วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 17:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม


วัดป่าหนองไผ่
ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร



๏ ครอบครัวที่อบอุ่น เป็นรากฐานของการสร้างคน

“พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม” เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลและธรรม มีศีลาจริยวัตรที่งดงาม เป็นพระที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร บูรพาจารย์สายพระป่า

พระอาจารย์สุธรรม มีนามเดิมว่า สุธรรม แซ่จึง เกิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2492 ตรงกับวันศุกร์ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ณ จังหวัดระยอง โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายบุญเลี้ยง และนางเซี้ยม แซ่จึง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 14 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 2

ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ บ้านหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร


๏ ภาวะผู้นำโดยธรรมชาติ

โดยเหตุที่บุตรคนโตเป็นผู้หญิง ท่านพระอาจารย์ในวัยเด็ก จึงต้องทำหน้าที่เป็นพี่ชายคนโตของน้องๆ ทั้ง 12 คน โดยมิได้จงใจจะฝึกหัด แต่การที่ท่านสำนึกในความเป็นพี่ใหญ่ มีความรักความเมตตาต่อน้องๆ นี่เอง ได้ซึมซาบอุปนิสัยของความเป็น “ผู้นำ” ให้แก่ท่านโดยอัตโนมัติอย่างเป็นธรรมชาติ ซึมซาบอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ดังนั้น จะเห็นได้จากในปัจจุบัน บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของท่าน ต่างได้มีความรู้สึกที่เด่นชัดตรงกันประการหนึ่งว่า ท่านพระอาจารย์มีเมตตา เอื้อเฟื้อสงเคราะห์ เอาใจใส่จริงใจต่อศิษย์ ปานบิดาเอื้ออาทรต่อบุตร หรือดุจดังพี่ชายใหญ่ให้ความอนุเคราะห์ ห่วงใยคุ้มครองป้องกันภัย ให้แก่น้องๆ ทุกคนโดยเสมอหน้ากัน


๏ ความกล้าหาญที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต
(แต่กอปรด้วยสติปัญญาและความรอบคอบระมัดระวัง)


นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของท่าน ที่บิดามารดามีความเห็นตรงกันที่จะฝึกให้บุตรทุกคนให้สามารถพึ่งตนเอง เรียนรู้แลค้นพบตนเอง ด้วยเหตุนี้นอกเหนือไปจากภารกิจที่ท่านปฏิบัติให้แก่ครอบครัวแล้ว ท่านจึงได้ใช้ชีวิตผจญภัย บ่มเพาะนิสัยเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในรูปแบบต่างๆ ตามวัยของท่าน เช่น การว่ายน้ำในแม่น้ำระยองซึ่งไหลเชี่ยวผ่านหน้าบ้านของท่าน แล้วว่ายออกไปสู่ปากอ่าวสู่ทะเลเป็นระยะทางไกลๆ ซึ่งมิใช่สิ่งง่ายสำหรับทุกท่าน

เพราะการที่จะทำเช่นนี้ได้ บุคคลนั้นต้องฝึกฝนตนเองจนมีความชำนิชำนาญสูง มีความเพียร มีความแข็งแรง กล้าหาญ อดทน และที่สำคัญต้องมีความสุขุมระมัดระวังรอบคอบ คำนวณกำลังของตนเองกับระยะทาง และการประเมินสถานการณ์ต่างๆ ต้องมีความถูกต้องแม่นยำ เช่น การสังเกตุคะเนระยะทางของเรือชนิดต่างๆ ที่จะแล่นผ่านมาว่ากับกำลังในการว่ายน้ำของตน ว่ามีอัตราเสี่ยงภัยมากน้อยเพียงใด เรือลำใดสามารถเกาะพักได้ หรือเรือลำใดจะเป็นอันตรายหากว่ายน้ำเข้าใกล้รัศมี เพราะมีชีวิตเป็นเดิมพัน ความสนุกท้าทายของท่านในวัยเด็กนั้น จึงสร้างเสริมลักษณะนิสัยความกล้าหาญอย่างรอบคอบ รู้เขา-รู้เรา มิใช่ความบ้าดีเดือด มุทะลุดุดันอันไม่เป็นแก่นสาร ของคนวัยคะนองทั่วไป


๏ อำลาเพื่อนและครู
ไปสู้ชีวิตในท้องทะเลอันสุดแสนไกล


เพราะความเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัว ที่มีสมาชิกรวม 16 ชีวิต ท่านจึงจำเป็นต้องกล่าวอำลาเพื่อนๆ และกราบลาครูบาอาจารย์ เมื่อสำเร็จการศึกษาเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อออกมาช่วยครอบครัวทำมาหากิน โดยต้องออกไปเสี่ยงชีวิตผจญภัย ตระเวนไปกับเรือประมง เพื่อจับปลา กลางท้องทะเลมหาสมุทรอันกว้างไกล ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายจากคลื่นลมและพายุที่ไม่รู้จักคำว่า “เมตตาปราณีต่อผู้ใด”

ในขณะที่เพื่อนๆ วัยเดียวกัน เขาได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน หรือวิ่งเล่นสนุกสนานในสนามกีฬา สนามฟุตบอล หรือขับร้อง ดีดกีตาร์ ฟังเพลงกัน แต่ท่านกลับง่วนอยู่กับงานหนักทุกชนิดบนเรือในท้องทะเลลึก ต้องรับผิดชอบภารหน้าที่ต่างๆ ต้องอดตาหลับขับตานอน กินอยู่พอแค่ประทังชีวิตไปวันๆ ต้องเรียนรู้งานตั้งแต่ระดับพื้นฐานเป็นกรรมกรจับกัง ใช้แรงงานหนัก แล้วพัฒนาตนเรียนรู้หน้าที่ต่างๆ อย่างรวดเร็วขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยพื้นนิสัยเป็นคนจริงจัง ลงว่าตั้งใจทำอะไร จะทำจริง ไม่เยาะแหยะ ไม่โลเล สู้ไม่ถอย

เพียงเวลาไม่กี่ปี ที่ได้บ่มเพาะสั่งสมประสบการณ์อย่างโชกโชน ถึงแม้อายุจะยังเป็นหนุ่มน้อย แต่ก็เป็นที่ยอมรับในความเชี่ยวชาญสามารถ มีความรับผิดชอบสูง จนได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้เป็นหัวหน้าเรือ เป็นนายเรือ คือ เป็นไต้ก๋ง หรือตำแหน่งที่เรียกกันสั้นๆ ในหมู่ชาวเรือว่า “ไต๋” นั่นเอง

แม้จะประสบความทุกข์ยากลำเค็ญแสนเข็ญในช่วงเวลานี้สักเพียงใด แต่ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาและมองโลกในแง่ดี ท่านพระอาจารย์เคยเล่าประสบการณ์ในช่วงชีวิตวัยนั้น เป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อคิด เป็นคติสอนใจบรรดาลูกศิษย์ให้ได้รับฟัง แล้วนำกลับไปคิดพิจารณาอบรมตนเอง คนที่หย่อหย่อน อ่อนแอ ท้อแท้ชีวิตก็กลับมีกำลังใจลุกขึ้นสู้ คนที่อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ก็ไม่ให้ประมาทขาดสติ หลงระเริงในชีวิต ให้หมั่นคิดถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตเอาไว้เสมอๆ


๏ เต็มใจรับใช้ชาติ
(เคารพในกฎกติกาของสังคม)


จากวันนั้นจนถึงวัยเกณฑ์ทหาร ท่านขึ้นสู่ฝั่งด้วยจิตใจที่พร้อมจะรับใช้ชาติด้วยการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของทางราชการ อย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ในเรื่องนี้ คุณโยมมารดา เคยเล่าให้ฟังว่า บรรดาพ่อแม่ของเด็กหนุ่มๆ วัยเกณฑ์ทหารในระแวกบ้าน ต่างพากันวิ่งเต้นจ่ายเงินสินบนให้แก่เจ้าที่บางคน เพื่อแลกกับการปลอดพ้นจากการถูกเกณฑ์ทหารของลูกชายของตนๆ แต่สำหรับท่าน กลับกำชับอย่างแข็งขันกับมารดาว่า ขอห้ามขาดที่จะไปติดสินบนเพื่อการนี้ และท่านยังย้ำเพิ่มเติมอีกว่า หากท่านได้รับทราบข่าวว่าทางครอบครัวพยายามที่จะใช้เงินเพื่อการดังกล่าว ท่านสมัครขอเข้าเป็นทหารเกณฑ์ด้วยตนเอง


๏ ลาภลอยของน้องๆ

ครั้งหนึ่งน้องสาวของท่าน เคยเล่าถึงช่วงชีวิตระหว่างนี้ของท่านว่า ในวัยหนุ่มช่วงนี้มีสตรีสาวงามหลายรายมีความชื่นชมยินดีในท่าน ต่างพากันแวะเวียนซื้อขนมซื้อข้าวของมาเยี่ยมเยืยนท่านถึงบ้านเสมอๆ แต่ด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะบวชเป็นพระให้ได้เสียก่อน ท่านจึงมิได้ให้ความหวังแก่สตรีคนใดเลย เมื่อเขามาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ท่านก็ดูจังหวะแล้วหลบเลี่ยงการพบปะโดยออกจากบ้านไป เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม แขกผู้มาเยือนนั่งเฝ้านั่งรอ ชะเง้อคอย คอยแล้วคอยเล่า แต่ก็ไม่มีเค้าว่าจะได้เห็น “ใครคนนั้น” แม้เพียงเงา จึงลากลับไปด้วยอาการเหงาๆ ซึมเศร้าผิดหวังไปตามๆ กัน ส่วนบรรดาน้องๆ ก็เลยพลอยฟ้าพลอยฝน ได้กินของฝากกินขนมฟรีอยู่เป็นประจำ จึงเป็นเรื่องสนุกๆ ตามประสาเด็กๆ ที่อยู่ในความทรงจำของน้องๆ ของท่านเสมอมา

รูปภาพ
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ


๏ การไม่คบคนพาล-การคบบัณฑิต
นี้เป็นมงคลอันสูงสุด


มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านบังเกิดศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ก็เนื่องจากเหตุที่ได้พบกัลยาณมิตร คือพระกรรมฐานรูปหนึ่งซึ่งเป็นชาวระยองเช่นกัน แต่ท่านพระกรรมฐานรูปนี้ได้ไปอยู่ปฏิบัติกรรมฐานภาวนาในป่าเขากับ ท่านหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

ในวัยเด็กจนวัยหนุ่ม อุปนิสัยอีกประการของท่านพระอาจารย์ คือ การชอบคบเพื่อนคบมิตรที่สูงวัยกว่า ซึ่งบุคคลเหล่านั้นมักสูงด้วยประสบการณ์เช่นกัน สำหรับเรื่องการคบเพื่อนนั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญของคนเรา ถ้ามิเช่นนั้นแล้วพระพุทธองค์คงไม่ตรัสไว้เป็นข้อแรกและข้อที่สองของมงคล 38 ประการ ที่เริ่มด้วย

อะเสวนา จะ พาลานัง, ปัณฑิตานัญจะ เสวนา...เอตัมมังคละมุตตะมัง การไม่คบคนพาล, การคบบัณฑิต,...นี้เป็นมงคลอันสูงสุด จึงนับได้ว่า วิถีชีวิตของท่านพระอาจารย์ เจริญก้าวหน้าก็เพราะได้คบคนดีเป็นมิตร

ทุกครั้งที่พระภิกษุรูปนั้นเดินทางกลับลงมาจากเชียงใหม่ และแวะพักที่ระยอง บุคคลทั้งสองก็ได้มีโอกาสพบปะพูดคุย เล่าประสบการณ์แห่งชีวิตบรรพชิตนักปฏิบัติภาวนา ให้อีกฝ่ายหนึ่งรับฟังด้วยความสนใจอยู่เสมอ จนวันหนึ่ง...วันที่ศรัทธาได้บ่มเพาะตัวจนสุกงอม...มีความพร้อมแล้วทั้งกายและใจ


(มีต่อ 1)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 06:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ สู่ร่มกาสาวพัตร์

ครั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ท่านก็ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามความปรารถนา เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2513 ณ พัทธสีมาวัดตรีรัตนาราม ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง โดยมี ท่านพระครูประจักษ์ตันตยาคม วัดคีรีภาวนาราม ต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดตรีรัตนาราม 4 พรรษาเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม จนในที่สุดสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอกในปี พ.ศ.2516


๏ เร่งขวนขวยการศึกษา
ใช้เวลาให้ถูกตามจังหวะของชีวิต


อย่างไรก็ตาม แม้ในเบื้องต้นท่านต้องศึกษาเล่าเรียนทางพระปริยัติธรรม เรียนนักธรรมชั้นต่างๆ ที่วัดตรีรัตนาราม จ.ระยอง แต่เมื่อถึงฤดูแล้งทุกปี ท่านจะต้องกราบลาครูบาอาจารย์ขึ้นไปหาที่พักภาวนาทางภาคเหนือบนดอยแม่ปั๋งกับ ท่านหลวงปู่แหวน สุจิณโณ บ้าง หรือบางทีก็ไปศึกษาแนวทางปฏิบัติกับ ท่านหลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งวัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ บ้าง

ท่านมักนำเรื่องนี้มาบอกเล่าเป็นคติแก่บรรดาพระหนุ่มเณรน้อย ตลอดจนถึงลูกศิษย์ผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติภาวนาว่า เมื่อแรกเป็นผู้ใหม่เข้ามาในวงการภาวนา ให้รีบเร่งขวนขวายในการศึกษาเล่าเรียน ให้พอมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในอรรถในธรรมเป็นเบื้องต้น เพราะเป็นบาทฐานสำคัญของการเจริญภาวนา และที่สำคัญเมื่อยังเป็นผู้น้อย กิจภาระต่างๆ ก็ยังน้อยนิด จงรีบใช้เวลานี้ศึกษาเล่าเรียนอย่างเป็นระบบ เพราะต่อไปภายภาคหน้าภารกิจความรับผิดชอบต่างๆ จะต้องเพิ่มขึ้น ไม่สะดวกในการศึกษาเล่าเรียน

กรณีตัวอย่างนี้ ท่านก็ใช้เปรียบเทียบอบรมสั่งสอนเด็กและเยาวชนคนหนุ่มสาวให้สนใจใฝ่ศึกษาความรู้ใส่ตัว เสียแต่ในวัยเด็ก อันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา และทางจิตใจที่ยังปลอดโปร่ง ไม่สับสนว้าวุ่นเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ต้องแบกภาระทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว

รูปภาพ
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

รูปภาพ
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


๏ ครูแท้-ศิษย์แท้
เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่


ในระหว่างที่พำนักศึกษาปฏิบัติธรรมกับ ท่านหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของท่านพระอาจารย์สุธรรม ก็คือ การมีโอกาสดูแลรับใช้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ดุจดังบุตรปฏิบัติต่อบิดา ด้วยความกตัญญูกตเวทีอย่างสุดกำลังเหนือเศียรเกล้า ในชีวิตพระกรรมฐานนอกเหนือไปจากความภาคภูมิใจในการเร่งความเพียรภาวนาแล้ว การได้มีโอกาสรับใช้ครูบาอาจารย์อย่างเต็มกำลังความสามารถ ก็ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจ เป็นโชควาสนา เป็นสิ่งสูงส่งอันมีค่า เป็นมงคลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิต

หมู่พระกรรมฐานผู้มุ่งมั่นในการปฏิบัติภาวนานั้น มักมีจริตนิสัยตรงกันอยู่ประการหนึ่ง คือ มีความพร้อมตลอดเวลาเพื่อถวายตัวรับใช้ครูบาอาจารย์ ตามแต่ท่านจะมีเมตตามอบหมายงานใดๆ ให้ ก็ถือกันว่าเป็นความน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ครูบาอาจารย์ให้ความไว้วางใจ ต่างพากันคอย “ตะแคงหู” เพื่อสดับรับฟังคำเรียกใช้ครูบาอาจารย์ตลอดเวลา จิตใจที่มีความสำนึกในพระคุณครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลานั้น ย่อมมีความละเอียดลออ มีคุณสมบัติอย่างเพียงพอ อันเป็นบาทฐานสำคัญของความเจริญก้าวหน้าในชีวิตผู้ปฏิบัติธรรม หากขาดความกตัญญูกตเวทีเสียแล้ว คุณธรรมใดๆ ก็งอกงามขึ้นมิได้ ความดื้อดึง แข็งกระด้าง ความอวดรั้นถือดีมีแต่จะเจริญพอกพูน หนาทึบยิ่งขึ้นๆ บดบังอรรถธรรมโดยสิ้นเชิง

ฝ่ายครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติตนสมกับที่บรรดาศิษย์ยกย่องไว้เหนือเศียรเกล้า ว่าเป็นดั่งพ่อแม่แลเป็นทั้งครูบาอาจารย์ ผู้มีแต่ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจ ในการอบรมสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวดูแลศิษย์ ดุจบิดามารดาที่เคี่ยวเข็ญและเอื้ออาทรต่อบุตรในไส้ของตน สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของครูและศิษย์ เกิดจากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนต่อกันและกันอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง !! ความรัก ความเมตตาของครูบาอาจารย์ ความศรัทธาและความเคารพเทิดทูนจากศิษย์ จึงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติพร้อมๆ กันทั้งสองฝ่าย


๏ มรสุมชีวิต

แม้วิถีชีวิตของท่าน จะแลเหมือนได้ผ่านพ้นการเผชิญหน้ากับพายุมรสมุร้ายกลางท้องทะเลมหาสมุทรไปแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริง “มรสุมชีวิต” ยังตามติดผู้คนไม่เลิกรา ในขณะที่ท่านกำลังซาบซึ้งกับชีวิตบรรพชิตอย่างดูดดื่มยิ่งๆ ขึ้นไป ทุกๆ วัน ทุกๆ คืน คลื่นใต้น้ำก็กำลังก่อตัว เป็นมรสุมลูกใหญ่พร้อมที่จะถาโถมใส่ท่าน เมื่อถึงกาลเวลาของมัน กล่าวคือ มีท่านลำพังเพียงผู้เดียว ที่กำลังบังเกิดความศรัทธาเพิ่มพูนในจิตใจในร่มเงาพระพุทธศาสนา แต่ว่าทั้งญาติพี่น้องทั้งในครอบครัวที่ระยอง และญาติทางฝ่ายโยมมารดาที่สุพรรณบุรี ต่างตั้งหน้ารอคอย “วันสึก” ของท่านอย่างใจจดใจจ่อ !

ทุกครั้งที่ท่านได้มีโอกาสพบญาติพี่น้อง ก็จะได้รับคำถามรุกเร้าคาดคั้นอย่างไม่มีลดละอยู่เป็นประจำว่า “เมื่อไรจะสึกๆ...เมื่อไรจะสึกๆ !” ทั้งนี้เพราะทางครอบครัวของท่านเคร่งครัดอย่างเหนียวแน่นในจารีตประเพณีแบบจีนโบราณ จึงถือว่า ท่านเป็นลูกชายคนโต มีหน้าที่ต้องสานต่อกิจการในครอบครัว

และประกอบกับในสมัยนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เคย หรือไม่ค่อยได้พบกับพระที่เป็นพระแท้ หรือเป็นพระที่อยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด จึงพากันมีทัศนคติต่อผู้บวชว่า “...เป็นขอทานจำพวกหนึ่ง เป็นพวกสิ้นท่าในชีวิต หมดทางทำมาหากิน หมดที่ไป หมดราคาของชีวิตเสียแล้ว จึงต้องไปบวช เป็นที่น่าอับบายขายหน้าแก่ญาติพี่น้องและวงศ์ตระกูลยิ่งนัก !!” (แต่ก่อนตระกูลท่านนับถือศาสนาอื่น) โดยเฉพาะโยมบิดาถึงกับตั้งข้อรังเกียจเหยียดหยาม คือ ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอยู่ในหัวอก

ที่สำคัญคือ เดิมทีก่อนที่ท่านจะบวช นับตั้งแต่เกิดจนโตขึ้นมาในครอบครัวชาวจีน ที่ยึดมั่นในค่านิยมดั้งเดิมแท้ที่ให้ความสำคัญยิ่งต่อบุตรชายคนโต ท่านจึงได้รับการยกย่อง ได้รับการยอมรับอย่างยิ่งจากบิดา มารดา พร้อมญาติวงศ์พงศ์พันธุ์ว่า เป็นดุจดัง “ธงแห่งชัยชนะของครอบครัว” เป็นทั้งความหวัง เป็นทั้งอนาคตทั้งหมดที่รุ่งโรจน์ของครอบครัว ที่ท่านจะ “ต้อง” เป็น “ผู้นำ” พาไปให้บรรลุจุดหมาย

ดังนั้น นับตั้งแต่โยมย่า เรื่อยลงมาจนถึงสมาชิกที่เล็กที่สุด (ที่พอรู้ความ) ของครอบครัว ก็จะให้ความรู้สึกยกย่อง และปฏิบัติต่อท่าน ไม่ต่างอะไรราวกับท่านเป็น “องค์ชายใหญ่” ของตระกูลทีเดียวก็ว่าได้ แล้วถึงวันนี้ วันที่ความรู้สึกยกย่องให้เกียรติอย่างสูงส่งทั้งมวลชนที่เคยได้รับมา กลับกลายพลิกผันยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ จากสูงสุดมาตกต่ำดำดิ่งจมมิดอยู่ใต้พื้นธรณี ไร้ค่ายิ่งกว่าเศษขยะในความรู้สึกของใครๆ ก็นับเป็นความทุกข์ทรมานทารุณขมขื่นจิตใจสำหรับท่านในขณะนั้นอยู่มิใช่น้อย ถึงจะเป็นความรู้สึกที่แผดเผา รบกวนจิตใจของท่าน ให้ต้องพะว้าพะวังละล้าละลังอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านก็รวบรวมพลังใจว่า จะตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ดำรงตนเป็นพระที่น่าเคารพบูชากราบไหว้ และเป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่สังคมได้จริง จะพิสูจน์ให้ญาติพี่น้องทุกคนยอมรับให้ได้ ท่านจึงยิ่งเร่งความพากเพียรในการประพฤติปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไปอีก “ไม่มีคำว่าท้อถอย !”


๏ โทรเลขด่วน

เมื่อท่านสำเร็จนักธรรมเอกในพรรษาที่ 4 แล้ว พอพรรษาที่ 5 ท่านก็มุ่งหน้าสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากที่ได้ทดลองปฏิบัติเป็นครั้งคราวในหน้าแล้งของทุกปีที่ผ่านมา ดังนั้นพรรษาที่ 5 ท่านจึงตัดสินใจอยู่ปฏิบัติกับท่านหลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ การเจริญภาวนามีความก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในด้านความสงบจากสมาธิ ทว่าหลังออกพรรษาได้ไม่นาน ก็ได้รับโทรเลขด่าน ให้รีบลงไปที่สุพรรณบุรีทันที เพราะโยมยายป่วยหนัก อาการน่าวิตกมาก ต้องการพบพระหลานชายเป็นที่สุด

ท่านจึงได้เข้ากราบลาครูบาอาจารย์และเร่งรุดเดินทางทันที ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันเวลาที่จะโปรดโยมยายเป็นครั้งสุดท้าย ! แม้อาจจะถึงคราวที่ต้องสูญเสียญาติผู้ใหญ่เป็นที่รักยิ่งของทุกคน แต่โอกาสนี้ก็เป็นโอกาสสำคัญ ที่จะทำให้ญาติพี่น้องทั้งตระกูลได้ซาบซึ้งคุณค่าที่ท่านได้บวชมา !


๏ โยมยาย...แข็งใจอีกนิด

พระหนุ่มเดินทางระหกระเหินอย่างรุดเร่ง ด้วยความทุกลักทุเล เพราะการคมนาคมสมัยโน้นยังยากลำบาก กว่าจะออกมาจากป่า กว่าจะหารถได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคมาขัดขวางดวงใจที่มุ่งมั่นได้ ขอเพียงโยมยาย...อดทนรอคอยอีกสักนิด พระหลานชายก็จะไปให้ได้เห็นหน้า สมค่าที่ต่างฝ่ายต่างปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบกันให้จงได้ !


๏ ภารกิจอันสำคัญของชีวิต เพื่อทดแทนพระคุณ

เมื่อเดินทางถึงบ้านโยมยายที่สุพรรณบุรี ท่านรู้สึกตื้นเต้นเล็กน้อยเพราะพบว่าบรรดาวงศาคณาญาติจากทุกถิ่น มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงคับคั่ง “ฤาโยมยายจะจากไปเสียแล้วหรือนี่” ท่านได้แต่รำพึงในใจขณะที่รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้องของโยมยาย หญิงชรานอนหลับตาทอดหายใจอ่อนโรยริน อยู่ท่ามกลางหมู่ญาติที่แห่แหนรายล้อมอยู่รอบเตียง เป็นบรรยากาศที่ตึงเครียด หดหู่ สิ้นหวัง น่าเศร้าใจเหลือประมาณที่จะกล่าวได้

ในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สำคัญขนาดนั้น ท่านไม่มีโอกาสได้ทักทายผู้ใด ท่านรวบรวมจิตใจให้สงบผ่องใส ด้วยความหวังว่า โยมยายจะสามารถลืมตาขึ้นมาได้อีกสักครั้ง เพื่อเห็นชายผ้าเหลืองของพระหลานชาย...ก่อนที่จะสิ้นลมสิ้นใจจากไป อย่างน้อยขอให้โยมยายได้เห็นชายผ้าเหลืองเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตนี้ด้วยเถิด

ท่านเอ่ยวาจาร้องเรียกโยมยายด้วยความแผ่วเบานุ่มนวล ถ่ายทอดพลังจิตที่สงบและปรารถนาดีอย่างเต็มล้นจิตใจสู่โยมยาย “โยมยายๆ พระมาแล้ว...โยมยายพระมาหาโยมยายแล้ว” จิตท่านเฝ้ารำพึงว่า “ขอให้พระหลานชายได้ทำหน้าที่ ที่สำคัญที่สุดนี้ เพื่อทดแทนพระคุณอันสูงล้นของโยมยายด้วยเถิด”...“โยมยายๆ พระหลานชายของโยมยายมาหาโยมยายแล้ว” ท่านเฝ้าเรียกขาน แม้ความหวังจะดูมอดไหม้ริบหรี่เต็มที !


๏ นาทีสำคัญที่ต่างจดจ่อรอคอย

หญิงชราปรือตาขึ้นช้าๆ ด้วยความยากลำบาก วินาทีนั้นพลันดวงตาทั้งสองของสายสัมพันธ์ “ยาย-หลาน” ก็ประสบพบกัน บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบประหนึ่งโลกนี้ดับสูญสิ้นไร้สิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง เมื่อหญิงชราเพ่งมองสบดวงตาคู่นั้นอยู่นานจนเต็มตา ระลึกจดจำได้ชัดว่านี่คือดวงหน้าของพระหลานชายที่ตนเฝ้ารอคอยด้วยความอดทน อดกลั้นต่อทุกขเวทนาสาหัสที่กำลังแผดเผา ต้องกัดฟันแข็งใจรอที่จะได้พบ

โยมยายจึงเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนแรง สั่นเครือแหบเบา แต่กลับดังสนั่นกังวาลกึกก้องกัมปนาททะลุทะลวงถึงหัวใจของพระหลานชายว่า “บวชมาก็นานแล้ว...เมื่อไรจะสึกเสียที ! ภาระหน้าที่ในครอบครัวก็มีอยู่ ทำไมไม่สึกเสียที !”


๏ หัวใจแตกสลาย

ในบัดดลที่ได้ฟังคำพูดที่ประดุจดังสายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงลงกลางดวงใจนั้น จิตใจที่เคยสงบนิ่งของพระหนุ่ม ดังถูกพลังลึกลับมหาศาลอัดกระแทกแตกสลาย กระจัดกระจาย กระเด็นกระดอนไปไม่มีชิ้นดี หมดความสามารถที่จะควบคุมเกาะกุมให้กลับมารวมตัวได้ดังเดิม เสียขวัญเคว้งคว้างอย่างไร้ทิศทางที่จะติดตามให้คืนมา ท่านบังเกิดความเศร้าสลดหดหู่ สังเวช นึกสมเพช สมน้ำหน้า อนาถใจในตนเองอย่างที่สุด เป็นความรู้สึกที่ยากเกินกว่ายากที่จะบรรยายให้ใครเข้าใจได้ตรงกับความรู้สึกอัปยศอดสูใจที่บังเกิดขึ้น

ท่านเกิดความเสียใจ อีกทั้งบังเกิดความอับอายอย่างสุดแสนสุดประมาณต่อบรรดาหมู่ญาติทั้งวงศ์ตระกูล ที่กำลังรายล้อมจดจ่อจ้องมองท่านด้วยสายตาเพิกเฉยเย็นชาเป็นตาเดียวกัน ซึ่งก็เปรียบเสมือนเป็นคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิตได้ตายทั้งเป็น นั่นเอง ! ท่านรู้สึกสิ้นหวัง ผิดหวังอย่างที่สุด !! ในขณะเดียวกันก็เกิดความทุกข์ท้อแท้ใจ สับสน วุ่นวาย เกิดความลังเลในชีวิตพรหมจรรย์เสียแล้ว

ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า ท่านเกิดรำพึงในใจว่า โอหนอเราช่างเป็นต้นเหตุ นำความทุกข์ระทมอย่างใหญ่หลวง มาสู่หมู่ญาติพี่น้องได้ถึงเพียงนี้เทียวหนอ ฤาการบวชของเราจะเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว น่าสมเพช น่ารังเกียจ เอาเปรียบพี่น้อง อย่างที่ญาติๆ พากันประณามไว้จริงแล้วละหรือ

นับแต่วินาทีนั้นผ่านไป จิตใจของท่านก็หาเศษเถ้าธุลีของความสงบไม่ได้อีกเลย แม้แต่น้อยนิด ความคิดที่จะ “สึก” มีพลังรุนแรงสูงเพิ่มพูนผลักดันบีบคั้นกดดันอยู่ภายในทุกขณะจิต ขณะเดียวกันมันก็ต่อสู้อย่าง “เอาเป็นเอาตาย” ชนิดตะลุมบอนฟาดฟันพันตูอยู่กับความรู้สึกลึกๆ ที่แน่นแฟ้นกับชีวิตพรหมจรรย์ เกิดเป็นสงครามล้างผลาญเข่นฆ่าทำลายอยู่ภายในจิตใจตลอดเวลา จนหาช่องว่างเล็กๆ สักนิดที่จะสงบสุขแม้เพียงอึดใจก็ไม่มี


(มีต่อ 2)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ หมดสิ้นแล้วที่ซึ่งจะพึ่งพา

เมื่อเสร็จภารกิจที่สุพรรณบุรี ท่านรีบพาหัวใจที่แหลกเหลวร้อนรุ่มดังขุมถ่านเพลิงบ่อใหญ่ กลับคืนสู่วัดถ้ำผาปล่อง ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะกราบลาครูบาอาจารย์ คือ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เพื่อสึกหาลาเพศอย่างแน่นอนในทันทีที่ไปถึง !

ทว่าท่านหลวงปู่สิมกลับไม่สนใจใยดีต่อคำกราบลา แม้จะยืนยันกับกลวงปู่ว่า ถ้ายังขืนอยู่ต่อ ก็ต้องเป็นทุกข์อัดใจจนถึงแก่ความตายเป็นแน่ ท่านหลวงปู่สิม กล่าวตอบสวนควันทันทีว่า “งั้นถ้าสึกไปแล้ว จะไม่ต้องตายหรอกหรือ !” จากนั้นหลวงปู่ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญใดๆ กับคำกราบลานั้นเลย


๏ ศิษย์ที่มีครู ย่อมเทิดทูนครูไว้เหนือเศียรเกล้า

โดยธรรมเนียมของศิษย์ที่มีครู ศิษย์กรรมฐานที่แท้จริง ย่อมเทิดทูนครูบาอาจารย์อยู่เหนือเศียรเกล้า จะกระทำการอันใดย่อมได้รับการอนุมัติจากครูบาอาจารย์เสียก่อน ท่านพระอาจารย์สุธรรมก็นับตนว่าเป็นศิษย์มีครู เมื่อหลวงปู่ไม่อนุญาตให้สึก ท่านก็มิอาจฝืนรั้นดันทุรัง กระทำการใดๆ ตามอำเภอใจของตนได้ การณ์ดูเหมือนว่าเรื่องจะจบสงบลงได้ในที่สุด ทว่าเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะท่านพระอาจารย์สุธรรมในขณะนั้น กลับต้องเผชิญความอัดอั้นบีบคั้นกดดันที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอีกเรื่องก็คือ การไม่ได้รับการอนุญาตให้ลาสึก

“ถ้ำผาปล่อง” อันเคยเป็นภูผาพฤกษ์ไพรที่ให้ความร่มเย็นใจอย่างสุขล้ำ กลับกลายเป็นดั่งแผ่นดินเพลิง จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็ให้แผดเผาเร่าร้อนไปหมดทุกลมหายใจเข้า-ออก ความเคารพบูชาครูบาอาจารย์อย่างเต็มล้นหัวใจก็ยังมีอยู่ แต่ทุกข์สาหัสเจียนตายก็มิอาจขจัดให้เบาบางลงได้ ขืนอยู่ต่อไปก็คงต้องอัดใจ ตรอมใจตาย ทั้งชีวิตทิ้งร่างกายให้เป็นภาระแก่หมู่พวกอย่างแน่นอน !

สุดท้ายท่านจึงตัดสินใจกราบลาขออนุญาตหลวงปู่ ไปหาที่ภาวนาตามหมู่บ้านชาวเขา แล้วจึงเก็บของสะพายบาตร เดินเตลิดเปิดเปิงเข้าป่าลึกอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพียงแต่มีความตั้งใจว่า ถ้าเข้าป่าไปหาที่สงบ เพื่อเจริญภาวนาแล้วทำไม่สำเร็จ คือไม่สามารถดับร้อนผ่อนคลายทุกข์ได้ ก็ขอเอาชีวิตไปทิ้งให้สาบสูญสิ้นชีพอย่างโดยเดี่ยวเพียงเอกา เป็นศพอนาถาไร้ญาติขาดมิตร ทิ้งซากอันไร้ค่าให้เป็นอาหารของสัตว์ป่านานาชนิดอยู่กลางป่าลึกนั่นแหละ !


๏ โปร่งใจได้เพียงชั่ววูบ

ความโปร่งใจที่เกิดขึ้นจากการได้ก้าวเท้าออกจากวัดถ้ำผาปล่อง บังเกิดแค่เพียงชั่วครู่แล้วก็ดับวับหายไปสิ้น เพราะสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า ก็คือ ป่าดงดิบทะมึนไพรที่ไร้ผู้คน แถมด้วยการโอบล้อมของสัตว์ป่าที่ดุร้ายนานาชนิด เช่น หมี ช้าง เสือ เป็นต้น ที่ต่างเคยรุมทึ้งฉีกคร่าชีวิตชาวบ้านป่า และชีวิตพระธุดงค์มานักต่อนักจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีสัญญาคือความทรงจำอันแม่นยำเก่าๆ ที่เฝ้าหลอกหลอนปรากฏทยอยผุดขึ้นมา ให้เสียวสยองเขย่าขวัญสั่นประสาทให้หวั่นไหว อันเกี่ยวกับเรื่องเล่านานาของบรรดาภูตผีปีศาจ ภัยมืด มนต์ดำต่างๆ กลางป่าเปลี่ยวในยามค่ำคืนเช่นนี้

ในช่วงเวลาขณะนั้น ท่านมีความรู้สึกเหมือนว่า ความทุกข์ทั้งมวลที่มีอยู่ทั้งโลกได้มาตกทับท่านแต่เพียงผู้เดียว ฤาจะเข้าตำราหนีเสือปะจระเข้ เสียกระมัง ! แต่โดยที่ท่านมีพื้นฐานในการเจริญภาวนาแล้วในระดับหนึ่ง กอปรกับจิตใจที่เคยอบรมฝึกฝนตนให้เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เสี่ยงความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงทำให้เท้าของท่านเดินก้าวเข้าสู่เขาลึกลูกแล้วลูกเล่า บุกป่าฝ่าดงดิบต่อไปไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อย เมื่อย หิว หรือพรั่นพรึงต่อขวากหนามอันแหลมคมใดๆ ไม่มีคำว่า “ถอยหลัง” ให้ปรากฏในหัวใจดวงนี้อีกเลย


๏ เหลือเพียงธรรมเป็นที่พึ่งสุดท้าย

ท่ามกลางฤดูหนาวอันแสนทารุณบนยอดดอยอันสูงลิบ ในที่สุดใจก็พาเท้าก้าวมาถึงหมู่บ้านชาวเขาเผ่ามูเซอแห่งหนึ่ง อันเป็นสถานที่ที่ท่านตัดสินใจจะอยู่พักภาวนาให้ยาวนานกว่าที่อื่นๆ ที่ผ่านมาการเดินทางโดยเท้าเริ่มจากวัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

หยุดพำนักเพื่อภาวนาสงบใจเป็นแห่งๆ ผจญเรื่องราวหมิ่นแหม่เฉียดฉิวต่อความเป็นความตายตลอดการเดินธุดงค์ท่ามกลางป่าดงดิบ จนลุมาถึงขุนเขาอันห่างไกล ในเขตอำเภอแม่สรวย จ.เชียงราย เป็นเวลาเดินทางรอนแรมผจญภัย ได้ฝึกสมาธิภาวนาอย่างเข้มข้นนานนับเดือน บิณฑบาตได้ฉันแต่ข้าวเปล่าทุกวัน เผชิญทุกข์สาหัสจากความหนาวอุณหภูมิใกล้ศูนย์องศา ฯ หนาวเหน็บเยียบเย็นลึกแผ่ซ่านเข้าถึงทุกอณูของไขกระดูก โดยปราศจากเครื่องกันหนาวมาห่อคลุม ซ้ำบางคราก็มีลมพายุฝนฟ้าคะนองฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างกลางสายฝนที่ตกซัดสาด เทกระหน่ำลงมาดั่งฟ้ากำบังบ้าคลั่ง

ท่านเล่าว่า มันหนาวเยือกสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย เจ็บลึกร้าวเข้าไปถึงภายในอกจนนอนไม่ได้ หลับไม่ลง ต้องนั่งกอดบาตรแทนเครื่องกันหนาว ทำสมาธิอยู่ตลอดคืน คืนแล้ว คืนเล่า กลางขุนเขาป่าเปลี่ยวอย่างเดียวดาย...บางคราวก็ทุกข์ท้อรันทดใจ ประหนึ่งน้ำตาตกในเป็นหยาดน้ำเแข็งอันคมกริบเยือกเย็น เสียบลึกปักแทงอยู่ทั่วในกาย ร่ำๆ ปิ่มว่าจะหมดกำลังใจไปพร้อมๆ กับหมดลมหายใจอยู่รอนๆ

กลางดงพงไพรที่อยู่แสนไกลเช่นนี้ มีเพียงมด แมลง และแสงดาวเท่านั้น ที่เป็นเพื่อนยามยากสำหรับคนที่ถูกตัดขาดแล้วจากญาติมิตร ดุจเหลือเพียงตนอยู่แต่ลำพังผู้เดียวในโลก สาอะไรที่ใครอื่นเขาจะห่วงหาอาทร ความทุกข์อย่างสาหัสสุดแสนที่ท่านได้เผชิญเหล่านี้ มันมีพลังอำนาจเหนือทุกข์ใดๆ ที่เคยพานพบ

ความทุกข์เรื่องครอบครัวเอย ความทุกข์เรื่องการสึกเอย กลับมลายหายสิ้น เหลือเพียงทุกขเวทนาอันแรงกล้า ที่กำลังเผชิญอย่างจ่อหน้าจ่อตาจ่อจี้เข้าทุกอณูของสรรพางค์กายอยู่ในช่วงเวลานั้น ทั้งความเศร้าหมองหม่นใจ ความเจ็บไข้ ความหิวโหย อดอยากขาดแคลน ความกลัว ความหนาวเหน็บ ความทุกข์ยากลำบากนานาสารพัน รวมพลังกันผลักดันให้ท่าน ต้องกำหนดจดจ่อแนบแน่นอยู่กับการภาวนาพุทโธ หาไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านอาจจะต้องสูญเสียสติ คือ วิปลาสไป ทั้งๆ ที่กายยังดำรงอยู่เป็นได้ !


๏ แลกเป็นแลกตาย แต่ก็คุ้มค่าเกินกว่าจะเปรียบกัน

ใจที่มีทีท่าระวังภัยรักษาใจอยู่ทุกขณะเช่นนั้น ก็คือ ท่าของความเพียรไปในตัว เป็นใจที่ถึงพร้อมด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ใจต้องระลึกถึงธรรมเป็นที่พึ่งหรือที่ต้านทานขึ้นมาพร้อมๆ กัน การระลึกถึงธรรมนานเพียงใด ย่อมเป็นการเสริมกำลังสติปัญญาและความเพียรทุกด้านให้ดีขึ้นเพียงนั้น ผลคือความสงบก็เริ่มเกิดขึ้น ตามส่วนแห่งความเพียรจนถึงสงบลงได้อย่างสนิท ความจริงเรื่องทำนองนี้ก็เคยปรากฏในวงพระธุดงค์กรรมฐาน มาแล้วเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เพราะความกล้าเสียสละจะตายก็ยอมตาย ไม่เสียดายชีวิตขณะนั้น คนเราเมื่อจนมุมเข้าจริงๆ หาที่พึ่งอื่นไม่ได้ ก็จำต้องพยายามคิดช่วยตนเอง พึ่งตนเอง ! ธรรมยิ่งเป็นองค์สรณะอันอุดมอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อน้อมเข้ามาเป็นที่พึ่งของใจในขณะที่กำลังต้องการที่พึ่งอย่างเต็มที่ ธรรมก็ต้องแสดงผลให้เห็นอย่างทันตาทันใจ ไม่เป็นที่สงสัยของผู้ปฏิบัติจริง


๏ ชีวิตในชาตินี้ขอทิ้งไว้ในพระพุทธศาสนา

เมื่อบังเกิดความอัศจรรย์แก่จิตเพิ่มขึ้นๆ เป็นลำดับ แม้ว่าจะยังไม่ถึงที่สุด แต่ก็มีพลานุภาพเพียงพอที่จะทำให้ท่านประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะมีคุณค่าสูงยิ่งไปกว่าการเดินทางตามรอยพระอรหันต์ ผลจากการปฏิบัติในพงไพรในช่วงเวลานี้เอง ทำให้ท่านบังเกิดความมั่นใจว่าถ้าท่านดำเนินตามแนวนี้ต่อไปในที่สุด ท่านก็จะสามารถนำญาติพี่น้องให้เกิดความศรัทธาปสาทะที่แน่นแฟ้นต่อพระพุทธศาสนาได้อย่างแน่นอน

ท่านเกิดธรรมปีติ อุทานธรรมกับตนเองว่า “ชีวิตในชาตินี้ ขอทิ้งไว้ในพระพุทธศาสนา ไม่มีคำว่าหวนคืนสู่เพศฆราวาสอีกต่อไป !” รำพึงในใจได้เพียงเท่านี้ สัญญาความจำ ภาพความหลังเก่าๆ ที่เคยทุกข์ยากลำเค็ญอย่างสุดแสนสาหัสทั้งกายใจ ก็ผุดพรายปรากฏขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องจนจิตบังเกิดความเศร้าสลด สังเวช อเนจอนาถในชีวิตที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็บังเกิดความปีติสุขอันล้ำลึกที่สุดในชีวิต เพราะไม่เคยคาดคิดฝันมาก่อนว่า จะได้มีวาสนาเป็นผู้หนึ่งกับเขาที่มีโอกาสเข้าใจในธรรมขั้นละเอียดขึ้นกว่าแต่ก่อนๆ อย่างชนิดที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ใดเลย อันเป็นธรรมที่เป็น สันทิฎฐิโก คือเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง และเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

เมื่อความรู้สึกสลดสังเวชชีวิตในอดีตของตน มาบังเกิดอย่างปะทะเข้าอย่างจังกับความรู้สึกปีติสุขล้ำที่สุดที่เคยพานพบในชีวิต ด้วยบารมีแห่งการปฏิบัติธรรม พลันนั้นน้ำตาแห่งความทุกข์และความสุขก็เอ่อท้นล้นบ่าไหลพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง และเนิ่นนาน สะอื้นให้จนน้ำตาอาบนองเต็มใบหน้า ผ้าจีวรจึงเปียกปอนโชกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาไม่ขาดสายนั่นเอง...คิดถึงพ่อแม่แลญาติพี่น้อง เขาจะรู้กันบ้างไหมว่ามีใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งหลั่งน้ำตาอยู่บนยอดดอยกลางป่าเปลี่ยวในยามดึกสงัดเช่นนี้

รูปภาพ
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


๏ รับใช้หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

หลังจากที่ได้รับผลอันน่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยคาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้กับตัวท่าน ท่านก็พิจารณาว่า ถ้าจะหาความเจริญก้าวหน้าบนหนทางนี้ คงต้องแสวงหาสถานที่ที่สัปปายะ คือ มีความเหมาะสม ส่งเสริมการปฏิบัติอย่างแท้จริง เพราะแม้บรรยากาศป่าเขาธรรมชาติทางภาคเหนือจะเหมาะสม แต่สภาพทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่ยังมุ่งเข้าวัดเพื่อการท่องเที่ยว จึงมีการประกวดประชันแข่งขันกัน แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยอาภรณ์เครื่องประดับแพรวพราว ละลานตา ไม่ชวนให้ใจสงบ

ซึ่งต่างจากภาคอีสาน ที่ชาวบ้านแม้ไม่ได้มุ่งไปเพื่อเจริญสติสมาธิภาวนาที่วัด แต่พวกเขาก็มุ่งไปเอาบุญ ดังนั้น จึงมีความสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่อึกทึก คึกคะนอง การแต่งกายห่มคลุมเป็นไปอย่างมิดชิด สุภาพ ผู้ใดพบเห็นก็พาให้จิตใจสงบ แช่มชื่น อนุโมทนาในกิริยาท่าทีและการแต่งกาย ดังนั้นย่างเข้าพรรษาที่ 6 คือ ปี พ.ศ.2518 ท่านจึงตัดสินใจมากราบนมัสการฝากเนื้อฝากตัว ถวายตนเป็นลูกศิษย์รับใช้ ท่านหลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร


๏ มรดกธรรมจากหลวงปู่ฝั้น

พรรษาที่ 6 นี้ ท่านก็ได้อุบายวิธีภาวนาจากหลวงปู่ฝั้น รวมถึงได้ซึมซาบศีลาจริยวัตรอันงดงามหมดจดแล้วด้วยดีขององค์หลวงปู่ฝั้น องค์หลวงปู่จะเมตตาถ่ายทอดธรรมผ่านนิทานบ้าง ผ่านเรื่องเล่าต่างๆ บ้าง หรืออบรมต่างๆ บ้าง แต่ล้วนแล้วเป็นสิ่งประเสริฐที่เปล่งออกจากดวงจิตที่เอื้ออาทร การุณแก่เหล่าบรรดาศิษย์อย่างสนิทใจ อย่างบริสุทธิ์ใจจนยากจะลืมเลือน


(มีต่อ 3)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร


๏ ความฝันที่เป็นจริง

ต่อมาในพรรษาที่ 7-8-9 (พ.ศ.2519-2521) ท่านได้มาจำพรรษาอยู่กับ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร แห่งวัดป่าแก้วชุมพล ต.บ้านชุม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ก็นับว่าเป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่ได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ใหม่ๆ อีกหลายประการ มีความเจริญก้าวหน้าภาวนาโดยลำดับ โดยเฉพาะการพิจารณาทางปัญญา พิจารณาอสุภกรรมฐาน รวมทั้งประสบการณ์ในการออกเดินธุดงค์ ในป่าเขตต่างๆ ของภาคอีสานด้วย

ในช่วงปีที่ท่านเร่งทำความเพียร ท่านเล่าว่าไม่เคยสุงสิงคลุกคลีญาติโยมใครๆ เลย เพราะทุกอิริยาบถจะเต็มไปด้วยการเจริญสติ สมาธิ ปัญญาตลอด ท่านจึงมักสำรวมตา มองทอดลงต่ำ สงบวาจา เมื่อมีกิจของหมู่คณะ ท่านก็มิได้ละเลยหลีกเลี่ยง แต่เมื่อเสร็จกิจเมื่อใดท่านก็จะหาที่นั่งภาวนาหรือเข้าทางจงกรมทันที จนหมู่พวกมาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า ได้รับคำชมเชยยกย่องลับหลังจากครูบาอาจารย์เสมอๆ ว่า “ท่านสุธรรมเป็นผู้มีความเพียร เป็นตัวอย่างที่ดีแก่หมู่คณะ”

และเหตุการณ์ที่เคยคาดหวังไว้ก็กลายเป็นความจริง กล่าวคือ ญาติพี่น้องของท่านเริ่มสนใจเข้าวัด และมีจิตใจเป็นกุศลทำบุญสุนทานกันมากขึ้น จนถึงปัจจุบันนี้คณะญาติพี่น้องและลูกศิษย์ของท่านจากทางระยอง ได้รับการยกย่องจากบุคคลทั่วไปว่า เป็นคณะที่มีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กว้างใหญ่ไพศาล ต่างพากันเจริญรอยตามท่านพระอาจารย์ ในแง่ที่ว่า “ให้สิ่งของแก่ใครทั้งที ต้องให้แต่ของที่ดีและให้ทีละมากๆ !”

รูปภาพ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

รูปภาพ
พระอาจารย์ปรีดา (ทุย) ฉันทกโร

รูปภาพ
พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก


๏ สู่วัดป่าบ้านตาด

ต่อมาในพรรษาที่ 10 และ 11 (พ.ศ.2522-2523) ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่กับ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน หรือ “ท่านอาจารย์ใหญ่บ้านตาด” แห่งวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี นับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ผู้ทรงอรรถทรงธรรมอันเกษมสูงสุดอีกท่านหนึ่ง จึงได้รับการอบรมเคี่ยวกรำ ขูดเกลา ขัดถู อย่างเข้มงวดกวดขันถึงอกถึงใจ ได้ยินได้ฟัง ได้รู้ได้เห็น ได้เพิ่มพูนประสบการณ์อันสูงล้ำค่าตามแนวทางอริยประเพณี ด้วยข้อวัตรปฏิปทาอันเด็ดเดียวมุ่งมั่น อย่างซื่อตรงตามแบบฉบับพระธุดงค์กรรมฐานที่แท้จริง และมีความเจริญก้าวหน้าในการพิจารณาธรรมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หนึ่งปีให้หลังที่จากวัดป่าแก้วชุมพลมา ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ก็มรณภาพจากอุบัติเหตุเครื่องบนตกที่ท้องนาเขตอำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี ท่านอาจารย์ใหญ่บ้านตาดจึงมอบหมายให้ ท่านพระอาจารย์ปรีดา ฉันทกโร หรือท่านพระอาจารย์ทุย แห่งวัดป่าดานวิเวก ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย, ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก แห่งวัดป่านาคำน้อย ต.บ้านก้อง อ.นายูง จ.อุดรธานี และท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบจัดการเรื่องงานพระราชทานเพลิงศพ ให้เรียบร้อยลุล่วงไปด้วยดี


๏ ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้
ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้


หลังจากเสร็จภารกิจอันสำคัญนั้นแล้ว ท่านพระอาจารย์สุธรรมก็ยิ่งเร่งความเพียรเจริญสติ สมาธิ ปัญญา อย่างต่อเนื่องในทุกอิริยาบถอย่างจดจ่อยิ่งขึ้น ด้วยเห็นภัยในความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตอย่างชัดเจนประจักษ์ใจ

ต่อมาท่านจึงได้รับความไว้วางใจ และได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ใหญ่บ้านตาด ให้มาพักภาวนาและพัฒนาวัดป่าหนองไผ่ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณเกือบ 700 ไร่ ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ต่อจาก เจ้าอาวาสองค์ก่อนที่ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จับตัวไปสังหาร


๏ โอวาทจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ในวันที่ท่านพระอาจารย์สุธรรม ไปกราบนมัสการลาท่านพระอาจารย์ใหญ่บ้านตาด เพื่อมาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่นั้น ท่านประทานโอวาทมีถ้อยความที่จดจำไว้มิรู้ลืมว่า “ไปแล้ว อย่าไปขวนขวายหาติดต่อญาติโยม คลุกคลีกับสังคม เพราะนั้นไม่ใช่เครื่องขัดเกลา จะทำให้เราเพลิดเพลินลืมเนื้อลืมตัว เสริมกิเลสโดยง่าย”

ท่านพระอาจารย์สุธรรมได้ขอความเมตตาจากท่านพระอาจารย์ใหญ่บ้านตาดว่า “หากเกล้ากระผมติดขัดไม่สะดวกในการปฏิบัติธรรม หรือสงสัยในธรรม จะขอเข้ามาศึกษาปฏิบัติกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์อีก” ท่านอาจารย์ใหญ่ ฯ ก็เมตตารับคำว่า “อือ !” วัดป่าหนองไผ่แห่งนี้ ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี


๏ วันประวัติศาสตร์ของศิษย์

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2524 (20 ปีที่ผ่านมา : ปัจจุบันปี พ.ศ.2544) ท่านได้มาพักยังที่พักสงฆ์ป่าหนองไผ่ (วัดป่าหนองไผ่ ในปัจจุบัน) และได้เริ่มจัดทำเสนาสนะตามอัตภาพ โดยพักอยู่ในถ้ำเงื้อมผา ความเป็นอยู่ในยุคแรกยังแห้งแล้งกันดาร อัตคัตขัดสน ข้นแค้นลำเค็ญอยู่มาก ไม่ว่าด้านอาหารการขบฉัน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย รวมถึง ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ล้วนขาดแคลนทั้งสิ้น

ผลจากความยากไร้อัตคัตขัดสนในปัจจัย 4 นี้เอง ทำให้สุขภาพธาตุขันธ์ร่างกายของท่านพระอาจารย์ ไม่มีภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บเลย ประกอบกับในเขตวัดและบริเวณใกล้เคียงเป็นดงของไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย ท่านจึงต้องเผชิญกับไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียทั้งสองชนิด คือ ‘เชื้อชนิดฟาลซิพารัม’ อันเป็นเชื้อมาลาเรียชนิดร้ายแรง เป็นเชื้อดื้อยา ซ้ำก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ คือ มาลาเรียลงตับ (ดีซ่าน), มาลาเรียนลงกระเพาะลำไส้ (ท้องเดินเป็นบิดถ่ายเป็นมูกเลือด, มาลาเรียลงไต (ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย), มาลาเรียขึ้นสมอง (เพ้อชัก หมดสติ) ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอันตรายถึงตายได้โดยง่าย และผจญทั้ง ‘เชื้อชนิดไวแวกซ์’ ซึ่งเป็นมาลาเรียชนิดเรื้อรัง เป็นเชื้อที่หลบซ่อนอยู่ในตับได้เป็นเวลานานๆ ทำให้มีอาการกำเริบเป็นๆ หายๆ กว่าจะหายามาสกัดโรคร้ายได้สนิท ท่านก็ต้องตกอยู่ในวังวนของทุกขเวทนาอันแรงกล้าที่รุมเร้า ชนิด 2 วันดี 5 วันไข้ ไม่มีการเว้นวรรคให้ท่านได้สุขสบายเลย ตลอดเวลา 3 ปีเต็มๆ


๏ มฤตยูผู้มากับธรรมะ

อาการไข้เบื้องต้นคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ จะปวดศรีษะครั่นเนื้อครั่นตัวใน 2-3 วันแรก ต่อมาจะมีไข้จับสั่นเป็นเวลา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของมาลาเรีย โดยมีอาการจับไข้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ

1. ระยะหนาว มีอาการหนาวสั่นมาก ราวกับอยู่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น จะหาผ้ามาห่มสักเท่าใดก็ไม่อาจคลายความหนาวสั่นสะท้านจากภายในได้ อีกสักครู่ไข้จะเริ่มขึ้น ช่วงนี้จะปวดศรีษะอย่างแรง ราวกับศรีษะจะแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เนื้อตัวจะซีดเผือด แล้วคลื่นไส้อาเจียนพุ่งออกมา อาเจียนแล้วอาเจียนอีกจนหมดไส้หมดพุง บางทีก็มีน้ำดี คือ น้ำย่อยชนิดหนึ่งผสมปนอาเจียนออกมากัดหลอดอาหาร ลำคอ และภายในปาก จนแสบจมเจ็บระบมไปหมด สติต้องจดจ่อแนบแน่นมีแต่ “พุทโธ” เป็นที่พึ่ง

2. ระยะร้อน จากนั้นไข้จะขึ้นสูงประมาณ 40 องศาเซ็นเซียส ปวดศรีษะหนักขึ้นไปอีก ปวดลึกเข้าไปในกระบอกตา หน้าแดงก่ำ ตาแดง กระหายน้ำ กระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเร็ว ปวดกระดูกปวดกล้ามเนื้อ ปวดรัดไปทั้งร่างกาย ช่วงนี้กินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง บางทีก็นานถึง 3-8 ชั่วโมง

3. ระยะเหงื่อออก เหงื่อจะออกชุ่มโชนไปทั้งตัว ไข้จะลดลงเป็นปกติ แต่จะรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก กำหนดภาวนาพุทโธ จนหลับไป บางครั้งบางคราวอาการก็กำเริบขณะออกบิณฑบาต ต้องนั่งลงพักข้างทางเพราะเกิดไข้หนาวสั่นและหยุดอาเจียนเป็นระยะๆ กว่าจะถึงหมู่บ้านหรือกว่าจะกลับถึงวัดก็ต้องเสียเวลาไปยาวนาน บางทีขณะรับอาหารใส่บาตร พอได้กลิ่นคาวของอาหารก็จะคลื่นไส้อาเจียนทันที ยาแฟนซิดาร์ที่มีสรรพคุณชะงัดนักในการหยุดยั้งไข้มาลาเรีย กลับมีค่าเท่ากับของว่าง ไม่มีผลใดๆ ในการรักษามาลาเรียของท่านเลย แม้จะฉันยานี้อย่างต่อเนื่องสักเพียงใด สุดท้ายโรคร้ายก็มาสยบกับควินิน เดตราชัยคลีนและไพรมาควีน ซึ่งต้องฉันทีละชนิดเป็นชุดๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน

ทุกขเวทนาสาหัสที่รุกรานตามล้างตามผลาญชีวิตท่าน ตลอด 3 ปีนี้ ท่านนับเป็นของขวัญอันประเสริฐล้ำค่าที่เพิ่มพูนสติ สมาธิ ปัญญา ความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวมั่นคงในธรรมให้เจริญยิ่งขึ้น มีธรรมโอสถเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ยืดอายุขัยเอาไว้ ต่อสู้กับมฤตยูด้วยท่าทีแห่งอรรถแห่งธรรม ชนิดแลกเป็นแลกตายครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เป็นประดุจเครื่องทดสอบกำลังใจความมุ่งมั่นในชีวิตพรหมจรรย์ของศิษย์พระตถาคต หากความทรหดอดทนของท่านไม่เพียงพอ หากสติปัญญาความมั่นคงในธรรมมีกำลังไม่แก่กล้า หากความเมตตาของท่านต่อคณะศิษย์ตาดำๆ ไม่มากมีท่านคงย้ายหนี แล้ววันนี้จะมีวัดป่าหนองไผ่สำหรับทุกคนหรือไม่ ก็ยากสุดที่จะเดา !


(มีต่อ 4)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2009, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ สวนป่าอัมพวัน

เมื่อ 20 ปีก่อน เทือกเขาภูพานเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์สารพัดชนิด แต่สภาพป่าบริเวณเกือบ 700 ไร่ในเขตวัด ก็มีสภาพบางส่วนถูกบุกรุกแผ้วถาง เผาป่า ทำไร่มันสำปะหลัง ในช่วงที่ทางวัดขาดผู้ดูแล ก่อนหน้าที่พระอาจารย์จะย้ายมาพำนัก ดังนั้นส่วนด้านหน้าของวัดจึงเป็นทุ่งหญ้าคาเสียเป็นส่วนใหญ่ อากาศค่อนข้างร้อนแรง แห้งแล้ง ไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงมีดำรินำ “มะม่วง” นานาพันธุ์มาปลูกทดแทนไม้เก่าที่ถูกตัดทำลายไป และเหตุผลที่สำคัญ 2 ประการ ที่ทำให้ท่านเลือกที่จะปลูกมะม่วงก็เพราะ

1. มะม่วงนั้นไม่ผลัดใบพร้อมกัน จึงเป็นต้นไม้ที่จะให้ร่มเงาตลอดปี

2. ท่านเกิดความเมตตา สงสารชาวบ้านที่ไม่เข้าใจวิธีปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตรของตน ท่านจึงต้องการปลูกไม้ผลสาธิตให้ชาวบ้านดูว่า การปลูกและดูแลต้นไม้อย่างถูกวิธีจะเพิ่มพูนผลผลิตได้อย่างมหาศาล สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริงกับทุกคน ถ้าทำจริง !

ในการนี้ท่านได้รับความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง คัดเลือกจัดส่งพันธุ์มะม่วงหลากหลายชนิด ชั้น 1 เกรด A จำนวนกว่า 200 ต้น มาเพาะปลูกในที่รกร้างที่ปรับพื้นที่เสียใหม่ โดยมีชาวบ้านระดมกำลังมาช่วยกันพัฒนาทุ่งหญ้า ป่ารก ให้กลับเป็นป่าชะอุ่มชุ่มชื้นอีกวาระหนึ่ง ไม่กี่ปีให้หลัง ผลผลิตอันน่าชื่นใจก็บังเกิดขึ้นสมตามเหตุตามปัจจัยที่ได้กระทำ

วัดป่าหนองไผ่ จึงมีมะม่วงพันธุ์ดี ผลงาม นำออกตระเวนแจกจ่ายแบ่งปันสู่วัดต่างๆ ทั้งในจังหวัดสกลนคร และจังหวัดใกล้เคียงอยู่เสมอ ต่อมาก็ปลูกสวนลิ้นจี่ สวนมะขามหวาน สวนลำใย และผลไม้ดีชนิดต่างๆ อีกมากมาย ได้ผลผลิตออกมาก็มีแต่แจกจ่ายและแบ่งปัน ไม่มีการซื้อขายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามตามปฏิปทาของพระวัดป่าสายหลวงปู่มั่นนั่นเอง


๏ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองลอยๆ โดยไม่มีสาเหตุ

การพัฒนาวัดได้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาเป็นลำดับ โดยได้รับการสนับสนุนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างแข็งขันจากชาวสุพรรณบุรี ชาวปากช่อง (จังหวัดนครราชสีมา) ชาวระยอง ชาวสกลนคร และที่ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ในเบื้องต้น (เมื่อแรกมาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ๆ) ก็ล้วนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวของท่านนั่นเอง !

ทว่าการพัฒนาที่ว่านี้ ไม่ใช่การบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อสร้างถาวรวัตถุ แต่เป็นการพัฒนาในรูปแบบการฟื้นฟูสภาพที่เสื่อมโทรม รกร้าง เดิมเป็นทุ่งหญ้าคา เดิมเป็นป่าทุ่งหญ้าเสือหมอบ ให้กลายเป็นป่าไม้ที่ชุ่มชื้นรื่นรมย์อีกครั้ง ดังได้กล่าวมาแล้ว สวนเสนาสนะที่พักอาศัย ก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย อยู่ในเงื้อมถ้ำภูผา หรือสร้างเป็นกุฏิเล็กๆ เป็นเพิงเล็กๆ หลังคามุงหญ้าคา พอคุ้มแดด คุ้มฝน ปลูกสร้างบนผลาญหินเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดไม้ทำลายป่า

ในการพัฒนานี้ต้องใช้ทุนมากพอสมควร เพราะท่านต้องการผูกน้ำใจไมตรีกับชาวบ้านก่อน ตามนโยบายที่ว่า “สงเคราะห์เกื้อกูลด้วยอามิสก่อน เมื่อเขาผูกพันแล้วค่อยสงเคราะห์ด้วย ‘ธรรม’ อันเป็นสมบัติอันล้ำค่ากว่าสิ่งอื่นใด” ดังนั้น ในเบื้องต้นญาติพี่น้องของท่านจึงนำสิ่งของมาแจกจ่ายเป็นทานแก่ชาวบ้านอยู่เป็นประจำ ประกอบกับชาวบ้านเองได้เห็นข้อวัตร ปฏิปทา ที่ท่านพระอาจารย์ได้ประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ทยอยกันมาเข้าวัดเพื่อช่วยเหลือทางด้านกำลังงานในการฟื้นฟูสภาพพื้นที่

การที่ญาติพี่น้องของท่าน ร่วมใจมาให้การสนับสนุนท่านอย่างเต็มกำลังเช่นนี้ มิใช่เป็นปราฏการณ์พลิกผันไปเอง ทว่าเกิดขึ้นจากกุศโลบายอันแยบยลด้วยธรรมของท่านพระอาจารย์ ที่ได้ฝากฝังหมู่เพื่อน และกราบขอความเมตตาจากครูบาอาจารย์ว่า หากท่านใดมีกิจธุระผ่านไปทางระยองหรือสุพรรณบุรี โปรดแวะที่บ้านของท่านเพื่อเยี่ยมเยียนโยมบิดามารดาและญาติอื่นๆ หากมีโอกาสก็ขอความกรุณาแสดงธรรมพอเป็นสังเขป ตามกาลเทศะในขณะนั้นๆ เพื่อให้ทางบ้านได้มีความเข้าใจในคุณค่าแห่งธรรมเพิ่มยิ่งขึ้นๆ

ด้วยความที่ท่านมีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน มีน้ำใจ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนจนเป็นที่รักใคร่ของหมู่คณะ ดังนั้นจึงมีพระสายกรรมฐานแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนครอบครัวท่านอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา...เมฆดำทะมึนที่เคยทำให้ท้องฟ้าต้องมืดมิด และมรสุมร้ายแห่งชีวิตก็ค่อยๆ สลายตัวไป เปิดทางให้แสงสว่างค่อยๆ กระจ่างแจ้งเป็นลำดับ...ด้วยบารมีพระธรรม !

ผู้ที่เปลี่ยนใจ กลายมาเป็นผู้ที่มีศรัทธาแน่นแฟ้นที่สุดคนหนึ่งต่อพระพุทธศาสนา บริจาคทรัพย์สินเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนา มาโดยตลอด 20 กว่าปี ตราบจนลมหายใจสุดท้าย ก็คือ คุณโยมบิดาของท่านพระอาจารย์นั่นเอง ! แม้ในวาระสุดท้าย ท่านก็เรียกหาแต่พระลูกชาย ซึ่งบัดนี้เป็นดั่งมิ่งขวัญและกำลังใจอันล้ำค่า เป็นความภาคภูมิใจอันสูงสุดของวงศ์ตระกูล ครั้งสุดท้ายท่านได้มีโอกาสสนทนากับพระลูกชาย แค่ 2-3 คำ ท่านก็เป็นสุขใจสิ้นลมจากไปด้วยอาการสงบ เมื่อปลายปี พ.ศ.2542 สิริรวมอายุได้ 85 ปี


๏ อานุภาพแห่งพระธรรม

การฟื้นฟูสภาพวัดในเบื้องแรก (พ.ศ.2524) ท่านเพียงมีนโยบายปรับสภาพสิ่งแวดล้อมให้คืนสู่บรรยากาศป่าเขาที่ให้ร่มเงาชุ่มเย็นอีกครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมไว้รับรองเพื่อนสหธรรมิกผู้ใฝ่ใจในการประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ให้ได้มีสถานที่พักภาวนาที่มีบรรยากาศเหมาะสม ส่งเสริมการปฏิบัติให้ก้าวหน้า ทั้งนี้ก็รวมถึงการเปิดโอกาสให้ญาติโยมประชาชนทั่วไป จากทิศทั้งสี่ที่มีความสนใจจะฝึกอบรม ขัดเกลาจิตใจตน ได้มีสถานที่พักพิงอิงอาศัย

อุปสรรคในเบื้องต้นมีหลายประการ อาทิ ความไม่เข้าใจของกลุ่มบางกลุ่ม ที่เพ่งเล็งว่า การฟื้นฟูสำนักสงฆ์ป่าหนองไผ่ (ชื่อในขณะนั้น) จะเป็นการบั่นทอนริดรอนอำนาจหรือผลประโยชน์ที่พวกตนเคยมี ทำให้ท่านได้รับการกลั่นแกล้งต่างๆ นานา อยู่เสมอ ท่านก็อาศัยธรรมเป็นที่พึ่ง เป็นหนทางในการแก้ปัญหา เริ่มด้วยการใช้ขันติ ความอดทน ทมะ ความข่มใจ จาคะ การสละแบ่งปัน สัจจะ ความจริงบริสุทธิ์ใจ และการแผ่เมตตา การให้อภัย จนในที่สุดเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์บารมีแห่งพระธรรม ความขัดแย้ง การกลั่นแกล้งก็ลดน้อยลง จนถึงกับเป็นมิตรต่อกันได้ แม้จะต้องอดกลั้นอดทนอยู่เป็นระยะเวลานานพอสมควรก็ตามที !


๏ การพัฒนาบุคคล คือการพัฒนาสังคม

ในระยะแรกของการตั้งวัด แม้ว่าท่านจะมีความประสงค์ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลท้องถิ่นและสังคมด้วยความเมตตา แต่เมื่อพิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว นโยบายของวัดในเบื้องต้น คือการส่งเสริมให้มีการปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจัง ทั้งฝ่ายพระสงฆ์และญาติโยม ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพไว้ช่วยเหลือสังคม ตามกาลเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น กิจกรรมภายในวัดป่าหนองไผ่ ในเบื้องต้น จึงเป็นเรื่องของการภาวนากรรมฐานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งดำเนินไปอย่างเงียบๆ แต่ว่าจริงจัง เคร่งครัดในข้อวัตรปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์พาดำเนินมา


๏ สุขที่ได้จากการเสียสละ
ย่อมชนะสุขที่ได้จากอามิสสินจ้าง


แม้จะยังมิอาจช่วยเหลือสังคมในวงกว้างได้ แต่ในระดับชุมชนท้องถิ่น ท่านก็ให้ความอนุเคราะห์เสมอมาไม่ว่าจะเป็นในรูปวัตถุสิ่งของ ปัจจัยเงินทองเท่าที่พอมี และที่สำคัญที่สุด คือ การสงเคราะห์ด้วยธรรม น้อมนำให้ชาวบ้านมีศีลธรรม มีความขยันทำมาหากินด้วยความสุจริต มีน้ำใจต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน สภาพชุมชนโดยรอบจึงมีความผาสุก เป็นที่อบอุ่นใจทั่วหน้า

นโยบายที่สำคัญซึ่งท่านได้พยายามรักษาไว้อย่างมั่นคงประการหนึ่ง ก็คือ การไม่ใช้เงินเป็นค่าจ้างแรงงาน เพราะอาจจะเป็นผลว่ามีการพัฒนาทางด้านวัตถุอย่างเด่นชัด แต่ทว่าผลทางด้านจิตใจจะถดถอย เสื่อมโทรมจากศรัทธาที่บริสุทธิ์ใจได้โดยง่าย มรดกทางวัฒนธรรม ศาสนา ประเพณีที่บรรพบุรุษสร้างสมไว้จะค่อยๆ เสื่อมสลาย หากใช้เงินเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนกำลังแรงงานของชาวบ้าน

ความมีน้ำใจ ความเสียสละ ความเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ความบริสุทธิ์ใจ ในการทำบุญสุนทร์ทานจะจืดจางจนหมดไปได้ หากมีการแลกเปลี่ยนกันด้วยเงิน ผู้ที่จะรักษานโยบายนี้ไว้ได้จะต้องอาศัยความอดทนความแข็งใจเป็นอย่างสูง เพราะความเมตตาสงสารชาวบ้านที่ยากจนก็มีเต็มล้นใจ การสงเคราะห์ด้วยการจ่ายค่าแรงงานก็เป็นสิ่งที่สะดวกคล่องตัว เนรมิตสิ่งใดได้ดังใจ ได้ตามความประสงค์ เป็นไปตามเวลาที่กำหนด สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ถ้าใช้เงินเป็นเครื่องตอบแทน !

ทว่านโยบายของท่านคือการสร้างคน ! มิใช่สร้างวัตถุให้มีล้นเหลือ แต่ความเจริญทางด้านจิตใจกลับลดน้อยลงๆ หาใช่ความประสงค์ไม่ สิ่งที่จะทำให้ชาวบ้านบังเกิดความศรัทธา และพร้อมเพรียงใจกันเสียสละมาทำนุบำรุงสถานที่ของวัด โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นวัตถุเงินทอง ก็มีเพียงสิ่งเดียวคือ “พระธรรม”

นั่นคือพระทุกรูป คนทุกคนที่อาศัยอยู่ในวัด ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ใฝ่ใจในการเจริญกรรมฐานอยู่เนืองนิจ ใช้เวลาเป็นเครื่องสร้างศรัทธาให้แก่ชาวบ้าน และสงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของปัจจัยตามกาลอันควร มิใช่การจ่ายเพื่อตอบแทนแรงงานหลังเลิกงาน การใช้นโยบายนี้บางคราวคิดแล้วก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการจ่ายค่าแรงรายวัน แต่ก็คุ้มค่าเพราะว่าเราสามารถรักษาคุณธรรม คุณความดีที่หลั่งมาเองจากจิตใจชาวบ้าน เอาไว้ได้จนถึงปัจจุบัน !

รูปภาพ


(มีต่อ 5)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ ค่าของงานอยู่ที่คุณค่าของจิตใจ

วัดป่าหนองไผ่ ค่อยๆ มีศักยภาพในการช่วยเหลือสังคม อย่างค่อยเป็นค่อยไป มิใช่เติบโตแบบก้าวกระโดย กิจกรรมต่างๆ เพื่อสังคมเริ่มมีมากขึ้น และกว้างขวางขึ้นตามกำลัง ทั้งนี้ก็ด้วยความสมัครสมานสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ของคณะศิษย์ทุกฝ่าย โดยมีท่านพระอาจารย์เป็นผู้นำเป็นประธาน พาบำเพ็ญบุญกุศลอยู่เนืองนิจนั่นเอง

จุดสำคัญของการช่วยเหลือสังคมของวัดป่าหนองไผ่นั้น แม้มิอาจวัดกันได้ด้วยปริมาณเงิน ปริมาณวัตถุสิ่งของ ปริมาณของกิจกรรม แต่ท่านพระอาจารย์และคณะศิษย์ทุกท่าน ทุกคน ต่างก็มั่นใจในคุณภาพของกิจกรรมว่า แม้จะเล็กๆ แต่ก็สมบูรณ์ด้วยคุณภาพของความจริงใจ ความบริสุทธิ์ใจที่ได้ทำกิจกรรมต่างๆ นั้นโดยธรรมร่วมกัน


๏ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย โดยมีธรรมเป็นแก่นสาร

ในช่วง 10 ปี หลังจากการเข้ามาฟื้นฟูสถานที่ของท่านพระอาจารย์ วัดป่าหนองไผ่เริ่มเป็นที่รู้จัก เป็นที่เคารพศรัทธาจากมหาชนในวงกว้างขึ้นเป็นลำดับ เป็นเหตุให้ต้องมีการขยับขยายด้านที่พักอาศัย ห้องน้ำห้องส้วม โรงครัว เพื่อรองรับผู้คนที่หลั่งไหลทยอยกันเข้ามาอาศัยวัดเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่ได้ฝึกเจริญสติ สมาธิ ปัญญาแห่งตน ญาติโยมที่เข้ามาส่วนใหญ่มักเป็นสตรีสูงอายุ มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ แต่ก็มุ่งมาดปรารถนาในการปฏิบัติธรรม ดังนั้นสิ่งก่อสร้างในระยะต่อมา จึงคำนึงถึงความปลอดภัยแน่นหนา และความสะดวกสบายตามสมควรแก่อัตภาพของผู้ปกิบัติที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชราและสุขภาพไม่สู้จะดี

ส่วนสำหรับด้านที่พักสำหรับสงฆ์นั้น ก็ยังคงไว้ซึ่งปฏิปทาเดิมคือ กระจายอยู่ท่ามกลางป่าเขา เรียบง่าย ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติต่อผู้มีหน้าที่โดยตรงในการสืบอายุของพระพุทธศาสนา

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

รูปภาพ
หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ

รูปภาพ
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

รูปภาพ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต


๏ อนุสรณ์สถานควรแก่การอนุรักษ์ไว้

ด้วยเหตุที่วัดป่าหนองไผ่ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานเกือบ 80 ปี (พ.ศ.2469-ปัจจุบัน พ.ศ.2544) นับเนื่องแต่การมาพักปฏิบัติภาวนาและอบรมสั่งสอนชาวบ้านของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก่อนปี พ.ศ.2469 เป็นองค์ปฐม แล้วตามด้วยอาจารย์ที่เป็นศิษย์องค์สำคัญๆ อีกหลายรูป อาทิ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่หล้า เขมปัตโต เป็นต้น จึงเป็นเหตุให้สถานที่แห่งนี้ เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่พระธุดงคกรรมฐานว่า เป็นสถานที่อันวิเวก เหมาะสมแก่การภาวนา ทำให้มีพระธุดงค์มาพักเพื่อปฏิบัติธรรมและจำพรรษาอยู่เสมอ จึงนับว่าวัดป่าหนองไผ่ ซึ่งตั้งอยู่เทือกเขาภูพานอันมีพื้นที่เกือบ 700 ไร่ เป็นสถานที่สำคัญเก่าแก่ ถือเป็นอนุสรณ์สถานที่ควรแก่การช่วยกันอนุรักษ์ เพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไปให้ยาวนานที่สุด


๏ เหตุที่พื้นป่ายังสมบูรณ์

โดยเหตุที่วัดป่าหนองไผ่ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระศาสนา ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงต่างมีความเคารพเลื่อมใส ศรัทธา อ่อนน้อม เชื่อฟัง และช่วยกันดูแลรักษาสงวนพื้นที่ป่าบริเวณนี้ให้เป็นเขตสงบ งดการตัดไม้ทำลายป่า ล่าสัตว์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวบ้าน และเพื่อเอื้อเฟื้อให้ความสงบ เหมาะการภาวนาของพระภิกษุสามเณร นับแต่กาลก่อนจนถึงปัจจุบัน พระภิกษุสามเณรได้เมตตาอบรมชาวบ้านให้ตั้งใจรักษาศีล ฝึกฝนสมาธิภาวนาเจริญปัญญาอยู่เป็นนิจและเป็นประจำ ท่านยังให้การอบรมสั่งสอนชาวบ้าน ให้มีความประพฤติดีทำมาหากิน ด้วยความขยันขันแข็ง สุจริต ที่สำคัญอีกประการคือ อบรมสั่งสอนชาวบ้านให้ช่วยกันปลูกป่า รักษาธรรมชาติ เหตุนี้ผืนป่าบริเวณนั้น จึงยังคงสภาพที่สมบูรณ์เอาไว้ได้


๏ ป่าไม้สร้างศาสนา-ศาสนารักษาป่าไม้

ท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม รับภาระบริหารดูแลรักษาวัดนี้นับแต่ปี พ.ศ.2524 ท่านมีนโยบายใช้ทรัพยากร “ป่าไม้” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดถึงสองประการ คือ

1. รักษาพื้นที่ป่าไม้ไว้ เพื่อใช้อนุรักษ์ควบคุมความสมดุลระบบนิเวศน์ธรรมชาติ อันเป็นแหล่งกำเนิดของการสร้างทุกสรรพชีวิต

2. รักษาพื้นที่ป่าไม้ไว้ เพื่อใช้พัฒนาคุณภาพจิตใจ “ทรัพยากรบุคคลของชาติ” กล่าวคือ การปกป้องคุ้มครอง สงวนรักษาพื้นที่นี้ไว้ให้มีความปลอดภัย มีความสงบวิเวก ร่มรื่น เป็นบรรยากาศธรรมชาติที่เหมาะสมแก่การฝึกหัดขัดเกลาจิตใจ ปฏิบัติสมาธิภาวนา พัฒนาสติปัญญา สำหรับพระภิกษุ สามเณร เยาวชน และบุคคลทั่วไป เป็นการสร้างพลเมืองดี มีศีลธรรมเพื่อรับใช้สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้มั่นคงสถาพรสืบไป


(มีต่อ 6)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ แนวคิดทางด้านการศึกษา

ท่านพระอาจารย์สุธรรม มีความคิดเห็นสนับสนุนการศึกษาในระบบ ตามที่ราชการจัดให้แก่เยาวชน แต่ท่านมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการศึกษาด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมที่เหมาะสมแยบยลน่าสนใจ น่าติดตามอย่างเพียงพอควบคู่ไปด้วย มิใช่เป็นเพียงวิชาเล็กๆ ที่แทรกเสริมเป็นแค่คะแนนช่วย-คะแนนเก็บของนักเรียนเท่านั้น และการศึกษาด้านศีลธรรมคุณธรรมที่ถูกต้องเหมาะสมตามลำดับวัยนี้ ควรจัดให้มีต่อเนื่องไปจนถึงขั้นสูงสุดของระดับอุดมศึกษา เพราะว่าคนที่มีการศึกษาสูง แต่ขาดคุณธรรม ย่อมทำร้ายสังคมประเทศชาติให้เกิดความวิบัติเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้โดยง่าย เช่นตัวอย่างที่เราทุกคนกำลังประสบ ได้รับความยากลำบากโดยทั่วกัน ในภาวะวิกฤติของทุกวงการของชาติบ้านเมืองในปัจจุบัน


๏ ผลงานสำคัญ

การสืบอายุพระพุทธศาสนา, การพัฒนาจิตใจ และการบริจาคให้กับสังคม 3 ข้อนี้ คือนโยบายหลักของท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม

ก. การสืบอายุพระพุทธศาสนา

1. ประการแรกคือ ความเข้มงวดกวดขันในการอบรมดูแลพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัด ให้มีความประพฤติ การปฏิบัติตามแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

2. มีการส่งเสริมด้านปริยัติ การศึกษาเล่าเรียนแก่พระภิกษุสามเณรในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านตำรา พระไตรปิฎก หนังสือธรรมะ เทปบันทึกเสียงแสดงธรรมของครูบาอาจารย์องค์สำคัญๆ หลายท่าน

3. มีการจัดสร้างเสนาสนะตามความเหมาะสม ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย เพื่อให้ผู้ที่พักอาศัยได้เจริญก้าวหน้าในอรรถ ในธรรม ในการเจริญกรรมฐาน อย่างสัปปายะ

4. ดูแลเอื้อเฟื้อเกื้อกูลภิกษุสามเณร ด้วยปัจจัย 4 อันควรแก่สมณเพศและการปฏิบัติสามาธิภาวนา

5. รักษามรดกประเพณี วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาให้สืบไป อาทิ การออกบิณฑบาต การรับกิจนิมนต์การทำบุญนอกสถานที่ การจัดงานศาสนพิธีต่างๆ ที่ส่งเสริมคุณธรรมให้แก่ทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาส อาทิ การจัดงานกฐินสามัคคีให้ดูเป็นตัวอย่างที่เรียบง่าย แต่ให้ปัญญาให้ธรรมะแก่ผู้ร่วมงาน งดขาดในการจัดดนตรี มหรสพต่างๆ มุ่งเน้นให้ผู้คนมีความรื่นเริงบันเทิงใจในธรรมมากกว่าสิ่งอื่นใด

6. มีกิจกรรมที่กระทำต่อเนื่องทุกคืนวันพระตลอดปี คือ การสนทนาธรรม แนะแนวการปฏิบัติธรรม การทำวัตรสวดมนต์ และนั่งสมาธิภาวนาร่วมกัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30 น.-22.30 น. ซึ่งมีผู้เดินทางจากตัวเมืองสกลนครและหมู่บ้านในละแวกนั้น ไปร่วมบำเพ็ญภาวนาด้วยกันเป็นประจำสม่ำเสมอ

ข. การพัฒนาจิตใจ

1. มีการต้อนรับบุคคลทั่วไปที่สนใจใฝ่ศึกษาปฏิบัติธรรม ให้มีโอกาสได้พำนักในสถานที่อันเหมาะสมภายในวัด เพราะมีความสงบ ร่มรื่น สะอาดตา อากาศบริสุทธิ์ และมีความปลอดภัย ทำให้มีความปลอดโปร่งใจ สามารถเจริญสติ สมาธิ ปัญญา ได้โดยง่าย

2. สำหรับท่านพระอาจารย์เอง ในระยะต่อมาก็รับกิจนิมนต์ไปบรรยายธรรมแสดงธรรม แก่หน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชน อยู่อย่างเสมอตลอดทั้งปี

3. นอกจากนี้ท่านก็เปิดสถานที่ไว้รับรองการเข้าฝึกอบรม เจริญสติ สมาธิ ปัญญา เป็นหมู่คณะ จากภาคเอกชนและภาครัฐอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

4. ท่านได้จัดกิจกรรมหลายอย่างที่เปิดโอกาสให้บรรดาลูกศิษย์ได้ใช้กิจกรรมนั้นๆ เป็นแบบฝึกหัดขัดเกลาพัฒนาจิตใจตนเอง และเพิ่มพูนบุญกุศล เพิ่มพูนมงคลชีวิตใก้แก่ตนเอง เช่น

- การจัดเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กและนักเรียนยากจนเป็นประจำ

- การออกร้านโรงทาน ในงานบุญของครูบาอาจารย์ทั่วประเทศ

- การจัดกิจกรรม “อาสาสมัครปลูกป่าเพื่อพัฒนาตน” ปฏิบัติการร่วมกับโรงเรียนต่างๆ

- การจัดโครงการ “อาสาสมัครพิทักษ์ภู” โดยร่วมกับกรมป่าไม้จัดอบรมวิธีการดับไฟป่า ให้แก่ชาวบ้านที่อาสาสมัคร และจัดเวรยามเตรียมพร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมงในฤดูแล้ง โดยจัดสร้างเครื่องมืออุปกรณ์ดับไฟที่ได้มาตรฐานของกรมป่าไม้อย่างครบครัน โครงการนี้นอกจากจะช่วยในการดับไฟป่าที่เกิดขึ้นในฤดูแล้งแล้ว ยังช่วยลดการเกิดไฟป่าได้อีกด้วย เพราะชาวบ้านมีความเข้าใจถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงร่วมกัน หากไม่ระมัดระวังการจุดไฟ ใช้ไฟในป่าของพวกชาวบ้านเอง

ค. การบริจาคให้กับสังคม

1. ท่านพระอาจารย์เห็นคุณค่าของการศึกษา แม้ว่าท่านเองจะมิได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในระดับสูงจนถึงอุดมศึกษา เพราะต้องออกมาดูแลกิจการงานของครอบครัว แต่ท่านเองก็มีความเมตตา ยินดีพอใจที่จะส่งเสริมลูกหลานของชาวบ้าน ที่มีความประพฤติดี ฐานะยากจน แต่มีสติปัญญาดี มีความขยันหมั่นเพียร ให้ได้รับการศึกษาสูงสุดเท่าที่ผู้นั้นจะสามารถ จึงจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาขึ้น โดยอาศัยปัจจัยทำบุญที่ญาติโยมถวายท่านเป็นการส่วนตัวในโอกาสต่างๆ มิได้บอกบุญเรี่ยไรแต่ประการใดทั้งสิ้น (ทุกโครงการ)

2. โครงการทำบัตรประกันสุขภาพให้แก่ชาวบ้าน ที่มีความประพฤติดีต่อสังคม ปัจจุบันโครงการนี้ ได้ครอบคลุมดูแลประกันสุขภาพให้แก่บุคคลในครอบครัวของผู้ประพฤติดีจำนวนหลายร้อยชีวิต

3. โครงการเอื้ออาทรคนเจ็บไข้ ห่วงใยสุขภาพประชาชน เป็นการประสานงานร่วมกับโรงพยาบาลในชุมชนที่ขาดแคลนงบประมาณในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ทางวัดช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังทั้งการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยพิเศษ (2 ห้อง) เพื่อให้ทางโรงพยาบาลเก็บรายได้ไว้ช่วยผู้ป่วยยากจน, การบริจาคเครื่องมือแพทย์จำนวนหลายแสนบาท และบริจาคอุปกรณ์เครื่องใช้ในโรงครัวของทางโรงพยาบาล เพื่อบริการอาหารแก่ผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล บุคลากรทุกคนในโรงพยาบาล

กิจกรรมและโครงการต่างๆ ของวัดนั้น มิได้มากล้นด้วยปริมาณ หากแต่ในด้านคุณภาพนั้น ก็นับว่าหนักแน่นมีความสมบูรณ์ในอรรถในธรรม เพราะท่านพระอาจารย์มิได้เอ่ยปากขอรับบริจาคหรือบอกบุญเรี่ยไรแก่ผู้ใดทั้งสิ้น (ยกเว้นเฉพาะทางคณะญาติพี่น้องของท่าน และคณะศิษย์ใกล้ชิดที่ได้ปวารณาตนเอาไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง) ทั้งนี้เพื่อป้องกันคำครหาต่อวงการพระศาสนาที่ว่าใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำมาหากิน

ท่านพระอาจารย์สุธรรมเชื่อมั่นในบารมีพระธรรม เชื่อมั่นในกรรม การกระทำคุณความดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ย่อมได้รับการสนับสนุนช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจเช่นกัน ซึ่งการทำบุญกุศลทำกิจกรรมเช่นนี้ ย่อมตรงไปตามพระพุทธประสงค์ทั้งสิ้น


๏ การศึกษาเพื่อความอยู่รอดของกายและใจ

นอกเหนือไปจากการสนับสนุนทางด้านการศึกษาด้วยวัตถุปัจจัยแก่เยาวชนแล้ว ท่านยังสนับสนุนการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยการอบรมสั่งสอน เช่น การแนะนำด้านการอาชีพเกษตรกรรม ฯลฯ ไปจนถึงการศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญภาวนา สรุปว่าเป็นการสนับสนุนส่งเสริมสร้างสรรค์การศึกษาเพื่อความอยู่รอด ทั้งทางกายและทางใจ แต่คุณูปการที่เด่นชัดทางด้านส่งเสริมการศึกษาของท่านพระอาจารย์ คือ “ท่านประพฤติ ปฏิบัติตนให้ดูเป็นตัวอย่าง ท่านอบรมสั่งสอนผู้ใดอย่างไร ท่านก็ประพฤติปฏิบัติตามนั้นได้จริง !”



.............................................................

♥ คัดลอกเนื้อหาประวัติมาจาก ::
เว็บไซต์ http://www.sakoldham.com/


:b44: อุ้มโลกไว้...ด้วยใจงาม (พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=19372

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆๆขอบพระคุณค่ะ บุญรักษาทุกท่านค่ะ _/i\_

:b8: :b8: :b8:
:b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2015, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b8: :b8: :b8: tongue


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร