วันเวลาปัจจุบัน 08 ธ.ค. 2025, 18:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5426


 ข้อมูลส่วนตัว


ให้เป็น "คนดี"
เพราะคนดี ดีกว่าคนดัง
คนดังบางคนไม่ดี แต่คนดีนั้น
ดีทั้งด้านนอกและด้านใน
ทำอะไรก็มีแต่ดีกับดี

พระราชภาวนาวชิรคุณ - #หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตโต







"..ถ้าประมาทในชาติมนุษย์ ไม่พยายามสร้างความดีไว้เสริมต่อ ในภพชาติต่อไป ทางที่จะได้เกิดเป็นสัตว์ มีมากกว่าทางที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







“ใครจะว่าเราดีเราชั่วนั้นไม่ใช่อยู่ที่คนพูด
แต่อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าหากเขาว่าเราดี
แต่เราไม่ดีจริงก็ไม่มีความหมาย”

หลวงพ่อเกษม เขมโก







“ทุกๆ คน ควรรีบขวนขวาย
ซึ่งความงามความดี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เป็นเด็กก็อย่าได้เกียจคร้านในการเรียนหนังสือ
จงตั้งจิตตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ให้มีความรู้
ความเฉลียวฉลาด ความสามารถ

เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็จงตั้งตัวตั้งตนให้ดี ให้มีความขยัน
มีความประหยัด ให้คบแต่คนดี ให้รู้จักประมาณ
ในการใช้จ่าย

ถ้าเป็นผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว ก็เตรียมตัวเพื่อคุณงามความดี
ให้ยิ่งๆ กว่าเด็กและคนหนุ่มทั้งหลาย”

ครูบาเจ้าพรหมา พรหมจักโก








ยามที่ทรงประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย
เมื่อกว่า ๒,๕๐​๐ ปีก่อน พระพุทธองค์ทรง
รู้แจ้งซึ่งธรรมชาติแท้จริงของสิ่งทั้งปวง
และหนทางปฏิบัติให้บรรลุถึงความรู้แจ้งนั้น
พระองค์ตรัสถึงการบรรลุธรรมอย่างย่อ
โดยทรงอธิบายหลักอริยสัจ หรือความจริง
สี่ประการอันนำไปสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า
และกิจอันพึงทำต่ออริยสัจในแต่ละข้อ
พระองค์ตรัสว่า ต่อเมื่อทรงบำเพ็ญกิจอันพึง
ทำเหล่านั้นครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จึงทรง
ปฏิญาณว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกข์มีอยู่ เป็นสิ่งที่พึงกำหนดรู้
เหตุแห่งทุกข์มีอยู่ เป็นสิ่งที่พึงละ
ความดับทุกข์มีอยู่ เป็นสิ่งที่พึงทำให้แจ้ง
หนทางสู่ความดับทุกข์มีอยู่
เป็นสิ่งที่พึงทำให้เกิดมี

พระพุทธองค์มิได้ทรงมอบหลักคำสอนต่างๆ
ให้เราต้องเชื่อ ต่อเมื่อเราพากเพียรปฏิบัติ
ตามหลักอริยมรรคอย่างครบถ้วนรอบด้าน
เพื่อให้เข้าใจทุกข์โดยถ่องแท้ ละเหตุ
แห่งทุกข์ และทำความดับทุกข์ให้แจ้ง
เมื่อนั้นเราจึงจะเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง ...
-
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร






"..เราทุ่มเทเงินทอง เป็นแสนเป็นล้าน เพื่อรักษากาย สุดท้าย ก็ต้องตาย แต่การรักษาใจ ไม่ต้องใช้เงินเลย ซักบาทเดียว.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต





"..ขอให้พวกเราเผชิญกับความจริง คือการเปลี่ยนแปลงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา เพราะฉะนั้น เราจะต้องเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง ในชีวิตของเราทุก ๆ คน จะตกไปอยู่ที่ไหน ก็สร้างคุณงามความดี ถึงแม้จะหมดชีวิตไป ก็อย่าทิ้งคุณงามความดี คือข้อประพฤติปฏิบัตินั่นแหละมันดี อย่างอื่นมันดีไม่ได้หรอก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโรสิยา ตนแหละเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครจะเป็นที่พึ่งเราได้ อันนี้มันเป็นความจริง อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงคราวมันจะเป็นไปแล้วก็เป็นไป อย่าไปคิดอะไรมากลำบากตัวเองเปล่า ๆ จงอุตส่าห์ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ดำรงชีวิตสร้างความดีต่อไป ให้มีความสามัคคี เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกัน มีความเมตตาอารีต่อกัน จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครอยู่ได้นานเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวเราก็พากันจากกันไปหมดนั่นแหละ.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถระ (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕) จากหนังสือ : อุปลมณี หน้า ๕๒๖







.

#ทำใจให้สบาย

ถ้าท่านพุทธบริษัททุกท่านมีทั้งทาน มีทั้งศีล จะมีความสุขมาก
ถ้าปฏิบัติตามคติขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกสักนิดคือ

"ทำใจให้สบาย" ที่เรียกว่าทำจิตให้เป็นสมาธิ ก็คือเอาจิตตั้งไว้ในอารมณ์ที่เป็นกุศล ไม่คิดทำลายตน และไม่คิดทำลายบุคคลอื่น
สร้างความแช่มชื่นให้ปรากฎ
โดยยึดถือคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ เป็นประจำใจ

"นึกถึงทานการบริจาคเข้าไว้"
ว่าเราตั้งใจจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะทำได้

"นึกถึงศีลที่เคยรักษาเข้าไว้"

"นึกถึงความดีของเทวดา"
ว่าท่านจะเป็นเทวดาได้ก็อาศัยความอายบาป อายความชั่วหรือเกรงกลัวความชั่ว

ถ้าทำได้อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท หากว่าท่านทั้งหลายจะยังไม่ตายจากชาตินี้ ก็จะมีแต่ความสุขใจ จะไปสถานที่ใดก็จะพบแต่คนที่เป็นมิตร จิตใจก็จะมีความสุข

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
__________
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๘
ฉบับที่ ๔๓๗ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐







..ศรัทธา มีมากเกินไป ขาดปัญญา กลายเป็น “งมงาย”
..ปัญญา มีมากเกินไป ขาดศรัทธา กลายเป็น “ทิฏฐิมานะ”
..สมาธิ มีมากเกินไป ขาดปัญญา กลายเป็น “โมหะ”
..ปัญญา มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเป็น “ฟุ้งซ่าน”
..วิริยะ มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเป็น “เหน็ดเหนื่อย”
..สมาธิ มีมากเกินไป ขาดวิริยะ กลายเป็น “เกียจคร้าน”
..สติ มีมากเท่าไหร่ยิ่งดี มีแต่ "คุณ" ไม่มีโทษ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย..








"..ธรรมะ หรือ ธัมโม ต้องเรียนเอามาจากธรรมชาติ เห็นความเกิด ความแปรปรวนของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์
เป็นนักปฏิบัติกรรมฐานอย่าเชื่อหมอมากนัก ให้เชื่อธรรม เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมจึงจะดี
ธรรมะทั้งหมดชี้เข้าที่กายกับจิต เพราะกายกับจิตนั่นแหละเป็นคัมภีร์เดิม เป็นคัมภีร์ธรรมที่แท้จริง
ภูเขา ทะเล สายน้ำ แผ่นดิน แผ่นฟ้า เห็นไปดูไปก็ไม่มีความหมาย ให้เห็นแต่ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เท่านั้นแล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







ยึดมั่นในสิ่งดี แล้วสิ่งดี ๆ
จะย้อนมาหาเราเอง คิดบวก ชีวิตบวก
จงจำไว้ว่า สิ่งร้าย ๆ ที่เข้ามาในชีวิต
เมื่อเข้ามาได้ มันก็ออกไปได้เช่นกัน
ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง และก็ไม่มีใคร
พลาดหวังทุกอย่างไป เสริมบุญ อย่าให้หมด
ส่วนบาปก็ลด อย่าให้เพิ่ม โชคอยู่ที่การ
แสวงหา วาสนาอยู่ที่การกระทำ
...
คำสอน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร