วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 10:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่เนย สมจิตฺโต


วัดป่าโนนแสนคำ
ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร



๏ ชาติภูมิ

“พระครูวิมลสีลาภรณ์” หรือ “หลวงปู่เนย สมจิตฺโต” สมณะผู้ตั้งจิตไว้ตรง มีนามเดิมว่า เนย มูลสธูป เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู ณ บ้านกุดแห่ ตำบลกุดเชียงหมี อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี (จังหวัดยโสธร ในปัจจุบัน) โยมบิดาชื่อ นายเอี่ยม มูลสธูป โยมมารดาชื่อ นางสุรีย์ มูลสธูป มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๙ คน ครอบครัวมีอาชีพทำไร่ทำนา

ช่วงชีวิตในวัยเด็ก เมื่ออายุ ๗ ปี ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนบ้านกุดแห่ อายุ ๘ ปี ป่วยเป็นโรคท้องเรื้อรัง ทำให้ขาดการเรียนอยู่ ๓ เดือน พออายุได้ ๑๑ ปี เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แล้วออกมาช่วยโยมบิดา-มารดาทำไร่ทำนาตามประเพณี ด้วยในสมัยนั้นการเรียนภาคบังคับอยู่ที่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เท่านั้น สำหรับการที่จะเรียนต่อให้สูงขึ้นนั้นต้องเดินทางไปเรียนต่อยังโรงเรียนต่างถิ่นต่างอำเภอ พออายุได้ ๑๖ ปี ก็กลับมาช่วยโยมบิดา-มารดาทำไร่ทำนาตามเดิม ด้วยความขยันหมั่นเพียรเต็มกำลังความสามารถ


๏ การบรรพชาและอุปสมบท

พออายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ โยมบิดา-มารดา พร้อมทั้งเจ้าภาพผู้ที่จะถวายผ้าป่า นำท่านไปมอบถวายให้เป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ซึ่งเป็นศิษย์พระกรรมฐานรุ่นใหญ่ของ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระองค์สำคัญ

ท่านได้ฝึกขานนาคอยู่เป็นเวลา ๓ เดือนเต็ม จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ เขตวิสุงคามสีมาวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) ตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยมี พระครูภัทรคุณาธาร (บุญ โกสโล ป.ธ.๔) วัดพรหมวิหาร ตำบลสวาท อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสุนทรศีลขันธ์ (พระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระสมุห์อุ้ย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้เข้ารับฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์ดี ฉนฺโน เจ้าอาวาสวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) ในขณะนั้น อยู่เป็นสม่ำเสมอและบ่อยๆ

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์กงแก้ว ขนฺติโก

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์บัว สิริปุณฺโณ


๏ ลำดับการจำพรรษา

พรรษาที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๐) ได้จำพรรษาที่วัดป่าสุนทราราม โดยมี ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร เป็นผู้ให้นิสัยรับโอวาทการปฏิบัติธรรม ในพรรษานั้นหลวงปู่เนย ได้ถือธุดงค์ห้ามภัตตาหารที่นำมาถวายภายหลังเป็นวัตร (ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์) ตลอด ๓ เดือน

พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๐๑) ได้จำพรรษาที่วัดป่าสุนทราราม และถือธุดงค์ห้ามภัตตาหารที่นำมาถวายภายหลังเป็นวัตร (ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์) เหมือนเดิม

พรรษาที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๐๒) ได้จำพรรษาที่วัดป่าสุนทราราม และคือธุดงค์เนสัชชิก คือไม่นอนตลอดเวลากลางคืน ธรรมดาธุดงค์ข้อนี้ต้องอดนอนตลอดทั้งวัน แต่ท่านอดนอนเฉพาะกลางคืน กลางวันพักบ้างตลอดพรรษา ด้วยสุขภาพท่านไม่แข็งแรง

พรรษาที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ได้กราบขออนุญาตท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร เพื่อไปพำนักจำพรรษาที่ภูถ้ำพระ บ้านคำไหล ตำบลดงเย็น อำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม (จังหวัดมุกดาหาร ในปัจจุบัน) พร้อมทั้งกราบเรียนท่านว่าจะท่องปาฏิโมกข์ให้จบ ครั้นพอออกพรรษาก็ท่องปาฏิโมกข์จบพอดี

พรรษาที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๐๔) ได้จำพรรษาที่ภูถ้ำพระ

พรรษาที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๐๕) ได้จำพรรษาที่ภูถ้ำพระ

พรรษาที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ได้จำพรรษาที่ภูถ้ำพระ

พรรษาที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๐๗) ได้จำพรรษาที่ภูถ้ำพระ

พรรษาที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๐๘) ได้จำพรรษาที่ภูถ้ำพระ ท่านได้ประกอบความเพียรด้วยความวิริยะอุตสาหะแรงกล้า ไม่จำวัดตลอดกลางวัน เพราะที่ภูถ้ำพระนั้น ถ้าพระหรือสามเณรรูปใดจำวัดในเวลากลางวันจะป่วยเป็นไข้ ส่วนตัวท่านไม่เป็นไข้เลยตลอดพรรษา

พรรษาที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๐๙) ได้จำพรรษาที่ภูกระแต บ้านฮ้อม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม กลางพรรษาได้ป่วยเป็นโรคไอเจ็บหน้าอก ได้ไปให้แพทย์ตรวจรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดนครพนม แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคหลอดลมอักเสบ หมอจัดให้ไปฉีดยาที่ตำบลอาจสามารถ แต่ท่านไปฉีดยาที่โรงพยาบาลทุกวันไม่ไหว เพราะวัดที่จำพรรษาห่างจากตัวเมือง ๘ กิโลเมตร ถ้าไม่ทันรถก็ต้องเดินไป

พอหายเป็นปกติแล้วก็ประกอบความเพียรอย่างจริงจังต่อเนื่อง จนปรากฏว่าจิตได้รับความสงบนิ่งดิ่งเข้าสู่สมาธิ ได้รับความสงบเยือกเย็นในสมาธิภาวนาพอสมควร เมื่อออกพรรษาแล้วได้ไปพักที่วัดโนนนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และเดินทางไปพักบ้านหินฮาว ต่อจากนั้นก็ไปที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

พรรษาที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๑๐) ได้จำพรรษาที่วัดกลาง บ้านหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม (จังหวัดมุกดาหาร ในปัจจุบัน) โดยมี ท่านพระอาจารย์กงแก้ว ขนฺติโก เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น ท่านพระอาจารย์กงแก้ว เคยกล่าวว่า “เวลาจิตเป็นสมาธิ อยากให้ท่านทั้งหลายได้เห็นด้วย มันมีความสุขสงบที่สุดไม่มีอะไรเหมือน สุขใดในโลกไม่เท่าสุขของสมาธิ”

ในพรรษานี้ท่านตั้งใจประกอบความเพียรอย่างแรงกล้าจนเป็นลม ๒ ครั้ง เนื่องจากฉันอาหารน้อย บางวันถึงกับอดอาหารเพราะทำให้การประกอบความเพียรเป็นไปได้ด้วยดี ไม่ต้องวิตกกังวลกับเหตุการณ์ภายนอก จิตมุ่งอยู่แต่ภายในร่างกาย ต่อสู้กับกิเลสขันธมารตลอดเวลาอย่างไม่ย่อท้อ ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าจะตายขอให้ตายไปเลย อย่าได้เดือดร้อนญาติโยมหรือโรงพยาบาลเลย ท่านปรารถนาจะไม่ให้ใครเดือดร้อนลำบากด้วยเรื่องของสังขารของท่าน แม้ในปัจจุบันท่านก็รักษาร่างกายด้วยตัวท่านเอง

หลวงปู่เคยพิจารณาที่จะปฏิบัติสมาธิแบบอุกฤฏ์ คือหวังจะสำเร็จมรรคผลนิพพานภายใน ๗ วัน ถ้าไม่สำเร็จก็จะยอมตายถวายชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ได้รับการขอร้องจากโยมบิดา-โยมมารดาให้เลิกคิดที่จะปฏิบัติเช่นนั้นเสีย ขอให้ปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป จะได้อยู่อบรมญาติโยมนานๆ ได้นำเพื่อนร่วมโลกไปตามทางพระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ สมกับที่ว่ากว่าที่จะได้เกิดในภพภูมิความเป็นมนุษย์ได้นั้นแสนลำบากยากเข็ญ

แต่คนส่วนมากหลวงปู่ท่านว่า มักมัวเมาลุ่มหลงด้วยถูกทรมานมาแสนสาหัสจากภพภูมินรก ภูมิสัตว์เดรัจฉาน ทำให้หลงลืมที่จะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ ด้วยภพภูมินี้เป็นภพภูมิที่จะสามารถนำไปสู่นรก สวรรค์ พรหมโลก และนิพพานได้ ภพภูมิต่างๆ ล้วนต้องอาศัยความเป็นมนุษย์เท่านั้นที่จะบำเพ็ญไปสู่ภพนั้นๆ เทวดาจะไปนิพพานต้องจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ก่อน อย่างนี้เป็นต้น หลวงปู่จึงได้ปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไปตลอดพรรษา แต่ก็ยังเป็นแบบเคร่งครัด ไม่ย่อหย่อน ทำความเพียรปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย

พรรษาที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ในพรรษานี้ได้เพิ่มธุดงค์ข้อเยี่ยมป่าช้ามิได้ขาด พอออกพรรษาได้เดินทางไปกราบ ท่านพระอาจารย์บัว สิริปุณฺโณ ณ วัดป่าหนองแซง (วัดราษฎรสงเคราะห์) ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวชอ จังหวัดอุดรธานี อยู่รับโอวาทจากท่าน ๑๐ คืน จากนั้นก็ออกเดินธุดงค์ต่อไปยังอำเภอบ้านผือ ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว


(มีต่อ ๑)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต)


พรรษาที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๑๒) ได้รับการแนะนำจากท่านพระอาจารย์คำ บ้านเศรษฐี จังหวัดอุบลราชธานี ให้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดป่าโนนแสนคำ ตำบลทุ่งแก อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร (ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร ในปัจจุบัน) ในพรรษานี้มีพระ ๒ รูป สามเณร ๑ รูป คือ (๑) พระอาจารย์เนย สมจิตฺโต (๒) พระอาจารย์สมหมาย องค์เดียวกับที่จำพรรษากับหลวงปู่ชอบ ที่ดอยแม้ว และ (๓) สามเณรสม

หลวงปู่เนยได้จำพรรษาที่วัดป่าโนนแสนคำ นับแต่นั้นมาจนปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๐)

ทุกๆ ช่วงออกพรรษา หลวงปู่เดินทางออกไปธุดงค์ แต่มาระยะหลังสุขภาพท่านไม่แข็งแรง ท่านจึงเลือกที่จะปฏิบัติอยู่ที่วัดป่าโนนแสนคำ, ผู้เขียน (อาจารย์อัมพร วรรณทอง) เคยบวชพำนักจำพรรษาอยู่ใกล้กุฏิของท่าน โดยอาศัยอยู่ ณ ห้องหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับประตูเข้ากุฏิของท่าน ได้เฝ้าสังเกตการปฏิบัติธรรมของท่านเพื่อนำมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ หลวงปู่เนยเป็นพระที่มีศิลาจาริยวัตรอันงดงาม เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง สงบเสงี่ยมเรียบร้อยงดงามด้วยข้อวัตรปฏิบัติ

หลวงปู่เนยท่านสอนเสมอๆ ว่า การรักษาศีลข้อวัตรปฏิบัติเป็นหัวใจของพระศาสนา และต้องปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออก ถือเป็นหน้าที่ จะหาข้อหลบหลีกปลีกหนีที่จะไม่ปฏิบัติไม่ได้โดยเด็ดขาด แม้ข้อสิกขาบทเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีการยกเว้นได้เลย ศีลสิกขาบทเป็นความงดงามของพระเรา ใครปฏิบัติได้มากยิ่งงดงามมาก ไม่มีอะไรจะงดงามเท่าการรักษาศีลได้เลย การสอนที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้ดู แม้สุขภาพร่างกายของท่านไม่แข็งแรง แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะดูไม่ออกว่าท่านป่วยอยู่ตลอดเวลา

ญาติโยมที่มากราบนมัสการท่านก็จะเข้าใจว่าท่านแข็งแรง เพราะท่านไม่เคยบอกกล่าวให้ทราบ น้อยคนนักที่จะรับรู้ปัญหาสุขภาพของท่าน บางคณะถึงกับนิมนต์ท่านให้เดินทางไปในที่ไกลๆ โดยหารู้ไม่ว่าได้ทำร้ายสุขภาพของหลวงปู่ ท่านต้องใช้ความอดทนเป็นอันมาก บางครั้งท่านได้ปรารภกับพระในวัดว่า วันนี้เกือบไปแล้ว เวลาที่ผมเห็นหลวงปู่ท่านเหนื่อย อ่อนเพลียมากๆ ผมเคยคิดที่จะบอกกล่าวให้ผู้เข้ากราบนมัสการได้รับทราบปัญหาสุขภาพของท่าน แต่หลวงปู่ท่านได้ห้ามไว้เสมอ ท่านบอกว่าท่านต้องการทำประโยชน์ให้โลกมากที่สุด


๏ หลวงปู่เป็นพระของโลก

ท่านจึงต้องการทำประโยชน์ให้โลกให้เต็มความสามารถอย่างบริบูรณ์ ท่านมีเมตตาต่อญาติโยมที่เข้ากราบนมัสการองค์ท่านมาก เคยมีโยมที่ห่วงในสุขภาพของท่าน ต้องการที่จะกำหนดเวลาในการเข้ากราบนมัสการ แต่ท่านก็ห้ามไว้เสมอ ท่านได้ให้เหตุผลว่า โยมนั้นมีเวลาน้อยมากกว่าที่จะเข้าวัดได้ จิตของท่านหลวงปู่เข้มแข็ง แต่สังขารร่างกายของท่านไม่ได้แข็งแรงเลย หลวงปู่ท่านทรงสังขารอยู่ได้ทุกวันนี้ด้วยแรงเมตตาธรรมสงสารเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายร่วมโลกเท่านั้น หลวงปู่ท่านบอกว่าท่านจะใช้ร่างกายให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สมกับการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเย็นแสนเข็ญ

หลวงปู่บอกว่าการรักษาภพภูมิมนุษย์นั้นไม่ง่ายเลย คนที่จะรักษาภูมิมนุษย์ไว้ได้ ต้องมีศีล ๕ ต้องรักษากาย วาจา ใจ ให้สมบูรณ์ ท่านบอกว่า เวลานั่งสมาธิ เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สมาธิจิตสมบูรณ์แล้ว ได้เห็นการเกิดของตนเองและเพื่อนร่วมโลกแล้วน้ำตาไหล เกิดปีติระคนสงสารตนเองและเพื่อนร่วมโลกที่เกิดแล้วเกิดเล่า ลำบากในการเกิดในภพภูมิต่างๆ ไม่รู้จบรู้สิ้น อยากให้คนอื่นได้เห็นตาม จะได้เบื่อหน่ายในชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ที่สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ เมื่อมีการเกิด ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่รู้จบรู้สิ้น คนทั้งหลายต้องการแต่การเกิด ไม่ต้องการการตาย แต่มีไหมที่มีแต่การเกิด แต่ไม่มีการตาย มันเป็นหลักความจริงที่ทุกคนไม่ยอมรับกันเอาเสียเลย มันเป็นความหลงที่ถอดรากถอนโคนยากเหลือเกิน ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้เห็นจริงตามความเป็นจริงให้ได้ หลวงปู่ท่านจะสอนอย่างนี้เสมอๆ


๏ หลวงปู่เป็นพระที่รักสัจจะมาก

หลวงปู่ท่านบอกว่าจะทำอะไรต้องตั้งสัจจะ และเมื่อตั้งสัจจะแล้วต้องทำให้ได้ เวลาทำอะไร ท่านจะทำให้สำเร็จตามขั้นตอนที่ท่านวางไว้ แม้จะมีอุปสรรคเกิดขึ้น ถ้างานนั้นยังไม่สำเร็จ ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก วาจาที่ท่านใช้จะนุ่มนวลไพเราะ คิดก่อนพูดเสมอ ทำให้เป็นที่ประทับใจแก่ญาติโยมที่เดินทางมาทำบุญที่วัดหรือได้ฟังธรรมะของท่าน ด้วยการอบรมธรรมคำสอนที่แยบคาย เต็มไปด้วยอุปมาอุปมัย ท่านสอนให้ใช้คำพูดให้เหมาะสมและให้เกิดประโยชน์แก่ผู้พูดและผู้ฟัง ผู้ฟังเมื่อฟังแล้วสบายใจ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ กริยาที่ท่านแสดงออกมาจึงนุ่มนวลเรียบร้อยเป็นระเบียบงดงาม

ธรรมะที่ท่านแสดงก็เป็นไปตามความเหมาะสมของหมู่คณะเฉพาะบุคคลที่รับฟัง ท่านจะแสดงธรรมให้เหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้ฟัง เป็นธรรมะที่ยกเรื่องมาประกอบจากทั้งในสมัยพุทธกาลและในสมัยปัจจุบัน ด้วยท่านเป็นพระที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเสมอโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ ท่านอ่านเสมอเมื่อมีเวลา ท่านบอกว่าคนเราต้องรู้เรื่องของตนเองให้มากที่สุด พิจารณาให้มากที่สุด เรารู้ข่าวสารบ้านเมืองทั้งใกล้และไกลเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ถือเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าในเรื่องที่นำมาพิจารณา ทำดีเพิ่มขึ้นให้มากๆ ละเว้นจากสิ่งชั่วร้าย มุ่งหมายทำความดีให้มากๆ รักษากาย วาจา ใจ ให้เป็นสุข ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน อย่างมีธรรมะ มีสติสัมปชัญญะรอบคอบตลอดเวลา


๏ หลวงปู่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันมาก

หลวงปู่ท่านสอนญาติโยมเสมอๆ ว่า ถ้าประเทศไทยเราไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยจะไม่สงบร่มเย็นอย่างปัจจุบันนี้ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของราชวงศ์จักรี ท่านจะนำพระภิกษุสามเณรสวดมนต์ถวายพระพรเสมอๆ มิได้ขาด ท่านสอนว่า เมื่อนั่งสมาธิภาวนาเสร็จแล้วให้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ แล้วจึงแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ให้ถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมออย่าให้ขาด เมื่อท่านแสดงพระธรรมเทศนา ท่านจะเน้นย้ำอยู่เสมอๆ นอกจากนั้น ท่านยังสนใจใส่ใจในสุขภาพของทุกคนที่เข้ากราบนมัสการ

หลวงปู่ท่านจะให้แนวปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพบ่อยๆ เช่น ก่อนจะอาบน้ำ ท่านให้ราดน้ำที่ขาเพื่อให้ร่างกายปรับอุณหภูมิให้เข้าที่ก่อน จะได้ไม่เกิดการช็อคภายหลัง เรื่องฟันท่านแนะนำให้ขบเคี้ยวอาหารอ่อน ท่านให้แปรงฟันทำความสะอาด และใช้ไม้จิ้มฟันทำความสะอาดหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ฟันของท่านจึงคงทนทุกซี่จนปัจจุบัน

หลวงปู่ท่านบอกว่า การจะบรรลุธรรมเพียงลำพังก็เป็นไปไม่ยากนัก สำหรับพระที่ปฏิบัติยอมตายถวายชีวิตกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์ท่านเหล่านั้นก็เมตตาสงสารเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ต้องการได้ญาติมิตรไปด้วย ความสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติสมาธิเป็นความสุขอันเยี่ยมยอด เป็นบรมสุข จะหาความสุขอื่นเทียบเทียมไม่มี แต่พูดเฉยๆ นั้นเข้าใจยาก ต้องผู้ที่ปฏิบัติจริงเห็นจริงจึงจะเข้าใจชัดเจนหายสงสัย

ในการอบรมสั่งสอนพระเณรที่มาอยู่ในวัดของท่าน ท่านจะแนะนำสั่งสอนตั้งแต่การยืน เดิน นั่ง นอน การขบฉัน การต้อนรับญาติโยม การปฏิสันถารต้อนรับพระภิกษุสามเณรที่เดินทางมาที่วัด การโดยสารรถต่างๆ การใช้ห้องน้ำห้องส้วม การออกบิณฑบาต การดูแลความเป็นอยู่ของพระลูกศิษย์ ให้ความเมตตากับทุกท่านจะเดินดูความเรียบร้อยทุกวัน วันหนึ่งๆ หลายเที่ยวในขณะที่ท่านจะเดินดูความเรียบร้อยทุกวัน วันหนึ่งๆ หลายเที่ยว ในขณะที่ท่านเดินตรวจบริเวณนั้น ท่านจะกำหนดเหมือนเดินจงกรม เสียงเดินของท่านหลวงปู่เบามากๆ ทุกคนที่อยู่ด้วยกับท่านทราบดีในเรื่องนี้

หลวงปู่ท่านเป็นพระหมอยาแผนโบราณ ท่านจะคอยแนะนำต้นไม้สมุนไพรที่เป็นยาให้แก่ผู้สนใจอยู่เสมอ ยาที่ท่านขบฉันในการรักษาโรคของท่านล้วนเป็นยาแผนโบราณทั้งสิ้น หลวงปู่ท่านมักจะนำต้นสมุนไพรต่างๆ มาปลูกไว้บริเวณวัด ลูกศิษย์ลูกหาบางท่านนำแคปซูลสำหรับบรรจุยาไปถวายท่าน ท่านก็ให้พระภิกษุสามเณรไปบรรจุยาสมุนไพรที่ไปว่าจ้างให้เขาบดแล้วใส่แคปซูล แล้วแจกจ่ายให้กับผู้ต้องการโดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด

หลวงปู่ท่านบอกเสมอว่า ยาสมุนไพรมีโอกาสแพ้น้อย ถ้าแพ้ให้หยุดกิน อาการแพ้จะหายเอง ของดีในบ้านเมืองเรายังมีอีกมาก ขอให้ช่วยกันรักษาไว้ อย่าได้เห่อตามต่างชาติจนมากเกินไป จะทำสิ่งใดขอให้พิจารณาให้ดีๆ เสียก่อน ของดีคนไทยไม่เห็นคุณค่ามีอีกมาก แต่พอต่างชาติเขานำไปดัดแปลงแต่งเติมจดลิขสิทธิ์แล้วนำกลับมาโฆษณาใหม่ คนไทยกลับชื่นชอบชื่นชม ยกย่องกันใหญ่ ทั้งที่แต่เดิมเป็นของคนไทย เช่น หัวบุก ญี่ปุ่นนำไปวิจัยแล้วนำไปจดทะเบียนเป็นของเขา นำกลับเข้ามา คนไทยกลับชื่นชอบชื่นชมว่าดี เห่อไปซื้อเขา ยาสมุนไพรไทยมีอีกมากที่รอให้ลูกหลานไทยบำรุงรักษาและค้นคว้าศึกษา

รูปภาพ
ญาติโยมเข้ากราบนมัสการหลวงปู่เนย สมจิตฺโต

รูปภาพ
หลวงปู่เนย สมจิตฺโต ขณะออกรับบิณฑบาต


(มีต่อ ๒)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต)


๏ งานด้านการก่อสร้าง

สำหรับงานด้านการก่อสร้างนั้น หลวงปู่จะดำเนินการตามความเหมาะสม ตามกำลังศรัทธาที่มีผู้ประสงค์จะก่อสร้าง เมื่อท่านพิจารณาว่าไม่เดือดร้อนจนเกินไปท่านก็จะอนุโลม บางครั้งท่านไม่ต้องการสร้าง แต่เมื่อขัดศรัทธามากก็ไม่ขัด เช่น การสร้างซุ้มประตู และเมื่อดำเนินการก่อสร้าง หลักการก่อสร้างของท่านจะต้องมั่นคงแข็งแรง ทนทาน ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ท่านปล่อยตามกำลังศรัทธาของผู้ก่อสร้าง ท่านจะไม่บอกกล่าวเรี่ยไร ปล่อยให้มีศรัทธาเอง หลวงปู่บอกว่าการทำบุญที่เกิดจากจิตศรัทธาก่อให้เกิดบุญอันยิ่งใหญ่ ใครต้องการสร้างต้องเรียนขออนุญาตเอง ใครจะร่วมทำบุญก็ให้เป็นไปตามศรัทธาปสาทะของแต่ละบุคคล ไม่ต้องการบอกบุญให้เป็นที่ลำบากใจแก่คณะศรัทธาญาติโยม บุญกุศลคนใดทำคนนั้นได้

หลวงปู่ท่านกล่าวว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาบังคับ เป็นศาสนาแห่งความศรัทธาเลื่อมใส เป็นศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาแห่งความสงบสุขร่มเย็น ไม่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน ก่อความวุ่นวายแก่คนและคณะบุคคล แก่บ้านเมือง ไม่รังแกรุกรานศาสนาอื่น ไม่ลอกเลียนแบบศาสนาอื่น ไม่มุ่งแสวงหาผู้คนมานับถือเพื่อเอาลาภ หรือเอาลาภไปหลอกล่อให้บุคคลมานับถือ เป็นศาสนาแห่งเหตุผล ปฏิบัติได้จริงเห็นจริง ท่านสอนให้เห็นตามความเป็นจริงของโลก ความเป็นจริงนี้อยู่คู่โลกมานานแสนนาน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ จิตเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผู้ใดเห็นจิตตนเองผู้นั้นชื่อว่าได้เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อได้ว่าเห็นพระพุทธเจ้า

ท่านบอกว่า มีข้าวมีของ ก็มีภาระยุ่งยากกับสิ่งนั้น เป็นเจ้าอาวาสก็ต้องลำบากดูแลวัดวาศาสนา ดูแลความเรียบร้อย ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ที่โลกเขาจัดให้แล้ว อยู่กับโลกก็ต้องทำหน้าที่ของโลกให้สมบูรณ์ แต่ก็ต้องรักษาธรรม ปฏิบัติธรรมไว้ให้ดี อย่าให้โลกลบล้างธรรมะได้เป็นอันขาด เพราะความเป็นจริงของโลกคือธรรมะ

มีผู้เรียนถามหลวงปู่ว่า ศาสนาอื่นเขามารุกราน ท่านบอกว่า เราไม่ต้องทำอะไรเลย ขอแต่เราชาวพุทธปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดีที่สุด พระภิกษุสามเณรก็ปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ภาวนา สร้างปัญญา ไม่รักษากิเลส ขจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดไปอยู่ตลอดเวลา รักษาสมาธิจิตอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ฝ่ายอุบาสกอุบาสิกาก็ทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติสมาธิภาวนาอยู่ไม่ให้ขาด เท่านี้ก็ไม่มีศาสนาใดมาทำอะไรเราได้ อย่าไปร้อนใจกับเหตุภายนอกให้วุ่นวายเลย ขอให้ทุกคนรีบเร่งมาทำทาน รักษาศีล รักษากายวาจาใจ ปฏิบัติให้ได้ทุกอริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน จะได้พบประโยชน์บรมสุขอันไพศาลเบิกบานทั้งกายและใจ เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ จะหาใดมาเปรียบไม่ได้เลย

รูปภาพ

รูปภาพ

ขอให้ใส่ใจสนใจกับจิตของตนเองให้มาก อย่าให้สอดส่ายไปทางอื่น ต้องการบุญ บุญก็อยู่กับตนเองนั้นแหละ ไปเอากับท่านผู้อื่นก็ไม่เหมือนทำบุญด้วยตนเอง การภาวนาเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่ต้องลงทุนด้วยทรัพย์สมบัติให้ลำบากตนและผู้อื่น ในการแสวงหาทรัพย์นั้นๆ เร่งเอา ทำเอา อยู่ในตัวของเรา ทำได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเลือกกาลสถานที่ การแสวงบุญจากครูบาอาจารย์ท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ดีอยู่ แต่มันนานได้

การบวชสามเณรภาคฤดูร้อน หลวงปู่ท่านเมตตาบอกกับผู้เขียนว่า การที่จะได้ประโยชน์ในปัจจุบันก็ไม่มากนัก แต่ประโยชน์จากกาลข้างหน้าเมื่อเขาโตขึ้นนั้นมีมาก คนยิ่งแก่ตัวไปก็จะมีปัญหาให้ทุกข์มากขึ้น คนที่ไม่เคยผ่านการอบรมมาก่อนก็จะไม่มีที่พึ่งพิงอาศัย คนที่เคยได้รับการอบรมมาก่อนก็จะคิดได้ หาทางออกของปัญหาให้ตนเองได้ คนที่มีปัญหาแล้วฆ่าตัวตาย คนเหล่านั้นขาดที่พึ่งทางใจ ขาดวิธีแก้ไขปัญหา หาที่ปล่อยที่วางไม่ได้ ถ้าได้รับการอบรมมาบ้างก็จะรู้ว่านี่มันเป็นเรื่องของโลก มันมีประจำโลกมานาน ปัญหามันไม่ได้เกิดเฉพาะเราเท่านั้น คนที่ได้ผ่านการอบรมก็จะมีเวลาหยุดคิด สามารถพิชิตปัญหานั้นได้ไม่ยากเลย การฆ่าตัวตายก็ไม่มี หรือมีก็น้อย

การทำประโยชน์ให้โลกต้องอาศัยความละเอียดอ่อนอยู่มาก จะได้ประโยชน์เดี๋ยวนั้นก็มี เช่น ทำงานก็จะได้งานที่ทำอยู่ให้เห็น ไม่มากก็น้อย แต่บางสิ่งบางอย่างต้องอาศัยเวลานาน เช่น การเรียนคำสอนธรรมะ ถ้าไม่พิจารณาก็จะไม่เห็น การปฏิบัติธรรมของเราก็เหมือนกัน ต้องอาศัยเวลาและขั้นตอนของแต่ละบุคคล แล้วแต่บุญบารมีของแต่ละบุคคลว่าสะสมมามากน้อยเพียงใด แต่ที่สำคัญอยู่ที่ใจต่างหาก ว่าจะตั้งใจปฏิบัติมากน้อยเพียงใด

คนที่มีบารมีมากไม่ทำต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด คนที่มีบุญเก่าน้อยแต่ชาตินี้ทำบุญมาก ปฏิบัติมาก ก็ไปได้เหมือนกัน อย่ามัวนั่งรอบุญเก่าอยู่เลย รีบสะสมบุญในปัจจุบันให้มาก ทำให้มาก พิจารณาให้มาก ทุกลมหายใจเข้าออก จะเกิดประโยชน์กับตนเองแน่นอน อย่ารอให้คนอื่นทำให้ ขอให้รีบทำเองปฏิบัติเอง อย่ารอให้เขามาทำให้ เขาไม่ทำให้ก็จบกัน จะทำอะไรได้ ขอให้ตั้งใจทำเอาตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ใจดวงเดิมของเราใสจริงๆ ที่มัวหมองอยู่นี้เป็นเพราะกิเลสบัง กิเลสทำให้ใจเศร้าหมอง ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ปัญญา เป็นสิ่งที่ชำระใจให้บริสุทธิ์ ทำเองเห็นเอง หายสงสัย

รูปภาพ
พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต)


(มีต่อ ๓)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๏ การปฏิบัติสมาธิภาวนา

การปฏิบัติธรรมภาวนาของหลวงปู่ ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะดูว่าท่านไปเรื่อยๆ ผู้เขียนเคยขอโอกาสเรียนถามแนวทางการปฏิบัติธรรมทำสมาธิภาวนา หลวงปู่ท่านเมตตาบอกว่าเป็นไปตามแนวทางของพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และท่านพระอาจารย์ดี ฉนฺโน กำหนดดูลมหายใจเข้าออก โดยอาศัยหายใจเข้ากำหนดเป็นพุท หายใจออกกำหนดเป็นโธ ติดตามดูลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา ทั้งอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กำหนดอยู่อย่างนั้น

ส่วนการออกเดินธุดงค์นั้น ผู้เขียนไม่ได้เรียนกราบนมัสการถามมากนัก จำได้ว่าหลวงปู่ท่านเมตตาเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านเดินธุดงค์มาถึงริมเขื่อนอุบลรัตน์ ต้องข้ามฟากไปฝั่งตรงข้ามโดยอาศัยเรือชาวบ้าน เรือนั้นปริ่มน้ำมาก น้ำกับขอบเรือเสมอกัน หลวงปู่ท่านคิดว่าเรือคงจะจมกลางคัน ถ้าเดินทางไปได้ถึงฝั่ง แสดงว่าหลวงปู่ท่านคงจะมีบารมีได้บวชในบวรพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต ซึ่งเรือก็ได้เข้าถึงฝั่งอย่างปลอดภัย ท่านบอกว่า นับแต่นั้นมาท่านมีความมั่นใจว่าจะบวชได้ตลอดชีวิตแน่นอน

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต) ท่านต้องการบวชตลอดชีวิต ก็เพราะเป็นความต้องการของโยมมารดาของท่าน ซึ่งท่านก็ต้องการจะสนองบุญคุณบิดามารดา ท่านบอกว่า เวลาใดที่ระลึกถึงคำสอนของโยมบิดา-มารดาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาที่มีต่อลูก ท่านจะเกิดอาการขนพองสยองเกล้าปีติตื้นตันใจจนพูดไม่ออก ผู้เขียนได้ยินท่านพูดและแสดงอาการเช่นนี้ ก็น้ำตาไหลตาม นับว่าท่านเป็นลูกยอดกตัญญู เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดยอดจริงๆ โยมบิดาของท่านก็เคยบวชเป็นพระกัมมัฏฐานมาก่อน แต่มีเหตุจำเป็นต้องลาสิกขาเพศ โยมบิดาของท่านจึงต้องการให้ลูกชายได้บวช และขอกับลูกชายว่าถ้ามีบุญพอก็ขอให้บวชตลอดชีวิต

จึงเห็นได้ว่า โยมบิดาของหลวงปู่มีลูกชายบวชถึง ๒ องค์ คือ หลวงปู่เนย สมจิตฺโต และหลวงพ่อหนู สิริธโร แห่งวัดป่าศรีสะอาด บ้านท่าศรีไคล ตำบลธาตุ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร และบวชมาจนถึงปัจจุบัน มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือ อากัปกิริยาและอัธยาศัยของหลวงพ่อหนู สิริธโร จะแตกต่างจากหลวงปู่เนย สมจิตฺโต เอามากๆ หลวงพ่อหนูเป็นพระที่พูดตรงๆ โผงผาง ตรงข้ามกับหลวงปู่เนย แต่ท่านเป็นพระที่กราบไหว้ได้โดยสนิทใจแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย หลวงปู่ท่านเมตตาบอกข้าพเจ้าว่า เป็นเพราะวาสนาบารมีนิสัยดั้งเดิมของท่านมาหลายชาติแล้ว มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตัดวาสนานิสัยดั้งเดิมได้

หลวงปู่ท่านมีสุขภาพไม่แข็งแรง การปฏิบัติธรรมของท่านจึงเป็นแบบระมัดระวัง ดำรงสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก หลวงปู่ท่านเมตตาบอกว่า ถ้าเผลอก็หมายถึงชีวิตหมดลง ดังนั้น ต้องใช้สติเป็นตัวกำกับอยู่ตลอด ปกติคนเราเวลาป่วยไข้ต้องนอนหลับพักผ่อนเสีย พักฟื้นไข้ ไม่ทำอะไร แต่สำหรับท่านแล้ว เวลาป่วยนั้นท่านบอกว่าแทบจะไม่ได้จำวัดหรือพักผ่อน ตรงกันข้ามท่านกลับใช้เวลานั้นต่อสู้กับอาการที่เกิดขึ้นกับสังขาร นั่นคือ ท่านจะเข้าสมาธิภาวนาเฝ้าติดตามอาการเคลื่อนไหวของโรคทุกลมหายใจเข้าออก มีจุดใดบ้างที่ต้องเฝ้าระมัดระวังเป็นพิเศษก็จะติดตามอยู่อย่างนั้น ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ต้องใช้สมาธิจิตเฝ้าพิจารณา คอยผ่อนปรนตามอาการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดินจงกรมเปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้

ท่านบอกว่าเวลาเรานอนหลับพักผ่อน สมาธิของเราจะอ่อนหรือขาดหายไป ดังนั้น อาการป่วยของท่านจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยสมาธิจิตช่วยในการรักษา เพราะร่างกายบางส่วนมันหย่อนสมรรถภาพ อ่อนแรงมาก การดูอาการของร่างกาย ภาษาธรรมกับภาษาโลกมันแตกต่างกัน เข้าใจยาก ถ้าคนเคยฝึกสมาธิในระดับพื้นฐานได้แล้วจะทราบดีว่าการดูอาการของร่างกายนั้นเป็นอย่างไร เกิดอะไรตรงไหน แม้คนที่หิวข้าวมากๆ ยังรู้เลยว่ามันแสบมันร้อนตรงไหน แล้วหลวงปู่ที่ปฏิบัติสมาธิในระดับสูงๆ ทำไมจะไม่ทราบจุดที่แสดงอาการ ผู้เขียนเมื่อสมัยอยู่ใกล้กุฏิท่าน เฝ้าสังเกตดู สามารถรู้ได้ว่าท่านจำวัดหรือไม่

หลวงปู่ท่านป่วยด้วยโรคระบบลำไส้ โรคลำไส้อักเสบ เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคไต โรคต้อกระจก โรคหัวใจ ระบบหายใจ เวลาท่านจำวัดสนิทจะมีเสียงลมหายใจที่ดัง เวลาที่ผู้เขียนนั่งสมาธิจะได้ยินเสียงชัดเจนมาก ยิ่งเวลาดึกสงัดก็ยิ่งชัดเจนมาก ผู้เขียนชอบนั่งสมาธิในช่วงดึกมากๆ เพราะทำให้อารมณ์สมาธิดีมาก และมักเป็นช่วงเวลาที่หลวงปู่ท่านพักผ่อน แต่ช่วงการพักผ่อนของหลวงปู่ท่านมีไม่มากนัก ผู้เขียนเข้าใจว่าช่วงเวลาที่หลวงปู่จำวัดประมาณ ๑ ถึง ๓ ชั่วโมงเป็นอย่างมาก นอกนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมภาวนา

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

รูปภาพ
ท่านพระอาจารย์ดี ฉนฺโน


ในช่วงหัวค่ำ ท่านนั่งสมาธิภาวนา ออกจากสมาธิท่านจะเดินตรวจตราตามกุฏิและรอบบริเวณวัด ดังนั้น เวลาที่พระเณรคุยกัน หลวงปู่ท่านจะเตือนให้ปฏิบัติสมาธิภาวนาเสมอๆ ผู้เขียนสังเกตว่า การเดินในบริเวณวัดของท่านก็เป็นการเดินจงกรมไปในตัว ถ้าใครสังเกต จะพบว่าเวลาหลวงปู่เดิน ท่านทอดสายตาต่ำเหมือนการเดินจงกรม ท่านสอนว่าการทำอะไรให้เป็นไปด้วยอารมณ์สมาธิภาวนาตลอดเวลา ฝึกอยู่เรื่อยๆ ก็จะชินไปเอง ไม่ได้วันนี้วันต่อไปต้องได้ ขอเพียงมีความพยายามอย่าได้ท้อถอย

วันไหนที่ผู้เขียนคะเนว่าหลวงปู่คงไม่ได้จำวัด ก็จะสังเกตเวลาท่านเดิน จะมีอาการอ่อนเพลียให้เห็น จะมีอาการซวนเซนิดๆ บางวันก็ขอโอกาสกราบเรียนถามถึงอาการป่วยของท่าน หลวงปู่ท่านก็่จะเมตตาบอกอาการให้ฟัง และบอกว่าท่านไม่ได้จำวัด พรรษาที่ผู้เขียนอยู่ด้วยท่านแข็งแรงพอประมาณ (หลังจากที่ทางลูกศิษย์ทำพิธีไถ่ถอนชีวิตโคถวายหลวงปู่ ผู้เขียนสังเกตว่าท่านแข็งแรงขึ้น ผู้เขียนยังอนุโมทนากับลูกศิษย์ของท่านที่ได้ช่วยกันทำถวายหลวงปู่ ท่านทั้งหลายจงปลื้มปีติยินดีในบุญกุศลของท่านเถิด) ด้วยท่านสามารถออกบิณฑบาตได้ตลอดพรรษา บางท่านอาจจะเข้าใจว่าเวลาท่านป่วย ท่านไม่ปฏิบัติธรรมทำสมาธิ แต่กลับตรงกันข้าม ยิ่งป่วยท่านยิ่งปฏิบัติสมาธิมาก หลวงปู่ท่านบอกว่าเวลาของท่านมีค่า ท่านจะยังประโยชน์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมให้ถึงพร้อมเท่าที่จะทำได้ พวกเราที่แข็งแรงยังหลงตัวอยู่ ฉะนั้น จะทำอะไรก็รีบทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ทั้งประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม ทั้งหน้าที่การงานของตนเอง ของส่วนรวม และของบ้านเมือง ให้รีบทำอย่ารีรอต่อไป

มีคุณหมอจากโรงพยาบาลเจริญศิลป์ โรงพยาบาลสว่างแดนดิน จากหนองคาย พยายามจะนิมนต์หลวงปู่ท่านให้ไปตรวจรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลบ้าง หรือขอนำอุปกรณ์มาตรวจที่วัดบ้าง ท่านไม่อนุญาต ท่านเมตตาบอกว่าท่านดูแลตัวเองได้ ถึงเวลาจะไปเอง คนไข้อื่นที่จำเป็นกว่าท่านมีมาก ไม่ต้องการให้เสียเวลาคนอื่นที่จำเป็นมากกว่าท่าน ขอให้ทุกคนรีบทำความดี รีบสร้างบุญกุศล เจริญจิตภาวนาให้มากๆ อย่าได้รีรอ เพราะความไม่แน่นอนของชีวิตมันเที่ยงตรง ไม่มีการบอกกล่าวให้ใครทราบล่วงหน้าได้ เวลาไปมันก็ไปตามหน้าที่ ความตายมันเที่ยงตรง ยุติธรรมที่สุด ไม่เลือกเวลา สถานที่ คนยากคนจน คนมีเศรษฐี ยาจก วณิพก ไพร่ เจ้าขุนมูลนาย เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทั้งนั้น ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท อะไรทำได้หลวงปู่จะรีบทำตามความสามารถที่มีอยู่ ไม่รอบาปรอบุญบารมี มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นดีที่สุด

หลวงปู่ท่านบอกว่า คนที่นับถือพระพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติสมาธิได้ขั้นพื้นฐานแล้ว จะไม่มีการถอยในภาวนาเลย มีแต่จะเดินหน้าหาที่สุดของทุกข์คือ พระนิพพาน ที่คนทั้งหลายนับถือพระศาสนาแบบเข้าๆ ออกๆ อยู่นั้น เพราะไม่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือปฏิบัติไม่ถึงสมาธิ ไม่มีศาสนาใดที่สอนเรื่องสมาธิที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์มีแนวทางชัดเจนเหมือนอย่างพระพุทธศาสนาของเรา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนานับว่าเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ขอให้รีบดำเนินตามรอยของพระพุทธองค์ที่ทรงพาดำเนินได้ถูกต้องเที่ยงตรงที่สุด

มีเหตุการณ์หนึ่งที่มีคนเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า มีคนจากทางลำพูนเขียนจดหมายมาบอกหลวงปู่เนย ว่า ขอให้ท่านปฏิบัติต่อไป ด้วยขณะนี้มีปราสาทคอยรองรับที่สวรรค์ชั้นพรหมโลกแล้ว คนที่เขียนมาบอกไม่เคยรู้จักกับท่าน เขาบอกว่าเขารู้ได้ด้วยการส่งจิตขึ้นไปเที่ยวชมสวรรค์ชั้นพรหมโลกมา เขาบอกว่าเขามีความสามารถพิเศษที่จะทำได้เพียงแต่เข้าสมาธิก็ไปได้แล้ว

ผู้เขียนขอโอกาสเรียนถามหลวงปู่ ท่านบอกว่ามีคนเขียนมาบอกอย่างนั้นจริงๆ ที่เรื่องนี้มีคนทราบเพราะหลวงปู่ท่านไม่มีความลับกับผู้ใด จดหมายของท่าน ท่านอนุญาตให้พระเณรอ่านก่อนได้ หลวงปู่ท่านบอกว่าความลับของท่านไม่มีในโลกอันนี้ สิ่งใดที่เป็นจริงหลวงปู่ท่านก็จะตอบตามเป็นจริง แต่สำหรับผู้เขียน ถึงท่านจะอนุญาต ก็จะไม่ทำ เว้นแต่ท่านจะนำมาให้อ่านหรือเล่าให้ฟังเท่านั้น ผู้เขียนสอบถามท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้ก็บอกว่าจริง หลวงปู่ท่านบอกว่าอย่าไปสนใจเลย ใครจะว่าเราไปถึงไหนก็ช่าง เราต้องรู้เราดีว่า การปฏิบัติ การกระทำของตัวเองเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะกำจัดอาสาวะกิเลสออกจากกมลสันดานได้ การปฏิบัติธรรมไม่มีใครพยากรณ์ได้ มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงพยากรณ์ได้ ผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้นจะรู้เอง ตามสภาวะจิตที่เป็นอยู่ ถ้ามัวแต่สนใจการพยากรณ์อยู่ก็ไปไม่ได้ถึงไหน

ผู้เขียนเคยขอโอกาสเรียนถามเรื่องการรู้วาระจิตของคนอื่น จะเป็นไปได้ไหม หลวงปู่ท่านบอกว่า สำหรับนักปฏิบัติไม่ได้เป็นของยุ่งยากเลยกับเรื่องอย่างนี้ มันเป็นสมาธิที่ไม่สูงเกินไป ขอเพียงท่านรวบรวมสมาธิเพ่งมองเท่านั้นก็สามารถจะรู้วาระจิตของคนและสัตว์ได้อย่างง่ายดาย ผู้เขียนเรียนถามท่านว่าท่านเคยทำไหม ท่านตอบว่าท่านเคยทำอยู่ ถ้าอยากรู้ก็ให้รีบเร่งปฏิบัติดู แล้วจะหายสงสัยเอง รู้เองเห็นเองหายสงสัย คนเห็นของจริงดีกว่าฟังคนอื่นเล่าให้ฟัง ฟังแล้วก็สงสัยไม่มีสิ้นสุด

ในการนิมนต์หลวงปู่ในวันสำคัญต่างๆ วันเสาร์ วันอาทิตย์ ทางลูกศิษย์ได้ขอไว้ ด้วยมองเห็นประโยชน์ว่าวันเหล่านั้นจะมีลูกศิษย์ทั้งใกล้ไกล ทั้งที่เป็นข้าราชการที่มีเวลาเข้าวัดอันจำกัด เดินทางมากราบนมัสการ มาทำบุญที่วัดจำนวนมาก ถ้าหลวงปู่ไม่อยู่ จะทำให้ผู้เดินทางมาผิดหวัง ทางลูกศิษย์จึงขอทำความเข้าใจกับท่านที่มีความต้องการนิมนต์ท่านไปในวันสำคัญ วันเสาร์ วันอาทิตย์ โปรดเห็นความจำเป็นในข้อนี้เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย

รูปภาพ

๏ การสร้างวัตถุมงคล

เรื่องวัตถุมงคลโดยเฉพาะรุ่นแรก ต่อไปคงมีการถกเถียงกันแน่นอน เพราะในช่วงแรกที่คณะครูบ้านทุ่งคำ ทำถวาย ๒,๐๐๐ เหรียญ หลวงปู่มองเห็นว่าคงไม่พอกับการแจกแน่ จึงให้นำบล็อคเดิมของคณะครูบ้านทุ่งคำทำเพิ่ม แล้วทำการอธิษฐานจิต แรกเริ่มเดิมทีท่านต้องการจะอธิษฐานจิตตลอดพรรษา แต่ไม่ถึงพรรษามีคนไปขอมาก หลวงปู่จึงจำเป็นต้องแจกจ่ายก่อน ส่วนที่ท่านทำมาเพิ่มก็อธิษฐานจิตต่อมาตลอดจนปี พ.ศ. ๒๕๓๘

เรื่องล็อกเก็ตรุ่นแรก มีจุดที่น่าสังเกตเป็นสำคัญคือ ท่านเมตตาลงอักขระด้วยองค์ท่านเองทุกเหรียญ ท่านเมตตาบอกว่าน่าจะเรียกล็อกเก็ตเป็นรุ่นแรก เพราะคณะที่จัดทำล็อกเก็ตขออนุญาตสร้างก่อน แต่ทำแจกภายหลัง ส่วนรุ่นอื่นๆ คงไม่มีปัญหา

หลวงปู่ให้ข้อคิดในเรื่องวัตถุมงคลไว้ว่า “วัตถุมงคลเป็นสิ่งที่ให้ระลึกถึงคุณงามความดีองค์ที่ท่านสร้าง ท่านสร้างด้วยความดี ท่านจะคุ้มครองคนทำดี ท่านเตือนให้กำหนดพุทโธตลอดเวลา ไม่มีอะไรเหนือกรรม กรรมดีพระคุ้มครอง ไม่มีอะไรศักด์สิทธิ์เหนือกว่ากรรม กรรมดีพระคุ้มครอง ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่ากรรมได้เลย หมดอายุขัยก็คุ้มครองไม่ได้ แรงอะไรก็ไม่เท่าแรงกรรม วัตถุมงคลท่านจะช่วยได้บางโอกาสเท่านั้น อย่าประมาทกรรม ไม่มีอะไรเหนือกรรม จงทำดีให้มาก”


๏ พระธรรมเทศนา

หลวงปู่ท่านบอกว่า การรับรู้เรื่องของคนอื่นมันไม่เหมือนรู้เรื่องตนเอง รู้ตนเองเห็นเองหายสงสัย ใครจะว่าอย่างไรก็หมดสงสัย เหมือนรับประทานอาหาร คนอื่นบอกว่าอร่อย แต่เราไม่ได้รับประทานด้วยก็ไม่หายสงสัย คนเคยไปกรุงเทพฯ มีพระแก้วมรกตก็ไม่สงสัย เพราะเคยไปเห็นมาแล้วด้วยตนเอง

ท่านสอนว่าเรียนรู้เรื่องทางโลกมันไม่รู้จบรู้สิ้น เรียนอันนั้นเหลืออันนี้อยู่ตลอดไป คนทั้งหลายไม่สนใจจิตใจตนเอง สนใจแต่เรื่องที่ก่อให้เกิดความทุกข์วิปโยควังเวง เรียนทางโลกไม่เหมือนเรียนทางธรรม เรียนทางธรรมไปสิ้นสุดที่นิพพาน ใครไปถึงนิพพานก็จบ


๏ การอาพาธและการมรณภาพ

:b44: หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ ละสังขารแล้ว
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=41975



.............................................................

♥ รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก ::
เว็บไซต์สกลธรรม
http://www.sakoldham.com

♥ ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ ::
คุณอนัตตา ห้องพระ chiangmai1900.com

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 03:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆ ขอบพระคุณค่ะ
ทุกอย่างสําเร็จด้วยใจ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2015, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญนะครับ :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2019, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร