วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 10:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 06:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5383


 ข้อมูลส่วนตัว


"..เรื่องปฏิบัตินี้ อาตมาค้นคิดเหลือเกิน เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรค ผล นิพพาน มีอยู่ มันมีอยู่ตามพระองค์ตรัสสอน แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดจากการปฏิบัติ เกิดจากการทรมาน กล้าหาญ กล้าฝึก กล้าหัด กล้าคิด กล้าแปลง กล้าทำ การทำนั้นทำอย่างไร ท่านให้ฝืนใจตัวเอง ใจเราคิดไปทางนี้ท่านให้ไปทางโน้น ใจเราคิดไปทางโน้นท่านให้มาทางนี้ ทำไมท่านจึงให้ฝืนใจ เพราะใจถูกกิเลสเข้าพอกมาเต็มที่แล้ว มันยังไม่ได้ฝึกหัดดัดแปลง มันยังไม่เป็นศีลยังไม่เป็นธรรม เพราะใจมันยังไม่แจ้ง ไม่ขาว จะไปเชื่อมันอย่างไรได้.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร
(หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง
จ.อุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑ - ๒๕๓๕) จากหนังสือ : อุปลมณีหน้า ๑๒๐







"ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้
อยากได้มันก็ไม่ได้
ถ้าได้ทำไว้แล้วสร้างไว้แล้ว
ไม่อยากได้มันก็ได้
นี่แหละทานบารมี"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







#มีคนมาถามหลวงปู่ไพบูลย์ว่า...
ท่านรู้ว่าคนเข้ามาไม่ดี ทำไมยังเมตตาเขาอยู่

ท่านกล่าวว่า...

เขาไม่ดีมันเป็นสิ่งที่เขากระทำ
เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินใคร
เรารู้ เราทำตามความเหมาะสม
อะไรที่ให้ได้ ก็ให้ทำที่ให้ได้ก็พอ
พระอาทิตย์เวลาที่ให้แสง ต่อต้นไม้ใบหญ้า ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ไม่ได้ให้ด้วยการเลือกต้นไหนมีพิษ ต้นไหนสูงใหญ่ คนไหนดำขาว คนไหนดีหรือไม่ดี อาทิตย์ก็ทำหน้าที่ให้แสงตามธรรมชาติ ให้พลังงานที่ดีตามธรรมชาติที่ควรเป็นนี่แหละธรรมชาติเขาสอนให้เรามอง...

#คำสอน
#พระพรหมวชิรคุณ(ท่านพ่อไพบูลย์ สุมังคโร)
วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม อ.เชียงของ จ.เชียงราย







…หลวงปู่เคยบอกข้าพเจ้าว่า “คนทำ (ภาวนา) เป็นนี่ ใคร ๆ ก็รัก ไม่เฉพาะคนหรือสัตว์ที่รัก แม้แต่เทวดาเขาก็อนุโมทนาด้วย”…ท่านว่า “ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนเป็นหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น”

…เคยมีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงปู่ท่านว่า “ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มีนิมิตภายนอก แสดงสีต่าง ๆ เป็นต้น ดังที่ผู้อื่นเขารู้เห็นกันเลย”

หลวงปู่ท่านย้อนถามสั้น ๆ ว่า “ปฏิบัติแล้ว โกรธ โลภ หลง ของแกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลง ข้าว่าแกใช้ได้”

หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ

จากหนังสือ #พระผู้จุดประทีปกลางดวงใจ







อย่าไปกลัวติดดี ให้จิตติดอยู่กับพุทโธ

การติดดี ไม่ต้องปล่อยวาง ในเมื่อมันติดแล้ว
ก็จะขยันหมั่นเพียรมากขึ้น ทีนี้การขยันหมั่น
เพียร ผลงานมันก็เกิดขึ้นๆ ในที่สุดผล
ครั้งสุดท้าย ก็คือไม่ติดอะไร มันจะเป็นไปเอง
โดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นสิ่งดี จิตมันจะติดแค่ไหน
ปล่อยให้มันติดไป ถ้าติดไหว้พระสวดมนต์
วันหนึ่งไม่ได้ไหว้พระสวดมนต์ มันนอนไม่หลับ
นั่นแหละยิ่งดี วันหนึ่งไม่ได้นั่งสมาธิ
นอนไม่หลับ ยิ่งดี เราภาวนาพุทโธๆๆๆๆ
เพื่อให้จิตมาติดอยู่กับพุทโธ เมื่อมาติดอยู่
กับพุทโธสิ่งเดียว มันก็ละวางสิ่งอื่น มาอยู่
ที่พุทโธ อย่างเดียว มันก็เหมือนๆ กันกับเรา
ถือสัมภาระทั้งหลาย เราถือของหลายอย่าง
พะรุงพะรัง หิ้วหน้าหิ้วหลัง มันก็ลำบาก
แต่ถ้าเราหิ้วของสิ่งเดียว มันเบา ...

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา








.

#โลกธรรมแปดประการ

ทีนี้เราก็เหมือนกัน ถ้าเราจะพอใจ
ในพระสงฆ์องค์ไหน
ก็ต้องดูคุณธรรมท่านด้วย
ถ้าพระองค์ไหนหนักไปในทาง "โลกีวิสัย"
ยังพอใจใน "โลกธรรม" คือ
พอใจในลาภ เวลาเสื่อมลาภใจก็ไม่สบาย
พอใจในการที่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์
ถ้ายศถาบรรดาศักดิ์เสื่อมไปก็ใจไม่สบาย
ชอบสรรเสริญ ไม่ชอบนินทา
ชอบความสุข แล้วไม่ชอบความทุกข์
ถ้าอารมณ์ของท่านองค์นั้น
ถ้ามีนิสัยเป็นอย่างนี้เราบูชาไม่ได้
เพราะอะไร เพราะยังไม่เป็นพระ
เพราะพระนี่เขาต้องวาง "โลกธรรม" ให้หมด
"โลกธรรม" ที่อยู่ประจำโลก
ก็ได้แก่ของ ๘ อย่าง คือ

ได้ลาภ เสื่อมลาภ
ได้ยศ เสื่อมยศ
นินทา สรรเสริญ
สุข ทุกข์

ทั้ง ๘ อย่างนี่ถือว่า
ไม่มีสาระ ไม่่มีแก่นสาร ไม่มีความหมาย
ที่เราจะเอาจิตใจของเราเข้าไปพัวพัน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
______
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๙
ฉบับที่ ๔๓๙ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๐
หน้า ๒๖






ทุกครั้งที่เราเป็นผู้ให้
เราก็จะเป็นผู้รับในเวลาเดียวกัน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







#อวิชชาขาดออกจากใจ

“ทางสิสังหารกิเลสออกจากใจ มีแต่เดินจงกรมกับนั่งภาวนาทอนั่นแหล่ว พระพุทธเจ้าเพิ่นเฮ็ดมาแล้ว เบิ่งแม้ มื้อเพิ่นสิได้ตรัสรู้หั่น เพิ่นอธิษฐาน อัตภาพร่างกายสิแตกดับเป็นดินเป็นหญ้าไป กะบ่ลุกจากที่ หรือเนื้อหนังมังสาเลือดสิเหือดแห้งไปกะตาม สิบ่ยอมลุกขึ้นหากบ่ได้ตรัสรู้ เพิ่นอธิษฐานปานนั้น

แต่ครั้งพุทธกาลเพิ่นกะเร่งความพากความเพียร เข้าพรรษาไตรมาส สามเดือน เพิ่นอธิษฐานบ่นอนไปจังซั่น อธิษฐานธุดงควัตรอยู่นั่น อธิษฐานบังคับใจเจ้าของให้อยู่ในอรรถในธรรมว่าสิให้มันได้ตรัสรู้ก่อนออกพรรษาจังซี่

ตั้งใจแหล่ว ตั้งสัจจะผูกมัดจิตใจเจ้าของแหล่วว่าสิให้มันได้ตรัสรู้ก่อนออกพรรษา มันจวนแล้วเด๊ะ

กะพิจารณาแต่จิตดวงเดียวแหล่ว ปได้กว้างขวางอิหยัง ของสิ่งต่างๆ ที่เป็นส่วนหยาบ มันกะฮู้เบิ้ดแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เครื่องสัมผัสทั่วโลกธาตุ มันกะฮู้เข้าใจเบิ้ดแล้ว ปล่อยวางเบิ้ดแล้ว มันบ่สนใจพิจารณาเด๊ะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กะบ่สนใจพิจารณา มันฮู้เบิ้ดแล้วแมะ มันเหลือแต่ จิตดวงเดียว พอมหาสติมหาปัญญาหันมาพิจารณาดวงจิตทอนั่นล่ะ อุปมาเปรียบทางปัญญา กะจังว่ามีบุรุษผู้หนึ่งกําลังปลุกปล้ำต่อสู้อยู่กับหมีตัวหนึ่ง กะต้องทุ่มเทพละกําลังสติปัญญาอิหยังต่างๆ ลงไปเบิ้ด สิเอาชนะกันเด็ ต่างฝ่ายต่างกะฉุดกะชากลากดึงกันอยู่หั่นแหล่ว หัวทิ่มหัวตํากันอยู่หั่น ขั้นสิเว่า ยอดแห่งมรรคคือปัญญาญาณแหล่ว ต่อสู้กับยอดของสมุทัยคือตัวอวิชชาอยู่ พอดีกะปรากฏว่ามีบุรุษอีกผู้หนึ่งย่างผ่านมา บุรุษคนที่ต่อสู้กับหมีอยู่หั่นเห็น กะเลยฮ้องออกมาให้ซอยเหลือว่า เอ้ย มาซอยกันแนๆ บุรุษคนที่สองจังได้เข้ามาซอยจับหมีไว้ ที่นี้บุรุษคนแรกกะเลยปล่อยมือจากอาการแห่งการจับนั่น ปล่อยมือจากภาระอันนั้น บุรุษนั้นกะหนีไปเลย

ฮ่วย กะมหาสติมหาปัญญาแหล่ว เป็นปัญญาญาณเลย พิจารณาเห็นว่าการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับกิเลส อวิชชานั่น ยังเป็นสมมุติชั้นละเอียดเข้าไปอีกชั้นหนึ่งอยู่ ยังเป็นชั้นอวิชชาครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่นี้ พระธรรมท่านกะเตือนว่าควรปล่อยวางเสีย วาซั่น

ที่นี้ จิตกับสติปัญญาต่างฝ่ายต่างอยู่เป็นอุเบกขา เป็นมัธยัสถ์ มันเป็นกลาง บ่ได้เฮ็ดหน้าที่อิหยัง จิตกะเป็นจิตกลางๆ บ่ได้จดจ่ออิหยัง ปัญญากะเป็นปัญญากลางๆ บ่ได้ทํางานอันใด๋ สติกะฮู้อยู่ตามธรรมดา บ่ได้จดจ่อกับอิหยัง

จิต สติ ปัญญา ทั้งสามเป็นอุเบกขา มัธยัสถ์ ตอนนั้นล่ะ โลกธาตุภายในจิต คือ อวิชชา ได้ขาดออกจากใจ จิตรวมพรึบ แสงสว่างเกิดขึ้นโลด จิตม้วนลงโลด ธรรมอัศจรรย์โผล่ขึ้นละหั่นนี่ มันสิออกอุทานเลยแหละ ไปทางใด๋มันสิกราบพระพุทธเจ้า โอ๊ย กราบอยู่ปานนั้น กราบครูบาอาจารย์ กราบแล้ว กราบอีก ซำบายแล้วทีนี้ เชื้อแห่งการเกิดได้ถูกทําลายลงแล้วเด๊ จิตเป็นวิสุทธิจิต

ที่นี้ เปรียบเทียบกะพระพุทธเจ้า เพิ่นหนี บ่สู้โลก เพิ่นบอกไว้แล้วเด๊ะ จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย กะเพิ่นสละคืนโลกเบิ้ด บ่เอาอิหยัง สมมุติทั้งเบิ้ดในโลกนี้ จาโค สละคืนล่ะ ส่งคืนล่ะ ปล่อยแล้ว บ่อาลัยเลยในโลกทั้งสามอันนี้

ธรรมของพระองค์เจ้าบ่แม่นของอยากเด๊ะ เฮ็ดเหตุให้พอ ผลมันเกิดเอง ชาวนาเขาบ่ได้ปรารถนาฮวงข้าวดอก เขาปฏิบัติรักษาลําต้นของมันทอนั่น พวกดอกผลอิหยังมันเป็นเอง มันเกิดเองดอก อันจิตใจนี้ก็เหมือนกันแหล่ว ขอให้บําเพ็ญเถอะ เต็มภูมิมันแล้ว รู้เองโลด ธรรมของพระองค์เจ้าเป็นเองเลย แก้เข้าๆ พอแก้ได้มันก็หลุดเท่านั้นแหละ”

ขณะที่อวิชชาได้ขาดลงไปจากบัลลังก์ของใจท่านนั้น ปรากฏว่าโลกธาตุเกิดการสะเทือนสะท้านปรากฏเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว หมู่เทวดาต่างไชโยโห่ร้องกันอย่างกึกก้อง เพราะความดีใจและอัศจรรย์ใจในธรรมะประเภทเหนือโลกนี้ พร้อมกับตีฆ้องอันเป็นทิพย์ ม้งๆๆ ๓ ครั้ง และโปรยดอกไม้ทิพย์เพื่อเป็นการถวายบูชาต่อหลวงปู่ ต่างฝ่ายต่างปีติยินดีที่สงฆ์สาวกของพระสุคตเจ้า ได้อุบัติเกิดขึ้นบนโลกแล้วอีกรูปหนึ่ง เหล่าทวยเทพ มีเทวดาอินทร์พรหมต่างมาประชุมกันเพื่อชื่นชม กับความอัศจรรย์ในครั้งนี้ ต่างรำพึงรำพันกันว่า “ธรรมะประเภทนี้ใช่ว่าจะปรากฏขึ้นกันได้ง่ายๆ นะ พวกเรามีบุญจริงๆ หนอ ถึงได้พบเห็นเข้า ช่างน่าอัศจรรย์จริงแท้เทียว พระคุณเจ้ารูปนี้ท่านสามารถคว้าเอาธรรมอันวิเศษเลอเลิศนั้นมาครองไว้ในใจได้สําเร็จ พระสาวกของพระสุคตเจ้าได้อุบัติบังเกิดขึ้นเพื่อให้ความร่มเย็นแก่สัตวโลกผู้มืดบอดผู้เช่นเราอีกรูปหนึ่งแล้วหนอ ช่างน่าอนุโมทนากับท่านเสียจริงๆ”

หลวงปู่เล่าว่า ขณะที่อวิชชาได้ขาดออกไปจากดวงใจนั้น ปรากฏราวกับว่าโลกธาตุสะเทือนไปหมด เพราะเหตุอัศจรรย์นั้น ในใจของท่านปรากฏภาพภูเขาที่แวดล้อมหมู่บ้านบริเวณนั้นได้พังทลายลงมาแล้ว ไหลผ่านใต้ฝ่าเท้าของท่าน เป็นความหมายว่าการท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดถือเอากําเนิดในภพต่างๆ ในวัฏสงสารของท่านนี้ได้เดินทางมาถึงที่สุดแล้ว

ตลอดทั้งคืนวันนั้นท่านว่า ท่านปลงธรรมสังเวชในความโง่เง่าเต่าตุ่นของตนซึ่งเปรียบเหมือนหุ่น ที่ท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่อันไม่มีประมาณจนน้ำตาไหลตลอดคืน พร้อมกับกราบพระคุณของ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างถึงใจ

ชีวประวัติหลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) จังหวัดอุดรธานี

จากหนังสือที่ระลึกในงานถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่ลี กุสลธโร “กุสลธโร ผู้ทรงไว้ซึ่งความฉลาด”








#มีคนมาถามหลวงปู่ไพบูลย์ว่า...
ท่านรู้ว่าคนเข้ามาไม่ดี ทำไมยังเมตตาเขาอยู่

ท่านกล่าวว่า...

เขาไม่ดีมันเป็นสิ่งที่เขากระทำ
เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินใคร
เรารู้ เราทำตามความเหมาะสม
อะไรที่ให้ได้ ก็ให้ทำที่ให้ได้ก็พอ
พระอาทิตย์เวลาที่ให้แสง ต่อต้นไม้ใบหญ้า ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ไม่ได้ให้ด้วยการเลือกต้นไหนมีพิษ ต้นไหนสูงใหญ่ คนไหนดำขาว คนไหนดีหรือไม่ดี อาทิตย์ก็ทำหน้าที่ให้แสงตามธรรมชาติ ให้พลังงานที่ดีตามธรรมชาติที่ควรเป็นนี่แหละธรรมชาติเขาสอนให้เรามอง...

#คำสอน
#พระพรหมวชิรคุณ(ท่านพ่อไพบูลย์ สุมังคโร)
วัดเทพนิมิตรสุดเขตสยาม อ.เชียงของ จ.เชียงราย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร