่พระพักตร์ของพระองค์ คล้ายกับพระองค์ยอมรับว่าเมื่อหลวงปู่โต๊ะท่านได้ทราบพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ให้ขอช่วยคุ้มครองสมเด็จพระบรมฯ เมื่อตอนที่หลวงปู่ยังดำรงขันธ์อยู่ ก็ได้ช่วยส่งจิตคุ้มครองพระองค์ไปทุกหนทุกแห่งที่พระองค์จะมีอันตราย


เบื้องปลายชีวิต

พระราชสังวราภิมณฑ์ อยู่ในสมณเพศมาตั้งแต่อายุได้ ๑๗ ปี ท่านได้เล่าเรียนพระธรรมวินัย มีความรู้แตกฉานลึกซึ้ง และถือวิปัสสนาธุระเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตอันยาวนานถึง ๙๔ ปีของท่าน เป็นรัตตัญญูผู้รู้กาลนาน เป็นครูของสาธุชนทุกหมู่เหล่า เป็นที่เคารพบูชา ศรัทธาเลื่อมใสของบุคคลทุกเพศวัย ทุกชาติชั้น นับแต่สามัญบุคคลจนถึงองค์พระประมุขของชาติ แม้อายุพรรษาจะมากเพียงใด ท่านก็มิได้ขัดศรัทธาของผู้ที่อารธนาไปในการบุญกุศลต่างๆ มีการไปนั่งเจริญสมาธิภาวนาอำนวยสิริมงคล เป็นต้น จึงในระยะหลังๆ นี้ทำให้สังขารร่างกายท่านต้องตรากตำมากเกินไป และเกิดอาพาธขึ้นบ่อยๆ แม้จะได้รับกสรเยียวยารักษาและดูแลพยาบาลอย่างดีเพียงใด กายสังขารของท่านก็ทนอยู่ไม่ไหว ท่านอาพาธครั้งสุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ หลังจากกลับจากถ้ำสิงโตทอง มีอาการอ่อนเพลียลงตามลำดับ ก่อนมรณภาพ ๗ วัน ท่านลุกจากเตียงไม่ได้เลย แต่ยังพอฉันได้บ้าง นายแพทย์ต้องให้น้ำเกลือทุกวัน อาหารนั้นถวายข้าวต้มกับรังนกตุ๋น ทุกเช้าราว ๐๗.๐๐ น. ถึงวันที่ ๕ มีนาคม เวลาเช้าศิษย์ผู้พยาบาลก็ถวายข้าวต้มกับรังนกอีก คราวนี้สังเกตเห็นว่าแขนข้างขวาท่านบวม จึงกราบเรียนกับท่านว่า "แขนหลวงปู่บวมมาก" ท่านก็พยักหน้ารับคำแล้วฉันและหลับตาพักต่อไป โดยให้ออกซิเจนช่วยการหายใจตลอด เวลา ๐๙.๐๐ น. ท่านอ่อนแรงลงอีก และพอถึงเวลา ๐๙.๕๕ น. ท่านก็สิ้นลมด้วยอาการสงบดุจนอนหลับไป ณ กุฏิสายหยุด นับอายุได้ ๙๓ ปี ๑๐ เดือน กับ ๒๒ วัน

ในขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังซึ่งคอยให้ความสะดวก ถามว่าจะฉีดยาให้หลวงปู่ไหม ศิษย์ทั้งหลายตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ต้องฉีด

หลวงปู่มรณภาพในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๔ ตรงกับแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ ตามประวัติของพระพุทธศาสนา เป็นวันที่อรหันต์นิพพาน มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นต้น ท่านที่ได้ศึกษาพระศาสนา เข้าถึงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเห็นได้ว่า พระอรหันต์ทุกองค์นิพพานวันพระ ๑๔, ๑๕ ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นวันของผู้สำเร็จ

ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ควรทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดให้เชิญศพไปตั้งที่ศาลา ๑๐๐ ปี วัดเบญจมบพิตร พระราชทานเกียรติยศศพเป็นพิเศษเสมอพระราชาคณะชั้นธรรม พระราชทานโกศโถบรรจุศพ พร้อมฉัตรเบญจาเครื่องประกอบเกียรติยศครบทุกประการ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่การศพโดยตลอด เสด็จฯ ไปทรงเป็นประธานในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน และตามโอกาสอันควรหลายวาระ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และในการบำเพ็ญพระราชกุศลออกเมรุ และพระราชทานเพลิงเผาศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่พระราชสังวราภิมณฑ์ ตลอดจนศิษยานุศิษย์ทุกคนหาที่สุดมิได้

รูปภาพ


เรียบเรียงจาก...หนังสือ “ภาสุรธรรม”
ฉบับประกาศกิตติคุณ หลวงปู่โต๊ะ ๑๐๘ ปี
วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร หน้าที่ ๔-๑๗
คณะผู้จัดทำ (หนังสือ) : ศ.ดร.วิปัศยา ยิ่งพูนทรัพย์
เดือนมีนาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ :b8:
เว็บไซต์ http://www.buddhakhun.org

http://www.lp-tohthailand.com/%E0%B8%AB ... %E0%B8%B0/

:b44: ประมวลภาพ “หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ” วัดประดู่ฉิมพลี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=48940

:b44: “หลวงปู่โต๊ะ” ตามไปคุ้มครองรัชกาลที่ ๑๐ ถึงอเมริกา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=25&t=51312


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร