วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 16:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์กว่า สุมโน


วัดป่ากลางโนนภู่
ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร



๏ ชาติภูมิและการสืบเชื้อสาย

“พระอาจารย์กว่า สุมโน” มีนามเดิมว่า กว่า เกิดในตระกูล สุวรรณรงค์ ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จึงนับเป็นญาติสนิทที่ใกล้ชิดกัน กล่าวคือ พระอาจารย์ฝั้น เป็นบุตรของเจ้าไชยกุมมาร (เม้า) ซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้าหลวงพรหม (เมฆ สุวรรณรงค์) บิดาของพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และพระอาจารย์กว่า สุมโน ท่านจึงเป็นหลานอาของเจ้าหลวงพรหม (เมฆ สุวรรณรงค์), เป็นหลานปู่ทวดของพระเสนาณรงค์ (นวล) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๒, เป็นหลานปู่ของอาชญาราชบุตร (วงศ์) และเป็นหลานปู่ของพระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๔ และนายอำเภอพรรณานิคมคนแรก ผู้เป็นต้นตระกูล “สุวรรณรงค์”

พระอาจารย์กว่า ท่านเกิดเมื่อวันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง ณ บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ เจ้าหลวงพรหม (เมฆ สุวรรณรงค์) โยมมารดาชื่อ นางหล้า สุวรรณรงค์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน ถึงแก่กรรมเสียแต่ยังเล็ก ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ โดยมีพี่ชายคือ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน แห่งวัดป่ากลางโนนภู่ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๓ เกิดในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ อายุแก่กว่าท่านราว ๔ ปี และท่านอายุอ่อนกว่าพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ผู้เป็นญาติสนิท ราว ๕ ปี (พระอาจารย์ฝั้นเกิดในปี พ.ศ. ๒๔๔๒)

อาชญาราชบุตร (วงศ์) ผู้เป็นบุตรของพระเสนาณรงค์ (นวล) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๒ มีภรรยาชื่อ นางบัวทอง มีบุตรด้วยกันรวม ๗ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้
๑. เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) บิดาของพระอาจารย์ฝั้น
๒. เจ้าหลวงพรหม (เมฆ) บิดาของพระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์กว่า
๓. เจ้ากุ
๔. เจ้าทอง
๕. เจ้าคำ
๖. เจ้าจีบ
๗. นางน้อย

สำหรับเจ้าอินทร์ ผู้เป็นพี่ชายของพระเสนาณรงค์ (นวล) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๒ มีภรรยาชื่อใดไม่ปรากฏ มีบุตรด้วยกันรวม ๔ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้
๑. เจ้าบุญจันทน์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอาชญาพระไชยสงคราม
๒. เจ้าสุวรรณ์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นพระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๔ และนายอำเภอพรรณานิคมคนแรก ผู้เป็นต้นตระกูล “สุวรรณรงค์”
๓. เจ้าสุวัฒน์
๔. นางดวงตา

ตระกูลสุวรรณรงค์ สืบเชื้อสายมาจากชาวภูไทหรือผู้ไท เมืองวังอ่างคำ แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว (เชื้อสายของพระเวสสันดร) ได้อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แล้วมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองพรรณานิคม และหัวหน้าผู้นำการอพยพได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “พระเสนาณรงค์” โดยบรรดาศักดิ์นี้เป็นชื่อยศประจำตำแหน่งเจ้าเมืองพรรณานิคม ซึ่งก็มีลูกหลานเจ้าเมืองคนแรกสืบตำแหน่งกันต่อมาจนถึงพระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองคนที่ ๔ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองต่างๆ กล่าวคือ เมืองพรรณานิคมได้เปลี่ยนเป็นอำเภอพรรณานิคม เจ้าเมืองพรรณานิคมก็เปลี่ยนเป็นนายอำเภอพรรณานิคม พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) จึงเป็นนายอำเภอพรรณานิคมคนแรก ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ เพื่อเป็นการให้คนไทยมีนามสกุลใช้ต่อท้ายชื่อเป็นสกุลวงศ์ของครอบครัว ทั้งเพื่อป้องกันความสับสนในกรณีที่มีชื่อซ้ำกัน เป็นต้น พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) นายอำเภอพรรณานิคมคนแรก จึงได้เอานามตัว คือ “สุวรรณ์” มารวมกับนามบรรดาศักดิ์ คือ “เสนาณรงค์” แล้วนำมาตั้งเป็นนามสกุลว่า “สุวรรณรงค์”

เป็นที่น่าสังเกตว่า โยมบิดาของพระอาจารย์กู่มีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวง” ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ที่ต่ำกว่า “พระ” อันเป็นบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมือง คือ “พระเสนาณรงค์” เพียงระดับเดียว บรรดาศักดิ์พระเสนาณรงค์เป็นตำแหน่งของเจ้าเมือง ระดับหัวเมืองชั้นตรี ปกครองโดยเจ้าผู้ครองนครระดับ “พระ” และในสมัยก่อนนั้นเมืองพรรณานิคมยังใช้การปกครองด้วยระบบอาญาสี่ (อาชญาสี่) อยู่ ซึ่งเป็นระบบการปกครองที่แบ่งตำแหน่งสำคัญออกเป็น ๔ ชั้น ประกอบด้วย เจ้าเมือง, อุปฮาด (อุปราช), ราชวงศ์ และราชบุตร หากเทียบตำแหน่งใหม่เมื่อครั้งมีการปฏิรูปการปกครองมาเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลทั่วประเทศ โดยยกเลิกการปกครองแบบเก่าที่ใช้ระบบอาญาสี่ (อาชญาสี่) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๕ และปี พ.ศ. ๒๔๔๐ อาจเทียบได้ดังนี้ คือ เมืองต่างๆ ให้เรียกว่าอำเภอ, ให้เจ้าเมืองเป็นนายอำเภอ, ให้อุปฮาด (อุปราช) เป็นปลัดอำเภอ, ให้ราชวงศ์เป็นสมุห์อำเภอ และให้ราชบุตรเป็นเสมียนอำเภอ

ดังนั้น จึงพอจะอนุมานได้ว่า โยมบิดาของพระอาจารย์กู่เป็นข้าราชการเทียบเท่าได้กับตำแหน่ง “อุปฮาด (อุปราช)” หรือในระบบใหม่ก็คือ “ปลัดอำเภอ” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างจะมีอำนาจมากในสมัยนั้น

ต่อมาในสมัยที่พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์กว่า เจริญวัยเป็นหนุ่มแล้ว เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) ผู้เป็นโยมบิดาของพระอาจารย์ฝั้น และเจ้าหลวงพรหม (เมฆ สุวรรณรงค์) ผู้เป็นโยมบิดาของพระอาจารย์กู่และพระอาจารย์กว่า ก็ได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ อีกหลายครอบครัว ออกจากบ้านม่วงไข่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว ๔ กิโลเมตร ไปตั้งหมู่บ้านใหม่ขึ้นอีกให้ชื่อว่าบ้านบะทอง เพราะที่นั่นมีต้นทองหลางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ปัจจุบันต้นทองหลางใหญ่นั้นได้ตายและผุพังไปสิ้นแล้ว สาเหตุที่อพยพออกจากบ้านม่วงไข่ก็เพราะเห็นว่าสถานที่แห่งใหม่อุดมสมบูรณ์กว่า เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย ฯลฯ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงไหมเพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีลำห้วยขนาบอยู่ถึงสองด้าน ด้านหนึ่งคือลำห้วยอูน อยู่ทางทิศใต้ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือลำห้วยปลา อยู่ทางทิศเหนือ ก่อนอพยพจากบ้านม่วงไข่ เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) โยมบิดาของพระอาจารย์ฝั้น ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองลูกบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุขมาก่อนแล้ว ครั้นมาตั้งบ้านเรือนกันใหม่ที่บ้านบะทอง ท่านก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไปอีก เพราะลูกบ้านต่างให้ความเคารพนับถือในฐานะที่ท่านเป็นคนที่มีความเมตตาอารี ใจคอกว้างขวาง และเยือกเย็น เป็นที่ประจักษ์มาช้านาน


๏ การบรรพชาและอุปสมบท

ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ขณะอายุ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านไร่ (วัดสิทธิบังคม) ตำบลไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูสกลสมณกิจ (ท่านอาญาครูธรรม) เป็นพระอุปัชฌาย์

ครั้นเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ท่านมีความประสงค์จะออกบวชติดตามพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน พระพี่ชาย จึงได้กราบลาโยมบิดา-โยมมารดา เพื่อเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูสังฆวุฒิกร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระรักและพระบุญเย็น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “สุมโน” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า ผู้มีใจดี

ก่อนหน้าที่พระอาจารย์กว่าจะเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุไม่กี่วัน พระอาจารย์ฝั้น ผู้เป็นญาติสนิทของพระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์กว่า ก็ได้รับอนุญาตจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ให้ญัตติกรรมเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑๕.๒๒ นาฬิกา ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ โดยมีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกันกับพระอาจารย์กว่า คือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูสังฆวุฒิกร แต่สำหรับพระอาจารย์ฝั้น มีพระรถ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมุก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “อาจาโร” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า ผู้มีมารยาทอันงาม

ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ อำเภอพรรณานิคมก็ได้มีทายาทในตระกูล “สุวรรณรงค์” ถึง ๓ คนที่สละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศสมณะ และได้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมพระกรรมฐานองค์สำคัญในสายท่านพระอาจารย์มั่นในเวลาต่อมา คือ พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กว่า

หลังจากอุปสมบทแล้ว พระอาจารย์กว่าก็ได้ติดตามพระอาจารย์กู่ พระพี่ชาย และพระอาจารย์ฝั้น เดินทางกลับไปหาท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนั้นเลย พระอาจารย์รูปต่างๆ ที่ร่วมจำพรรษาในปีเดียวกันนั้น (พ.ศ. ๒๔๖๘) ได้แก่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต, พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน, พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, พระอาจารย์สาร, พระอาจารย์กว่า สุมโน และยังมีพระภิกษุสามเณรอื่นๆ อีกรวมถึง ๑๖ รูป

เมื่อใกล้จะออกพรรษา ท่านพระอาจารย์มั่นได้ประชุมหมู่ศิษย์เพื่อเตรียมออกเที่ยวธุดงค์หาที่วิเวก และได้จัดหมู่ศิษย์ออกไปเป็นพวกๆ เป็นชุดๆ โดยจัดพระอาจารย์กู่ พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กว่าให้ไปเป็นชุดเดียวกัน เพราะเห็นว่ามีนิสัยต้องกันมาก นอกนั้นก็จัดเป็นชุดๆ อีกหลายชุด

ก่อนออกธุดงค์ ท่านพระอาจารย์มั่นได้สั่งไว้ด้วยว่า แต่ละชุดให้เดินธุดงค์เลียบภูเขา ภาวนาวิเวกไปตามแนวภูเขานั้น และแต่ละชุดก็ไม่จำเป็นต้องเดินธุดงค์ไปด้วยกันโดยตลอด ระหว่างทางท่านใดอยากไปพักวิเวก ณ ที่ใด เช่นตามถ้ำซึ่งมีอยู่ตามทางก็ทำได้ เพียงแต่บอกเล่ากันให้ทราบในระหว่างพระภิกษุชุดเดียวกัน จะได้นัดหมายไปพบกันข้างหน้าเพื่อเดินธุดงค์ต่อไปได้อีก

ครั้นออกพรรษาแล้ว คณะพระอาจารย์กู่ก็ได้ออกเดินธุดงค์ โดยพระอาจารย์กู่ พระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์กว่า ได้ธุดงค์แยกไปทางภูเขาพระพุทธบาทบัวบก ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี แล้วได้ธุดงค์ต่อไปที่บ้านค้อ ส่วนพระอาจารย์ฝั้นธุดงค์ออกไปทางบ้านนาบง ตำบลสามขา (ปัจจุบันเป็นตำบลกองนาง) อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย โดยได้นัดหมายพบกันที่พระพุทธบาทบัวบก

รูปภาพ
พระพุทธบาทบัวบก ประดิษฐาน ณ วัดพระพุทธบาทบัวบก
ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี



แต่คณะพระอาจารย์กู่ก็ได้คลาดกันกับพระอาจารย์ฝั้น ไม่ได้พบกันที่พระพุทธบาทบัวบกตามที่นัดหมายกันไว้แต่อย่างใด เพราะเมื่อพระอาจารย์ทั้งสามธุดงค์ไปถึงพระพุทธบาทบัวบกแล้ว พระอาจารย์ฝั้นยังไม่มาถึง พระอาจารย์ทั้งสามจึงได้ออกเดินธุดงค์ต่อไปทางบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ เพื่อติดตามท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่นออกเดินธุดงค์มาทางอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปที่ตำบลหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร และที่ตำบลหนองลาดนี้เอง ท่านพระอาจารย์มั่นได้พบกับพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ซึ่งทั้งสองท่านเป็นพระเถระที่มีพรรษามากแล้ว

พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก ในขณะนั้นพรรษาได้ ๑๙ พรรษาแล้ว ส่วนพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ได้ ๑๗ พรรษา พระอาจารย์เกิ่งเป็นพระเถราจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพนับถือของญาติโยมประชาชนแถบลุ่มแม่น้ำสงคราม จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย บ้านสามผง ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม, ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์, เป็นเจ้าสำนักเรียนนักธรรมและบาลี และเป็นครูใหญ่ท่านแรกของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งตำบลสามผง ที่ตั้งอยู่ในวัดโพธิ์ชัยนี้ด้วย

พระอาจารย์เกิ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์ในทางธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นมาก่อน ครั้นเมื่อได้ทราบว่าท่านพระอาจารย์มั่นมาอยู่ท่านตำบลหนองลาด ท่านก็ได้ชวนพระอาจารย์สีลา พร้อมพระเณรถูกวัด เดินทางจากบ้านสามผง จังหวัดนครพนม มาถึงหนองลาด จังหวัดสกลนคร ไปฟังเทศน์และสนทนาไต่ถามปัญหาข้ออรรถธรรมที่สงสัยค้างคาใจต่างๆ พร้อมทั้งสังเกตข้อวัตรของท่านพระอาจารย์มั่นอย่างใกล้ชิด จนเกิดความอัศจรรย์ใจในข้ออรรถข้อธรรมและจริยาวัตรของท่าน ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส และได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่นให้ไปโปรดคณะศรัทธาญาติโยม และพักจำพรรษาอยู่ที่บ้านสามผง ถิ่นที่พำนักของท่าน พร้อมทั้งขอถวายตัวเป็นศิษย์อยู่ปฏิบัติธรรมใกล้ชิด จนเกิดผลประจักษ์ทางใจอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสรับรู้มาก่อน

เดือน ๗ ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ก่อนเข้าพรรษา พระอาจารย์เกิ่ง และพระอาจารย์สีลา พร้อมทั้งพระภิกษุที่เป็นศิษย์ของท่านทั้งสองอีกประมาณ ๒๐ องค์ ก็ได้ญัตติกรรมเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย

และประมาณ ๗ วันก่อนเข้าพรรษา กำนันบ้านดอนแดงคอกช้าง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในกิ่งอำเภอนาหว้า) จังหวัดนครพนม พร้อมด้วยลูกบ้านอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเลื่อมใสศรัทธาในคณะพระปฏิบัติสัทธรรมชุดนี้ได้เข้ามาพบ และขอร้องให้ท่านพระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่บ้านดอนแดงคอกช้าง แต่ท่านมีเหตุอันจำเป็นต้องขัดข้อง จึงให้พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กว่า ไปจำพรรษาที่บ้านดอนแดงคอกช้างตามที่ชาวบ้านปรารถนา

รูปภาพ
พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก

รูปภาพ
พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร



๏ พบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

-------------------------------------

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

รูปภาพ
พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน พระพี่ชาย

รูปภาพ
พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) พระอุปัชฌาย์

รูปภาพ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ผู้เป็นญาติสนิท


(มีต่อ ๑)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต


๏ ตามท่านพระอาจารย์มั่นไปอุบลราชธานี

หลังจากออกพรรษา ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว คณะท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งประกอบด้วยพระภิกษุสามเณรประมาณ ๗๐ รูป ได้เดินทางมาที่บ้านโนนแดง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในกิ่งอำเภอนาหว้า) จังหวัดนครพนม ณ ที่นั้น ได้มีการประชุมหารือกันในเรื่องที่จะไปเผยแผ่ธรรมและไปเทศนาสั่งสอนโปรดชาวบ้านญาติโยมที่เมืองอุบลราชธานี และได้วางระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับการอยู่ป่า เกี่ยวกับการตั้งสำนักปฏิบัติ เกี่ยวกับแนวทางแนะนำสั่งสอนปฏิบัติจิต เพื่อให้คณะศิษยานุศิษย์นำไปปฏิบัติให้เป็นระเบียบเดียวกัน

จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นก็ได้ปรารภเรื่องจะนำโยมแม่ออก (โยมมารดาของท่านซึ่งบวชเป็นแม่ชี) ไปส่งมอบให้นางหวัน จำปาศีล น้องสาวของท่านที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้ช่วยดูแล เพราะท่านเห็นโยมแม่ออกท่านชราภาพมาก อายุ ๗๘ ปีแล้ว เกินความสามารถของท่านผู้เป็นพระจะปฏิบัติได้แล้ว หลวงปู่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ต่างก็รับรองเอาโยมแม่ออกของท่านไปส่งด้วย เพราะโยมแม่ออกของท่านพระอาจารย์มั่น แก่มาก หมดกำลัง ต้องไปด้วยเกวียนจึงจะไปถึงเมืองอุบลราชธานีได้

การเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีอันเป็นถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง เพราะบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งใหญ่และเล็กก็ได้เตรียมที่จะเดินทางติดตามท่านในครั้งนี้แทบทั้งนั้น การเดินทางเป็นการเดินแบบเดินธุดงค์ แต่การธุดงค์นั้นเพื่อให้เป็นประโยชน์ด้วยท่านจึงจัดเป็นคณะๆ ละ ๓ รูป ๔ รูปบ้าง ท่านเองเป็นหัวหน้าเดินทางไปก่อน เมื่อคณะที่ ๒ ไปก็จะพักที่เดิมที่คณะที่ ๑ พัก คณะที่ ๓-๔ เมื่อตามคณะที่ ๒ ไปก็จะพักที่เดิมนั้น ทั้งนี้เพื่อจะได้สอนคณะศรัทธาญาติโยมตามรายทางด้วย การสอนนั้นก็เน้นหนักไปในทางกรรมฐานและการถึงพระไตรสรณคมน์ ที่ให้ละมิจฉาทิฏฐิ เลิกจากการเคารพนับถือภูตผีปีศาจต่างๆ นานา เป็นการทดลองคณะศิษยานุศิษย์ไปในตัวด้วยว่าองค์ใดจะมีผีมือในการเผยแผ่ธรรม

ในการเดินทางนั้น พอถึงวันอุโบสถก็จะนัดทำปาฏิโมกข์ หลังจากนั้นแล้วก็จะแยกย้ายกันไปตามที่กำหนดหมาย

การเดินธุดงค์แบบนี้ท่านบอกว่าเป็นการโปรดสัตว์ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัททั้งหลาย และก็เป็นจริงเช่นนั้น แต่ละแห่งที่ท่านกำหนดพักนั้น ตามหมู่บ้านประชาชนได้เกิดความเลื่อมใสยิ่งในพระคณะกรรมฐานนั้นเป็นอย่างดี และต่างก็รู้ผิดชอบในพระธรรมวินัยขึ้นมาก ตามสถานที่เป็นที่พักธุดงค์ในการครั้งนั้น ได้กลับกลายมาเป็นวัดของคณะกรรมฐานเป็นส่วนใหญ่ในภายหลัง โดยญาติโยมทั้งหลายที่ได้รับรสพระธรรมได้พากันร่วมอกร่วมใจกันจัดการให้เป็นวัดขึ้น โดยเฉพาะให้เป็นวัดพระภิกษุสามเณร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร บำเพ็ญสมาธิกรรมฐาน

สำหรับพระอาจารย์กู่ได้เดินทางออกจากบ้านดอนแดงคอกช้าง กับพระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์กว่า และพระเณรอีก ๒-๓ รูป เดินธุดงค์ไปตามป่าเขา ผ่านบ้านตาน บ้านนาหว้า บ้านนางัว บ้านโพธิสว่าง

อย่างไรก็ตาม คณะธุดงค์ทั้งหลายก็เผอิญไปพบกันเข้าอีกที่จังหวัดสกลนคร เพื่อร่วมงานศพมารดานางนุ่ม ชุวานนท์ และงานศพพระยาประจันตประเทศธานี บิดาของพระพินิจฯ เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจทั้งสองศพนั้นแล้ว พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น และสานุศิษย์ต่างก็แยกย้ายกันธุดงค์ต่อไปเพื่อมุ่งไปยังจังหวัดอุบลราชธานี

ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นธุดงค์ไปทางบ้านเหล่าโพนค้อ ได้แวะไปเยี่ยมพระอุปัชฌาย์พิมพ์ ต่อจากนั้นท่านก็ธุดงค์ต่อไป และพักบ้านห้วยทราย ๑๐ วัน โดยจุดมุ่งหมายท่านพระอาจารย์มั่นต้องการจะเดินทางกลับไปที่จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้บรรลุถึงหมู่บ้านหนองขอน อยู่ในเขตอำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ในขณะนั้น) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ซึ่งชาวบ้านเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของท่านแล้ว เกิดความเลื่อมใสจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาให้ท่านพักจำพรรษา เมื่อท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ก็รับอาราธนา ชาวบ้านญาติโยมจึงช่วยกันจัดแจงจัดเสนาสนะถวายจนเป็นที่พอเพียงแก่พระภิกษุที่ติดตามมากับท่าน

ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ในพรรษานี้ท่านพระอาจารย์มั่นได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองขอนตามที่ชาวบ้านได้อาราธนาไว้ ส่วนพระที่เป็นศิษยานุศิษย์แต่ละคณะก็แยกกันจำพรรษาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน อาทิเช่น พระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่นจำพรรษาอยู่ที่บ้านหัวตะพาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านทั้งสอง, พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กว่าจำพรรษาอยู่ที่เดียวกันคือที่บ้านบ่อชะเนง เป็นต้น

รูปภาพ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)

รูปภาพ
พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ

รูปภาพ
พระอาจารย์ดี ฉนฺโน

รูปภาพ
พระอาจารย์ขาว อนาลโย

รูปภาพ
พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี


๏ พระกรรมฐานโดนพระเถระผู้ใหญ่ขับไล่

ระหว่างปีนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโพธิวงศาจารย์ เจ้าคณะมณฑล และเจ้าคณะธรรมยุตในภาคอีสาน ได้ออกตรวจการคณะสงฆ์ ท่านได้เรียกเจ้าคณะแขวงอำเภอต่างๆ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ให้เข้ามาประชุมที่วัดสุปัฏนาราม เมืองอุบลราชธานี เกี่ยวกับเรื่องระเบียบการปกครอง การศึกษาเล่าเรียน และการประพฤติปฏิบัติของคณะสงฆ์ พระภิกษุ สามเณร ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกต้องตามพระวินัย หลังจากการประชุมเสร็จแล้วท่านได้ทราบข่าวว่ามีคณะพระกรรมฐานของท่านพระอาจารย์มั่นเดินทางมาพักอยู่ที่บ้านหนองขอน บ้านบ่อชะเนง บ้านหัวตะพาน ในเขตท้องที่อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ในขณะนั้น) จึงเรียกเจ้าคณะแขวงอำเภอม่วงสามสิบ กับเจ้าคณะแขวงอำเภออำนาจเจริญ มาถามว่า “ได้ทราบว่า มีพระอาคันตุกะ คณะกรรมฐานเดินทางมาพักอยู่ในเขตท้องที่ของความปกครองของเธอหรือ พวกเธอได้ไปตรวจสอบถามดูหรือเปล่า เขามาจากไหน อยู่อย่างไร ไปอย่างไร ?”

เจ้าคณะแขวงอำเภออำนาจเจริญได้กราบเรียนท่านว่า “เกล้าฯ มิได้ไปตรวจสอบถามเพราะเนื่องจากพระคณะกรรมฐานเหล่านั้นเขาว่าเป็นลูกศิษย์พระเดชพระคุณ”

(หมายเหตุ : พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม เป็นสัทธิวิหาริก คือได้รับการอุปสมบทโดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เป็นพระอุปัชฌาย์)

พอเจ้าคณะแขวงฯ พูดจบ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ขึ้นเสียงดังออกมาทันทีว่า “บ๊า !...ลูกศิษย์พระเดชพระคุณที่ไหน ข้าไม่รู้ไม่ชี้ ไป๊ !...ไล่มันให้ออกไป ไปบอกพวกโยมอย่าใส่บาตรให้กิน”

แล้วเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็สั่งให้เจ้าคณะแขวงอำเภอม่วงสามสิบ กับเจ้าคณะแขวงอำเภออำนาจเจริญ พร้อมด้วยนายอำเภออำนาจเจริญ ไปทำการขับไล่พระกรรมฐานคณะนี้ออกไปให้หมด ทั้งยังได้ประกาศด้วยว่า ถ้าผู้ใดใส่บาตรพระกรรมฐานเหล่านี้จะจับใส่คุกให้หมดสิ้น แต่ชาวบ้านก็ไม่กลัว ยังคงใส่บาตรกันอยู่เป็นปกติ นายอำเภอทราบเรื่องจึงไปพบพระภิกษุคณะนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งมาว่าในนามของจังหวัด ทางจังหวัดสั่งให้มาขับไล่

พระอาจารย์สิงห์ซึ่งเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี ได้ตอบโต้ไปว่า ท่านเกิดที่นี่ท่านก็ควรจะอยู่ที่นี่ได้ นายอำเภอไม่ยอม พระอาจารย์ฝั้นก็ได้ช่วยพูดขอร้องให้มีการผ่อนสั้นผ่อนยาวกันบ้าง แต่นายอำเภอก็ไม่ยอมท่าเดียว จากนั้นก็จดชื่อพระกรรมฐานไว้ทุกองค์ รวมทั้งท่านพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์เที่ยง พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์เกิ่ง พระอาจารย์สีลา พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์กว่า เป็นต้น นายอำเภอจนหมดแม้กระทั่งนามโยมบิดา-มารดา สถานที่เกิด วัดที่บวช ทั้งหมดมีพระภิกษุสามเณรกว่า ๕๐ รูป และพวกลูกศิษย์ผ้าขาวอีกมากร่วม ๑๐๐ คน นายอำเภอต้องใช้เวลาจดตั้งแต่กลางวันจนถึงสองยามจึงเสร็จ ตั้งหน้าตั้งตาจดจนกระทั่งไม่ได้กินข้าวเที่ยง เสร็จแล้วก็กลับไป

ทางฝ่ายพระอาจารย์ทั้งหลายก็ประชุมปรึกษากันว่า ทำอย่างไรดีเรื่องนี้จึงจะสงบลงได้ ไม่ลุกลามออกไปเป็นเรื่องใหญ่ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร รับเรื่องไปพิจารณาแก้ไข

เสร็จการปรึกษาหารือแล้ว พระอาจารย์ฝั้นก็รีบเดินทางไปพบท่านพระอาจารย์มั่น ที่บ้านหนองขอน ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๕๐ เส้น ท่านพระอาจารย์มั่นทราบเรื่องจึงให้พระอาจารย์ฝั้นนั่งพิจารณา พอกำหนดจิตเป็นสมาธิแล้วปรากฏเป็นนิมิตว่า “แผ่นดินตรงนั้นขาด” คือแยกออกจากกันเป็นสองข้าง ข้างโน้นก็มาไม่ได้ ข้างนี้ก็ไปไม่ได้ พอดีสว่างพระอาจารย์ฝั้นจึงเล่าเรื่องที่นิมิตให้ท่านพระอาจารย์มั่นฟัง

เช้าวันนั้นเอง พระอาจารย์มหาปิ่นกับพระอาจารย์อ่อน ได้ออกเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อพบกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดชี้แจงว่า ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จากนั้นได้ให้นำจดหมายไปบอกนายอำเภอว่า ท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง เรื่องยุ่งยากทั้งหลายจึงได้ยุติลง

เมื่อผ่านพ้นเรื่องนั้นไปด้วยดีแล้ว พระอาจารย์ฝั้นได้กราบลาพระอาจารย์มั่นออกธุดงค์ย้อนกลับไปเยี่ยมพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ที่บ้านกุดแห่ ตำบลกุดเชียงหมี อำเภอเลิงนกทา (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับจังหวัดยโสธร)

พระอาจารย์ดีต้อนรับขับสู้พระอาจารย์ฝั้นอย่างแข็งขัน จากการถามทุกข์สุข พระอาจารย์ดีได้แสดงความวิตกกังวลต่อพระอาจารย์ฝั้นเรื่องหนึ่งว่า ท่านได้สอนธรรมข้อปฏิบัติให้ญาติโยมทั้งหลายไปแล้ว แต่ญาติโยมบางคนเมื่อปฏิบัติแล้วได้เกิดวิปัสสนูปกิเลส มีอันเป็นไปต่างๆ บางพวกออกจากการภาวนาเดินไปถึงสี่แยก เกิดเข้าใจเอาว่าเป็นทางเดินของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์เจ้า พวกนี้จะพากันคุกเข่ากราบไหว้อยู่ที่นั่นเป็นเวลานานจึงได้ลุกเดินไปบ้าง พอไปถึงสี่แยกหน้าก็เข้าใจผิดและปฏิบัติเช่นนี้อีกเรื่อยๆ บางคนลุกจากภาวนาได้ก็ถอดผ้านุ่งผ้าห่มออกหมด เดินฝ่าญาติโยมที่นั่งภาวนาอยู่ด้วยกัน จนเกิดโกลาหลกันยกใหญ่ มีญาติโยมบางคนกราบไหว้พระอาจารย์ดีให้ท่านไปช่วยแก้ไขให้ ท่านก็มิรู้จะแก้ได้อย่างไร เป็นเหตุให้กระวนกระวายใจมาเกือบปีแล้ว จึงขอความกรุณาให้พระอาจารย์ฝั้นช่วยแก้ไขให้ด้วย พระอาจารย์ฝั้นตรองหาทางแก้ไขอยู่ไม่นานนักก็รับปาก พระอาจารย์ดีจึงให้เณรเข้าไปป่าวร้องในหมู่บ้าน ให้บรรดาญาติโยมไปฟังธรรมโอวาทของพระอาจารย์ฝั้นที่วัดในตอนค่ำ พระอาจารย์ฝั้นหลังจากได้ช่วยพระอาจารย์ดีแก้ปัญหาพวกญาติโยมแล้ว ท่านก็กลับมาพักอยู่กับพระอาจารย์มั่นที่บ้านหนองขอน โดยตั้งใจไว้ว่า ในปีนี้จะจำพรรษาร่วมกับพระอาจารย์มั่น

ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ นั้น พระอาจารย์กู่ก็ไปจำพรรษาที่บ้านบ่อชะเนง อำเภอเดียวกัน ซึ่งบ้านบ่อชะเนงนี้เป็นบ้านเกิดของพระอาจารย์ขาว อนาลโย ระยะนั้นปรากฏว่าฝนตกชุกมาก พระภิกษุประสบอุปสรรคไม่อาจไปร่วมทำอุโบสถได้สะดวก โดยเฉพาะที่บ้านบ่อชะเนงไม่มีพระสวดปาฏิโมกข์ได้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้สั่งให้พระอาจารย์ฝั้นซึ่งสวดปาฏิโมกข์ได้ ไปจำพรรษาเพื่อช่วยพระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์กว่า ที่บ้านบ่อชะเนง

ในระหว่างพรรษาที่บ้านบ่อชะเนง พระอุปัชฌาย์ลุย เจ้าคณะตำบลบ้านเค็งใหญ่ (พระอุปัชฌาย์ลุยผู้นี้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์บวชสามเณรให้กับสามเณรเทสก์ เรี่ยวแรง หรือพระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๑) ได้ทราบว่าพระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์ฝั้นมาสร้างเสนาสนะป่าเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในเขตตำบลของท่าน จึงเดินทางไปขับไล่เพราะไม่ชอบพระกรรมฐาน พระอุปัชฌาย์ลุยปรารภขึ้นว่า “ผมมาที่นี่เพื่อไล่พวกท่าน และจะไม่ให้มีพระกรรมฐานอยู่ในเขตตำบลนี้ ท่านจะว่าอย่างไร”

พระอาจารย์ฝั้นตอบไปว่า “ท่านมาขับไล่ก็ดีแล้ว กรรมฐานนั้นได้แก่อะไร ได้แก่ เกสา คือผม, โลมา คือขน, นะขา คือเล็บ, ทันตา คือฟัน และตะโจ คือหนัง ท่านเจ้าคณะก็เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย ได้สอนกรรมฐานแก่พวกกุลบุตรที่เข้ามาบวชเรียนเป็นศิษย์ของท่าน ท่านก็คงสอนกรรมฐานอย่างนี้ให้เขาไม่ใช่หรือขอรับ แล้วท่านจะมาขับไล่กรรมฐานด้วยวิธีใดกันล่ะ เกสา-โลมา ท่านจะไล่ด้วยวิธีต้มน้ำร้อนลวกแบบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ แล้วเอาคีมเอาแหนบมาถอนเช่นนี้หรือ ? ส่วน นะขา-ทันตา-และตะโจ ท่านจะไล่ด้วยการเอาค้อนตี ตะปูตีเอากระนั้นหรือไร ? ถ้าจะไล่กรรมฐานแบบนี้กระผมก็ยินดีให้ไล่นะขอรับ”

พระอุปัชฌาย์ลุยได้ฟังก็โกรธมาก พูดอะไรไม่ออก ท่านไม่อาจตอบได้จึงคว้าย่ามลงจากกุฏิไปเลย

ระหว่างพรรษาปีนั้น พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์กว่า ได้เทศนาสั่งสอนพวกคณะศรัทธาญาติโยมบ้านบ่อชะเนงและบ้านอื่นๆ ใกล้เคียงมาตลอด ผู้คนต่างก็เลื่อมใสในปฏิปทาของท่านทั้งสามเป็นอย่างมาก ถึงกับให้ลูกชายลูกสาวบวชเป็นพระเป็นเณร และเป็นแม่ชีกันอย่างมากมาย

รูปภาพ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล
และพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม สามแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม



(มีต่อ ๒)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2013, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
แผนที่แสดงเส้นทางการอาราธนาท่านพระอาจารย์มั่น
จากวัดป่าบ้านหนองผือ ไปยังวัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร


รูปภาพ

๏ ท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพ

ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ในปีนั้นเมื่อใกล้จะออกพรรษาเหลืออีกประมาณ ๑๐ วัน ท่านพระอาจารย์มั่นก็ได้บอกบรรดาพระที่อยู่ใกล้ชิดว่า

“ชีวิตของเราใกล้จะสิ้นแล้ว ให้รีบส่งข่าวไปบอกแก่คณาจารย์ที่เป็นศิษย์เราทั้งใกล้และไกล ให้รีบมาประชุมกันที่บ้านหนองผือนี้ เพื่อจะได้มาฟังธรรมะเป็นครั้งสุดท้าย”

บรรดาพระที่อยู่ใกล้ชิดก็ได้จดหมายบ้าง โทรเลขบ้างไปยังที่อยู่ของพระคณาจารย์เหล่านั้น บรรดาพระคณาจารย์ทั้งหลายเมื่อได้รับจดหมายบ้าง โทรเลขบ้างแล้ว ต่างก็ได้บอกข่าวแก่กันต่อๆ ไปจนทั่ว เมื่อการปวารณาออกพรรษาแล้ว ต่างองค์ก็รีบเดินทางมุ่งหน้ามาหาท่านพระอาจารย์มั่นยังบ้านหนองผืออันเป็นจุดหมายเดียวกัน แต่ท่านพระอาจารย์มั่นได้สั่งให้นำองค์ท่านไปยังวัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ท่านปรารภว่า

“การป่วยของผมจวนถึงวาระเข้าทุกวัน จะพากันอย่างไรก็ควรคิดเสียแต่บัดนี้จะได้ทันกับเหตุการณ์ ผมน่ะต้องตายแน่นอนในคราวนี้ดังที่เคยพูดไว้แล้วหลายครั้ง แต่การตายของผมเป็นเรื่องใหญ่ของสัตว์และประชาชนทั่วๆ ไปอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ผมจึงเผดียงท่านทั้งหลายให้ทราบว่า ผมไม่อยากมาตายอยู่ที่นี่ ถ้าตายที่นี่จะเป็นการกระเทือนและทำลายชีวิตสัตว์ไม่น้อย สำหรับผมตายเพียงคนเดียว แต่สัตว์ที่จะพลอยตายเพราะผมเป็นเหตุนั้นมีจำนวนมากมาย เพราะคนจะมามาก ทั้งนี้ไม่มีตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน

นับแต่ผมบวชมาไม่เคยคิดให้สัตว์ได้รับความลำบากเดือดร้อน โดยไม่ต้องพูดถึงการฆ่าเขาเลย มีแต่ความเมตตาสงสารเป็นพื้นฐานของใจตลอดมา ทุกเวลาได้แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลแก่สัตว์ไม่เลือกหน้า โดยไม่มีประมาณตลอดมา เวลาตายแล้วจะกลายเป็นศัตรูคู่เวรแก่สัตว์ ให้เขาล้มตายลงจากชีวิตที่แสนรักสงวนของแต่ละตัว เพราะผมเป็นเหตุเพียงคนเดียวนั้น ผมทำไม่ลง อย่างไรขอให้นำผมออกไปตายที่สกลนคร เพราะที่นั้นเขามีตลาดอยู่แล้ว คงไม่กระเทือนชีวิตของสัตว์มากเหมือนที่นี่
เพียงผมป่วยยังไม่ถึงตายเลย ผู้คนพระเณรก็พากันหลั่งไหลมาไม่หยุดหย่อน และนับวันมากขึ้นโดยลำดับ ซึ่งพอเป็นพยานอย่างประจักษ์แล้ว ยิ่งผมตายลงไปผู้คนพระเณรจะพากันมามากเพียงไร ขอได้พากันคิดเอาเอง

เพียงผมคนเดียวไม่คิดคำนึงถึงความทุกข์เดือดร้อนของผู้อื่นเลยนั้น ผมตายได้ทุกกาลสถานที่ ไม่อาลัยเสียดายร่างกายอันนี้เลย เพราะผมได้พิจารณาทราบเรื่องของมันตลอดทั่วถึงแล้วว่า เป็นเพียงส่วนผสมแห่งธาตุรวมกันอยู่ชั่วระยะกาล แล้วก็แตกทำลายลงไปสู่ธาตุเดิมของมันเท่านั้น จะมาอาลัยเสียดายหาประโยชน์อะไร เท่าที่พูดนี้ก็เพื่อความอนุเคราะห์สัตว์ อย่าให้เขาต้องมาพร้อมกันตายเป็นป่าช้าผีดิบวางขายเกลื่อนอยู่ตามริมถนนหนทาง อันเป็นที่น่าสมเพชเวทนาเอาหนักหนาเลย ซึ่งยังไม่สุดวิสัยที่จะควรพิจารณาแก้ไขได้ในเวลานี้ ฉะนั้น จึงขอให้รีบจัดการให้ผมได้ออกไปทันกับเวลาที่ยังควรอยู่ในระยะนี้ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ที่รอตายตามผมอยู่เป็นจำนวนมาก ให้เขาได้มีความปลอดภัยในชีวิตของเขาโดยทั่วกัน”


พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านโคกมะนาว อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เมื่อได้ทราบข่าวก็รีบเดินทางเพื่อมาเฝ้าท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ หรือวัดป่าภูริทัตตถิราวาส โดยทันที และเมื่อคณะศิษยานุศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่นคือ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นต้น ประชุมตกลงกันว่าจะนำท่านไปยังวัดป่าสุทธาวาสตามดำริของท่าน โดยทำเสลี่ยงมีคนหามครั้งละ ๘ คน ผ่านบ้านห้วยบุ่น นาเลา คำแหว (อ่านว่า หะแว) ทิดไทย โคกเสาขวัญ กุดก้อม และพักที่วัดป่ากลางโนนภู่ พระอาจารย์กู่ก็ดำริจะติดตามนำองค์ท่านไปด้วย

ดังนั้น คณะศิษยานุศิษย์และชาวบ้านจึงได้อาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นขึ้นแคร่หาม แล้วเคลื่อนขบวนออกจากวัดป่าบ้านหนองผือ หรือวัดป่าภูริทัตตถิราวาส เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. มาถึงวัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม เวลาค่ำ ๒๑.๐๐ น. (ระยะทางประมาณสามสิบกิโลเมตร) ท่านได้พักอาพาธระยะสุดท้ายที่วัดแห่งนี้เป็นเวลา ๑๐ วัน

และที่วัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม นี้เอง ท่านนั่งอยู่บนศาลาหลังคาเตี้ยๆ แล้วให้พระเปิดหน้าต่างออก มีผู้คนมานั่งกราบประนมมือออกันอยู่มากมาย บางคนก็น้ำตาไหลสะอึกสะอื้น ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวโอวาทครั้งสุดท้ายว่า “พวกญาติโยมที่พากันมามากๆ มาดูพระผู้เฒ่าป่วยหรือ ดูหน้าดูตาก็เป็นอย่างนี้หละ ญาติโยมเอ๋ย...ไม่ว่าพระหรือว่าคน สุดท้ายก็คือตาย

หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง ความเกิด แก่ ตาย แท้ที่จริงเป็นตัวธรรม

...ได้มาเห็นอย่างนี้แล้วจงพากันนำไปพิจารณา เกิดมาแล้วก็แก่ เจ็บ ตาย

...ก่อนจะตาย ทานยังไม่ให้...ก็ให้ทานเสีย ศีลไม่เคยรักษา...ก็รักษาเสีย ภาวนายังไม่เคยเจริญ...ก็เจริญเสีย ทำให้มันพอ อย่าประมาท จะไม่เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา นั่นละจึงจะไม่เสียทีเสียท่าที่เกิดมาเป็นคน เท่านี้ละ พูดมากก็เหนื่อย”


จากนั้นท่านจึงสั่งให้คณะศิษยานุศิษย์ที่ใกล้ชิดนำท่านไปที่วัดป่าสุทธาวาส เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งเป็นวันเกิดของท่านพระอาจารย์มั่นพอดี ขบวนโดยพาหนะรถยนต์ของแขวงการทางสกลนคร ในขณะนั้น ได้ออกเดินทางจากวัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม เวลา ๑๐.๒๐ น. มาถึงวัดป่าสุทธาวาส เวลา ๑๔.๓๐ น.

เมื่อมาถึงวัดป่าสุทธาวาสแล้ว จึงหามองค์ท่านขึ้นไปพักบนกุฏิรับรองที่เตรียมไว้แล้ว และดูแลให้ท่านนอนพัก แต่อาการท่านอ่อนเพลียมาก ท่านไม่พูดจาอะไรเลย เป็นเพียงแต่นอนหลับตามีลมหายใจเชื่องช้าแผ่วเบาและเคลื่อนไหวกายเล็กน้อยเท่านั้น ฝ่ายครูบาอาจารย์พระเณรในตอนนี้ต่างก็นั่งรายล้อมสงบอยู่ บางท่านก็คอยห้ามไม่ให้ส่งเสียงดังเพื่อรักษาความสงบ และคอยเตือนผู้คนประชาชนที่ทราบข่าวและหลั่งไหลเข้ามาในบริเวณวัดไม่ให้ส่งเสียง หรือเข้าไปใกล้รบกวนท่านที่พักผ่อนสงบอยู่นั้น

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน มันเคลื่อนคล้อยค่ำมืดลงทุกที จาก ๖ โมงเย็นเป็น ๑ ทุ่ม ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม และ ๔ ทุ่ม ผ่านไปจนถึง ๖ ทุ่ม ตี ๑ ครึ่งกว่าๆ อาการขององค์ท่านพระอาจารย์มั่นที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนนั้นก็เริ่มผิดปกติเป็นไปในทางที่ไม่น่าไว้ใจ มีความอ่อนเพลียมากขึ้น ลมหายใจก็แผ่วเบามากและเบาลงๆ ตามลำดับอย่างน่าใจหาย ส่วนองค์กายของท่านนอนอยู่ในท่าครึ่งหงายตะแคงขวา ในที่สุดลมหายใจขององค์ท่านก็สิ้นสุดถึงแก่มรณภาพละสังขารไว้ให้แก่โลกได้พิจารณาโดยสงบ เพราะท่านได้ดับขันธวิบากเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งตรงกับวันใหม่ วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ในท่ามกลางคณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) เป็นต้น สิริชนมายุรวมได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน พรรษา ๕๖

สำหรับวันประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ตรงกับวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร คือ ๘๑ วันหลังจากท่านพระอาจารย์มั่นเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ทั้งนี้ พระอาจารย์กว่า สุมโน ก็ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย

รูปภาพ
บรรดาศิษยานุศิษย์พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มาร่วมในงานประชุมเพลิง
สรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓
ณ วัดป่าสุทธาวาส บ้านคำสะอาด ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
พระอาจารย์กว่า สุมโน นั่งแถวกลาง หมายเลข ๑๘



๏ ช่วงปลายชีวิตของพระอาจารย์กว่า

ในช่วงปลายชีวิตของพระอาจารย์กว่า เข้าใจว่าท่านได้ย้ายจากสถานที่จำพรรษาที่บ้านนาหัวช้างมาอยู่ประจำที่วัดป่ากลางโนนภู่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เมื่อคราวพระอาจารย์กู่ ผู้เป็นพระพี่ชาย อาพาธหนักอยู่ที่วัดถ้ำเจ้าผู้ข้า โดยพระอาจารย์กู่ท่านได้อาพาธด้วยโรคฝีฝักบัวที่ต้นคอ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวท่าน ซึ่งเคยเป็นแล้วก็หายไป ด้วยการที่ท่านอาศัยการปฏิบัติทางจิตเป็นเครื่องระงับ

ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นี้พระอาจารย์กู่ได้พิจารณาเห็นอาการป่วยนี้ว่าคงเป็นวิบากกรรม และคงไม่พ้นจากมรณภัยนี้ไปได้ ท่านจึงเร่งทำความเพียร มิได้ลดละในการปฏิบัติด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาตลอดพรรษา

เมื่อออกพรรษารับกฐินเสร็จแล้ว ท่านก็ได้ลาญาติโยมขึ้นไปปฏิบัติสมณกิจที่ถ้ำเจ้าผู้ข้า ภูพาน ที่ท่านได้มาบูรณะต่อจากที่พระอาจารย์บุตรได้เริ่มเอาไว้ จนกาลล่วงมาได้ ๓ เดือนเศษ อาการโรคกลับกำเริบขึ้นอีก ญาติโยมได้อาราธนาให้ท่านกลับวัดเพื่อจัดแพทย์มาทำการรักษาพยาบาลให้เต็มที่ แต่ท่านไม่ยอมกลับ คงอาศัยอยู่ที่นั้นโดยมีพระอาจารย์กว่า สุมโน ผู้เป็นพระน้องชาย พระประสาน ขันติกโร และสามเณรหนู ผู้เฝ้าปฏิบัติอย่างใกล้ชิด ได้เห็นท่านอาจารย์กู่นั่งสมาธิทำความสงบนิ่งอยู่ โดยมิได้หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อมรณะภัย และสิ้นลมหายใจในอิริยาบถที่นั่งสมาธิอย่างสงบ ณ ถ้ำนั้นเองในวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๖

พระอาจารย์กว่าจึงได้ร่วมกับชาวบ้านเชิญศพของท่านบรรจุหีบนำมาไว้ที่วัดป่ากลางโนนภู่ เพื่อบำเพ็ญกุศล และในงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้มาร่วมงานกันมากมาย อาทิเช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่หลุย จันทสาโร และหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป เป็นต้น

จากนั้นท่านจึงได้อยู่ที่วัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม เป็นการถาวร

เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๗ พระอาจารย์กว่าได้เข้าร่วมในพิธีอุปสมบทของพระภิกษุสนธิ์ อนาลโย (ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระราชภาวนาพินิจ แห่งวัดพุทธบูชา กรุงเทพฯ) ณ พัทธสีมาวัดป่าสุทธาวาส บ้านคำสะอาด อ.เมืองสกลนคร โดยมี พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) เป็นพระอุปัชฌาย์, องค์ท่าน (พระอาจารย์กว่า) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสนธิ์ ขนฺตยาคโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ในช่วง ๔ ปีสุดท้ายของพระอาจารย์กว่า ได้มีการอนุญาตให้มีการออกวัตถุมงคล โดยรุ่นแรกได้ออกเหรียญที่ระลึกในงานกฐินวัดป่ากลางโนนภู่ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ โดยโรงเรียนจ่าอากาศ ดอนเมืองสร้างถวาย เหรียญตอกโคด “จ อ” ชื่อวัดในเหรียญใช้ชื่อว่า “วัดป่าบ้านภู่” เป็นเหรียญรูปน้ำเต้า

ในปี ๒๕๑๗ ก็ได้ออกมา ๒ รุ่น รุ่นหนึ่งเพื่อเป็นที่ระลึกในงานกฐินวัดป่ากลางโนนภู่ ปี ๒๕๑๗ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยโรงเรียนจ่าอากาศ ดอนเมืองสร้างถวาย เหรียญตอกโคด “จ อ” ชื่อวัดในเหรียญใช้ชื่อว่า “วัดป่าบ้านภู่” เป็นเหรียญรูปน้ำเต้า และอีกรุ่นหนึ่ง เพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างธุดงคสถานน้ำตกกะอาง จ.นครนายก ชื่อวัดในเหรียญใช้ชื่อว่า “วัดป่านาภู่” เป็นเหรียญรูปไข่

ในปี ๒๕๑๘ ได้ออกเป็นพระผงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อเป็นที่ระลึกในงานทอดกฐิน วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยโรงเรียนจ่าอากาศ ดอนเมืองสร้างถวายและเหรียญสุดท้ายเป็นเหรียญกลม ไม่ระบุวันที่หรือปีที่สร้าง เป็นเหรียญที่ โรงเรียนจ่าอากาศ ดอนเมืองสร้างถวายอีกเช่นกัน ชื่อวัดในเหรียญใช้ชื่อว่า “วัดป่ากลางโนนภู่” และมีข้อความบนเหรียญระบุว่า “รุ่นหนึ่ง” ฝีมือการผลิตค่อนข้างประณีตกว่าเหรียญรูปน้ำเต้ามาก

ภายหลังจากงานกฐินปี ๒๕๑๘ ได้ ๒ เดือนเศษท่านก็มรณภาพ


๏ การมรณภาพ

พระอาจารย์กว่า สุมโน ได้มรณภาพด้วยโรคหัวใจวาย ณ วัดป่ากลางโนนภู่ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๙ สิริอายุรวมได้ ๗๒ พรรษา ๕๑ หลังจากงานฌาปนกิจศพท่านแล้ว ก็ได้มีการสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้เคียงคู่กับเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน ผู้เป็นพระพี่ชาย ณ วัดป่ากลางโนนภู่

รูปภาพ
เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน พระพี่ชาย (ขวา)
และเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุพระอาจารย์กว่า สุมโน (ซ้าย)
ณ วัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร




.............................................................

♥ รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก ::
(๑) หนังสือภาพ ชีวประวัติ และปฏิปทาของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
(๒) หนังสือบูรพาจารย์ รวบรวมโดย มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
(๓) ประวัติและปฏิปทา “พระอาจารย์กว่า สุมโน”
จากเว็บไซต์ dharma-gateway.com และ sakoldham.com

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2013, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงปู่กว่า สุมโน


พระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว : “หลวงปู่กว่า สุมโน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=44429

ประมวลภาพ “หลวงปู่กว่า สุมโน” วัดป่ากลางโนนภู่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=44408

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร