วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
พระศรีวรญาณ (หลวงพ่อมหาไหล โฆสโก)


วัดป่าหนองคู
ต.หนองกุง อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม



๏ ชาติภูมิ

“พระศรีวรญาณ” หรือ “หลวงพ่อมหาไหล โฆสโก” พระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่แห่งเมืองมหาสารคาม เป็นพระสายวิปัสสนากัมมัฏฐานที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมอต้นเสมอปลาย มีเมตตาธรรมสูง มักน้อย สันโดษ ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคลากรทางพุทธศาสนา เป็นพระทรงคุณวุฒิในทางพระปริยัติธรรมมีความรู้ในทางโลกและทางธรรม เคยเป็นตัวแทนไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ต่างประเทศนานนับสิบปี

หลวงพ่อมหาไหล โฆสโก มีนามเดิมว่า ไหล เพียรอดวงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2483 ตรงกับวันจันทร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ ณ บ้านหนองคู ต.หนองกุง อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายสุข และนางทุม เพียรอดวงษ์ ปัจจุบัน สิริอายุได้ 69 พรรษา 39 (เมื่อปี พ.ศ.2552) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าหนองคู บ้านหนองคู ต.หนองกุง อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม


๏ การอุปสมบท

หลังจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ออกมาช่วยงานครอบครัวทำไร่ทำนาตามวิถีชีวิตของคนอีสานทั่วไป เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยฉกรรจ์ก็ต้องออกไปตระเวนรับจ้างหางานทำ เพื่อเลี้ยงดูโยมบิดา-โยมมารดา และครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง

แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจโน้มเอียงเข้าหาพระธรรม เมื่ออายุได้ 29 ปี ในปี พ.ศ.2512 ได้ตัดสินใจเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสุทธิวนาราม บ้านหนองฉิม ต.หนองฉิม อ.เนินสง่า จ.ชัยภูมิ โดยมีเจ้าอธิการสิงห์ วัดสุทธิวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สิมมา วัดสุทธิวนาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์น้อย วัดบ้านหวาย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “โฆสโก” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีเสียงก้อง” หมายถึงมีธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลถ้วนทั่วนั่นเอง ส่วนสาเหตุที่มาอุปสมบทที่วัดแห่งนี้เนื่องเพราะมีพระภิกษุบ้านเดียวกันมาจำพรรษา เล่าเรียนปริยัติธรรมอยู่วัดนี้หลายรูป


๏ การศึกษาพระปริยัติธรรม

ภายหลังอุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัย จนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ณ สำนักเรียนบ้านกันกง ต.ละหาน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ

ต่อมา ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดมรรคสำราญ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท จากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสว่างโนนคูณ ต.วังหินลาด อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น มุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัยด้วยความขยันขันแข็งก็สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก และยังสอบได้เปรียญธรรม 2 ประโยค มาสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยคที่วัดบ้านสงเปลือย อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ต่อจากนั้นได้เดินทางไกลไปพำนักจำพรรษาที่วัดทับค้อ (สวนพระโพธิสัตว์) ต.ทับคล้อ อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค

พ.ศ.2516 พรรษาที่ 5 ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาธรรมบาลี ณ สำนักเรียนวัดหิรัญรูจีวรวิหาร แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพฯ

พ.ศ.2524 ด้วยความที่หลวงพ่อมหาไหล เป็นคนเรียนเก่งหัวไว สามารถสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค รวมระยะเวลาเรียนเปรียญธรรม 1-9 ประโยคเพียง 13 ปีเท่านั้น ซึ่งน้อยนักที่จะมีคนทำได้ และเวลาต่อมายังสอบได้ พ.ม. (ครูพิเศษมัธยม)

รูปภาพ
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ


๏ ศิษย์หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

ท่านมีโอกาสได้ไปศึกษาอบรมธรรมกับหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งมีแนวการปฏิบัติคือ การเจริญสติรู้การเคลื่อนไหวของกาย ตามหลักสติปัฏฐาน 4 โดยเน้นสติสัมปชัญญะในอิริยาบถต่างๆ มีรูปแบบของการเดินจงกรม การทำจังหวะมือ และการทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้น


๏ งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดหิรัญรูจีวรวิหาร ท่านได้อุทิศตนรับใช้พระพุทธศาสนาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เป็นอาจารย์สอนธรรมบาลีหลายสำนักเ ช่น วัดไตรมิตร วัดหิรัญรูจีวรวิหาร ฯลฯ และเป็นวิทยากรอบรมบาลีก่อนลงสนามสอบ ให้กับภิกษุสามเณรที่เรียนเปรียญธรรมในกรุงเทพฯ

พ.ศ.2530 ด้วยความที่เป็นพระที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างแตกฉาน เป็นที่ยอมรับของพุทธศาสนิกและวงการสงฆ์ จึงได้รับคัดเลือกจากมหาเถรสมาคม กรมการศาสนา เป็นพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่วัดพระศรีรัตนาราม เมืองเซ็นต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ สหรัฐอเมริกา ท่านปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง อบรมสั่งสอนทั้งพุทธศาสนิกชนที่เป็นคนไทย ลาว เขมร รวมทั้งชาติฝรั่ง ก็ให้ความสนใจศาสนาพุทธมาก คนฝรั่งที่มาวัดจะสนใจการปฏิบัติเพียงอย่างเดียว ท่านปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ต่างประเทศถึง 10 ปี

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2540 เกิดสำนึกว่าตัวเราจะมาอยู่สุขสบายอยู่เมืองนอกเมืองนาทำไม เพราะวัดบ้านเกิดเมืองนอนถิ่นอีสานยังด้อยพัฒนาแทบทุกด้าน จึงตัดสินใจเดินทางกลับมายังเมืองไทย ต่อมาภายหลังมาพำนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าหนองคู อันเป็นวัดบ้านเกิดเมืองนอน

หลวงพ่อมหาไหล ได้ใช้หลักธรรมอบรมสั่งสอนคณะศรัทธาญาติโยม มุ่งเน้นการปฏิบัติเป็นหลัก ด้วยเชื่อว่าการฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานจะสามารถสร้างสติกำลังใจให้เกิดความเข้มแข็งได้ เช่น ผู้ติดอบายมุขเมื่อมาปฏิบัติพิจารณาจะทำให้เกิดปัญญามองเห็นโทษ ก็สามารถเลิกอบายมุขได้ และตรงกันข้ามหากกำลังใจไม่เข้มแข็งถึงจะมาบวชห่มเหลืองก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นการปฏิบัติจึงเป็นแนวทางที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนได้ และผู้ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่กำลังใจต้องกล้าแข็ง อดทน เพราะจะไม่ได้รับความสะดวกสบายใดๆ ทั้งสิ้น จะมีเพียงฟางไว้สำหรับปูนั่ง นอน ตามโคนต้นไม้เท่านั้น


๏ ผลงานและเกียรติคุณดีเด่น

เนื่องจากหลวงพ่อมหาไหล มีความชมชอบธรรมชาติและป่าไม้ ในวันสำคัญต่างๆ ท่านจึงนำพาคณะศรัทธาญาติโยม และสาธุชนทั่วไป ร่วมแรงร่วมใจกันปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ขึ้นเสริมภายในวัดป่าหนองคูตลอด ทำให้วัดป่าแห่งนี้มีแต่ความสงบเย็น ร่มรื่น สัปปายะ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนาเป็นยิ่งนัก นอกจากนั้นท่านยังไม่เคยประกาศขอเรี่ยไรปัจจัยจากคณะศรัทธาญาติโยม อีกทั้ง กฐิน ผ้าป่า ก็ไม่เคยไปขอ ท่านบอกว่าหากคณะศรัทธาญาติโยมมีจิตศรัทธาเลื่อมใส เขาก็จะเข้ามาทำบุญเอง

หลวงพ่อเป็นพระที่เคร่งครัดพระธรรมวินัยมาก ถึงขนาดประกาศห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือคนที่อยู่ในอาการมึนเมาเข้ามาในเขตวัดโดยเด็ดขาด

ด้วยการที่หลวงพ่อมหาไหลเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย มุ่งสั่งสอนเน้นปฏิบัติ จึงทำให้วัดป่าหนองคูมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสถานที่อบรมปฏิบัติธรรมของสถานศึกษา หน่วยงานราชการ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป รวมทั้งจังหวัดข้างเคียงเช่นขอนแก่น บุรีรัมย์ ก็มาปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนี้ แต่ละปีรวมแล้วนับหมื่นคน

พ.ศ.2542 วัดป่าหนองคู ได้รับแต่งตั้งจากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติประจำจังหวัดมหาสารคาม

พ.ศ.2543 จังหวัดได้มอบหมายให้วัดป่าหนองคู เป็นศูนย์ประสานงานป้องกันยาเสพติดจังหวัดมหาสารคาม และศูนย์อบรมกลุ่มเสี่ยงยาเสพติดมหาสารคาม มีการนำเยาวชนหรือผู้ที่เสพยาเสพติดเข้ามาบำบัดรักษา พัฒนาจิตใจให้เข้มแข็ง

พ.ศ.2547 ท่านได้รับพระราชทานโล่เสมาธรรมจักรทองคำและเกียรติบัตร (รางวัลเสาเสมาธรรมจักรทองคำ) ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ประเภทส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ประจำปี 2547 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2547 เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชาวบ้านทั่วไปที่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน จึงมีโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตมากมาย อาทิ สนับสนุนให้ชาวบ้านใช้ปุ๋ยชีวภาพ ทำสบู่ ยาสีฟันใช้เอง ทำการเกษตรปลอดสารพิษอย่างถาวร โครงการร้านค้าชุมชนมั่นคง ฝึกอบรมเกษตรเยาวชนสัมพันธ์ โครงการหมู่บ้านเปลี่ยนวิถี เป็นต้น ทำให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

รูปภาพ
ศาลากลางน้ำ โบสถ์ของวัดป่าหนองคู จ.มหาสารคาม


๏ ลำดับสมณศักดิ์

หลวงพ่อมหาไหล อุทิศตนรับใช้พระพุทธศาสนาและชุมชนอย่างยาวนานน่าสรรเสริญยิ่ง ปัจจุบันวัดป่าหนองคู กลายเป็นลานบุญลานธรรมมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ว่าเป็นสถานที่อบรมปฏิบัติธรรมที่สงบร่มรื่นยากจะหาสถานที่ใดเทียบได้

ในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 หลวงพ่อมหาไหล ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระศรีวรญาณ” ท่านจึงเป็นเพชรเม็ดงามที่ควรค่าแก่การเคารพกราบไหว้โดยแท้จริง


(มีต่อ)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
จากซ้าย องค์ที่ ๔-๕ : หลวงพ่อพระมหาไหล โฆสโก และ “หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ”


การปฏิบัติธรรมเจริญสติภาวนาแนวการเคลื่อนไหว
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อพระมหาไหล โฆสโก


งานอบรมการปฏิบัติธรรมเจริญสติภาวนาแนวการเคลื่อนไหว
ณ อาคารหอฉันพุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่พึ่งเป็นสรณะอันสูงสุดในชีวิต ขอโอกาสพระเถรานุเถระ พระวิปัสสนาจารย์ ตลอดจนกระทั่งสหธรรมมิก และลูกเณร ขอเจริญในธรรมแก่ผู้สนใจในธรรมทุกท่าน

วันนี้หลังจากการทำวัตรเย็นแล้ว เราก็จะได้มีรายการพิเศษ เรียกว่าปฏิบัติธรรมน้อมระลึกนึกถึง คุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราย้อนไปเมื่อ ๒๕๘๙ ปีที่ผ่านมา ก็คืนวันเพ็ญเดือนหก นี้แหละ เป็นคืนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วทีนี้ในวันนี้ จะได้พูดถึงเรื่องของอริยสัจ คืออริยสัจ ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์ได้ตรัสรู้

ในตอนเช้า (หลังทำวัตรเช้า) ได้พูดถึงเรื่องญาณทั้งสามคือ บุพเพนิวาสญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณ บางคนอาจสงสัยว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้อะไรกันแน่ บางคนก็ว่า พระองค์ตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ ๗ บางที่ก็บอกว่าตรัสรู้ด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ บางที่ก็บอกว่า ตรัสรู้ด้วยญาณทั้งสาม แล้วบางคนก็บอกว่าตรัสรู้ด้วยอริยสัจ ๔ บางคนก็บอกว่าตรัสรู้ด้วยมรรคมีองค์ ๘ แล้วทีนี้ ถ้าหากว่าเราพูดกัน บางทีเราอาจจะเห็นเป็นคนละเรื่องกัน อย่าง โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ อริยสัจ ๔ หรือญาณ ๓ แต่ความจริงแล้ว มันก็รวมอยู่ในที่เดียวกัน แต่ต่างสถานที่ ต่างหมวด ก็เลยบัญญัติเรียกกันไปคนละอย่าง

ก่อนที่จะพูดถึงอริยสัจจ์ ๔ ก็อยากจะเริ่มต้นมาจากมรรค ๘ เพราะ มรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นหลักที่พระองค์ได้ดำเนินมาจนกระทั่งบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วถ้าพูดถึงมรรค ๘ บางทีเราก็จะเกิดความสงสัยว่า เอ๊ะ มรรค ๘ มีอะไรบ้าง ถ้าหากเราจะพูดกว้างๆ มันก็กว้าง ตั้งแต่สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ แล้วถ้าหากเราจะพูดย่อลงมาอีก ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าหากเราจะพูดลงมาก็คือ มรรคมีหนทางอันเดียว คือกายกับใจของเรานี้ มีหนทางเส้นเดียวที่จะต้องดำเนินเดินไป การเดินก็ได้พูดตั้งแต่วันแรกแล้วว่า กรรมฐานมีกายกับใจ เป็นกรรมทา กายกับใจเป็นอารมณ์ กายกับใจเป็นทางเดิน มีสติเป็นผู้ทำกรรมฐาน เป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์ สติเป็นผู้เดินตามทางคือ รูปและนามในปัจจุบันนี้เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แล้วตัวนี้แหละ เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘

ทีนี้มรรคมีองค์ ๘ นี้จะเริ่มต้นด้วยสัมมาทิฐิก่อน คือเริ่มต้นจากปัญญา แล้วทีนี้บางทีเราก็อาจสงสัยว่า เอ๊ะ บางแห่ง เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ในหลักของมรรค ๘ ทำไมเอาปัญญาขึ้นมาไว้ก่อน ก็เพราะว่าหลักของการปฏิบัตินั้น เริ่มจากความรู้สึก คือเริ่มจากตัวสติไปก่อน อย่างเช่นที่เราปฏิบัติกันนี้ เราเอามือวางไว้ที่เข่าทั้งสอง เราก็รู้ ตัวรู้นี้แหละ เป็นตัวปัญญาในเบื้องต้น แต่เรายังไม่เรียกปัญญา เราเรียกกันว่า สติ แต่ความจริงก็คือหน่อแห่งปัญญานั่นเอง

แล้วถ้าเราไม่ใช้ปัญญาในเบื้องต้นนี่ มันจะเดินไปไหนถึงไหม ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบไหนก็ตาม จะปฏิบัติแบบยุบหนอ-พองหนอ ก็ต้องใช้ตัวความรู้สึก เข้าไปจับตรงที่ยุบที่พอง จะใช้วิธีดูลมหายใจออก หายใจเข้า ก็ต้องเอาสติไปรู้สึกที่ลมกระทบ คืออาศัยความรู้สึกเป็นเบื้องต้น อาศัยความรู้สึกเป็นตัวนำ เรียกว่า อาศัยปัญญา เป็นตัวนำ พระองค์จึงยกสัมมาทิฐิขึ้นเป็นเบื้องต้น สัมมาทิฐิ แปลว่า เห็นถูก การเห็นถูกคือเห็นอย่างไร ก็คือการเห็นอยู่ที่กายที่ใจนี่เอง ไม่ใช่ไปเห็นที่อื่น ถ้าไปเห็นที่อื่น นอกจากเห็นที่กายที่ใจแล้วนี่ วิธีนั้นเป็นวิธีที่ปฏิบัติผิด วิธีไหนก็ตามถ้ามาเห็นกายเห็นใจ มาดูความรู้สึกที่กายที่ใจแล้ว วิธีนั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องทั้งหมด

ฉะนั้น หลักของสัมมาทิฐิถึงบอกว่าการเห็นถูก เห็นถูกคือเห็นกายเห็นใจ แล้วในหลักท่านบอกว่า เป็นอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ก็อยู่ที่กายที่ใจของเรา สมุทัยก็อยู่ที่ใจของเรา นิโรธก็อยู่ที่ใจ มรรคก็อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่เอง ถ้าหากว่าเห็นที่กายที่ใจ ก็แสดงว่า เห็นถูกหรือเห็นทุกข์ ถ้าเห็นทุกข์มันเกิดขึ้นทางกาย ก็เรียกว่าเป็นทุกข์กาย ถ้าเห็นทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ ก็เรียกว่าเป็นทุกข์ใจ คือมันมีทุกข์สองอย่าง ทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่ทุกข์สองอย่างนี้ มันก็เนื่องถึงกันและกันอยู่เสมอ

ถ้าหากว่าตราบใด กายและใจมันไม่แยกออกจากกันแล้ว มันก็สะเทือนถึงกันตลอด เพราะมันเป็นสะพานเชื่อมโยงถึงกันและกันระหว่างกายกับใจ ฉะนั้น การปฏิบัติจึงยกเอาตัวนี้ขึ้นมาเป็นหลักในการปฏิบัติก่อน ว่าให้เรารู้อยู่ที่กายของเรา เพราะว่าอย่างหลักของหลวงพ่อเทียนนี่น่ะ ท่านให้เราพิจารณาง่ายๆ คือพิจารณาจากส่วนหยาบไปสู่ส่วนละเอียด ส่วนหยาบก็คือกาย แต่ถ้าเป็นวิธีแบบ ยุบหนอ-พองหนอ หรือพุทโธ นับจากส่วนละเอียดมาหาส่วนหยาบ การที่ดูส่วนหยาบเข้าไปถึงส่วนละเอียดนี่ มันดูง่าย เพราะการที่เรามาฝึกนี่ เรายังไม่มีสมาธิแนบแน่น ไม่มีสมาธิเพียงพอที่จะดูส่วนละเอียดให้เห็นโดยชัดได้ ขณะที่เรายกมือ ตะแคงมือขึ้น ยกขึ้นมาหยุด แล้วเอามาที่ใต้สะดือ เอามือเข้า เอามือออกนี้ เรายังกำหนดไม่ได้ชัด เรียกว่าขนาดมันหยาบๆ ขนาดนี้ เรายังกำหนดไม่ค่อยได้ ใหม่ๆ แต่อาศัยว่าการเคลื่อนไหว มันเป็นส่วนที่หยาบ เห็นได้ง่าย

ถ้าหากเราพยายามอยู่ในส่วนนี้ไปเรื่อยๆ เราจะค่อยเห็น รู้สึกมากเข้าๆไปอีก รู้สึกมากเข้าในการยกมือสร้างจังหวะ เอามือเข้าเอามือออก แล้วก็รู้สึกชัดในการที่เราเดินไป ขณะเท้ากระทบพื้นนี่ พอเรารู้ในส่วนนี้มันชัดเท่านั้นเอง แล้วเราก็จะรู้ขยายออกไปถึงส่วนย่อยของอวัยวะต่างๆ เช่นการเหยียดแขน คู้แขน การลืมตา อ้าปาก กลืนน้ำลาย กระพริบตา การเคี้ยวอาหาร รู้ขยายออกไปๆ ในอิริยาบถย่อยๆ เราลุก เราก็รู้ เรานั่งเราก็รู้ เรายืนเราก็รู้ เราเดินเราก็รู้ เราจะไปจับอะไร ทำอะไร มันก็รู้โดยอัตโนมัติ

ถ้าหากเรารู้ชำนาญในส่วนใหญ่ๆ แล้ว ในอิริยาบถใหญ่แล้ว มันค่อยรู้ลึกลงไปๆ เราก็จะไปถึงการเห็นความคิด ความคิดมันเกิดขึ้น แต่ทีแรกเราจะไม่เห็น ความคิดมันเกิดขึ้น ๑๐๐ เรื่อง เราจะเห็น ๒-๓ เรื่อง แต่ถ้าเรามีความรู้สึกมากขึ้น เราก็จะเห็นความคิดถี่ขึ้น ความคิด ๑๐๐ เรื่องก็จะเห็น ๕ เรื่อง ๑๐ เรื่อง ๒๐ เรื่อง ๓๐ เรื่อง ๔๐ เรื่อง ๕๐ เรื่อง จนกระทั่งเกิด ๑๐๐ เรื่อง เราเห็น ๑๐๐ เรื่อง

แล้วการที่เห็นความคิดของเรานี้ ทุกๆ ท่านที่ปฏิบัติมาพอสมควรแล้ว จะเห็นความคิดของตัวเอง ว่าความคิดแรกมันจะยาว คือความคิดมันยาว แล้วบางทีเราเดินไปตั้งนานมันก็คิดไปตั้งนาน มันจึงไปเห็น พอไปเห็นมันจึงหยุด แต่เมื่อเรามีความรู้สึกมากขึ้น ความคิดมันจะสั้นลงๆ เพราะสติของเราเข้าไปเห็นบ่อยเข้า คือสติของเรามันเริ่มอยู่กับตัวมากเข้า เราก็จะเห็นความคิดถี่ขึ้น เมื่อเห็นถี่ขึ้น ความคิดมันก็สั้นลง เราเห็นถี่ขึ้นมากเท่าใด มันก็จะสั้นลงมากเท่านั้น มันจะสั้นลงๆ จนกระทั่งมันเกิดปั๊บ ดับ เกิดปั๊บ ดับ

แล้วทีนี้ตัวความคิดนี้แหละ ที่พระพุทธองค์เรียกว่าเป็นตัวสมุทัย เป็นตัวทำให้เกิดทุกข์ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เกิดทุกข์ นอกจากความคิดที่เราหลงคิดนี่ ความคิดที่เราหลงคิดนี้มันเป็นตัวสมุทัย ทีนี้ถ้าหากว่า เมื่อความคิดมันเกิดขึ้น ถ้าหากเราเอาสติเข้าไปรู้ทัน มันจะเป็นนิโรธ แต่ถ้าเราเอาสติไปรู้ไม่ทัน เห็นไม่ทัน ในขณะที่มันเกิดขึ้น มันก็จะเป็นทุกข์ คือระหว่าง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มันอยู่ตรงข้ามกัน ถ้าหากว่า เวลารูปมากระทบตา เกิดความคิด เกิดความรัก เกิดความชัง ถ้ามันเกิดความรักความชัง เห็นว่าสวยไม่สวยนี่ แสดงว่าสติของเราสกัดไม่ทันตรงเบื้องต้นนี้แหละ สติเราสกัดไม่ทันคือให้มันเลยไปถึงสมมติแล้ว ถ้าหากเรามีสติไปสกัดกั้นตอนที่มันถึงสมมติได้ มันก็หยุดอยู่ที่สมมติ

ในเรื่องนี้ ในเรื่องการเจริญสตินี่ เคยได้อ่านในวิสุทธิมรรค ตอนที่เรียนประโยค ๘ ท่านเปรียบอุปมาอุปมัยไว้ตอนหนึ่งว่า มีภิกษุผู้เจริญสติรูปหนึ่ง ลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เดินเข้าสู่ป่าเพื่อไปหาที่วิเวก แล้วขณะที่ท่านเดินทางไปนั้น บังเอิญว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีจะพาภรรยาไปเยี่ยมบ้านเกิดของภรรยา แล้วก็มาเกิดทะเลาะกันอยู่กลางทาง พอทะเลาะกัน ก็แยกทางกันเดิน ผู้หญิงก็มุ่งหน้าไปสู่บ้าน ผู้ชายก็เดินกลับ บังเอิญผู้หญิงเดินสวนกับพระ แล้วก็ยิ้มให้พระ เดินผ่านไป

พอดีผู้เป็นสามีคิดได้ว่าภรรยาเข้าไปในดงคนเดียว กลัวจะเกิดอันตรายขึ้นก็เลยรีบตามมา มาเห็นพระท่านกำลังเดินทางไป ก็เลยถามว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาทางนี้ไหม พระท่านก็บอกว่า ไม่ทราบว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย เห็นแต่ร่างกระดูกที่เดินผ่านไปทางนี้ อันนี้ท่านได้เปรียบอุปมาอุปมัยว่า การที่เจริญสตินี่ ตัวสติมันจะรู้เฉพาะเป็นรูป คือไม่ได้เลยไปถึงรูปหญิงรูปชาย หรือได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าเสียง คือไม่รู้ว่าเสียงอะไร เสียงระฆัง เสียงนก เสียงกา ไม่ได้เลยไปถึงโน้น ท่านว่านั่นมันเลยไปถึงสมมติแล้ว คือให้มันอยู่ที่ ตรงที่มันเป็นสัจจะ ให้มันเป็นของจริง จริงๆ มันจะไม่ได้ปรุงแต่งว่าสวย ว่างาม ว่าไพเราะ ว่าดี ถ้าหากมีสวย มีงาม มีไพเราะแล้ว มันก็เกิดมีความรักความชังขึ้นมา เกิดความอยากได้ เกิดความอยากมีอะไรต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นภพเป็นชาติต่อไปได้

นี่แหละการที่เราเห็นความคิดที่มันเกิดขึ้น ตรงที่เรียกว่าสมุทัย ถ้าหากสติของเราไปรู้ทันมันก็เป็นนิโรธ คือมันดับ เพราะนิโรธแปลว่าดับ แล้วมรรค ๔ น่ะ ตรงที่พอเราเอาสติไปสกัดตรงสมุทัยที่มันเกิด มันก็เป็นนิโรธ ถ้ารู้ไม่ทันมันก็เป็นทุกข์ ทีนี้ทุกข์ก็คือตัวที่ไม่มีสติไปสกัดกั้น ตรงสมุทัยมันเกิด แล้วนิโรธก็คือ ตัวที่เรามีสติเข้าไปรู้ทันตรงสมุทัยมันเกิดมันดับ ก็เรียกว่าตัวนิโรธ ทีนี้ตัวมรรค คือตัวที่เราจะทำให้มาก ตัวที่เราจะทำให้มีความรู้สึก คือตัวสติของเราที่เดินตามกายนี้แหละ เดินตามกายเคลื่อนไหว ไม่ว่าเราจะสร้างจังหวะ หรือเราเดิน การที่เราเอาสติเข้าไปรู้ ก็หมายถึงว่าเราเอาสติเป็นผู้เดินตามรูปตามนาม หรือตามกายตามใจของเรา

สติตัวนี้แหละ เป็นหนทางที่จะไปถึงความดับทุกข์ คือตัวนิโรธ เป็นหนทางที่จะไปสกัดกั้นตัวที่มันเกิดจากสมุทัย ตัวความคิดนี้ ถ้าหากไม่มีมรรคตัวนี้ คือไม่มีการเดิน ไม่มีสติเดินตามรูปตามนามนี่ ตัวสติถึงมันจะมีอยู่ก็ตาม แต่ไม่สามารถไปสกัดกั้นตัวสมุทัยที่มันจะทำให้เราเกิดทุกข์ได้ แต่ถ้าเราเดินอยู่นี่ เรารู้อยู่นี่ เรารู้อยู่ขณะที่เราเคลื่อนไหวไปมา เรารู้ เรามีความรู้สึก รู้สึกที่ตัวของเรา รู้สึกที่กายที่ใจของเรา

พอรูปเข้ามากระทบตา ตัวสติจะเข้าไปรู้ทันที ไปสกัดกั้นทันที ความคิดที่จะปรุงแต่งต่อไป มันก็คิดไม่ได้ มันก็ดับ มันก็เลยเป็นนิโรธ เรียกว่า ถ้าเราเผลอปั๊บเวลาไหนนี่น่ะ ทุกข์มันก็จะเกิด เพราะว่าเอาสติไปปิดไม่ทัน เราเผลอไปมากเท่าไร ความทุกข์มันก็จะมีมากเท่านั้น เราเผลอไปหนึ่งนาที ความทุกข์มันก็จะมีหนึ่งนาที เราเผลอไปสองสามนาที ความทุกข์มันก็มีสองสามนาที เราเผลอเป็นชั่วโมง ความทุกข์มันก็มีเป็นชั่วโมง

ฉะนั้น การเดินทางของเรานี่ จึงเป็นเรื่องจำเป็น อย่าให้หยุด แม้ว่าเรายกมือไม่ได้ เวลาเราไปตามรถตามเรือนี่น่ะ เราก็พยายามยามสัมผัสที่มือของเราให้รู้สึก เราอย่าไปยกมือบนรถ อย่าไปยกมือบนเรือ เพราะเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า ให้เราพยายามพลิกมือไปพลิกมือมา หรือว่าสัมผัสมือไปสัมผัสมือมา ให้มันรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราสัมผัสให้มันรู้สึกตัวตลอดเวลานี่ รับรอง ๑๐๐ % เลยว่าความทุกข์มันจะไม่เกิดขึ้นแก่เราได้ ความวิตกกังวลมันจะไม่เกิดขึ้นแก่เราได้ เพราะตัวความรู้สึกนี่ ไม่ว่าเราจะยกมือก็ตาม ไม่ว่าเราจะสัมผัสมือก็ตาม ไม่ว่าเราจะกระดิกมือไป กระดิกมือมาก็ตาม มันทำให้เรารู้สึกตัวอยู่ตลอด

เมื่อรู้สึกอยู่ตลอด อะไรที่เกิดขึ้นทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็พร้อมที่จะเข้าไปสกัดกั้น ไม่ให้เราทุกข์ ไม่ให้เราเกิดความวิตกกังวลได้ อันนี้แหละตัวเดินทาง ถ้าเราเดินทางมากเท่าใด ความรู้สึกตัวมันก็มากขึ้นเท่านั้น เมื่อความรู้สึกตัวมากขึ้นเท่าใด แล้วความทุกข์มันจะน้อยลงเท่านั้น ความคิดสับสนวุ่นวาย มันจะคิดน้อยลงๆ ถ้าเรามีความรู้สึกตัวตลอดนี่ ความทุกข์มันจะไม่มีเลย เพราะว่าความคิดปรุงแต่งนี่มันไม่มี

แล้วคำว่าความคิดนี้ก็ต้องให้ญาติโยมเข้าใจกัน บางทีจะคิดว่า เอ ถ้าหากว่าไปดับความคิดมันก็หมดแล้วน่ะสิ ไม่มีอะไร จะไปทำความเจริญอะไร จะไปเป็นอยู่ จะไปอะไร สร้างอะไรไม่ได้แล้ว เพราะมันไม่มีความคิด ให้เข้าใจว่า ความคิดมันมี สองชนิด คือ ความคิดชนิดหนึ่งนั้น เรียกว่าความคิดที่เป็นไปด้วยโมหะ ความคิดอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่าความคิดที่เป็นไปด้วยวิชา ความคิดที่เป็นไปด้วยโมหะ นี่ ที่มันมักเกิดขึ้นแก่เราในขณะที่เราไม่มีสติ ในขณะที่เราหลง แล้วพอเกิดขึ้น มันคิดเรื่องอะไรๆ ก็ไม่ค่อยจบ คิดเรื่องนี้ยังไม่จบ ก็ไปคิดเรื่องโน้น คิดเรื่องโน้นยังไม่จบ กลับมาคิดเรื่องนี้ แล้วก็ไปคิดเรื่องโน้นต่อ เรียกว่าคิดอะไรก็ไม่มีที่จบว่างั้นเถอะ แล้วก็ เราจะสลัดมันออกไป ก็สลัดไม่ค่อยออก มันเหนียว เราสลัดปั๊บ ออกไป มันคล้ายๆ มียางเหนียว มันก็ยืดกลับมา เราพยายามตัดออกไปทีไร มันดีดปั๊บกลับคืนมา บางทีนอนมือเกยหน้าผากทั้งคืน นอนไม่หลับ จะทิ้งก็ทิ้งไม่ลง

แล้วความคิดชนิดนี้แหละ ถ้าหากใครคิดมากๆ นี่ จะเป็นโรคเครียดกัน สมัยนี้คนเรามีความคิดชนิดนี้มาก แล้วคนเราถึงเกิดความเครียดกันทั่วๆ ไป ถ้าหากความเครียดเกิดขึ้นในตระกูลใด หรือบ้านใดแล้วนี่ บ้านนั้นต้องระวัง เพราะว่าความเครียดมันเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อย่างที่มีการฆ่ากันตายหมดตระกูล ก็เพราะความเครียดนี่แหละเกิดขึ้น คิดๆ ไปมันไม่มีที่ออก ก็วกไปวนมา เกิดภาพหลอน คนโน้นก็จะมาฆ่า คนนี้ก็จะมายิงฉัน คนโน้นก็จะมาทำร้ายตัวเอง

ยิ่งพวกติดยาเสพติดก็ยิ่งอันตรายใหญ่ อย่างที่ข่าวหนังสือพิมพ์เขาบอกว่า เกิดขึ้นที่สุโขทัย บ้านนั้นเป็นบ้านที่รวย เรียกว่ามีรถแทรกเตอร์ มีรถไถ มีรถดั๊มพ์ อะไรเยอะแยะ แล้วมีลูกชายคนเดียว ทำงานอย่างหนัก แล้วกินยาบ้าเข้าไป เพื่อจะทำงานให้ได้เงินมากๆ แล้วพอกินเข้าไปมากๆ ความคิดมันก็มากขึ้นๆ แล้วเกิดภาพหลอนขึ้นมา เหมือนกับจะมีคนมาตามฆ่า มันก็เลยเกิดความกลัวขึ้นมา แล้วพอเกิดความกลัวขึ้นมา เค้าก็มีปืนลูกซองสั้นอยู่กระบอกนึง แล้วก็กำปืนลูกซองสั้นนั่นอย่างแน่น เพื่อจะเตรียมยิงคนที่จะมาฆ่าตัวเอง แล้วก็เข้าไปหลบอยู่ในห้อง แม่เห็นลูกเข้าไปอยู่ในห้องเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว กลัวลูกจะเป็นอะไร ก็เลยไปเปิดประตู พอเปิดประตูเท่านั้นแหละ คนนั้นนั่งตัวสั่นอยู่กลัวคนจะไปฆ่า พอเปิดประตูปั๊บ เห็นแม่เป็นศัตรู ยิงสวนมา หงายท้องเลย นี้แหละลักษณะความคิดของตัวหลงคิดนี่แหละ

ความคิดที่หลงคิด เราจะดับได้ ก็ด้วยตัวสติ ด้วยปัญญาเท่านั้น คือเห็นด้วยสติ เห็นด้วยปัญญาจริงๆ อย่างชัดๆ เห็นอย่างแจ่มแจ้งมันถึงจะดับได้ การที่เราจะเห็นด้วยสติปัญญา เราก็ต้องอาศัยวิธีการ หลักการที่เราอยู่กับปัจจุบันนี้ หรือว่าเราเดินตามมัชฌิมาปฏิปทา แล้วในที่สุดมันก็จะค่อยปล่อยค่อยวางไปเอง อย่างในหลักของสัมมาทิฏฐิ หรือในหลักของมรรคมีองค์แปดเนี่ย คือสัมมาทิฏฐิขึ้นต้น แล้วก็ต่อด้วยสัมมาสังกัปปะ แล้วพอเราเห็นถูก คือเห็นอยู่ที่กายที่ใจแล้ว ตัวสัมมาสังกัปปะซึ่งเป็นปัญญาที่ลึกซึ้งกว่าสัมมาทิฏฐิ นี้จะเกิดขึ้น พอตัวสัมมาสังกัปปะเกิดขึ้นเนี่ย เนกขัมมะสังกัปปะ ความดำริในการออกจากกาม ในการออกจากกามนี้ก็คือ การที่เราจะออกจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏทัพพะ คือไม่ไปติดในสิ่งเหล่านั้น หมายถึงว่า ไม่ไปติด ไม่ได้ออกไปเลยว่างั้นเถอะ แต่เราไม่ได้ไปติด แล้ว อพยาปาทะสังกัปปะ คือความดำริในทางไม่พยาบาท แล้ว อวิหิงสะ ความดำริในการไม่เบียดเบียน แล้วคือตัวนี้มันคลาย เรียกว่ามันเกิดนิพพิทา

นิพพิทา แปลว่ามันคลาย เราแปลนิพพิทากัน บางทีเราก็งงเหมือนกัน เพราะว่าเราแปลนิพพิทาว่า ความเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้ว นิพพิทา มันเป็นศัพท์เดียวกับเวทนา แต่เขาเอา นิ เข้าไปเป็นบทหน้า แปลว่าไม่ เวทนา แปลว่าเสวย นิพพิทา นี้แปลว่า ไม่เสวย คือไม่ติด คือไม่เสพด้วยความติด เสพอะไร ก็เรียกว่า เห็นรูป ก็เห็นอยู่เฉพาะที่ตา ได้ยินเสียง ก็ได้ยินอยู่เฉพาะที่หู กลิ่นก็อยู่เฉพาะจมูก รสก็อยู่เฉพาะลิ้น สัมผัสก็อยู่เฉพาะกาย ธรรมารมณ์ก็อยู่เฉพาะใจ เพราะว่าเขาเอา นิ ไปไว้ข้างหน้า มันเป็น เพทะธาตุ ถ้าเป็นเวทนา เค้าก็แปลง พะ เป็น วะ แต่ นิพพิทา เนี่ยเขาไม่ได้แปลง แต่เค้าซ้อนตัว พะ ไว้ข้างหน้า คือเอาตัว พ ไว้ข้างหน้าอีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

แล้วทีนี้เมื่อเรารู้ความหมายของมัน ก็คือการที่มันเกิด นิพพิทา ขึ้นมานี้ก็แปลว่า มันไม่ไปติด เพราะว่าตัวสตินี้ไปกำหนด คลายตัวที่มันเป็นยางเหนียว คือกาม ตัณหา วิราคะ แล้ว กาม ตัณหา อุปาทานกรรม คือมันไปคลายตัวนี้แล้ว อย่างที่เราสวดกันนั่นแหละว่า รูปูปาทานักขันโท เวทนูปาทานักขันโท สัญญูปาทานักขันโท สังขารูปาทานักขันโท วิญญานูปาทานักขันโท คือความทุกข์มันเกิดขึ้นเพราะ ตัวอุปาทานที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง แล้วพระพุทธองค์ก็ไปปักลงตรงที่ว่า เยสังปะริญญายะ คือ เพื่อให้สาวกเข้าไปกำหนดรอบรู้ อุปาทานขันธ์เท่านั้นเอง คือถ้าหากว่า เราเข้าไปกำหนดรู้ แล้วตัวอุปาทาน มันก็จะคลาย มันก็จะถอนไปหมด เรียกว่า มันละ มันปล่อย มันวางได้

ถ้าหากว่าเราไม่มีตัวสติเข้าไปกำหนดรู้ตัวอุปาทานตัวนี้ เราจะปล่อย จะวางมันก็ไม่ได้ เรารู้ แต่ว่ามันปล่อย มันวางไม่ได้ อย่างบางคนไปติดเหล้า ติดบุหรี่อย่างเนี้ย รู้ว่ามันไม่ดี แต่ว่ามันปล่อยไม่ได้ เพราะเราไม่ได้กำหนดที่ต้นตอ ไม่ได้กำหนดดูที่สมุทัย ไม่ได้ทำลายกิเลส ตัณหา อุปาทาน เหล่านี้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นยางเหนียวที่ติดแน่นเลย หลวงพ่อเทียนท่านบอกว่า มันเหมือนกับปลิงที่มาเกาะเรา แล้วถ้าหากว่าใครเคยไปชนบท รู้จักปลิง ก็จะรู้ว่ามันเหนียวขนาดไหน เราเอามือนึงดึงปากหนึ่งมันออก แล้วปากที่สองมันยังเกาะอยู่ พอเราดึงปากที่สอง ปากที่หนึ่งมันก็กลับมาเกาะอีก แล้วเราดึงปากที่หนึ่งออก ปากที่สองมันก็เกาะอีก คือมันเกาะอย่างเหนียวแน่น ถ้าหากว่าเราไม่มีวิธีดึงมันออกเนี่ย มันจะดึงออกยากมาก แต่ถ้าหากว่า เรามีวิธีทำให้มันหลุดเนี่ย เราเอายาฉุนๆ ใส่กับปูนที่เค้ากินหมาก แล้วก็ชุบน้ำนิดๆ บีบลงไปที่ปากปลิงนั่น มันก็จะหลุดลงไป คือปล่อยทันที

นี้วิธีการทุกอย่างคือวิธีการที่เราจะตัดรากถอนโคนของตัวตัณหาที่มันเป็นยางเหนียว นี่เราก็ต้องมีวิธีตัดคือเราจะต้องอาศัยสตินี้แหละ แต่สติของเราเนี่ยถ้ามันยังไม่คม มันก็ตัดไม่ได้ ท่านที่ปฏิบัติมานานๆ พอสมควรก็จะเห็นว่าสติของเรามันเริ่มคมเข้าคมเข้า สามารถตัดความคิดได้ง่ายๆ ถ้าหากว่าสติมันคมจริงๆ เราจะเห็นว่าความคิดที่มันหลงคิด หรือว่าความโกรธ ความโลภ ความหลง อะไรต่างๆ มันเป็นของที่ไม่มีอะไรเลยว่างั้นเถอะ แม้ว่าแต่ก่อนเราจะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่สามารถทำลายมันได้ก็ตาม แต่พอเราลับสติตัวนี้ได้เนี่ย เราจะเห็นว่ามันเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือของเรา เราจะกำอย่างไรมันก็ได้ เราจะบีบมันก็ตาย เราจะทำยังไงมันก็ได้ เรียกว่าตัวความคิดนั้นมันไม่มีอำนาจอะไร แต่ก่อนที่เรายังไม่มีสติ เรายังไม่เจริญสติ เรานึกว่ามันไม่มีอะไรที่จะทำลายมันได้แล้ว แต่พอเราเจริญสติได้ดีๆ เราจะเห็นว่ามันไม่มีอะไร ไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดชอะไรเลย จะทำยังไงก็ทำได้

นี้แหละก็ขอให้เราทุกคน ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ได้ทดลองด้วยตัวเอง แม้ว่าเรามาที่นี้ ยังไม่ได้อะไรก็ตาม แล้วถ้าหากว่าเรากลับไปบ้าน ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจละตัวเองจริงๆ ให้เราพยายามสัมผัสนิ้วมือ ไม่ว่าเราจะอยู่ในลักษณะใดก็ตาม เราจะดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออะไรก็ตาม ให้เราสัมผัสมือ ให้รู้สึกอยู่ เราจะนอน เราก็สัมผัสมือจนกระทั่งมันหลับไป แล้วลองดูต่อๆ กันสักเดือนดูว่า มันจะมีฤทธิ์ มีอำนาจขนาดไหน มันสามารถที่จะตัดความคิด มันสามารถที่จะทำลายความโกรธ ความโลภ ความหลง ที่มันเกิดขึ้นกับเราได้จริงมั้ย เพราะสิ่งที่เราจะพิสูจน์ได้ ก็คือตัวของเราเอง ตัวของเราเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า มันมีพลังขนาดไหนได้ และการปฏิบัติของเราเอง เราเองเป็นผู้ประเมินผล

เพราะว่าการปฏิบัติจริงๆ นั้นไม่ใช่อยู่ในที่นี้ การปฏิบัติจริงๆ นั้นคือ การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราที่จะประสบกับสิ่งอะไรหลายๆ อย่าง ประสบทั้งอารมณ์ที่รัก อารมณ์ที่ไม่รัก อารมณ์ที่ชอบ อารมณ์ที่ชัง อะไรต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นในประจำวันของเรา ให้เราไปพิสูจน์ พิจารณาดู ถ้าหากว่าสิ่งอะไรมากระทบเราอย่างแรง จนกระทั่งเราทนไม่ได้ มันเกิดความโกรธขึ้นมา เราก็อย่าพึงไปทำอะไร ให้เรามาสัมผัสมือดูสักนาที เพื่อจะให้ความโกรธตัวนั้นมันยุบลง มันเบาลง เพราะตัวสัมผัสนี้ คือตัวดับไฟราคะ โทสะ โมหะ เป็นตัวดับไฟทั้งสามนี่ได้เป็นอย่างดี นี่แหละที่เรียกว่า เส้นผมบังภูเขา เรามองข้ามไป เรายังมองไม่เห็นมันเอง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย ถ้าหากว่าเราทำเป็นประจำ เราพยายามทำ มันก็จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเราอย่างมหาศาล

ท่านบอกกล่าวไว้คำหนึ่งที่น่าสนใจว่า เราอยู่ในห้องมืดไฟดับ อย่าพึงลุกขึ้นวิ่ง เพราะว่าไฟดับใหม่ๆ นี่ ม่านตามันยังไม่ค่อยขยาย พอเราลุกขึ้นวิ่ง มันจะไปชนขอบเสา ขอบประตูจนหัวร้างข้างแตกไป แต่ถ้าเรานั่งอยู่สักพักนึง ม่านตาเราจะขยายออกๆ เราก็จะมองเห็นทางออกทางเข้าได้อย่างดี ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากว่าเราโกรธขึ้นมานี่ มันปกคลุมหมด มองไม่เห็นอะไรเลย ตัวอวิชชาหรือว่าตัวโมหะ มันจะปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไรเลย แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน เราก็มองไม่เห็น อย่างครอบครัวหรือสามีภรรยา ทะเลาะกันขึ้นมา ถ้าความโกรธมันเกิดขึ้นแล้ว จะหนีไปไหนก็หนีไป บ้านแตกสาแหรกขาดขนาดไหน ก็ไม่ได้สน เพราะมันมองไม่เห็นความผิดความถูกเลย มันจะไปมองเห็นในขณะภายหลังไปแล้ว จนกระทั่งบางทีมันแก้ไขไม่ได้แล้ว

อย่างที่อยู่วัดป่าหนองคูนี้ คอยแก้ปัญหาอยู่เสมอ บางทีผู้หญิงโกนหัวมาพร้อม เอาผ้าขาวมาพร้อม สะพายกระเป๋ามาบอก หลวงพ่อ ขอบวชให้ดิฉันหน่อยเถอะ เพราะว่าอยู่บ้าน พูดกับพ่อบ้านไม่รู้เรื่อง วันไหนออกไปนอกบ้าน กินเหล้ากลับมา ทะเลาะโวยวาย มาตบมาตีแทบทุกวัน ทนไม่ไหว มาขอบวชกับหลวงพ่อ ก็เลยบอกว่า การบวชนี่มันไม่ยากหรอก เพียงโกนหัว ปลงผม ห่มชุดขาว มันก็กลายเป็นชีไปแล้ว

แต่การที่จะบวชทางใจเนี่ย มันลำบาก มันยาก แล้วถ้าหากว่าจะบวชจริงๆ นั้น ก็ให้ทดลองอยู่นี่ซัก ๑๕ วันเป็นอย่างต่ำหรือว่าเดือนหนึ่ง ทำปฏิบัติเจริญสติให้มันเย็นลงเสียก่อน แล้วเป็นยังไงถึงค่อยบวช พอผ่านไปได้ ๔-๕ วัน สะพายกระเป๋ามาลากลับบ้าน อ้าว ทำไมบอกว่าจะบวช ก็ว่า ตอนนั้นคิดว่าจะบวชได้ แต่ว่าตอนนี้ คิดถึงหลาน แม่มันไปทำงานที่กรุงเทพ มาฝากไว้ ไม่รู้ว่าใครจะดู คือขณะที่ความโกรธเกิดขึ้นมาเนี่ย มันมองไม่เห็นอะไร โบราณท่านถึงบอกว่า เห็นช้างตัวเท่าแมว คือเวลามันโกรธขึ้นมาเนี่ย มันปิดบัง ปกคลุมหมด แต่ถ้าหากว่าเรามาสัมผัสมือให้มันรู้สึก แล้วมันจะสร่างขึ้นมา

มีคำหนึ่งที่ท่านกล่าวไว้ว่า “กายใจวาดขาดธรรมลงคราวใด สัมผัสเพียงปลายนิ้ว สติมา” เมื่อสติมา ปัญญามันก็โผล่ เมื่อปัญญาโผล่ขึ้นมา มันก็รู้จักหนทางที่จะแก้ไข ว่าจะแก้ไขด้วยวิธีการอย่างไร จะทำอย่างไร จะออกอย่างไร เมื่อมีปัญญาแล้ว มันสามารถที่จะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนุ่มนวลได้

ฉะนั้น ก็ขอให้เราทุกคน แม้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้เราหาวิธีการรู้สึกให้ได้ รู้สึกด้วยการเคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะว่าการเคลื่อนไหวนี่มันเป็นสิ่งที่จะทำให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่คนนอนหลับเนี่ย ที่กรนดังครืดๆ เราลองไปพลิกดู ให้เคลื่อนไหวดู หรือแม้ว่าเค้าจะเคลื่อนไหวเองก็ตาม แล้วจะหยุดกรนทันที หยุกกรนชั่วขณะหนึ่ง นี่แหละ คนนอนหลับยังมีอาการเปลี่ยนแปลง แล้วคนเราที่ไม่ได้หลับ เรามาสัมผัส รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงไป ถ้าเมื่อเราทำให้มันเพียงพอ พอเหมาะพอควรแล้ว

ฉะนั้น ก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจกัน แม้ว่าเราจะจากกันในพรุ่งนี้ แต่ว่าวิธีการปฏิบัติของเรานั้น จะติดตัวของเราไปตลอดชีวิต เพื่อความสุขความเจริญของชีวิตของเรา ที่เราได้มาน้อมระลึกนึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนี้ ก็ขอให้ทุกท่านได้ประสบดวงปัญญา คือแสงสว่างอันเกิดจากการสัมผัสระหว่างกายระหว่างใจ ให้โชติช่วงชัชวาลขึ้นภายในจิตใจ แล้วสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นทางกายทางใจให้ลุล่วงไปด้วยดีทุกท่านเทอญ



.............................................................

:b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
(๑) หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน ออนไลน์ หน้า ๓๑
คอลัมน์ อริยะโลกที่ ๖ โดย เชิด ขันตี ณ พล
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๕๘๓๔
(๒) พระธรรมเทศนา ถอดความโดย คุณ deedi

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 11:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆ ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8:
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2011, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 10:28
โพสต์: 439


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ

.....................................................
สรรพสิ่งทุกอย่าง ล้วนมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

.................................................................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลอยู่ในตัว
การกระทำของตนย่อมเป็นกรรมที่ตนกำหนดเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2015, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร