วันเวลาปัจจุบัน 08 ธ.ค. 2025, 18:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: วันนี้, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5426


 ข้อมูลส่วนตัว


"..ธรรมะ หรือ ธัมโม ต้องเรียนเอามาจากธรรมชาติ เห็นความเกิด ความแปรปรวนของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์
เป็นนักปฏิบัติกรรมฐานอย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อธรรม เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมจึงจะดี
ธรรมะทั้งหมดชี้เข้าที่กายกับจิต เพราะกายกับจิตนั่นแหละเป็นคัมภีร์เดิม เป็นคัมภีร์ธรรมที่แท้จริง
ภูเขา ทะเล สายน้ำ แผ่นดิน แผ่นฟ้า เห็นไปดูไปก็ไม่มีความหมาย ให้เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







“สวดมนต์ไหว้พระก่อน หรือว่านั่งสมาธิเลย”

ถาม: ก่อนที่จะนั่งสมาธินี้ ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อน หรือว่านั่งเลย อย่างไหนจะดีกว่ากันครับ

ตอบ: อยู่ที่จิตของเรา ว่าหยาบหรือละเอียด ถ้าจิตหยาบคิดมาก นั่งไม่ได้ ก็ต้องสวดมนต์ไปก่อน เพื่อทำให้จิตละเอียดลงไป ให้ความคิดปรุงแต่งหมุนช้าลง พอคิดน้อยลงไปแล้ว ก็ดูลมได้.

#ภาวนธรรม
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
กัณฑ์ที่ 435
29 มกราคม 2555






“…นิสัยนุ่มนวลไม่มีใครเกิน
ท่านอาจารย์ฝั้นนะ นิสัยท่านอาจารย์ฝั้นนุ่มนวลมาก
ทีเดียว ไม่ว่าชั้นไหนนิสัยท่าน ท่านเดินนี่เหมือนช้างเดินผ่านทุ่งนา เดินสวยงามมากท่านอาจารย์ฝั้นนะ กิริยาท่าทางทุกอย่างนิ่มไปหมด เราไปเห็นท่านเราก็ชอบนะ เห็นนิสัยกิริยาท่าทางของท่านที่แสดงออกนี่สวยงามมาก เราก็ชอบ แต่ลิงเรามันอยู่นี่อยู่บนคอ เข้าใจไหมลิงอยู่บนคอ พอออกจากท่านไปลิงเราก็ออกลวดลาย มันไม่ได้เป็นแบบท่าน แบบท่านสวยงามตลอด แบบเรานี้ออกจากท่านไปลิงกอดคออยู่นี้ มันก็เป็นแบบลิงไป เป็นนิสัย เรียกว่านิสัย มองเห็นท่านก็สวยงามแต่ยึดไม่ได้นะ มันสู้ลิงไม่ได้ คือลิงหมายถึงว่านิสัยของตัวเอง ใครมีนิสัยอย่างไรมันก็แสดงออกตามนั้นๆละ..

:พระธรรมเทศนา
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ







"..จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






#โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต

เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา
มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิ
ดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา
โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อ
ภพชาติของเราที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไป
เป็นชาติที่ต่ำทราม​ ไม่ปรารถนาจะกลาย
มาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตก
ความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุข
ทุกขั้นจนถึง บรมสุขและความทุกข์จน
เข้าขั้น มหันตทุกข์ เหล่านี้มีได้กับทุกคน
ตลอดสัตว์ ถ้าตนเองทำให้มี อย่าเข้าใจ
ว่ามีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดย
ผู้อื่นไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง
แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้
ผลิตผู้ทำเองได้ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน

#เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน

จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้นหรือ
ยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใคร
มีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่นจึงมีทาง
เป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นเดียวกับที่เราเคยเป็น
ศาสนาเป็นหลักวิชาตรวจตราดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือนสิ่งดีชั่วที่มีและเกิดอยู่กับตนทุกระยะ
มีใจเป็นตัวการพาให้สร้างกรรมประเภทต่างๆ
จนเห็นได้ชัดว่ากรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นเหตุของกรรมทั้งมวล

#กรรม_เป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก

ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย​ ถ้าเราสามารถรู้เห็นกรรมดีกรรมชั่วที่ตนและผู้อื่น
ทำขึ้นเหมือนเห็นวัตถุต่างๆ จะไม่กล้าทำบาป
แต่จะกระตือรือค้นทำแต่ความดีซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ ความเดือนร้อนในโลกก็จะลดน้อยลงเพราะต่างก็รักษาตัว กลัวบาปอันตราย
ท่านว่า ดี ชั่ว มิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัยการทำบ่อยก็ชินไปเอง เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็น ฝ่ายชั่ว ก็แก้ไขยาก คอยแต่จะไหลลงตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ ถ้าเป็น ฝ่ายดี ก็นับว่าคล่องแคล่วกล้าขึ้นเป็นลำดับ

#เราเกิดเป็นมนุษย์_มีความสูงศักดิ์มาก

อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ
มนุษย์เราจะต่ำลงกว่าสัตว์และจะเลว
กว่าสัตว์อีกมากมาย อย่าพากันทำ ให้พา
กันละบาป บำเพ็ญบุญ ทำแต่ความดี
อย่าให้เสียชีวิตเปล่าที่มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์

#การทำความเข้าใจเรื่องของกรรม
เป็นการศึกษาธรรมะเพื่อเตรียมพร้อมที่
จะรับภาวะของตัวเราเอง ซึ่งจะต้องเป็นไป
ตามกรรมที่ได้ทำไว้ ตามสุภาษิตที่มีว่า
“กรรมจำแนกสัตว์ให้ทรามและประณีตต่าง
กัน"

#ผู้สงสัยกรรม_หรือไม่เชื่อกรรม

ว่ามีผล คือลืมตนจนกลายเป็นผู้มืดบอด
อย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาจะเกิดและได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่มาเป็นอย่างดีเหมือนโลก
ทั้งหลายก็ตาม เขาก็มองไม่เห็นคุณของ
พ่อแม่ว่าได้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาอย่าง
ไรบ้าง แต่เขาจะมองเห็นเฉพาะร่างกายเขา
ที่เป็นคนหนึ่งกำลังรกโลกอยู่โดยเจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น ไม่สนใจคิดว่าเขาเติบโตมาจากท่าน
ทั้งสอง ซึ่งเป็นแรงหนุนร่างกายชีวิตจิตใจเขา ให้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน

#การดื่มกินเป็นการสร้างสุขภาพ

ความเจริญเติบโตแก่ร่างกาย ไม่จัดว่า
เป็นกรรม กรรม คือ การกระทำ ดี ชั่ว ทาง
กาย วาจา ใจ ต่างหาก ผลจริง คือ ความสุข ทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่
รู้จักกรรมรู้แต่กระทำคือหากินอยู่ ทางศาสนาเรียกว่า กรรมของสัตว์ ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ ของบุคคล

#ควรมีเมตตาสงสารในสัตว์ทั้งหลาย

ซึ่งมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นเดียวกับเรา ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันความยิ่งหย่อนแห่งวาสนาบารมีนั้นมีได้ทั้งคนและสัตว์สัตว์บางตัวมีวาสนาบารมีและอัธยาศัยดีกว่ามนุษย์บางคน
แต่เขาตกอยู่ในภาวะความเป็นสัตว์ ก็จำต้องทนรับเสวยไป สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีและเสวยกรรมไปตามวิบากของมัน มิให้ประมาทเขาว่าเป็นสัตว์ที่เกิดในกำเนิดต่ำทราม ความจริงเขาเพียงเสวยกรรมตามวาระที่เวียนมาถึงเท่านั้น
เช่นเดียวกับมนุษย์ ขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์จนข้นแค้น ก็จำต้องทนเอาจนกว่าจะสิ้นกรรม เมื่อมนุษย์เราเกิดเสวยชาติเป็นคน มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามวาระของกรรมที่อำนวยมนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พาให้มาเป็นอย่างนี้ ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่างๆ จนนับไม่ถ้วน ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่ามีต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามในชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและกัน และสอนให้รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่วเป็นของๆ ตน.
---------------------------------------------
#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวส ต.ธาตุิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
#ภูริทตฺตธมฺโมวาท จากหนังสือบูรพาจารย์​
รวบรวมโดยมูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต






ถ้ารู้สึกว่ากำลัง “อดทน” ในการทำสิ่งที่ดี
ไม่ว่า ... อดทนในงาน อดทนในสังคม
อดทนในชีวิต ถือว่า “กำลังปฎิบัติธรรม”
...
พระอาจารย์ชยสาโร







หลวงปู่มั่น สอนคำภาวนา

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านถามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ว่า

“ท่านสุวรรณท่านสอนคำภาวนาให้ท่านคำไหน และการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ท่านสุวรรณ สอนให้ท่านทำอย่างไร”

เรียนถวายท่านว่า

“ท่านสอนให้เกล้าภาวนาว่า พุทโธ อยู่แก่ในใจ เดินจงกรมนั่งสมาธิ อาจารย์สุวรรณ สอนให้เกล้าทำอย่างนี้” (ทำถวายให้ท่านดู)

หลวงปู่มั่นจึงว่า

“ท่านคนราคะจริต ภาวนาว่า พุทโธมันไม่ถูก” ท่านบอกต่อไปว่า

“เอา ท่านยกมือขึ้นประณมมืออยู่ แล้วเรียนเอาคำภาวนาใหม่”

เมื่อยกมือขึ้นแล้ว ท่านสอนคำภาวนาให้ใหม่ว่า

“กายะเภทัง กายะมระณัง มหาทุกขัง”

เมื่อจำได้แล้ว ท่านให้กำหนดใจภาวนาให้ท่านดูในเวลานั้นเลย ภาวนาไปประมาณ ๑ นาทีกว่าท่านบอกให้หยุด ถามว่า

“ภาวนาสะดวกว่าง่ายไหม” เรียนท่านว่า

“มันหลายคำว่ายาก ภาวนายาก”

ท่านจึงให้คำใหม่อีกว่า

“เยกุชฺโฌ ปฏิกุโล”

และให้นั่งกำหนดจิตภาวนาถวายให้ท่านดูอีก นานประมาณเท่าเก่า

ท่านให้ลองอีก แล้วท่านถามอีกว่า

“ภาวนาสะดวกไหม และว่าง่ายไหม” ตอบท่านว่า

“คำนี้รู้สึกว่าง่าย เพราะมันน้อยคำ และมันเหมือนว่า พุทโธ อีกด้วย”

ท่านบอกว่า

“ให้ท่านภาวนาไปนานๆ มันจะสะดวกดอก”

แล้วท่านก็เทศนาสอนไปพอสมควรแล้วท่านก็สั่งเลิก"

๏ ข้อปฏิบัติ หลวงปู่มั่น ท่านมักจะเน้นธรรมปฏิบัติแก่บรรดาศิษย์ของท่าน ดังนี้
ธรรมข้อปฏิบัติและปฏิปทาต่างๆ

๑. การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก

๒. การถ่ายถอนนี้ มิใช่จะถ่ายถอนโดยไม่มีเหตุ ต้องให้มันถ่ายถอนเอง

๓. เหตุแห่งการถ่ายถอน ต้องให้สมเหตุสมผล ดังท่านพระอัสสชิแสดงในธรรมข้อที่ว่า...“ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นดับไปเพราะเหตุ”

๔.เหตุได้แก่การสมมุติบัญญัติขึ้น แล้วหลงตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการหลงตัวหลงตนก่อน แล้วไปหลงผู้อื่นว่ารูปสวย-ไม่สวย ต่อไปข้าวของนอกตัว จนกลายเป็นราคะ โทสะ โมหะ ๕.ท่านให้แก้เหตุ ด้วยการพิจารณากรรมฐาน 5 ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยกำลังของสมาธิ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร