วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 16:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




4(314).jpg
4(314).jpg [ 31.85 KiB | เปิดดู 13247 ครั้ง ]
ประวัติ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด

หลวงพ่อโอภาสี เดิมชื่อ ชวน มะลิพันธ์ ถือกำเนิดที่ บ้านตรอกไฟฟ้า อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ได้เล่าเรียนอักขระสมัยในสำนักวัดใต้ นครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากวัดใต้ไม่มีสำนักเรียนในในสำนักวัดโพธิ์ สามเณรชวนจึงได้ถือกำเนิด ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์นี้เอง ในสำนักเรียนพระปริยัติในวัดโพธิ์สามเณรชวนเล่าเรียนปริยัติด้วยความขยันขันแข็ง และฉลาดเฉลียวเป็นที่พอใจของเจ้าสำนักบาลีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับออกปากว่าสิ้นประโยคนักธรรมในวัดแล้วจะส่งมาเรียนในกรุงเทพฯ ให้ถึงที่สุด สามเณรชวนได้รับการนำมาถวายตัวเป็นศิษย์ในองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรฌานวงศ์ซึ่งได้รับไว้ในพระอุปการะ และทรงทำการอุปสมบทให้เป็นภิกษุในพัทธสีมาวัดบวรโดยทรงนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์พระภิกษุชวนเล่าเรียนพระปริยัติจนสอบได้เปรียญ 7 ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดจากพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรียกกันติดปากคนทั่วไปว่า มหาชวนเปรียญเอกหลังจากได้พบกับหลวงพ่อกบแล้ว พระมหาชวนก็เก็บตัวนั่งวิปัสสนาตลอดวัน ออกบิณฑบาต และฉันเช้าเพียงครั้งเดียว จะเปิดกุฏิก็ตอนบ่าย เปิดมาก็เอาสิ่งของต่างๆ มาเผา ตอนแรกก็น้อยๆ ก่อน คนจีนแถวบางลำพูเห็นเข้าก็เรียกท่านว่า เซียน จึงพากันมาถวายของให้เผาเป็นการใหญ่

ข้อคิดเรื่องฉายาโอภาสี

มีผู้นมัสการเรียนถามพระมหาชวนหลายต่อหลายคนด้วยกัน ด้วยคำถามที่ซ้ำๆ กันว่า " พระมหาชวนทำไมจึงเป็นโอภาสี " ท่านก็ตอบออกมาเหมือนกันทุกครั้งว่า " มหาชวนมรณภาพไปแล้ว ที่อยู่นี่คือ โอภาสี โอภาสี คือ ผู้ถวายเพลิงเป็นพุทธบูชา " " หลวงพ่ออายุเท่าใดแล้วขอรับ ” ใครคนหนึ่งถามด้วยความอยากรู้เป็นกำลัง หลวงพ่อโอภาสีตอบแบบให้กลับไปคิดว่า " ในโลกก็หกสิบปีแล้ว แต่อายุจริงนั้นอาตมาไม่รู้เลย มันเนินนานเป็นยิ่งนัก "

หากจะวิเคราะห์กันถึงประเด็นนี้ ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้เป็นสองนัยด้วยกันคือนัยแรก วิญญาณของมหาชวนเดิมนั้นถึงวาระต้องแยกจากสังขารด้วยการมรณภาพตามธรรมดาปกติวิสัย แต่เมื่อวิญญาณมหาชวนออกไปแล้ว วิญญาณมหาชวนของเทพ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างได้มาสวมร่างของมหาชวนบำเพ็ญบารมีธรรมต่อไปท่านจึงบอกว่า อายุในโลกนั้นหกสิบ แต่อายุจริงนั่นไม่รู้ นัยที่สอง เป็นปริศนาธรรมว่า จะรู้อายุไปด้วยเหตุใดกัน หกสิบแล้วก็เท่านั้นแหละ มันไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมาเรียนรู้เลย แต่จากปากคำของผู้ที่เป็นศิษย์รับใช้มหาชวนตั้งแต่เริ่มมาอยู่วัดบวร ยืนยันว่า มหาชวนเดิมนั้นเป็นพระเรียบร้อย พูดจาเสียงเบาๆ และสำรวมมีสมณสารูปอันน่าเลื่อมใส สมกับเป็นมหาเปรียญเจ็ดประโยค

แต่เมื่อเป็นโอภาสีแล้ว ผิดกันเป็นคนละคน พูดจาเสียงดัง และโฮกฮากมีอารมณ์ร้อนเหมือนไฟ เหมือนกันเป็นคนละคน แสดงให้เห็นว่า มหาชวนเดิมนั้นน่าจะตายไปจริงตามที่ท่านบอก และที่น่าประหลาดใจก็ คือ ตั้งแต่มหาชวนกลายเป็นหลวงพ่อโอภาสีนั้น จะสะสม พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้เต็มไปหมด และท่านก็เคยถ่ายภาพในอิริยาบถที่ประคองพระบรมรูปไว้หลายครั้งด้วยกัน ผู้เขียนนั้นออกจะเชื่อผู้ที่ว่า โอภาสี คือดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่เข้ามาอาศัยสังขารของมหาชวนในการบำเพ็ญบารมี และน่าจะเป็นวิญญาณที่มาจากต่างมิติ และต่างภพ ซึ่งต้องการมาสร้างบารมีให้แก่กล้าในมนุษย์โลก

ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

พุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดียได้ทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อโอภาสีไปนมัสการสังเวชนียสถาน และให้ญาติโยมได้นมัสการอย่างใกล้ชิด หลวงพ่อรับจดหมายมาอ่าน ในจดหมายแจ้งกำหนดการให้หลวงพ่อไปอินเดียวันที่ 28 ต.ค.2498 แต่แล้วหลวงพ่อให้ศิษย์ตอบจดหมายไปว่าขอเลื่อนไปวันที่ 31 ต.ค. จะสะดวกกว่า จึงมีการเปลี่ยนหมายกำหนดการที่กำหนดไว้เดิมออกไป การไปอินเดียคราวนี้ องค์สรภาณมธุรส บ๋าวเอิง แห่งวัดสมณานัมวรวิหาร สะพานขาวได้ขอเดินทางร่วมไปกับหลวงพ่อโอภาสี โดยไปเรียนให้ทราบถึงสำนักสงฆ์บางมด หลวงพ่อโอภาสีได้ตอบว่า...“ ไม่ได้ดอกคุณ ไปคราวนี้อาตมาไปแบบพิสดารไม่มีพาสสปอร์ต ไม่มีใครไปด้วยเลยสักคน อีกอย่างหนึ่งคุณมีกิจธุระมากไปไม่ได้ จะห่วงหน้าพะวงหลังต่างๆ ”องค์สรภาณมธุรส บ๋าวเอิง ได้กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า อาตมาสงสัยอยู่แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่กล้าซักถามท่าน เกรงบารมีท่านจริงๆ ไม่งั้นคงถามให้รู้เรื่องไปเลย วันที่ 31 ต.ค. ที่ประเทศอินเดีย มิสเตอร์ ยี.อี.เอิร์ด นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดีย กำลังพักผ่อนอิริยาบถในบ้าน พลันที่ผนังเบื้องหน้าก็ปรากฏกลุ่มควันจางๆ พวงพุ่งขึ้น และจับกลุ่มกันหนาขึ้น ภายในกลุ่มควันนั้นปรากฏใบหน้าของหลวงพ่อโอภาสีขึ้น ใบหน้าของท่านดูแจ่มใสมีรัศมีกระจายออกมาอย่างสวยงาม ท่านยิ้มให้ มร.เอิร์ด อย่างเมตตา พลันกลุ่มควัน และภาพของท่านก็มลายหายไปทันที มร.เอิร์ด

ซึ่งเคยได้ข่าวว่าหลวงพ่อจะมาอินเดียแบบพิสดารจากท่าน บ๋าวเอิง ก็รู้สึกว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ ครั้นตอนสายหน่อยกำลังจะออกจากบ้าน คนรับใช้ก็เข้ามาเรียนบอกว่า มีนักบวชในศาสนาพุทธมาคอยพบอยู่ที่ห้องรับแขก มร.เอิร์ด จึงรีบออกไปพบในห้องรับแขกนั้นเอง ร่างของหลวงพ่อโอภาสีนั่งคอยอยู่ มร.เอิร์ด เข้าไปกราบแทบเท้าท่านด้วยความเคารพ ทำไมหลวงพ่อไม่บอกล่วงหน้า ถึงเวลาที่จะมาจะได้เอารถไปรับจากสนามบิน หลวงพ่อเดินทางมาที่บ้านผมลำบากมากไหม ไม่ลำบากเลย สบายมากฉันมาตามคำพูดของฉันให้คุณได้ประจักษ์ว่า คำพูดของโอภาสีเชื่อถือได้ ฉันลองบอกว่าจะมาแล้วละก็ อะไรก็ห้ามฉันไม่ได้ ฉันมาแล้วละ เธอสบายใจได้ มร.เอิร์ด จึงให้นำน้ำชามาต้อนรับหลวงพ่อโอภาสี และขอตัวไปเตรียมตัวจะเอารถพา หลวงพ่อโอภาสีไปเที่ยวชมภายในเมือง แต่หลวงพ่อโอภาสีได้กล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า... ไม่ต้องวุ่นวายหรอกคุณ ฉันเพียงแต่มาให้เห็นเท่านั้นแหละ ไม่ต้องวุ่นวาย มร.เอิร์ด หายไปเพียงสิบนาที ก็พร้อมที่จะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นรถ แต่พอมาที่ห้องรับแขก ร่างของหลวงพ่อโอภาสีก็ไม่มีอยู่แล้ว จึงออกไปดูหน้าบ้านก็ไม่พบอีก จึงเรียกคนรับใช้มาสอบถาม คนรับใช้ก็บอกว่า นั่งมองดูหน้าบ้านเป็นเวลานานแล้วไม่เห็นมีพระออกมาเลย มร.เอิร์ด รู้สึกใจหายวาบไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะเกรงว่า หลวงพ่ออาจมาเตือนอันตราย แต่แล้วในตอนบ่ายสามโมง โทรเลขด่วนก็มาถึง มร.เอิร์ด พอฉีกโทรเลขออกอ่าน มร.เอิร์ด ก็เข่าอ่อนทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง ข้อความในโทรเลขมีใจความว่า... “ หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพเวลา 07.30 น. วันที่ 31 กำหนดการงดทั้งหมด ”

หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพตอน 07.30 น. แล้วภาพในกลุ่มควันนั้นเป็นอะไรกันแน่ มร.เอิร์ด รู้สึกเหมือนถูกทุบหัวด้วยตะลุมพุกแล้วหลวงพ่อโอภาสีที่ได้คุยกันอยู่เมื่อครู่มาได้อย่างไรกัน นอกจากจะเป็นกายทิพย์ของหลวงพ่อโอภาสี มร.เอิร์ด รีบจองเที่ยวบินที่ด่วนที่สุดเดินทางมาบางมด เมื่อมาถึง...ก็ได้พบศพของหลวงพ่อโอภาสีนอนมรณภาพ มีมุ้งกางไว้เหมือนคนนอนหลับร่างกายไม่แข็ง แต่นิ่มเหมือนคนนอนหลับทั่วๆ ไป เรื่องราวของหลวงพ่อโอภาสี ไปปรากฏร่างถึงอินเดียจึงปรากฏขึ้นจากปากของ มร.เอิร์ด เสียงร่ำไห้ของศิษย์จึงดังระงมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสีบางมด จนถึงทุกวันนี้ และไม่เน่าไม่เปื่อย กลับแข็งเป็นหินโดยตลอด สมกับเป็นผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตรผู้มาจากต่างมิติสวมร่างของมหาชวน ซึ่งสิ้นบุญมรณภาพไปในช่วงแห่งความตายที่วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อนหน้ามรณภาพในต้นปี 2498 นั้น คณะศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญหลวงพ่ออนุญาต แต่ได้สั่งว่า “ เหรียญนี้จะไม่มีรูปโอภาสี เพราะในโลกนี้จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป ครุ คือ อำนาจเสมากับอุณาโลม และรัศมีคือตัวโอภาสีอีกต่อไป ”

เหรียญรุ่นสุดท้าย คือ เหรียญครุฑแยกเสมา อันเป็นเหรียญรุ่นแรก และ รุ่นเดียวที่ไม่มีรูปหลวงพ่อโอภาสี แม้หลวงพ่อโอภาสีจะมรณภาพไปเป็นเวลาเกือบ 39 ปีแล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยลืมเลือนควากตัญญูมีการจัดงานสรงน้ำรูปหล่อ และแห่รูปหล่อของหลวงพ่อเป็นประจำ และต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อโอภาสีไม่เคยจากไปไหนเลย แต่อยู่กับพวกเราตลอดกาลนาน ท่านจะคอยดูแลพวกเราเสมอตราบเท่าที่พวกเรายังมีความเคารพในองค์ท่านอยู่ทุกลมหายใจ มหาชวน มะลิพันธ์ กลายเป็นโอภาสี และโอภาสีได้กลายเป็นพุทธบุตรที่เปี่ยมด้วยพลังเทพต่างมิติ ทุกวันนี้ปัญหาที่ขบไม่แตกก็คือ ท่านหลวงพ่อโอภาสีเป็นใครนักบุญ ผู้มาจากต่างกาลเวลา หรือพระพุทธบุตรผู้มีมหาอภิญญาจิต ท่านผู้อ่านคิดว่าหลวงพ่อโอภาสีเป็นใครกันแน่

คาถาของหลวงพ่อโอภาสีที่ท่านได้มอบให้ศิษย์หมั่นท่องบ่นภาวนาได้เป็นประจำวันว่า...

“ อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง ”

สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันอันตรายต่างๆ ทั้งจากเทวดา และภูตผีปีศาจทั้งหลาย เดินไปในทางเปลี่ยวหยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่ หรือ ศาลเจ้าเรียกให้ท่านช่วยติดตามปกป้องภัยได้อีกด้วย เรียกว่า คาถาสำเร็จแห่งหลวง



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 19 มี.ค. 2010, 09:56, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




.bmp
.bmp [ 258.94 KiB | เปิดดู 13244 ครั้ง ]
64.jpg
64.jpg [ 204.87 KiB | เปิดดู 13246 ครั้ง ]
หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด
พระผู้บูชาไฟ-เผากิเลสในใจมนุษย์

เวบหนังสือพิมพ์สยามรัฐ - 3/12/2548

สมัยสงครามอินโดจีน พระเกจิอาจารย์ดังหลายรูปต่างเป็นที่พึ่งทางกายและใจของบรรดาทหารหาญ และชาวบ้าน ดังนั้น วัตถุมงคล-เครื่องรางของขลังของพระเกจิในยุคนั้น จึงโด่งดังมาจนทุกวันนี้ และมีมูลค่าในการเช่าหาที่ค่อนข้างสูง

“ผ้าประเจียด” ของ “หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด กทม.” เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คนสมัยนั้น เพราะมีคุณานุภาพอันวิเศษยิ่ง

ท่านจัดพิธีปลุกเสกที่วัดบวรนิเวศฯ โดยอาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมมาร่วมพิธีด้วย 3 รูปคือ หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา และหลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา ฉะเชิงเทรา เมื่อทหารนำไปใช้ปฏิบัติการในสมรภูมิ ปรากฏว่ายิงไม่ออกบ้าง ยิงไม่ถูกบ้าง ข้าศึกเห็นทหารไทยก็พากันเสียขวัญ ถึงขนาดตั้งฉายาให้ว่า “ทหารผี” ไม่เพียงเท่านั้น พระเครื่องต่างๆ ของท่าน ยังสร้างประสบการณ์ให้ผู้คนร่ำลือมากมาย และเชื่อในความขลังไม่รู้คลาย

หลวงพ่อโอภาสี เป็นศิษย์เอกรูปหนึ่งของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.นครนายก ซึ่งสำเร็จทางเตโชกสิณ มีนามเดิมว่า “ชวน” เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช บุตรของนายมิตร นางล้วน นามสกุล “มลิวัลย์” อายุได้ 5 ขวบ บิดาและมารดานำไปฝากไว้กับอาจารย์ ณ สำนักวัดใต้ เพื่อที่จะได้เล่าเรียนหนังสือ ก่อนจะนำไปฝากบวชเป็นสามเณร ณ สำนักวัดโพธิ์ โดยมีท่านอาจารย์ที่วัดนี้เป็นพระอุปัชฌาย์

เล่าเรียนพระปริยัติธรรมอยู่เป็นเวลานานพอสมควรจนความรู้แตกฉาน จึงได้ลาบิดาและมารดาเดินทางมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ศึกษาได้ระยะหนึ่งจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเล่าเรียนทางด้านพระพุทธศาสนาในวิชาการต่างๆ เป็นเวลานานหลายปี จึงได้เข้าสอบไล่แปลพระปริยัติธรรม สอบได้เปรียญ 3 ประโยค กระทั่งถึงเปรียญ 7 ประโยคตามลำดับ

ท่านมหาชวนได้เป็นที่เคารพของประชาชน ทำให้คนรู้จักท่านมากขึ้น เพราะเห็นว่าการปฏิบัติภารกิจประจำวันของท่านเริ่มเปลี่ยนไป เพราะแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาเหมือนกับพระเกจิอาจารย์อื่นๆ แต่ท่านกลับบูชาเพลิงพร้อมกันไปด้วย ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สินเงินทองมีค่าใดๆ ก็ถูกนำเอาไปโยนเข้ากองไฟเสียหมด ไม่มีการเสียดายด้วยประการใดทั้งสิ้น แม้ท่านจะเผาไปมากเท่าใด ก็มีผู้ศรัทธานำไปถวายให้เผามากยิ่งขึ้น

สิ่งของที่ท่านนำไปบูชาเพลิงนั้น หากท่านผู้ใดต้องการจะขอ ท่านก็ยินดีให้ การกระทำของท่าน ประชาชนจึงนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วกรุง บางคนก็มองในแง่อัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยพบเห็น

บางคนก็คิดว่าท่านวิกลจริต เพราะได้เห็นท่านมุ่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยจะจุดธูปเทียนบูชาพระมีควันตลบอบอวนไปทั่วห้อง ทำให้บางคนคิดว่าไฟกำลังไหม้กุฏิของท่าน

แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นท่านนั่งสงบอยู่ที่หน้าบูชาพระในลักษณะของผู้ที่กำลังทำสมาธิ จึงจะเข้าใจว่าท่านเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยที่ตัวท่านเองไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะยึดมั่นความสันโดษเป็นที่ตั้ง และท่านจะฉันอาหารเพียงมื้อเพลมื้อเดียวเท่านั้น

สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ที่หน้าโต๊ะบูชาในกุฏิของท่านและบริเวณรอบๆ จะเต็มไปด้วยพระบรมรูปหล่อ และพระบรมรูปฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำนวนมากมาย ทุกวันเมื่อฉันเพลเสร็จท่านจะเข้าห้องเพื่อทำสมาธินานจนกระทั่งถึง 4 โมงเย็น หลังจากนั้นก็จะไปทำวัตรสวดมนต์เย็นในโบสถ์ เสร็จแล้วก็จะกลับเข้าห้องบำเพ็ญภาวนาทำสมาธิต่อไปจนเช้าของอีกวันหนึ่ง

เมื่อท่านปฏิบัติเช่นนี้นานเข้า ได้มีผู้ที่เคารพไปหา ท่านมักจะกล่าวเสมอๆ ว่า “มหาชวนนั้นตายไปแล้ว อาตมาไม่ใช่มหาชวน”

แต่ถ้าถามถึงอายุ ก็จะได้รับคำตอบว่า “อายุของอาตมานั้นไม่ทราบ แต่เวลานี้ 60 ปีเศษแล้ว” ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็แปลกใจและตีความหมายไม่ออก จึงทำให้มีผู้เชื่อกันไปว่า หลวงพ่อโอกาสีมิใช่ตัวของมหาชวนโดยแท้จริง แต่เป็นวิญญาณของเทพเจ้าหรือผู้วิเศษองค์หนึ่งที่มาอาศัยร่างของมหาชวนอยู่เท่านั้น

ประมาณปีพ.ศ. 2484 หลวงพ่อโอภาสีได้ออกจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร นัยว่าเสด็จพระอุปัชฌาย์ไม่ทรงโปรดการกระทำของท่าน และได้จาริกธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ จนพบกับองค์พจนสุนทร พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณ และได้รับคำแนะนำให้ไปอยู่ที่ ต.บางมด อ.บางขุนเทียนซึ่งมีศาลเจ้าอยู่ด้วย

เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวก็เกิดความพอใจและได้ปักกลดลงในที่ของนายเนียม คหบดี ซึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาคนหนึ่งในย่านนั้น ในตอนกลางคืน ท่านได้ใช้ความสงบวิเวกในบริเวณสวนนี้ทำกิจของท่านด้วยการนั่งหลับตาพนมมือเข้าสมาธิอยู่ใกล้กับกองไฟที่ท่านสุมไว้อย่างสว่างไสว

ต่อมาเจ้าของสวนและชาวบ้านละแวกนั้นได้เรียกชื่อท่านว่า “หลวงพ่อโอภาสี” และได้พร้อมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ ถวายเพื่อป้องกันแดดฝน แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจมากนัก และก็ยังคงเคร่งครัดการสุมไฟไว้ตลอดทั้งคืนเช่นเดิม

ในเวลาต่อมา การก่อไฟของหลวงพ่อได้กลายมาเป็นการเผาจตุปัจจัยสิ่งของต่างๆ ที่ประชาชนนำมาถวาย เป็นต้นว่า ธนบัตรนับจำนวนหมื่นๆ ผ้าที่ประชาชนนำมาทอดเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องกระป๋อง หรือแม้แต่เครื่องประดับต่างๆ ก็โยนเข้ากองเพลิงทั้งสิ้น

เหล่าชาวบ้านที่รู้จุดประสงค์ของท่านก็ต่างนำน้ำมันก๊าซไปถวายเพื่อใช้ในการเผาปัจจัยต่างๆ นั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่า

“โดยปกติ แสงไฟที่เผาผลาญสรรพสิ่งอื่นๆ จนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปนั้นก็จัดเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่แล้ว แต่ทว่าจิตใจของมนุษย์เรายังมีความร้อนยิ่งไปกว่า กล่าวคือ ร้อนด้วยความโลภ โกรธและหลง ไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น การที่อาตมานำเอาจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายที่มีผู้นำมาถวายมาเผาเสียเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นพุทธบูชาขอให้ช่วยดับความร้อนในกายใจของมนุษย์ให้หมดไป หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ เผากิเลสทั้งหลายให้หมดไปนั่นเอง”

หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพไปเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2498 เป็นเวลาเกือบ 60 ปีแล้ว แต่สังขารยังมิได้มีการเผา ยังคงอยู่ในสวนอาศรมบางมด มีพุทธศาสนิกชนผู้เคารพศรัทธาไปกราบไหว้บูชามิได้ขาด ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่

******************


:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 19 มี.ค. 2010, 08:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[.jpg
[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[[.jpg [ 111.16 KiB | เปิดดู 13238 ครั้ง ]
หลวงพ่อโอภาสีปราบนักเลงโต!




พระมหาชวน เปรียญ ๗ ประโยค ได้เข้ามาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร จนได้เปรียญ ๗ ประโยค ครั้นเมื่อท่านได้ไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา ที่ลพบุรี ได้เห็นหลวงพ่อกบ เผาสมบัติที่มีผู้นำมาถวาย จึงเข้าไปกราบนมัสการเรียนถามเหตุผล เมื่อได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อกบแล้วก็เลื่อมใส จนเมื่อกลับมาถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ก็หยุดการเรียนปริยัติหันมาเรียนทาง ปฏิบัติ ออกธุดงค์และบูชาไฟตามรอยหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา

บรรดาพระในวัดบวรนิเวศวิหารเข้าร้องเรียนเรื่อง มหาชวนเผาข้าวของที่มีผู้นำมาถวายและ บูชาไฟ ว่าอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้วัดบวรฯ ขึ้นได้ อีกประการหนึ่งวัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดหลวง ฝ่ายธรรมยุต การบูชาไฟย่อมขัดกับข้อวัตรปฏิบัติแห่งธรรมยุติกนิกาย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรฯ ขณะนั้น จึงเรียกมหาชวนมาพบ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงให้มหาชวนเลือกปฏิบัติสองทาง คือทางแรกอยู่ในสำนักวัดบวรฯ ต่อไป แต่ต้องยุติการบูชาไฟ และทางที่สอง คือย้ายออกจากวัดบวรฯ ไปจำพรรษาที่อื่น

มหาชวนกราบทูลว่าขอเลือกทางที่สอง คือแบบแบกกลดธุดงค์ออกจากวัดบวรฯ

มหาชวนซึ่งต่อมาได้เรียกตัวเองว่า “โอภาสี” โดยบอกว่า มหาชวนได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ที่อยู่นี่คือ “โอภาสี”

หลังจากนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ไปอาศัยลานดินว่างในสวนส้มที่ตำบลบางมดเป็นที่ปักกลด โดยออกบิณฑบาต และบูชาไฟ

มีผู้ที่เคยไปนมัสการท่านที่วัดบวรนิเวศวิหารติดตามมาคอยอุปัฏฐาก

ต่อมาเจ้าของสวนได้ถวายที่ดินโดยรอบสถานที่ที่ท่านปักกลดทำ เป็นสำนักสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันได้ยกฐานะเป็นวัดโอภาสีจนทุกวันนี้

ตอนนั้นชาวสวนแบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งบอกว่าหลวงพ่อโอภาสี ทำให้สวนของพวกเขาอยู่ในอันตราย หากกองไฟที่หลวงพ่อโอภาสีเผาสมบัติลุกลาม ไหม้สวนจนวอดวายเป็นขนัดๆ

นายตี๋ อันธพาลรับจ้างเป็นรายแรกที่มาลองดีกับหลวงพ่อโอภาสี

นายตี๋เล่าว่า ได้รับค่าจ้างจากเจ้าของสวนที่ไม่พอใจหลวงพ่อโอภาสี ว่าจ้างให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้หลวงพ่อโอภาสีถอนกลดออกไปจากพื้นที่เสีย

คืนแรกนายตี๋ได้เก็บก้อนหินขนาดเหมาะมือใส่ถุงปุ๋ยมาแอบซ่อนไว้ไม่ไกลจากกลดที่หลวงพ่อปักไว้ พอได้โอกาสเหมาะ หลวงพ่อโอภาสีอยู่เพียงลำพัง ก็ใช้ก้อนหินขว้างปากลดของหลวงพ่อ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง

ก้อนที่ถูกก็ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นแก่ตาตนคือ พอก้อนหินกระทบหลังคากลด ก็เกิดกระเด้งกลับมาอย่างแรง ทีแรกก็เฉียดตัวนายตี๋ นายตี๋จึงคำรามในใจว่า แน่นักเรอะ! คราวนี้แหละจะเขวี้ยงให้ผ่านประตูกลดที่เปิดไว้ให้ถูกตัวหลวงพ่อเลยทีเดียว ให้มันรู้กันไปว่าจะแน่สักแค่ไหน

‘‘พอผมขว้างก้อนหินเข้าไปตรงจุดที่ผมกะไว้ ก้อนหินก็กระเด็นย้อนกลับมาด้านบน หล่นลงมากลางกบาลของผมพอดี หัวแตกเลือดไหลโกรก จนผมต้องวิ่งไปเข้าโรงพยาบาลให้หมอเย็บถึง ๑๐ เข็ม ไม่อาจไปรบกวนหลวงพ่อได้อีก พอแผลหายผมจึงไปกราบเท้าท่าน ไปสารภาพให้ท่านอโหสิให้แก่ผม ท่านยิ้มแล้วพูดกับผมว่า…

‘‘อาตมาไม่ได้คิดร้ายกับใคร ไม่พยาบาทใคร กรรมของโยมต่างหากที่มันย้อนกลับไปทำร้ายโยม’’

ทางด้านนายโสม ผู้ว่าจ้างนายตี๋ให้เอาก้อนหินไปขว้างใส่กลดของหลวงพ่อโอภาสี แต่นายตี๋กลับกลายไปเป็นศิษย์อุปัฏฐากหลวงพ่อแทน จึงเกิดความเคียดแค้นมาก

คืนนั้นกินเหล้าย้อมใจจนได้ที่ แล้วเอาปืนพกเหน็บเอว แอบเข้ามาที่ใกล้ๆ กับกลดของหลวงพ่อโอภาสี ชักปืนขึ้นมาหันปากกระบอกขึ้นฟ้า แล้วตะโกนร้องว่า

‘ไปให้พ้นโว๊ย ไปเผาของที่อื่น หากยัง อยู่ที่นี่ชาวบ้านเขาจะเดือดร้อน’

จากนั้นก็รัวกระสุนเข้าใส่กลดจนหมดลูกโม่ สะใจแล้วก็เดินทางกลับบ้าน

นายโสมเล่าว่า

‘‘เช้ามืดวันรุ่งขึ้น มีตำรวจจากกองปราบมาล้อมบ้านผม เอาหมายค้นมาด้วย มาค้นบ้านและยึดปืนที่ผมเอาไปยิงขู่หลวงพ่อโอภาสีเมื่อคืนก่อน โดยระบุว่าจะเอาไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ก่อคดีฆ่านายสุชาย เจ้าของสวนย่านเดียวกับผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ’’

กว่าเรื่องจะเรียบร้อย นายโสมต้องถูกนำตัวไปสอบสวนแล้วสอบสวนอีก เสียเงินเสียทองจ้างทนายมาสู้ความ จนหมดเงินไปมากมาย ที่สุดก็ต้องมากราบหลวงโอภาสีเพื่อขอให้ท่านช่วย

โดยสารภาพผิดว่าเคยเอาปืนมายิงขู่หลวงพ่อตอนกลางคืน

หลวงพ่อโอภาสีท่านก็อโหสิและพรมน้ำมนต์ให้

ในที่สุดนายโสมก็พ้นผิดและได้กลายมาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโอภาสีเช่นกัน

ที่มา อภินิหารหลวงพ่อโอภาสี ๒ จากนิตยสารโลกหน้ามีจริง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ไปเรียนกับหลวงพ่อโอภาสี

อย่างไรก็ดี การศึกษาเล่าเรียนใดๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แม้นได้รับจากหลวงพ่อหิ่มมาก็ยังไม่อิ่มในรสแห่งพระธรรม เสร็จจากงานฌาปนกิจศพของหลวงพ่อหิ่มแล้ว ก็ตั้งใจจะออกจาริกแสวงหาสัจจธรรมต่อไปอีก และในจุดประสงค์ลึกๆ ของหลวงพ่อเปิ่นนั้นต้องการแสวงหาพระอาจารย์เพื่อศึกษาพระเวทย์ จึงเข้าไปกราบลาหลวงพ่อทองอยู่ ปทุมรัตน พระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เปลี่ยน ฐิตธมฺโม พระอนุสาวนาจารย์ เพื่อเดินธุดงควัตรแสวงหาธรรมเพิ่มต่อไป พระอาจารย์ทั้งสองต่างก็พลอยยินดี และอนุโมทนาในการที่จะปฏิบัติธรรมเพิ่มยิ่งๆ ขึ้นไป

๏ ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโอภาสี

เมื่อได้รับอนุญาตจากพระอาจารย์ทั้งสองแล้ว หลวงพ่อเปิ่นได้ทราบข่าวกิตติศัพท์เล่าลือว่า ที่ “สำนักสงฆ์อาศรมบางมด” เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ หลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน) ได้อบรมแนะนำสั่งสอนพระกัมมัฎฐาน โด่งดังมากในเรื่องเตโชกสิณ ได้มีผู้สนใจเข้าไปสมัครเป็นศิษย์กันเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อเปิ่นจึงได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ จะเป็นด้วยบุญบารมีที่เคยได้ร่วมกันมาแต่อดีตหรืออย่างไรไม่ทราบ หลวงพ่อโอภาสีเมื่อได้ทราบเจตนาดังนั้น ยินดีต้อนรับและสั่งให้พระจัดสถานที่ให้

หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เคยปรารภให้ศิษย์ฟังว่า “อาตมาเรียนด้วย ปรนนิบัติท่านโอภาสีไปด้วย คงเป็นเพราะบุญบารมีของอาตมาที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนก็ว่าได้ จึงได้มีโอกาสศึกษากับท่านโอภาสี สำคัญมากๆ จริงๆ ในตอนแรกๆ นั้น อาตมาคิดว่าได้เรียนวิชาเอกไว้มากมายแล้ว และได้เรียนรู้ในข้อธรรมทั้งหลายลึกซึ้งดีแล้ว แต่ที่ไหนได้พอได้พบได้สนทนากับผู้ที่มีความรู้และภูมิธรรมสูงกว่า และเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดำริตนให้พ้นจากอาสาวะกิเลสทั้งปวงแล้วนั้น ทำให้อาตมารู้สึกว่า อาตมาเองเหมือนกบอยู่ในกะลาครอบ จะต้องเรียนรู้ จะต้องศึกษาอีกมากมาย และยังต้องบำเพ็ญเพียรทางจิตอีกมาก จึงจะเทียบเท่าท่านผู้รู้เหล่านั้นได้

เพราะขณะนั้นอาตมายังไม่ได้ปฏิบัติตน ไม่เคยเห็นโลกกว้างเหมือนผู้รู้ผู้แสวงหา ไม่ได้ถึงธรรมอย่างแท้จริง และปฏิบัติกันอยู่แค่วิชาความรู้ทางไสยศาสตร์เพียงอย่างเดียว ไม่อาจนำพาตัวเองรอดจากเวียนว่ายตายเกิดได้เลย ต้องศึกษาปฏิบัติควบคู่กันไปเป็นพลังเสริมความมั่นคง อันก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางจิต จนกระทั่งได้พบกับแสงสว่างทางธรรมอันสมควรอีกด้วย และถ้าหากอาตมาไม่แสวงหาวิชาความรู้ต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินแล้วก็จะอยู่เพียงเท่านี้ ไม่ก้าวหน้าต่อไป วิชาก็ไม่แน่นพอ ไม่ได้เห็นแสงสว่างของทางธรรม และยังไม่ได้เข้าถึงคุณวิชาที่เข้าศึกษา จึงจำเป็นต้องไปเพื่อกาลข้างหน้าจะได้เป็นผู้รู้ได้บ้าง แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่บุญกุศลเถิดว่าจะสนองตอบเราได้เพียงไหน”


นั้นเป็นคำกล่าวขององค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น เมื่อท่านได้พบกับหลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน) ท่านจึงทราบว่าท่านอยู่ในฐานะเพียงไหน

ธรรมะที่หลวงพ่อโอภาสีแนะนำสั่งสอน ท่านจะเน้นให้ตัดทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ปล่อยวาง อย่ายึดถือ โดยเฉพาะศัตรูสำคัญคือขันธ์ ๕ ให้พิจารณาแยกออกเป็นธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งชัด ละอุปาทานที่มีอยู่ เมื่อพิจารณาเห็นจริงดังกล่าวแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่จะเบาบางไป

สัจจะคือความจริง ได้แก่ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ และอนัตตา ความไม่มีตัวตน ก็จะปรากฏขึ้น ได้อยู่ศึกษาและปฏิบัติกับหลวงพ่อโอภาสี ท่านได้เล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ท่านได้ผจญมา และบอกว่ายังมีอาจารย์เก่งๆ และดีๆ อีกเยอะในเมืองไทย หลวงพ่อเปิ่นได้อยู่รับใช้และศึกษาปฏิบัติกับหลวงพ่อโอภาสี เป็นเวลา ๑ ปีเศษ ก็กราบลาเพื่อออกธุดงควัตรต่อไป


:b8: หมายเหตุ : คัดมาเพียงบางส่วนจากประวัติหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22254


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 11 เม.ย. 2010, 10:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2016, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือ ประวัติหลวงปู่โอภาสี
จัดพิมพ์ในปี ๒๕๕๐ โดยคณะศิษย์


เมื่อก่อนนี้มีครอบครัวหนึ่งอยู่ใกล้อาศรมหลวงปู่ มาคอยรับใช้ดูแลหลวงปู่ ขอข้าวหลวงปู่กินกันประทังชีวิตกันไปวันๆ หลวงปู่ท่านก็มีความเมตตาอยู่แล้ว ท่านก็เมตตาให้ทุกมื้อ คนในครอบครัวก็บอก ทำไม ครอบครัวลูกถึงยากจนจริงๆ แม้แต่จะกินก็ไม่มีเลย หลวงปู่ท่านก็หยิบดินมาหนึ่งกำมือ แล้วอธิษฐานจิตลงไปในดิน แล้วเอาใส่ปากให้กินกันไป ท่านก็พูดขึ้นว่า คนไม่มีสุดๆ ก็ต้องกินดินไปแล้ว ต่อแต่นี้ไปโตขึ้นจะมีกินมมีใช้ ไม่อดอยากแบบนี้อีก และเด็กหญิงคนนั้นโตมาก็ร่ำรวยถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง ปัจจุบันก็ช่วยงานบุญวัดหลวงปู่มาด้วยดีตลอด ตอนนี้ไปมีครอบครัวอยู่ทางภาคเหนือแล้ว หลานเขาชื่อ "หมู" เป็นคนเล่าให้ฟัง

หลวงปู่ให้ชีวิต มีครอบครัวหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่ได้ถึงแก่ความตายลงไป แล้วญาติก็เตรียมงานศพกันตามประเพณี และมีญาติของผู้ตายคนหนึ่งได้วิ่งไปขอให้หลวงปู่โอภาสช่วยชีวิตไว้ก่อน เพราะลูกๆ ของคนตายยังเล็กกันมาก ที่สวนไร่นาก็ยังไม่ได้แบ่งกันเลย เธอรีบวิ่งหน้าตั้งกันไป หอบเหนื่อยมาก พอมาถึงยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร หลวงปู่โอภาสีท่านพูดขึ้นมาว่า รีบกลับไปเถิด เขาไม่ตายหรอก พอกลับมาล้าน สัปเหร่อได้ทำการมัดตราสังข์ ยังมัดไม่เต็มที่คนที่ตายฟื้น โยนดอกบัว ธูปเทียนทิ้งแล้วก็ตื่นขึ้นมา ทำให้ทุกคนตกใจกันมาก หลานชื่อ "หมู" เป็นคนเล่าให้ฟัง

หลวงปู่โอภาสี ท่านอยากจะปล่อยกุ้งต้มตัวแดงๆ ที่ตายแล้ว ลงไปในแม่น้ำ มีแม่ค้าคนจีนคนหนึ่ง พายเรือขายของกินไปทั่วในคลองบางมดแถวหน้าอาศรมของท่าน หลวงปู่ก็เรียกแม่ค้าคนนั้นเข้ามาใกล้ๆ แล้วถามว่า กุ้งกระจาดนั้นราคาเท่าไหร่ พอตกลงราคากันได้ ท่านก็ควักธนบัตรใบละหนึ่งบาทให้แม่ค้า แล้วก็ปล่อยกุ้งลงไปในแม่น้ำลำคลองนั้น ปรากฏว่ากุ้งต้มตัวแดงๆ ต่างมีชีวิตกระโดดน้ำกันตามประสาของกุ้งทั่วไปกันมากมายเลย เป็นเรื่องน่าแปลกใจของผู้คนในละแวกนั้นที่ลงเล่นน้ำกันอยู่แถวๆ คลองบางมดกันในขณะนั้น

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร