วันเวลาปัจจุบัน 05 ต.ค. 2024, 14:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระครูสันธานพนมเขต (หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย)

ท่านพระครูสันธานพนมเขต นามเดิมชื่อ สนธิ์ คงเหลา เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2422 ที่บ้านท่าดอกแก้วเหนือ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายแสง และนางทุม คงเหลา โดยมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 6 คนคือ

1. นางผา คงเหลา
2. นายสนธิ์ คงเหลา (ท่านพระครูสันธานพนมเขต)
3. นายแสน คงเหลา
4. นางน้อย คงเหลา
5. นางพุฒ คงเหลา
6. นายกา คงเหลา

ในปฐมวัย ได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยดีจากบิดามารดา จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดท่าดอกแก้วใต้ (วัดโสดาประดิษฐ์ ในปัจจุบัน) โดยมีพระอาจารย์นนท์ เป็นพระอุปัชฌายะ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2436 เมื่อบรรพชาแล้วก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนอักษรธรรม (ไทยน้อย) ลาว ขอม และสวดมนต์สูตรต่างๆ อยู่ในสำนักของท่านอาจารย์นนท์ จนมีวิชาความรู้ตามสมควรแก่ภาวะการศึกษาอยู่ในสมัยนั้น ตลอดเวลาที่สามเณรสนธิ์ ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักนี้ สามเณรสนธิ์ก็เป็นที่รักใคร่และไว้วางใจของท่านอาจารย์เป็นอันมาก พอสามเณรสนธิ์อายุครบ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดท่าดอกแก้วใต้ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2442 โดยมีพระอาจารย์ภูมี เป็นพระอุปัชฌายะ, พระอาจารย์นนท์ เป็นกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ครั้นอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย มีความรู้พอสมควรเท่าที่จะสามารถจะศึกษาได้ในสมัยนั้น โดยได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับ ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน (สุวรรณมาโจ) ศึกษาทางด้านวิปัสสนาธุระ ที่วัดป่าอรัญญคามวาสี (วัดพระธาตุท่าอุเทน ในปัจจุบัน) ศึกษาอยู่ได้ 1 พรรษา จนนับได้ว่าเป็นศิษย์ผู้มีความรู้ความสามารถองค์หนึ่งของพระอาจารย์ หลังจากนั้นก็อำลาพระอาจารย์ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยออน แขวงเมือง บ่อสะแทน ประเทศลาว อยู่กับพระอาจารย์โสดา ซึ่งเป็นลุงของท่านเป็นเวลา 3 ปี แล้วจึงได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดท่าดอกแก้ว ซึ่งเป็นสำนักเดิมของท่าน โดยการอาราธนาของอุบาสกอุบาสิกาบ้านท่าดอกแก้ว ต่อมาเจ้าอาวาสวัดท่าดอกแก้วถึงแก่มรณภาพลง ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าดอกแก้วตั้งแต่ พ.ศ. 2452 ในระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่นี้ ก็พยายามปฏิบัติศาสนกิจในหน้าที่ด้วยดี โดยมีตำแหน่งหน้าที่และสมณศักดิ์ที่ได้รับดังนี้ คือ

พ.ศ. 2473 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลท่าจำปา
พ.ศ. 2479 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌายะ ประจำเขตตำบลท่าจำปา
พ.ศ. 2480 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบธรรมและตรวจธรรมสนามหลวงมาโดยตลอด
พ.ศ. 2493 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูสันธานพนมเขต”

การก่อสร้าง
- ได้เป็นผู้ช่วยเหลือท่านพระอาจารย์สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน (สุวรรณมาโจ) ก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน

- ได้ชักชวนญาติโยมจัดสร้างกุฏิตึก 2 ชั้น ที่วัดท่าดอกแก้ว

- ได้สร้างศาลาการเปรียญขึ้น 1 หลัง โดยความร่วมมือของทายกทายิกา ชาวบ้านท่าดอกแก้วและหมู่บ้านใกล้เคียง

- ได้ชักชวนญาติโยมสร้างกุฏิไม้ขึ้นอีก 3 หลัง ที่วัดท่าดอกแก้ว

- ระหว่างปี พ.ศ. 2494 ได้สร้างอุโบสถขึ้น 1 หลัง ที่วัดท่าดอกแก้ว แล้วเสร็จพร้อมทั้งการฉลองในปี พ.ศ. 2498

พระครูสันธานพนมเขต ปรกติเป็นผู้ร่าเริงอยู่เสมอ มีเมตตาจิตอยู่เป็นประจำ ฉะนั้น จึงทำให้ประชาชนทั้งหลายเคารพนับถือท่านมากทั้งใกล้และไกล ตั้งอยู่ในฐานะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์ทุกคน จนพากันเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” อย่างสนิทปากสนิทใจทุกคำไป เมื่ออายุเข้าวัยชราโรคภัยไข้เจ็บเข้าเบียดเบียนสังขารร่างกายของท่าน บรรดาศิษยานุศิษย์ต่างก็ได้พยายามเอาใจใส่ดูแลถวายการรักษาพยาบาลเรื่อยมา

ครั้นถึงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2510 ท่านหลวงพ่อพระครูสันธานพนมเขตก็ได้ล้มป่วยลง บรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงพร้อมใจกันนำท่านไปรักษายังโรงพยาบาลเมืองนครพนม คณะนายแพทย์และพยาบาลก็ได้ถวายการรักษาด้วยดี จนอาการดีขึ้นก็นำท่านกลับไปพักผ่อนที่วัด ในระยะ 2 เดือนหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการป่วยของท่านก็มีแต่ทรงกับทรุด จนล่วงมาถึงวันที่ 12-13 ธันวาคม พ.ศ. 2510 อาการป่วยของหลวงปู่สนธิ์ก็ยิ่งเพิ่มหนักขึ้นเป็นทวีคูณ และแล้วครั้นถึงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เวลา 15.30 น. หลวงปู่พระครูสันธานพนมเขตก็ได้แก่ถึงมรณภาพลง ณ วัดท่าดอกแก้ว ด้วยอาการสงบ ท่ามกลางศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก นับอายุโดยปีได้ 88 ปี โดยพรรษาได้ 74 พรรษาหากนับตั้งแต่เณร

เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง วิทยาคมเข้มขลังรูปหนึ่งของ จ.นครพนม

หลวงปู่สนธิ์ มีความเชี่ยวชาญด้านปริยัติธรรมและวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีชื่อเสียงในด้านขับไล่ภูตผีปีศาจและคุณไสย โดยเฉพาะผ้ายันต์ลงคาถา

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ได้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบ 108 พระเกจิอาจารย์ชื่อดังจากทั่วประเทศ

รูปภาพ
พระอาจารย์สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน (สุวรรณมาโจ)
วัดพระธาตุท่าอุเทน ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 20 ส.ค. 2010, 10:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ซุ้มประตูทางเข้าบริเวณวัด
PIC_2782.JPG
PIC_2782.JPG [ 148.66 KiB | เปิดดู 29293 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ศาลากลางเปรียญ
PIC_2778.JPG
PIC_2778.JPG [ 120.04 KiB | เปิดดู 29289 ครั้ง ]
คำอธิบาย: โบสถ์
PIC_2759.JPG
PIC_2759.JPG [ 143.67 KiB | เปิดดู 29279 ครั้ง ]
คำอธิบาย: เจดีย์บรรจุอัฐิหลวงปู่สนธิ์
PIC_2765.JPG
PIC_2765.JPG [ 127.39 KiB | เปิดดู 29280 ครั้ง ]
คำอธิบาย: รูปหล่อหลวงปู่สนธิ์ ที่นำลงมาสรงน้ำ และจัดงานแห่ช่วงสงกรานต์ของทุกปี
PIC_2763.JPG
PIC_2763.JPG [ 141.46 KiB | เปิดดู 29270 ครั้ง ]
สภาพปัจจุบันบริเวณวัด เป็นวัดหนึ่งที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: หออำนวยการที่ชาวบ้านร่วมจัดสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2552 นี้
PIC_2766.JPG
PIC_2766.JPG [ 137.98 KiB | เปิดดู 29252 ครั้ง ]
คำอธิบาย: หอระฆัง
PIC_2768.JPG
PIC_2768.JPG [ 122.21 KiB | เปิดดู 29247 ครั้ง ]
คำอธิบาย: กุฏิพระสงฆ์หลังที่1
PIC_2769.JPG
PIC_2769.JPG [ 141.91 KiB | เปิดดู 29236 ครั้ง ]
คำอธิบาย: กุฏิพระสงฆ์หลังที่2
PIC_2770.JPG
PIC_2770.JPG [ 158.49 KiB | เปิดดู 29220 ครั้ง ]
คำอธิบาย: กุฏิแม่ชี
PIC_2777.JPG
PIC_2777.JPG [ 170.99 KiB | เปิดดู 29202 ครั้ง ]
คำอธิบาย: กุฏิแม่ชี
PIC_2779.JPG
PIC_2779.JPG [ 149.67 KiB | เปิดดู 29191 ครั้ง ]
อาคารก่อสร้างภายในวัด
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ห้องน้ำ
PIC_2776.JPG
PIC_2776.JPG [ 151.62 KiB | เปิดดู 29140 ครั้ง ]
คำอธิบาย: โปง ทำจากไม้ใช้ตีเป็นสัญญาณในตอนเช้าก่อนถวายภัตตาหารเช้า
PIC_2773.JPG
PIC_2773.JPG [ 147.05 KiB | เปิดดู 29134 ครั้ง ]
คำอธิบาย: กลองเพล ใช้ตีสัญญาณพระฉันเพล และให้สัญญาณวันพระ 8, 15 ค่ำ ในตอน 4โมงเย็น กับเวลาตี2
PIC_2774.JPG
PIC_2774.JPG [ 159.18 KiB | เปิดดู 29128 ครั้ง ]
คำอธิบาย: หอพระเล็กสรงน้ำพระตามราง หลังจากสงกรานต์สรงน้ำพระต่ออีก 1เดือน
PIC_2760.JPG
PIC_2760.JPG [ 149.92 KiB | เปิดดู 29128 ครั้ง ]
ภายในวัดและหลากหลายวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: เสื้อยันต์ที่ลงอักขระและอธิฐานจิตโดยหลวงปู่สนธิ์ ที่มอบให้ทหารสมัยสงครามอินโดจีนและปราบคอมมิวนิสต์
PIC_2748.JPG
PIC_2748.JPG [ 125.39 KiB | เปิดดู 29117 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ตะกรุดเก้าแปเก้าหย้อ ทำจากตะกั่ว ที่เลื่องชื่อ หายากในปัจจุบัน อักขระและอธิฐานจิตโดยหลวงปู่สนธิ์
PIC_2752.JPG
PIC_2752.JPG [ 84.72 KiB | เปิดดู 29114 ครั้ง ]
คำอธิบาย: ตะกรุด 108 เดิมเป็นสายผ้าย แต่มีการเปลี่ยนเป็นเชือก ลงอักขระและอธิฐานจิตโดยหลวงปู่สนธิ์
PIC_2750.JPG
PIC_2750.JPG [ 109.57 KiB | เปิดดู 29105 ครั้ง ]
เปิดกรุของดี โดยพระอธิการไพรวัลย์ โสมปัญโญ เจ้าอาวาสวัดท่าดอกแก้วเหนือ เจ้าคณะตำบลท่าจำปา
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
มาศึกษาเคล็ดลับวิชา “น้ำมนต์พระจันทร์”
กับ “หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย” วัดท่าดอกแก้วเหนือ


“น้ำมนต์พระจันทร์” นี้เป็นพระพุทธมนต์ที่มีมาแต่โบราณกาล จะเกิดขึ้นแห่งใดเป็นแห่งแรกไม่ปรากฏแน่ชัด แต่คาดว่ามาจากพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน (เถรวาท) จากประเทศจีน ตอนหลังตกมายังประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา และล่าสุดคือประเทศไทย

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เคยเล่าให้ “คุณอาคม ทรงสถาพรเจริญ” ฟังว่า ช่วงที่ท่านเดินธุดงค์โดยมีเณรอุปัฏฐากติดตามไปด้วย ท่านได้เดินเทศน์หาปัจจัยสร้างโบสถ์ วัดพระพุทธบาทจอมทอง อ.นาแก จ.นครพนม เดินทางจาก อ.นาแก จนกระทั่งเข้าสู่หนองคาย ระยะทางประมาณสามร้อยกว่ากิโลเมตร เดินทางผ่านลำห้วยใหญ่แต่ละแห่งได้พบปะภูมิเจ้าที่และผีเปรตมาขอส่วนบุญ ตลอดจนสัตว์ร้ายนานาชนิด

ช่วงท่านเดินทางมาถึงท่าดอกแก้ว ท่านได้แวะสนทนาธรรมและคาราวะ “พระครูสันธานพนมเขต (หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย)” แห่งวัดท่าดอกแก้วเหนือ จ.นครพนม ซึ่งสมัยนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่คำพันธ์ได้ศึกษาวิชาบางส่วนจากหลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วิชานี้เรียกว่า “น้ำมนต์พระจันทร์” หลวงปู่สนธิ์ท่านพูดว่าผู้เรียนวิชานี้ได้จะต้องมีบุญวาสนาสูง มีสมาธิจิตเป็นเยี่ยม และต้องบรรลุธรรมชั้นสูง ไม่ใช่พระภิกษุรูปใดจะเรียนได้ เมื่อท่านพบกับหลวงปู่คำพันธ์แล้วรู้ว่าสามารถเรียนวิชานี้ได้ จึงมอบวิชานี้ให้ซึ่งเป็นตัวอักษรธรรมลาว

หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ท่านก็ได้ศึกษาเรื่อยมาจนชำนาญ มาพบเสธวรนาถ (พลอากาศเอกวรนารถ อภิจารี) ท่านเสธวรนาถก็มี “ตำรามนต์พระจันทร์” ได้มาจากกรุงเทพฯ เป็นตำราเก่า คิดว่าเป็นสายวัดสุทัศน์

หลวงตาทอง ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่คำพันธ์ กล่าวว่า “หลวงปู่คำพันธ์ท่านพิจารณาแล้ว เสธวรนารถมีความสนใจคงอยากอาบน้ำมนต์พระจันทร์ ซึ่งแต่โบราณกาลตำราของครูบาอาจารย์ลุ่มแม่น้ำโขงที่หลวงปู่คำพันธ์ได้มา น้ำมนต์พระจันทร์ปีหนึ่งอาบได้หนึ่งครั้ง ถ้าจะให้ได้ผลอาบได้ปีละหนึ่งคน คนอาบจะองเป็นคนดีมีศีลธรรม โดยใช้บาตรน้ำมนต์หนึ่งใบ มีดอกบัวหนึ่งดอกที่ตูมใกล้จะบาน เวลาที่พระจันทร์อยู่ตรงกับบาตร เวลาประมาณหกทุ่มก็จะเริ่มทำพิธี จุดเทียนขี้ผึ้งแท้ และบริกรรมพระคาถาพร้อมทั้งอธิฐานจิต สร้างธาตุหนุนธาตุเสริมธาตุ ขอบารมีให้ประสบผลสำเร็จตามที่ผู้อาบน้ำมนต์ต้องการ ส่วนผู้ที่อาบน้ำมนต์ต้องอธิษฐานอย่างเดียวว่าต้องการอะไร เช่น ต้องการเป็นแม่ทัพ ต้องการเป็นเศรษฐี ต้องการให้หนี้หมด หรือต้องการให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ พอบริกรรมน้ำมนต์เสร็จก็จะเอาบาตรน้ำมนต์มาอาบกลางแจ้งต่อแสงเดือน เทรดลงศีรษะครั้งเดียวเป็นอันเสร็จพิธี ตามตำราผู้ทำมนต์จะต้องอธิษฐานพระคาถาน้ำมนต์พระจันทร์จนดอกบัวบานจึงจะได้ผลและมีพุทธานุภาพสูง”

และในปี พ.ศ.ใด ไม่ทราบข้อมูลละเอียด หลวงตาทองกล่าวว่า “หลวงปู่คำพันธ์ได้ทำน้ำมนต์พระจันทร์ให้กับพลอากาศเอกวรนารถ อภิจารี อาบเพียงผู้เดียวเท่านั้นในลานอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง) คนเต็มวัดฯ”

หลังจากที่หลวงปู่คำพันธ์ได้อาบน้ำมนต์พระจันทร์ให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายคน ทำลูกศิษย์ที่อาบสมปรารถนาด้วยประการทั้งปวงแล้ว จากปากต่อปากของลูกศิษย์และพระเณรในวัดได้พูดต่อกันไป แพร่กระจายกันออกไป ฝูงลูกศิษย์และประชาชนต่างๆ ก็แห่กันเดินทางมายังวัดธาตุมหาชัย โดยนำเทียนและบาตรน้ำมนต์ติดตัวมา บางคนก็มายืมบาตรน้ำมนต์จากพระและเณรภายในวัด มานั่งรออาบน้ำมนต์ตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่มจนดึก เหมือนกับมีงานมหรสพ ซึ่งบุคคลที่อยากจะอาบน้ำมนต์มีทั้งบุคคลที่มีศีลธรรมและบุคคลที่ไม่มีศีลธรรม นักเลงหัวไม้ก็มี โกงเงินชาวบ้านก็มี แต่มีความต้องการมาอาบน้ำมนต์วันเพ็ญเดือนสิบสอง

หลวงปู่คำพันธ์ท่านพูดว่า “น้ำมนต์ผู้จะอาบต้องเป็นบุคคลประพฤติปฏิบัติดี รักษาศีล และเป็นคนดีเท่านั้น” เพราะฉะนั้นขอยุติการอาบน้ำมนต์พระจันทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อหลวงปู่คำพันธ์ท่านหยุดทำน้ำมนต์พระจันทร์ แต่ละปีลูกศิษย์ลูกหาก็เฝ้ารอคอยว่า ปีใดท่านจะใจอ่อนยอมทำน้ำมนต์พระจันทร์อีก ทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง ลูกศิษย์ลูกหาแต่ละคนก็จะเดินทางมายังวัดธาตุมหาชัยและสอดส่องดู บ้างก็โทรศัพท์มาถามพระเณรที่วัดว่ามีการอาบน้ำมนต์หรือไม่ เพราะปรารถนาที่จะได้อาบน้ำมนต์ จึงคิดหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้อาบน้ำมนต์

เจ้าคณะจังหวัดนครพนม ในสมัยนั้นคือ พระราชปริยัตยาจารย์ (หลวงพ่อชม ธัมมธีโร) จึงคิดหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะให้ลูกศิษย์หลายคนสมปรารถนา จึงขออนุญาตหลวงปู่คำพันธ์สร้างบาตรน้ำมนต์และเหรียญน้ำมนต์ โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองของปีถัดมา

หลังจากนั้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองปีต่อมาเช่นเดียวกัน พระครูสุนทรชยาภิวัฒน์ (พระอาจารย์มหาสมัย รักขิตธัมโม) เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย รูปปัจจุบัน ก็ขออนุญาตสร้างบาตรน้ำมนต์ และจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองเช่นเดียวกัน มีลูกศิษย์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ หรือจังหวัดที่ไกลจากนครพนม ในวันลอยกระทงหรือวันเพ็ญเดือนสิบสองจะนำบาตรน้ำมนต์หรือขันน้ำมาตั้งไว้ในที่แจ้ง ใส่เหรียญน้ำมนต์ลงในบาตรหรือใส่เหรียญหลวงปู่คำพันธ์รุ่นใดรุ่นหนึ่งลงในบาตร นำดอกบัวใส่ในบาตรหนึ่งดอก จุดเทียนเวลาประมาณห้าถึงหกทุ่ม เวลาที่พระจันทร์อยู่ตรงกับบาตรน้ำมนต์ หันหน้ามาทางทางวัดธาตุมหาชัย ถ้าหากอยู่ต่างจังหวัดก็หันหน้ามาทางจังหวัดนครพนม ระลึกถึงหลวงปู่คำพันธ์ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรืออาจสวดพาหุงหรือชินบัญชรแล้วแต่คนถนัด แล้วนำน้ำมนต์มาเทอาบเพื่อเป็นสิริมงคล เสมือนหนึ่งได้อาบน้ำมนต์พระจันทร์จากหลวงปู่


:b8: :b8: :b8:

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19512


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: พระท่าดอกแก้วสุดยอดแห่งความหายาก ตำนานแห่งผงโสฬสมหาพรหม
Pic_375834_2.jpg
Pic_375834_2.jpg [ 139.83 KiB | เปิดดู 29092 ครั้ง ]
สุดยอดแห่งความหายาก พระท่าดอกแก้ว ตำนานแห่งผงโสฬสมหาพรหม

หลวงปู่ศรีทัต หรือ ยาคูศรีทัต ท่านเป็นที่เคารพของมหาชน 2 ฝั่งโขง ไม่ว่าท่านจะสร้างสิ่งใด ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งจะร่วมแรงร่วมใจถวายแด่หลวงปู่ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งท่านจะไปมาระหว่างวัดท่าดอกแก้ว และ ภูเขาควายในฝั่งลาว หลวงปู่ศรีทัตท่านมีศิษย์ที่ท่านถ่ายทอดสรรพวิชาการทั้งหลาย ได้แก่ 1. หลวงปู่สนธ์ ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าอาวาสต่อจากท่าน หลวงปู่สนธ์เป็นเจ้าอาวาส วัดท่าดอกแก้ว จวบจนปี 2510 จึงมรณภาพ 2. หลวงปู่จันทร์ เขมิโย หรือ ท่านเจ้าคุณปู่ ที่เป็นที่สักการะอย่างสูง ท่านเจ้าคุณปู่ที่นั่งอยู่ในดวงใจของชาวนครพนม ท่านเป็นมหาเถระที่ชาวนครพนมและ จังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพอย่างสูง ท่านมีสมณศักดิ์ที่ พระเทพสิทธาจารย์ ท่านเจ้าคุณปู่เป็นเสาหลักแห่งพระศาสนา เป็นผู้วางรากฐานแห่งพระธรรมยุติ ให้บังเกิดขึ้นที่นครพนม ท่านมรณภาพในปี 2516 สำหรับ หลวงปู่สนธ์นั้น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในเรื่องของความขลัง อาจจะเนื่องจากท่านอยู่ไกลถึงนครพนม แต่ในครั้งเมื่อมีการปลุกเสกพระประมาณปี 249กว่า หลวงปู่สนธ์ท่านมาร่วมปลุกเสก พระที่วัดเทพฯ ท่านขึ้นมาแบบพระบ้านนอกไม่มีใครรู้จักนัก ครั้นพิธีปลุกเสกผ่านพ้นไป วันเดินทางกลับนครพนม ได้มีปรากฏการณ์พิเศษคือ มีพระคณาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกพระในครั้งนั้น ได้เดินทางติดตามหลวงปู่สนธ์ไปวัดท่าดอกแก้วหลายสิบองค์ คุณอาคม ( บุตรชายของอาจารย์ประถม อาจสาคร ) เล่าว่า ( นิตยสาร ศักดิ์สิทธิ์) อาจารย์ประถม ได้นำพระเครื่องของหลวงปู่สนธ์ไปให้หลวงปู่เฮี้ยง(เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ วัดป่าอรัญญิกาวาส ชลบุรี ซึ่งเป็นอาจารย์องค์หนึ่งของอาจารย์ประถม) ดู ปรากฏว่า ท่านดูไม่ออก กว่าจะดูรู้เรื่องว่า หลวงปู่สนธ์ทำพระอย่างไร ปลุกเสกอย่างไร วิธีไหน ก็เสียเวลาหลายวัน ต้องกำหนดจิตเข้าในองค์พระอยู่นานจึงรู้เรื่อง พอรู้แล้วก็เอ่ยปากยกย่องหลวงปู่สนธ์เป็นอย่างยิ่ง เสร็จแล้วก็ฝากพระของท่านไปให้หลวงปู่สนธ์ดูบ้าง เมื่ออาจารย์ประถมนำพระไปถวายให้หลวงปู่สนธ์ ท่านก็บอกทันทีว่าพระองค์นี้ดีอย่างนั้น ดีอย่างโน้น ปลุกเสกด้วยวิธีนั้น วิธีนี้ คาถาบทนั้น คาถาบทนี้ หลวงปู่เฮี้ยงถึงกับร้องทำนองว่า เขารู้เราหมด แต่กว่าเราจะรู้เขาได้นั้นผิดกันเยอะ จากคำบอกเล่าของ หลวงปู่สนธ์ ได้เล่าให้อาจารย์ประถม ซึ่งขณะนั้นได้เดินทางไปปฏิบัติราชการตำแหน่งหัวหน้าสหกรณ์อำเภอท่าอุเทน จ.นครพนม ปี 2493 ฟังว่า อาจารย์ของท่านคือ หลวงปู่ศรีทัต เป็นพระเถระที่ทรงคุณยิ่งใหญ่ มีจริยวัตรที่งดงามนักหนา เคร่งครัดในธรรมวินัยยิ่งยวดมีตบะแก่กล้า นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญทางวิปัสสนาธุระและคันธุระแล้ว ท่านยังอุดมไปด้วยวิชาการต่างๆมากมาย และในช่วงที่หลวงปู่สนธ์เป็นเณรอยู่นั้น ได้ถูกเรียกใช้เป็นประจำ ก็เลยอยู่ดูแลหลวงปู่ศรีทัตมากกว่าคนอื่น และตอนที่หลวงปู่สนธ์เป็นเณรนั้น หลวงปู่ศรีทัตได้เขียนยันต์ให้ผืนหนึ่งและบอกกับหลวงปู่ว่า “เณรเอายันต์ผืนนี้ไว้นั่งแทนเรือ ข้ามโขงไปหาปู่ที่เขา” อาจารย์ประถมได้ถามว่า แล้วหลวงปู่เคยใช้ไหม หลวงปู่สนธ์ไม่ตอบ ได้แต่นั่งหัวเราะแล้ว เงียบไป อาจารย์ประถมรุกเร้าเท่าใดก็ไม่เป็นผล ขอดูก็ไม่ให้ดู แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์ประถมคอยดูจังหวะที่ได้เข้าไปในห้องของหลวงปู่สนธ์ และได้เห็นผ้ายันต์ผืนหนึ่งใหญ่มากวางอยู่บนพานบูชา หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ อาจารย์ประถมได้ทีถาม หลวงปู่ก็รับว่า ใช่ อาจารย์ประถมก็ถามต่อว่าได้ใช้หรือไม่ หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า ใช้ 4 ครั้งแล้วไม่ได้ใช้อีกเลย และ ห้ามไม่ให้อาจารย์ประถมบอกต่อ จนกว่าจะถึงเวลาอันควร อาจารย์ประถมได้เก็บเป็นความลับ จนกระทั่งหลวงปู่สนธ์มรณภาพ จึงได้เล่าให้ลูกหลานฟัง และไม่หลังหลวงปู่สนธ์มรณภาพ ก็ไม่ทราบว่าใครได้ไป เพราะอาจารย์ประถมได้ย้ายออกมาก่อน หลวงปู่สนธ์ได้เล่าว่า หลวงปู่ศรีทัตท่านมีความเชี่ยวชาญในภาษา “รู้” มาก อีกทั้งเจนจบครบสูตรในอักขระมหายันต์ทั้งหลาย หลวงปู่ศรีทัตท่านเคยบอกว่า วิชาลงผงวิเศษที่ยากนักหนาที่ท่านสำเร็จมามี 3 สูตร ได้แก่ 1. ผงโสฬสมหาพรหม 2. ผงนวโลกุตตระ 3. ผงโภชฌงค์บริพัตร อาจารย์ ประถมได้เคยเรียนถามหลวงปู่สนธ์ว่า ท่านลงได้ครบทั้ง 3 สูตรหรือไม่ท่านไม่ตอบ แต่ยิ้มๆ และ เงียบไปตามเดิม หลวงปู่สนธ์ท่านเล่าว่า ในปีหนึ่งหลวงปู่ศรีทัต หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านเตรียมตัวธุดงค์ไปภูเขาควาย คราวนี้ท่านเตรียมสิ่งของไปมากมายเป็นพิเศษและได้สั่งพระเณรว่า พรรษาหน้าให้เตรียมการไว้ ท่านกลับมาท่านจะได้สร้างพระธาตุเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เตรียมบอกญาติโยมด้วย การที่ท่านเตรียมของมากมายนี้ ท่านประสงค์จะสร้างผงวิเศษเอาไว้ผสมสร้างพระเพื่อแจกญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ กับท่าน หลวงปู่สนธ์ท่านเล่าว่า ผงวิเศษที่หลวงปู่ศรีทัตจะไปสร้างในครั้งนี้ก็คือ ผงโสฬสมหาพรหม การลงผงโสฬสมหาพรหมนั้น ต้องลงอักขระด้วยตัวธรรมเป็นกลยันต์ โดยถอดตัว ต้นจนถึงตัวสุดท้าย ผูกสลับเป็นกลยันต์ 16 มุม ในแต่ละมุมแบ่งออกเป็น 16 ชั้น ในแต่ละชั้นลงอักขระ 16 ช่อง อักขระแต่ละตัวแต่ละช่อง ต้องลบถมเรียกสูตร 16 คาบ ผูกอธิษฐานเสกยันต์โสฬสมหาพรหมครบแล้วทั้ง 16 สูตรถือเป็น 1 ครั้ง และลงในระบบเดียวกันนี้ 16 ครั้งแล้วรวมที่ลบมาอธิษฐานจิตปลุกเสกตามฤกษ์บน-ล่าง ตามตำราบังคับ เสร็จแล้วให้เอาผงวิเศษลูบลงในกระดานลงผง หากบังเกิดอักขระขอมธรรมของยันต์โสฬสมหาพรหมบนกระดานลงผงโดยไม่ได้เขียน โดยใช้เพียงผงวิเศษลูบให้สำเร็จเป็นยันต์ ถือว่าสำเร็จ หากลูบแล้วไม่ปรากฏยันต์ในกระดานลงผง จะต้องเริ่มต้นลงใหม่ตั้งแต่ต้น ! ผู้ที่ลงผงวิเศษได้ครบสูตรโสฬสมหาพรหมได้สำเร็จ จะดลบันดาลให้เทพทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน 14 บาดาล 22 ชั้นพรหม ภะคะวะพรหม จนถึง พรหมสุทธาวาส ทุกพระองค์ลงและขึ้นมาอนุโมทนาอำนวยพร ผงวิเศษนี้มีอานุภาพอันทรง ความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ผู้ที่บูชาผงวิเศษนี้จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วย ลาภสักการะ วาสนาบารมี บริบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ปัญญา บารมีสมบัติปรารถนาสิ่งใด จักสำเร็จดังปรารถนา ผงโสฬสมหาพรหมที่หลวง ปู่ศรีทัตสร้างขึ้นนี้ ท่านได้นำไปสร้างพระแจกที่วัดท่าดอกแก้ว ท่านสร้างไว้ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเหลือท่านเก็บใส่บาตร ตกทอดมาถึงหลวงปู่สนธ์ ท่านก็เก็บไว้เฉยๆไม่ได้ใช้อะไร ต่อมาท่านได้สร้างผงนวโลกุตระ ขึ้น ท่านจึงได้สร้างพระปิดตาแจกชาวบ้าน และได้นำผงทั้ง 2 ชนิดมาใส่รวมกัน อาจารย์ประถมเป็นศิษย์หลวงปู่เฮี้ ยง และมีความชำนาญในการสร้างพระ เพราะได้ช่วยหลวงปู่เฮี้ยงสร้างพระตั้งแต่ยุคแรกๆของวัดป่า ( พศ.2484 ) และเมื่ออาจารย์ประถมมาถึงท่าอุเทน ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่สนธ์ ชาวบ้านนับถือมาก และสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาจารย์ประถมนับถือ คือ มีพลทหารนายหนึ่ง อาจารย์ประถมได้ขอตัวมาช่วยงานของสหกรณ์ ได้มีเรื่องกับชาวบ้านและโดนยิงเข้าไป 3 ชุด กระเด็นตกน้ำ แต่ไม่ตาย เพราไม่มีระคายผิวหนัง เสื้อผ้าขาดกระจุย ทั้งตัวมีตะกรุดดอกเดียว คือ ตะกรุดเก้าแปเก้าย้อ ของหลวงปู่สนธ์ ด้วยเหตุนี้อาจารย์ประถมจึงไปเสาะหาท่านถึงวัดและศึกษาวิชาการจากท่าน และเนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีความ ชำนาญในการสร้างพระ ท่านจึงคิดจะสร้างพระถวายหลวงปู่สนธ์ในราวปลายปี 2493 จึงเข้าเรียนหลวงปู่สนธ์และท่านก็อนุญาต และหลวงปู่สนธ์ก็ได้มอบผงวิเศษที่มีอยู่ในบาตรใหญ่นั้นให้อาจารย์ประถมนำไปสร้างพระ อาจารย์ประถมเล่าไว้ว่า ในเวลาที่รับผงวิเศษนั้นมือสั่นไปหมดเพราะทราบดีว่าผงวิเศษในบาตรนั้นวิเศษ เพียงใด อาจารย์ประถมจึงได้สร้างพระท่าดอกแก้วถวายหลวงปู่สนธ์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว อาจารย์ประถมได้นำผงวิเศษที่เหลือในราวครึ่งบาตรกว่าถวายคืนแด่หลวงปู่สนธ์ ท่านกลับบอกว่าให้เก็บไว้สร้างพระต่อไปในอนาคต (แสดงว่าท่านรู้ด้วยญาณสมาบัติของท่านว่าคุณประถมจะต้องนำผงวิเศษไปสร้างพระ ให้หลวงปู่ทิมฯ) หลังจากนั้นเมื่ออาจารย์ประถมทำงานที่ท่าอุเทนครบวาระ ได้ถูกย้ายไปทำงานที่อ.ธาตุพนม และก่อนที่จะไปประจำการ อาจารย์ประถมได้นำผงวิเศษนี้เดินทางไปที่จังหวัดขอนแก่น โดยไปขอบารมีท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) นานถึง 6 เดือน และได้นำไปขอบารมีจากพระอริยสงฆ์อีกหลายรูป ได้แก่ พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร แห่งภูลังกา หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่สิม พุทธจาโร หลวงพ่อสมาธิ หลวงปู่หัว วัดบ้านคำครึ่ง และพระวิปัสสนาจารย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งนครพนม หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ ตอนที่นำผงไปขอบารมีหลวงปู่จันทร์นั้น หลวงปู่จันทร์เห็นแล้วก็จำได้ ถึงกับออกปากว่าไปเอาผงนี้มาจากไหน และหลังจากนั้นหลวงปู่จันทร์ก็ได้ขอแบ่งผงไว้ 1 ชั้นปิ่นโต ผงนี้ได้นำมาสร้างพระเครื่องรุ่นปี พ.ศ.2500 คือพระพิมพ์สมเด็จและพระนางพญา และตอนที่นำไปถวายหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นเมื่อเห็นแล้วถึงกับก้มลงกราบทันที พระอาจารย์วังก็เช่นกัน นอกจากนี้ อาจารย์ประถมยังได้นำผงวิเศษนี้ไปเก็บไว้ที่วัดเทพศิรินทร์ ในพระอุโบสถ และได้ขอบารมีจากท่านเจ้าคุณนรฯด้วย (อาจารย์ประถมบวชกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นับเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับท่านเจ้าคุณนรฯ รวบรวมโดยคุณเอก ขอนแก่น (amuletsinthai.com) อ้างอิง 1. หนังสือหลวงปู่ทิม เทพเจ้าเมืองระยอง ของสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง 2. หนังสือหลวงปู่ทิม ของนิตยสารสนามพระ 3. นิตยสารศักดิ์สิทธิ์ คอลัมภ์ การเดินทางของผงโสฬสมหาพรหม ผู้เขียนอ้างถึงคำกล่าวของคุณอาคม อาจสาคร (บุตรชายบุญธรรม ของอจ.ประถม อาจสาคร) พระท่าดอกแก้ว วัดท่าดอกแก้วเหนือ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม พ.ศ.2493 สร้างน้อยมาก มาพร้อมเลี่ยมนากกันน้ำจับขอบพร้อมใช้
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำบอกเล่าถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ของ
“หลวงปู่สนธิ์ วัดท่าดอกแก้วเหนือ”


โดย ท่านพระครูธรรมสารวิลาส (มอญ ธมฺมิโก)
เจ้าอาวาสวัดศรีชมชื่น

บ้านคำพอก ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม


ปัจจุบันอายุ 72 ปี พรรษา52 ท่านเป็นพระลูกศิษย์องค์หนึ่งที่ได้ศึกษาวิชาอาคม ข้อวัตรปฏิบัติ ในครั้งหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ได้กรุณาเล่าให้ฟังมีดังต่อไปนี้

ควรใช้วิจารณญาณในเรื่องเหล่านี้

- กิจวัตรของหลวงปู่สนธิ์ ท่านเป็นพระที่เคร่งใน ศีลวัตร ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ และมีครรลองหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะท่านคือท่านจะนั่งสมาธิทุกวัน ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น. ทุกวันเป็นปรกติ และเมื่อครบเวลากำหนดท่านจะตีฆ้อง 3 ที และเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ และผู้สนใจเรียนศาสตร์วิชา อาคมเข้ามาเรียนกับท่านโดยไม่เว้นแต่ละวัน นอกเสียจากป่วยไข้ ไม่สบาย หรือไม่อยู่

- วิชาอาคม ท่านมีเยอะ หลวงปู่สนธิ์ ท่านได้กล่าวกับไว้ว่าวิชาอาคมท่านมีเยอะใครที่จะเรียนตามท่านแล้วจบ ต้องเรียนกับท่านอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งคนที่เรียนจากท่านเยอะสุดคือลุงจารย์จอม บ้านปากทวย ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็เรียนจากท่านได้แค่ครึ่งเดียวเอง

- รักษาคนผีเข้า เจ้าทรง ไสยศาสตร์ มนต์ดำ มีคนเป็นจำนวนมากที่มารักษากับหลวงปู่สนธิ์ในสมัยนั้น
สำหรับผู้ที่มารักษา ท่านเสกเป่า โดยคาถาวิชา ที่หัว ที่ขมับ คนที่ผีเข้า ก็จะดิ้นชัก ดิ้นงอ และสลบไป
ไม่นานก็จะลุกขึ้นได้เอง อัตโนมัติ หายเป็นปรกติ ยังความอัศจรรย์ผู้พบเห็นและญาติๆของผู้ที่มารักษายิ่งนัก

- ทหารหลั่งไหลมาวัดท่าดอกแก้วเหนือ เมื่อประมาณ พ.ศ.2484 ในครั้งนั้นได้เกิดภาวะสงครามอินโดจีน ที่เวียดนามยังผลให้ทหารอาสาที่เป็นคนไทยเป็นจำนวนมากออกเสาะแสวงครูอาจารย์ หลวงปู่หลวงตา ที่มีของดีไว้ป้องกันตัว ให้แคล้วคลาด หลวงปู่สนธิ์ก็เป็นพระองค์หนึ่งที่มีชื่อเสียง พุทธิคุณ แคล้วคลาด คงกระพัน และมหานิยม ในแถบนี้ ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ทหาร หาญ เหล่านั้นด้วยการสักยันต์หมวกเหล็ก โดยโกนผมและสักยันต์บนศีรษะ เมื่อสักแล้วจะเป็นลักษณะคล้ายวงกลม ครอบอยู่บนศีรษะ คนที่สักให้ตอนนั้นคือ จารย์จำปา ท่าเข อดีตผู้ใหญ่บ้านท่าดอกแก้วซึงเสียชีวิต นานแล้ว และหลวงปู่สนธิ์ท่านจะปลุกเสก สวดคาถาวิชาอาคม เป่าหัว และพรมน้ำมนต์ให้ หากใครกลัวที่จะสักท่านก็เขียนยันต์หมวกเหล็กใส่ใบลาน 2-3 แผ่น แล้วนำไปประกอบกันบนหมวกทหารที่จะออกรบ หลังจากภาวะสงครามยุติ ปรากฏว่าผู้ที่มารับของดีจากท่านไม่มีใครเสียชีวิตในสงครามนี้เลยแม้แต่คนเดียว ต่างก็กลับมากราบหลวงปู่สนธิ์วัดมาบอกเล่าให้ฟัง แม้ลูกปืนจะถูกยิ่งจากข้าศึกออกมาเป็นเหมือนสายฝน ก็ไม่ถูกทหารที่มีของดีจากท่านนี้แต่คนเดียว แต่ที่ที่ไม่มีของดีกับล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่หน้าอัศจรรย์ยิ่งนัก

- ตะกรุดโทน เก้าแป้ เก้าหย้อ ที่เลื่องชื่อ เป็นตะกรุดที่ท่านหลวงปู่สนธิ์สร้างขึ้น ทำจากตะกั่ว ลงอักขระ และอธิฐานจิต เป็นตะกรุดที่ดั่งมากในสมัยนั้นที่นอกจากลงยันต์แล้วในเรื่องแคล้วคลาด คงกระพัน เพราะมีทหาร และคนไม่น้อยที่มีประสบการณ์ ในเรื่องปืนยิ่งไม่ออก และยิ่งไม่เข้า สำหรับผู้มีตะกรุดนี้ ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ครอบครองตะกรุดนี้คือห้ามหักกิ่งไม้ ใบไม้ มารองนั่ง นอน โดยเด็ดขาด

- ปราบพยศไทข่า ประเทศลาว ในครั้งหนึ่งท่านได้ไปธุดงค์ในฝั่งประเทศลาว ได้พบชนเผ่าไทข่า ซึ่งเต็มไปด้วย มนต์ดำ ไสยศาสตร์ ว่าน หรือพวกเล่นของ ซึ่งในครั้งนั้นท่านได้ปักกดใกล้หมู่บ้าน ได้มีคนที่เก่งวิชาในหมู่บ้าน เมื่อเห็นท่านก็จะลงของกับท่าน โดยเขาว่าเขาคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ในขณะนั้นเขาได้แสดงโชว์หลวงปู่สนธิ์ก่อน ท่านได้ดูแล้ว ขีดเส้นบนพื้นดิน แล้วให้คนนั้นเดินเลยเส้นที่ขีดเข้ามามาแสดงใหม่ ปรากฏว่าฟันเข้าจนเลือดไหลเป็นจำนวนมาก และท่านก็ได้เมตตา ใช้คาถาคัดห้ามเลือดให้หยุดในทันที ทำให้คนนี้ก้มกราบ และขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน

- ไทข่ามาแสดงฤทธิ์ที่วัดท่าดอกแก้วเหนือ หลังจากการธุดงค์ในครั้งนั้น ยังผลชื่อเสียงท่านเป็นที่รู้จัก เกียรติคุณท่านในหมู่บ้านที่เป็นไทข่าและหมู่บ้านใกล้เคียง ทำให้พวกที่เก่งวิชา อาคมในแถบนี้ต้องการเอาคืน ต้องการพิสูจน์ใครแน่จริง จึงมีการตามมาที่วัด โดยหลวงปู่สนธิ์ท่านก็ให้ไปพักที่กุฏิ รับรอง แขก
ในเวลาค่ำคืน การแสดงฤทธิ์ก็เกิดขึ้น ไทข่าที่มาพักก็ นำเบ็ด ออกมาตกที่หน้าต่างที่พัก ซึ่งอยู่ในวัดบนพื้นดิน และเขาก็ได้ปลาติดเบ็ดเป็นพวกปลาดุก ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก เมื่อหลวงปู่สนธิ์รู้แล้ว ท่านจึงกำหนดจิตให้ปลานั้นกลายเป็นงูตัวใหญ่ ติดเบ็ดขึ้นมา จึงทำให้ไทข่าผู้นั้นตกใจ ร้องตะโกนลั่นวัด กลัวงู และหนีกลับกลางคืนเลย และเมื่อรุ่งเช้าชาวบ้านไปวัดก็มาบ่นว่าปลาที่หามาได้นำมาขัง ไว้ในแอ่ง ในโอ่ง หาย หลวงปู่สนธิ์ก็ยิ้มให้และนิ่ง สงบ โดยไม่ได้บอกชาวบ้าน นอกจากเล่าแก่ลูกศิษย์ฟัง

- ฝรั่งมาวัดท่าดอกแก้วเหนือ ฝรั่งคนนี้เป็นหัวหน้าคุมงานทำถนน สาย นครพนม-มุกดาหาร สายริมโขง ในครั้งนั้นการตัดถนนและทำถนน ได้ทำการบุกเบิก ถนนโดยเครื่องจักรกลหนัก ไม่ว่ารถแทรกเตอร์ เครื่องมือต่างๆ รวมถึง การใช้ระเบิดเป็นเครื่องทุ่นแรง และเมื่อมาถึงภูเขาชื่อภูมโน การบุกเบิกที่นี้ก็ดำเนินหน้าต่อไป แม้ชาวบ้านที่นี้บอกว่าที่นี้เป็นที่เข็ดขลัง เป็นที่ชาวบ้านไม่ค่อยจะไปยุ่งเกี่ยว เพราะกลัว โดยเชื่อว่าเจ้าที่แรง ฝรั่งก็บอกบ้านว่าไม่กลัวผี กลัวอะไรหรอกเพราะมีระเบิด ระเบิดตูม ผี อะไรก็กระจายแล้ว เมื่อในยามค่ำคืน สิ่งที่ชาวบ้านเตือนไว้ สิ่งที่ไม่คาดคิดที่ ฝรั่งและคนงานได้สัมผัสในตอนนั้นคือ รถ ทั้งหมดเคลื่อนที่ได้เอง และบีบแตรเองกันหมด ยังความตื่นตระหนกต่อฝรั่ง และคนงาน ในรุ่งเช้าก็มีแต่คนกลัวไม่กล้าดำเนินงานต่อไป ฝรั่งจึงมาถามชาวบ้านในแถบนั้นจะทำอย่างไรดี และบอกว่าแย่แน่ ทำงานต่อไม่ได้แน่ ไม่เสร็จทันสัญญาแน่ ชาวบ้านในแถบนั้นก็รู้ ชื่อเสียงหลวงปู่สนธิ์ วัดท่าดอกแก้วเหนือจึงแนะนำฝรั่งนั้นให้มาหาท่าน และเมื่อถึงที่วัดก็มากราบ ขอร้องให้ท่านช่วย ท่านจะให้ตะกรุดยันต์ แล้วนำไปแขวนที่รถทุกคันที่ทำงาน และการทำงานทำถนนก็สำเร็จล่วง ปรากฏเป็นถนนสายนครพนม-มุกดาหาร สายริมโขงในถึงปัจจุบันนี้

- คลายทิฐิหลวงปู่แก้ว หลวงปู่แก้วเป็นสหธรรมิก ที่มักจะไปธุดงค์ ไปไหนพร้อมๆ กับหลวงปู่สนธิ์ ในครั้งหนึ่ง ในระหว่างทาง การเดินทางนี้หลวงปู่สนธิ์ได้เดินนำหน้า และหลวงปู่แก้วเดินตาม ด้วยความไม่ระวังหลวงแก้วได้เดินสะดุดรากไม้ให้หัวขม้ำเล็กน้อย ด้วยความที่ท่านเป็นองค์หนึ่งที่มีคาถาอาคมในเรื่องคงกระพันชาตรี ท่านจึงไม่พอใจ รากไม้นั้นที่มาขวางทาง ท่านจึงกลับมาเตะรากไม้นี้ กะให้หน่ำใจ อีกที เมื่อหลวงปู่สนธิ์รู้ ทำไมถึงถือตัวขนาดนี้ ไม่แล้วๆ ไป ท่านจึงขีดเส้นบนพื้นในทางเดินไว้ สักพักหลวงปู่แก้วเดินมาก็สะดุดเส้นที่ขีดไว้ จนเลือดไหล และต้องให้หลวงปู่สนธิ์คัดห้ามเลือด เป่าคาถาห้ามเลือดให้ เลือดจึงหยุด และท่านก็ได้เตือนเรื่องการใช้คาถาฤทธิ์แก่หลวงปู่แก้ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร