วันเวลาปัจจุบัน 27 ธ.ค. 2025, 12:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: วันนี้, 05:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5445


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปลืมงานภายในของตนเอง งานภายในของตนเองก็คือเรื่องจิตภาวนา อันนี้เป็นงานที่จำเป็นสำคัญในชีวิตประจำวันของพวกเรา ถ้าให้งานภายนอกสำคัญกว่างานภายใน อันนั้นผิด ถ้าหากว่าให้ความสำคัญภายในมากกว่าภายนอก อันนั้นถูก ให้คิดอย่างนั้นเลยนะ

เราจะไปคิดแต่ภายนอกช่วย สาธารณประโยชน์ ถาวรวัตถุ แต่จิตใจของตนเองแห้งผากเต็มไปด้วยกิเลส ราคะ โมหะ โลภ โกรธ หลงในจิตใจ แปลว่าจิตใจแห้งผาก จิตใจไม่ได้ดูแล ไม่ได้ให้ธรรมะ ไม่ได้ให้การทะนุถนอม ไม่ได้เอาธรรมเข้าสู่จิตใจ ไม่ภาวนา มีแต่คิดช่วยไปข้างนอก จิตใจของตัวเองมีแต่กิเลส อันนั้นไม่ถูกอย่างมากเลย ต้องดูใจตนเองเป็นอันดับแรกนะ

อันดับแรกก็คือเรื่องการภาวนา กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก มีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสติด้วยปัญญา เป็นผู้รอบคอบ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายคลาย จิตใจของเราเบื่อหน่ายคลาย จิตใจของเราจะหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เห็นความเกิดความแก่ เห็นความเกิดความดับ เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มองดูตนเองอยู่เสมอ

เราน่ะ ถึงจะทำดีขนาดไหนอีกสักวันหนึ่งตายแน่ ๆ นะ จากแน่ ๆ นะ ไปแน่ ๆ นะ ทิ้งแน่ ๆ นะ ร่างกายสังขาร มันหาสาระ หาแก่นสารไม่ได้นะ ใจนะ อย่าไปลุ่มหลงมัวเมาเกินไปนะ ใจนะ พยายามดูใจของตนเองอยู่เสมอ เบรกใจของตนเองอยู่เสมอ นั่นล่ะเป็นผู้ไม่ประมาท

ถึงจะทำข้างนอกก็ทำ แต่ว่าในใจของเรามองตนเองอยู่เสมอ หลวงพ่อเป็นอย่างนั้นนะลูกหลานนะ ถึงจะทำข้างนอกก็เถอะ หลวงพ่อช่วยนั้นช่วยนี้พูดเป็นตุเป็นตะ แต่พอเวลาหลวงพ่อไหว้พระสวดมนต์นั่งภาวนามองตนเองแล้วทีนี้ หลวงพ่ออินทร์เอ๊ย ถึงจะทำดีขนาดไหนก็เถอะในโลกวัฏสงสาร อีกสักวันหนึ่งหลวงพ่ออินทร์จะต้องจากจะต้องหนีจากเขานะ อย่าไปลุ่มหลงอย่าไปมัวเมา อย่าไปให้ความสำคัญภายนอกมากเกินไปนะ เห็นไหม พระพุทธเจ้าท่านมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหนท่านจากไปเห็นไหม ครูบาอาจารย์แต่ละองค์เห็นไหม พ่อแม่ของเรา ปู่ยาตายายของเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์ ญาติโกโหติกา ญาติผู้ใหญ่ของเราที่ผ่านๆ มาเห็นไหม หลวงพ่ออินทร์จะไม่เป็นอย่างนั้นใช่ไหม อันนี้ล่ะคือโอปนยิโก ให้มองตนเอง

เพราะฉะนั้นเราอยู่ ณ สถานที่ใด อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้มองตนเองไว้อยู่เสมอ ถ้ามองตนเองไว้อยู่เสมอ จะไม่ลืมเจ้าของ จะไม่หลงเจ้าของ จะไม่ผยองพองตน ถึงเขาจะยกย่องเชิดชูขนาดไหนก็เถอะมัน เป็นปากของเขานะ ของเรามีเท่าไรก็มีเท่านั้นล่ะนะ

นี่ล่ะ ให้พวกเราทุก ๆ ท่าน ศรัทธาญาติโยมลูกหลานหลวงพ่อทุกคน ให้มองตนเองไว้อยู่เสมอ เรื่องภาวนาเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อย่าให้ตนเองถลำไปในกิเลส”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๘







สอนเขาวาง แต่จะของยึดติดอยู่
สอนเขาเก่ง แต่ตัวเองโง่อยู่
สิสอนไผสอนแบบได๋ เขากะบ่ได่ความ
เพราะตัวเองบ่เคยสอนเจ้าของเนาะ

โอวาทธรรม

#หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตโต

วัดเขาตาเงาะอุดมพร จ.ชัยภูมิ







เดินจงกรมอยู่บ้านบง (อ.ภูเรือ จ.เลย) เกิดเวทนาปวดขาหลายเกือบตาย เลยสู้เวทนาคิดในใจว่า แม่เราคลอดเราออกมายังปวดมากกว่านี้ เราต้องสู้เพื่อตอบบุญแทนคุณท่าน...

ครูบาอาจารย์กว่าท่านจะพ้นทุกข์ได้อยู่ฟากตายพู้นแหล่ว

คติธรรม
#หลวงพ่อสมศรี อตฺตสิริ
วัดป่าเวฬุวนาราม ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย








รู้จักรับในยามให้
รู้จักให้ในยามรับ
...
คนส่วนใหญ่เห็นว่าการรับทำได้ง่าย
บางทีก็คิดว่าเป็นสิทธิอันพึงได้ คิดว่าตัวเอง
สมควรได้รับสิ่งดีๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามา
ในชีวิต บางทีก็แทบไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ได้รับ
จนกระทั่งขาดมันไป แล้วก็โมโหโกรธา
บางคนกลัวจะขาดแคลน เลยคว้าทุกอย่าง
ที่จะคว้าได้ในยามที่มีโอกาส เพราะคิดว่า ...
“ใครจะรู้อนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร”
ผู้รับหลายคนเห็นว่าการให้ทำได้ยาก
เขานึกสงสัยว่า “ใครจะยอมทำแบบนั้น” ...
“ใครจะยอมเสียเปรียบ” ...

ทว่า มีบางคนเช่นกันที่การให้ทำได้ง่าย
คนเหล่านี้มีสุขในการแบ่งปัน พอใจในความ
รู้สึกที่ได้จากการช่วยให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้น
แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่สุด คนเหล่านี้คือบุคคล
ที่ได้ชื่อว่าเป็น ... ‘ขวัญของแผ่นดิน’
อาจจะมีคนแบบนี้ไม่มาก แต่หากปราศจาก
บุคคลเช่นนี้ โลกคงจะกลายเป็นที่อันแล้งไร้
ชวนหดหู่กว่านี้มาก แต่คนที่เป็นผู้ให้อาจเห็น
ว่าการรับทำได้ยาก เพราะไม่ใช่ฐานะที่ตน
คิดว่าควรจะเป็น บางทีก็คิดไปถึงขั้นว่าตน
ไม่ควรค่าที่จะได้รับ
ในทางพุทธธรรม นักปราชญ์ย่อมรู้ว่าเวลาใด
ควรให้ เวลาใดควรรับ และควรให้อย่างไร
รับอย่างไร ... พึงให้ในสิ่งที่เหมาะสมโดยพ้น
จากความคาดหวัง พึงรับด้วยความเคารพ
อ่อนน้อมและซาบซึ้ง

รู้จักรับในยามให้ รู้จักให้ในยามรับ
...
พระอาจารย์ชยสาโร







อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต
อนาคตควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย

#โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






"การหัดภาวนาเบื้องต้น คือหัดให้เข้าถึงจิตเป็นหนึ่ง หัดเบื้องต้นก็จริง แต่มันถึงที่สุดได้ คือจิตที่สงบนิ่งเป็นหนึ่ง มันก็ถึงที่สุดแล้ว

การฝึกหัดจิต หัดมากหัดน้อยเท่าไรก็ตาม ต้องการให้จิตเข้าถึงที่สุด คือ จิตเป็นหนึ่งเท่านั้น การฝึกหัดจิตไม่นอกเหนือจากจิตเป็นหนึ่ง ส่วนอุบายปัญญาที่จะเกิดขึ้น มันเป็นเฉพาะบุคคล"

.... หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






โกรธทำไม
...
อยู่ในโลกนี้ต้องมีโลกธรรม
โลกธรรมก็ไม่ค่อยจะยุติธรรมกับเราหรอก
มันยุติธรรมกับโลก บางครั้งทำความดีไม่มี
ใครชม ไม่มีใครสรรเสริญเลย บางทีทำ
ความดี กลับไม่ใช่เพียงแค่ว่าไม่มีใครชม
กลับนินทาก็มี วิพากษ์วิจารณ์ก็มี บางที
ทำอะไรไม่ดี กลับมีคนชมก็มี ไม่มีใครนินทา
เลยก็มี โลกธรรมมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น
เราไม่ได้หวังอะไรมากกับคนอื่น แต่หวังจาก
กฎแห่งกรรม พระพุทธเจ้าท่านสอน ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว อันนี้มีแน่นอน เราก็เชื่อในความดี
เชื่อพลังความดี เชื่อในพลังความชั่ว
เราจะได้ระมัดระวัง ให้ชีวิตเราให้มันงดงาม
ให้มันดี ให้มันสะอาดสะอ้าน ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร







อยู่ที่เจตนา....
เจตนาที่เราคิดว่าจะทำความดีในครั้งแรกนั้น เป็นตัวกุศลที่แท้จริง คือ ความดีในครั้งแรก เปรียบเหมือนกับเราตั้งใจปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง

ต่อมาเมื่อเราบำเพ็ญทาน ก็เปรียบเหมือนเราหาปุ๋ยไปใส่ไว้ที่โคนต้นไม้นั้น

รักษาศีลก็เท่ากับเราคอยระวังเก็บตัวบุ้งตัวหนอนที่มันจะคอยกัดกินดอกกินใบ และทำอันตรายแก่ต้นไม้นั้น

ส่วนภาวนาก็เท่ากับเราไปตักน้ำเย็นๆ ที่ใสสะอาดมารดที่โคนต้น ไม่ช้าต้นไม้ของเรานั้นก็จะต้องงอกงามเจริญขึ้นทุกทีๆ จนเกิดดอกออกผลให้เราได้กินอิ่มหนำสำราญสมความตั้งใจ

ถ้าเป็นไม้ดอกมันก็จะมีสีสดงดงาม กลีบใหญ่มีกลิ่นหอมชื่นใจ ถ้าเป็นไม้ผลลูกของมันก็จะต้องดกมีผลใหญ่และรสหวาน เหตุนั้น ทาน ศีล และภาวนา จึงเป็นการส่งเสริมพูนบุญเก่าด้วยประการฉะนี้

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






"..ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร