วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 05:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2025, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5382


 ข้อมูลส่วนตัว


"เมื่อเกิดมาเป็นคน รู้ตัวว่าเราจะต้องตาย
จงรีบทำคุณงามความดี ทำประโยชน์ไว้เสีย
การทำมาก หรือทำน้อย ไม่เป็นปัญหา
ขอให้ตั้งเจตนาให้ดี ให้เชื่อมั่นในบุญกุศลที่ตนทำนั่น
จิตใจแน่วแน่อยู่กับกุศลอันนั้น ก็จะเป็นของมากอยู่เอง
ไม่ต้องเอาหน้าเอาเกียรติ ไม่ต้องเอาชื่อเอาเสียง
เอาเฉพาะใจของตนเอง ตั้งศรัทธาแน่วแน่
เฉพาะบุญกุศลที่ตนทำเอง นั่นละเป็นอานิสงส์มาก
กุศลมาก ตรงนี้แหละ”

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี





เด็กหัดเดินแม้จะล้มแล้วล้มเล่า แต่ก็ไม่เคย
หยุดลุก หญ้าอ่อนแม้จะถูกหินทับ แต่ก็สงบตัว
เพียงเพื่อรอวันแทงยอดขึ้นใหม่ ไม้ใหญ่แม้ถูก
ไฟแล้งเผาผลาญ แต่ก็พร้อมแตกหน่อ
เมื่อฤดูฝนมาเยือน พลังแห่งชีวิตนั้น ไม่รู้จัก
ระย่อท้อถอย อุปสรรคถึงจะมาขวางกั้น
อันตรายถึงจะมาคุกคาม แต่ไม่เคยสยบชีวิต
ให้จำนน ไม่ว่าจะอาลัย “อดีต” หรือกังวล
กับ “อนาคต” เพียงไรก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
กลับทำให้เราย่ำแย่กว่าเดิม สิ่งเดียวที่จะทำให้
อะไรดีขึ้นก็คือการทำ “ปัจจุบัน” ให้ดีที่สุด
ทางข้างหน้าแม้จะยาวไกลและลำบากเพียงใด
แต่เราไม่มีวันถึงจุดหมายเลยหากไม่ลงมือก้าว
เสียแต่เดี๋ยวนี้ รวมทั้ง ใส่ใจกับแต่ละก้าวให้ดี
ถ้าก้าวไม่หยุดในที่สุดก็ต้องถึงที่หมายเอง ...
...
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล






"ดูอะไรเห็นอะไร สู้ดูใจเห็นใจไม่ได้
ดูใจ รู้ใจ เห็นใจ ประเสริฐสุด"

หลวงปู่แบน ธนากโร






ลูกศิษย์::หลวงพ่ออารมณ์พระอรหันต์เป็นแบบไหนเจ้าค่ะ

หลวงพ่อตอบ ::อารมณ์หมายถึง อารมณ์ทางใจ
ถ้าท่านได้สำเร็จอรหันต์แล้ว จิตใจของท่านจะไม่มีอารมณ์ ไม่ว่าดีใจ หรือเสียใจ
ใจของท่านจะเที่ยง ตรง แน่วแน่ ไม่เปลี่ยนไปตาม
แต่ปฏิกิริยาทาง วาจาจะพูดออกมาตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต้องมี
เช่นคนทำผิด
ท่านจะดุด่าทางวาจา
แต่จิตใจของท่าน ไม่หวั่นไหวไปตามคำพูดของท่าน

บางทีเขาทำดี ท่านก็จะว่าดีแล้วๆๆๆ
ว่าแต่ปากเฉยๆ
พอให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ผิดชอบชั่วดี
แล้วนำไปแก้ไขตัวเองเสีย เรื่องบุญคุณ
ท่านก็ไม่ได้มาหวังว่า
จะมาเอากับใครอีก
เพราะว่าท่านทำมาพอแล้ว
เต็มแล้ว
อิ่มแล้ว
จิตใจของท่านไม่หิวโหยอะไรทั้งนั้น
ท่านจึงไม่มีอารมณ์ทางใจ เหมือนคนธรรมดาๆ

ถ้าจะเทียบ สมมุติฐาน เป็นดวงตะวันเวลาเที่ยง
มันก็จะเที่ยงตรงอยู่อย่างนั้น ไม่ว่า ลับหู
ลับตา กลางวันหรือกลางคืน จิตใจของท่าน จะมีแต่ความเมตตาที่เต็มล้นอยู่ในหัวใจของท่าน
ไม่คิดอาฆาตแค้นให้ผู้ใด ใครอยากเป็น
อยากเห็น
อยากรู้
ต้องลงมือทำเอง
มาถามคนอื่นความสิ้นสงสัย ก็ไม่หายหรอก เราต้องทำเอาเอง มันจะร้องอ๋อๆๆ
ทันทีทันใด
เมื่อมันเห็น
มันเป็นขึ้นมา

หลวงพ่อสมเกียรติ ชิตมาโร
วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิตร อุดรธานี
27 กันยายน 2568





อย่ายอมให้ความชั่วมีอำนาจ
แย่งเวลาในการทำดี

ความดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม เป็นสิ่งที่ทำได้
ทุกเวลา แต่จะทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้
ต้องทำทีละอย่าง จึงต้องตัดสินใจ
เลือกว่าจะทำอย่างไหน จะทำความดี
หรือจะทำความชั่ว อย่ามีใจอ่อนแอโลเล
เพราะจะทำให้พ่ายแพ้ต่ออำนาจของความชั่ว
ยอมให้ความชั่วมีอำนาจแย่งเวลาที่ควรทำ
ความดีไปเสีย ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
จะเป็นการแสวงหาทุกข์โทษภัยใส่ตัว
อย่างไม่น่าทำ ...

พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร






.

ขึ้นชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
เป็นของไม่เที่ยง
มันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง
มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
มีการเสื่อมไปในท่ามกลาง
มีการสลายตัวไปในที่สุด

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
___________
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๒๔ หน้า ๘๕





หาประโยชน์ตน แล้วก็หาประโยชน์ผู้อื่น
สอนตนแล้วก็สอนคนอื่น
ตัวทำอย่างใด ก็สอนผู้อื่นอย่างนั้น
สอนผู้อื่นอย่างใด ตัวก็ทำอย่างนั้น
อันนี้ คือคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา ...

พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)





"#บุญวิ่งมาหาไม่มีนะ อย่าไปรอบุญวาสนา บุญ วาสนา บารมี ต้องสร้างบำเพ็ญเอานะ

บุญเก่าหมด บุญใหม่ไม่มีก็แล้วกันเท่านั้นไม่หาเมื่อไหร่จะมี

ที่มีก็มาจากบุญกุศลนั่นแหละ ต้นตอเรา เกิดมาจากบุญกุศลเหมือนกัน ใครตกแต่งให้ มีแต่กรรมดี กรรมชั่ว เท่านั้นแหละ

ทำไมบางคนเกิดมา เป็นบ้า เป็นใบ้ หูหนวก ตาบอด เขาอยากได้หรือ ขึ้นชื่อว่าไม่ดีคงไม่มีใครอยากได้ แต่ทำไมเขาถึงได้ เพราะเขาทำมาแล้ว

ส่วนคนที่ไม่เป็นแบบนั้นเพราะเขาทำกรรมดีมา จึงมีบริบูรณ์พร้อมทุกอย่าง…"

#หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล
วัดป่าสมบูรณ์ธรรม จ.พิษณุโลก






"..ผู้ที่จะฝึกจิตได้ดีๆนั้น ข้อสำคัญก็คือ มีคุณสมบัติเบื้องต้นได้แก่ มีศีลที่บริสุทธิ์ เพราะบุคคลที่มีศีลบริสุทธิ์จะเป็นฆราวาสมีศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอย่างใดอย่างหนึ่งที่รักษาอยู่ต้องรักษาบริสุทธิ์

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารักษาได้บริสุทธิ์ ก็คือว่าต้องศึกษาสิกขาบทที่สมาทาน และศึกษาเรื่องความเป็นไปของศีล เจตนาที่มีเจตนาประการใด ให้เข้าใจและตั้งใจปฏิบัติ

การตั้งใจปฏิบัติในยามปกติให้มีศีลนั้นไม่สู้สำคัญ แต่เมื่อไปประสบอารมณ์ที่น่าใคร่น่าพอใจก็ยังรักษาได้ ทิ้งอารมณ์ที่น่าใคร่น่าพอใจนั้นเสีย หรือไปประสบอารมณ์สิ่งที่ไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจอีก เป็นที่ขัดเคืองจิตใจ แต่สลัดทิ้งอารมณ์อันนั้นได้ อารมณ์เหล่านี้ถ้าตั้งมั่นอยู่ในศีลได้ ทิ้งอารมณ์เหล่านั้นไป นั่นคือการรักษาศีลที่เข้มแข็ง โดยมีจิตที่เข้มแข็ง

แท้จริงผู้มีศีลนั้นที่ท่านกล่าวว่า ศีลเป็นเครื่องรักษากายกับวาจา แต่สิ่งที่สำคัญคือผู้มีศีลต้องมีเจตนาวิรัติ คือมีความตั้งใจ ตั้งใจรักษา ที่เราภาวนาว่า ปาณาติปาตา เวรมณี ต้องพร้อมด้วยความตั้งใจและพร้อมด้วยความรู้สึกว่า บัดนี้เราสมาทานศีลนี้ เรางดเว้นศีลนี้แล้ว จากพระสงฆ์หรือจากส่วนรวมหรือจากอธิษฐานก็ดี ก็ให้เรามีความระมัดระวังและสำรวมไว้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป อะไรที่จะมาพรากให้ศีลของเราที่สมาทานแล้วเสียไปเราจะไม่ทำและเราจะกำจัดสิ่งเหล่านั้นไม่ให้เกิดขึ้นกับในจิตใจของตน

ผู้รักษาศีลจึงต้องมีเจตนาวิรัติ เมื่อเรามีเจตนาวิรัติดีแล้วเราก็จะรักษาศีลให้มั่นคง อะไรที่จะเกิดขึ้นเป็นเหตุให้เสียศีล ก็จะได้สำรวมระวังและมีความเคารพมีความนับถือ มีความรักในศีลของตนด้วยความมั่นคงที่ได้สมาทานไว้แล้ว คล้ายกับว่าศีลที่ตนเองรักษานั้นได้รับมาจากพระพุทธเจ้า เพราะเป็นคำสอนของพระองค์ จะทำให้จิตใจมั่นคงยิ่งขึ้น เมื่อจิตใจของผู้มีศีลมั่นคง สมาทานไว้แล้วก็จะรักษาได้ยืนยาวนาน หรือเมื่อประสบอะไรที่เป็นเหตุแห่งความวิบัติของศีล ก็จะมีจิตมั่นคงต่อต้านสิ่งเหล่านั้นไม่ให้ศีลของตนนั้นเสียไป.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
วัดป่าปางกึ๊ดกิตติธรรม






“การให้ด้วยความเต็มใจนั้นมีอานิสงส์มหาศาล
ของที่ให้แม้จะน้อย แต่ให้ด้วยความเต็มใจ
ก็มีอานิสงส์มากกว่าเงินจำนวนมาก
แต่ให้เพราะอยากได้หน้า หรือให้แต่เสียดาย
เราเหลือกินเหลือใช้ก็ให้เถอะ เลี้ยงคนไม่ทำให้จนลงหรอก”

หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล




"#บุญวิ่งมาหาไม่มีนะ อย่าไปรอบุญวาสนา บุญ วาสนา บารมี ต้องสร้างบำเพ็ญเอานะ

บุญเก่าหมด บุญใหม่ไม่มีก็แล้วกันเท่านั้นไม่หาเมื่อไหร่จะมี

ที่มีก็มาจากบุญกุศลนั่นแหละ ต้นตอเรา เกิดมาจากบุญกุศลเหมือนกัน ใครตกแต่งให้ มีแต่กรรมดี กรรมชั่ว เท่านั้นแหละ

ทำไมบางคนเกิดมา เป็นบ้า เป็นใบ้ หูหนวก ตาบอด เขาอยากได้หรือ ขึ้นชื่อว่าไม่ดีคงไม่มีใครอยากได้ แต่ทำไมเขาถึงได้ เพราะเขาทำมาแล้ว

ส่วนคนที่ไม่เป็นแบบนั้นเพราะเขาทำกรรมดีมา จึงมีบริบูรณ์พร้อมทุกอย่าง…"

#หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล

วัดป่าสมบูรณ์ธรรม จ.พิษณุโลก








"ความผูกพันธ์นั่นแล
พาให้โลกเป็นทุกข์กันมากน้อย
ถ้าความผูกพันธ์ในใจไม่มี ก็ไม่เป็นทุกข์
ธรรมท่านจึงสอนให้รู้เท่าทัน
และปล่อยวางความผูกพันธ์
อันเป็นตัวการให้ทุกข์ทั้งหลายเกิด"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน





#ถ้าทำจริง_ได้ธรรมจริง

ธรรมะของจริงก็อยู่กับบุคคลทุกคน เว้นไว้แต่ไม่ทำ
ถ้าทำต้องมีทุกคน เพราะธรรมเป็นของจริง ต้องทำจริงจึงจะเห็นธรรมะของจริง
การกระทำก็ทำจิตใจให้สงบ ใจจะสงบได้ ก็ต้องอาศัยการพยายามทำจิตใจให้มันดี
ทำจิตใจให้พอใจในใจ เพราะธรรมเป็นของละเอียดลึกซึ้ง
ของจริงมันมีทุกๆ คน ธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็มีอยู่ในคนทุกคน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มีอยู่ทุกคน
แต่เราทำไม่ถึง ไม่ถึงพระพุทธ ไม่ถึงพระธรรม ไม่ถึงพระสงฆ์
ต้องอาศัยการกระทำ ฝึกหัดดัดแปลงจิตให้มันดี ให้มันสงบ ให้เป็นสมาธิ
จิตใจจะเป็นสมาธิก็ต้องอาศัยการพยายามมีสติกำหนดจิตใจให้มันอยู่
ความรู้ความเห็นทุกอย่างนั้นมันเป็นโลก
ธรรมะของจิตนั้นมันต้องพยายามทำใจให้มันอยู่
ให้มันอยู่จนพรากจากอารมณ์ภายนอก
ความคิดความนึกทุกอย่างไม่ต้องคำนึง จนตั้งอยู่เป็นอันเดียว
พอรู้สึกอยู่อย่างเดียว สติความระลึก สัมปชัญญะความรู้ตัว ก็ต้องรู้อยู่กับที่นั้น
ถ้าใจมันละเอียดไป มันต้องอยู่รู้กับที่ ถ้าจิตใจมันละเอียดไปแล้ว มันก็แน่วแน่เป็นหนึ่ง

เพราะฉะนั้นเราต้องพยายาม การภาวนาก็เป็นบุญเป็นกุศลมากมาย
ถ้าทำได้ทุกๆ วัน ทำได้เสมอไป ก็เป็นกุศลทุกวัน
ให้คิดดู ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะมาถึงวันไหนเราก็ไม่รู้
ไม่ว่าแต่คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มก็ตาย
ได้ฝึกหัดทำทุกวันๆ มันตายไปก็ยังได้ขึ้นสวรรค์
การกระทำจิตใจนี้เป็นของดี เป็นยอดของทาน ฝึกหัดอริยทรัพย์ภายใน
อริยทรัพย์ภายนอกก็มี การทำบุญ การให้ทาน
นั่นเรียกว่าอริยทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายในนั่นเป็นอริยะ
ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจให้มันดี ให้มันบริสุทธิ์หมดมลทิน

เพราะฉะนั้นต้องรีบทำทุกๆ คน
ทำคุณงามความดีให้มีให้เกิดขึ้นในดวงจิตดวงใจเพื่อเป็นอุปนิสัยไป
ถ้ายังไม่ถึงมรรคผลนิพพาน มันก็ต้องมีอุปนิสัยติดในจิตในใจ
พกแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบไปในอนาคตกาลข้างหน้าอีกก็จะดี
จะไปทุกภพทุกชาติต้องอาศัยการกระทำ
ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร
ถ้าฝึกหัดไปทุกวันๆ จะเป็นหรือไม่เป็น ก็ทำให้เรามีศรัทธาในการภาวนา
การกระทำทุกๆ วันไป ถ้าทำแล้วต้องเป็นละ
ทำให้มันนานๆ นั่งสักชั่วโมงสองชั่วโมง
ถ้าใจมันสงบลงไปแล้ว เราจะนั่งสักสามสี่ชั่วโมงก็ไม่เป็นอะไร
ไม่เจ็บไม่ปวดไม่เหน็ดไม่เหนื่อยอะไร
ต้องหัดกระทำอยู่อย่างนั้นจนใจนี่มันตั้งแน่วแน่
หรือทำไป สงบไป ปีติเกิดขึ้น
เมื่อปีติเกิดขึ้นแล้ว ความสุขก็เกิดขึ้น ความเข้าใจก็เกิดขึ้น
ความกล้าหาญความอาจหาญมันก็มีอยู่ในใจ
ต้องอาศัยการกระทำ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีอะไร ไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศลอะไร
ถ้าเราทำไปต้องได้บุญได้กุศลทุกวันทุกเวลาไป

ทุกคืนเราจะนอนก็ไหว้พระ ไม่ได้อะไรก็ภาวนาไป ไหว้พระ ๓ ที ๑๐ ที
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะที่พึ่งของตน
แล้วก็นั่งสมาธิไป ภาวนาไป พุทโธ พุทโธ
หลับตานั่งนานๆ ไม่นานมากก็ ๕ นาที ๑๐ นาที
ค่อยหัดไปทุกวันๆ ไป ดีกว่านอนเปล่าๆ ไม่มีอะไร
อยากได้คุณงามความดี สิ่งที่ดีที่ชอบก็ต้องประกอบให้เกิดขึ้นในจิตในใจ
การภาวนามันเป็นยอดของทานอันเลิศ
เก็บอยู่ในจิตในใจทุกภพทุกชาติไปจนได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
ก็ต้องอาศัยบำเพ็ญบารมีของตนนี้แหละ
บารมีของตนนี้แหละเป็นเสบียงอาหารไปข้างหน้าอีก
เกิดไปชาติไหนก็เป็นคนที่มีความดีความงามอยู่ในจิตใจ
เพราะเราได้ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจของเรา
ให้มันบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ

เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เสมอไป สมดังภาษิตท่านว่า
“วิริเยน ทุกขมัจเจติ” คนผู้จะล่วงทุกข์ได้ ก็ต้องอาศัยความเพียร
เพียรนอกก็ต้องทำเหมือนกัน การทำบุญ การให้ทาน
หรือพวกชาวไร่ชาวนาก็ต้องอาศัยความพากเพียรมันถึงจะมีผล
ทำอะไรก็ทำด้วยความเพียรความพยายาม
การทำจิตใจก็เหมือนกัน ต้องอาศัยความพยายาม ต้องอาศัยความเพียร
เพื่อจะให้จิตมันอยู่ ให้มันสงบ ให้มันบริสุทธิ์ไป
จึงจะได้มรรคผลเกิดขึ้นตามภูมิตามธรรม
ถ้าจิตเรามันรวมพักครั้งหนึ่ง ก็ติดอยู่ในจิตในใจเสมอไป
เพราะฉะนั้นเราควรพยายามในการบุญการกุศล

คนทุกวันนี้ก็มีแต่เรื่อง มีแต่ความวุ่นวายมากมาย
รีบทำคุณงามความดีให้มันมีขึ้นในจิตในใจ หลุดพ้นจากความไม่ดี
ทำจิตใจให้มันละเอียดไปๆ จนกว่าละเรื่องโลก
โลกนี้มีแต่ความรู้ความเห็น ความเข้าใจทุกอย่างของโลก
ธรรมะของจริงมีแต่หมดไปๆ
จนตั้งแน่วแน่เป็นหนึ่งอยู่ ตั้งจิตดวงเดียว ตั้งให้มันแน่วแน่อยู่นั่น
อย่างทางจะไปพระนิพพานก็ต้องอาศัยความพยายาม จนมันตั้งแน่วแน่ได้
โลกนี้มันประกอบไปด้วยความทะเยอทะยาน
ถ้าทำจิตให้มันดี ให้มันสงบ ไปดียิ่งกว่าโลกนี้หลายเท่า
ทำใจให้สงบครั้งหนึ่งๆ อย่างนี้ โอ๊ย จิตใจมันมีความปลื้มในจิตในใจ
ความยินดีในใจหาที่สุดไม่ได้

การพยายามทำตนของตนให้มันดีขึ้นนี่ยากเหลือเกิน
สมัยนี้ทุกวันมีแต่ความเพลิดเพลินกับการดูหนังดูลิเกทั่วๆ ไป เดี๋ยวก็มีๆ
ประโยชน์ของตนไม่เคยคิดถึงเลย คิดถึงแต่โลก
คิดถึงประโยชน์ของตนให้มาก อย่าไปคิดถึงประโยชน์ในโลกนี้
หาอยู่หากินด้วยความสุจริต พออยู่พอกิน
อยู่ไปก็ทำบุญทำทาน นั่งสมาธิภาวนาของตน อันนี้สำคัญ
โลกประกอบไปด้วยกองทุกข์ หมดทั้งตัวก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น
ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ทุกข์อันนี้แหละ
บางคนก็ทุกข์ยากจน จะหากินเช้าเย็นก็ยังไม่พอกิน ยากเท่าไร ทุกข์เท่าไร
คนไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา ไม่ค่อยทำบุญ
คนเขาเคยทำบุญให้ทาน เขาก็เกิดในทรัพย์ ในสมบัติ
ดูเถิดคนไม่เหมือนกัน ในโลกนี้ต่างๆ กัน หัวใจก็ไม่เหมือนกัน
เป็นคนเหมือนกัน แต่จิตใจไม่เหมือนกัน
บางคนใจร้ายสามารถฆ่าคนได้ มันต่างกันอย่างนั้นแหละ
แล้วการบุญการกุศลก็ไม่เชื่ออีก หัวใจมันก็โหดร้าย
ต้องพยายามกระทำจิตใจให้มันสงบ
จิตใจก็อ่อนน้อมต่อธรรม ต่อวินัย ต่อธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าใจเรามันดีขึ้นเรื่อยๆ ละก็ ใจมันก็อ่อน
ถ้าฝึกหัดตนให้ชำนิชำนาญ ใจก็กล้าหาญ อาจหาญกำจัดโรค กำจัดภัยได้ทุกอย่าง
การภาวนาทำให้หายเหน็ดหายเหนื่อยไป ถ้าวันไหนไม่ได้ภาวนาก็อ่อนเพลียไป
ถ้ามานั่งได้สักสองชั่วโมงอย่างนี้หายเหนื่อยสบาย
การกระทำจิตใจต้องอาศัยการอบรมจิตใจของตน
จนให้มีอุปนิสัยติดอยู่ในจิตในใจของตน
ก็ดีขึ้นทุกภพทุกชาติไป แต่ยังไม่พ้นทุกข์ ดีไปทุกภพทุกชาติ
ถ้าภาวนาบางคนก็ยาก ทางที่ดีก็การทำบุญให้ทานนั้นแหละ ทำให้มาก
การให้ทานก็ดี มันจะได้มีทรัพย์มีสมบัติเกิดเป็นเทพเทวดา ก็อาศัยศรัทธา
ถ้าการภาวนาทำจริงๆ ไป ให้ได้มรรคผลนิพพาน
ก็ต้องอาศัยทำจิตใจนี่แหละดัดแปลงจนใจเป็นสมาธิ
เลยสมาธิไปจนใจวางภาระในโลกนี้ โลกอันนี้มันก็อยู่ที่สันดานอยู่แล้ว
วางได้ทำจิตใจให้มันแน่วแน่เป็นหนึ่งอยู่นั้น จึงจะถูกหนทางพระนิพพานฯ

โอวาทธรรม หลวงปู่สาม อจิญฺจโน
วัดป่าไตรวิเวก อ.เมือง จ.สุรินทร์

คัดมาจาก : หนังสือ รวมพระธรรมเทศนา ๑๐๘ กัณฑ์ เล่ม ๒
ที่ระลึกในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕
จัดพิมพ์โดย ชมรมพุทธศาสตร์ เอสโซ่







"..สิ่งใดเป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นไปเพื่อโทษ ก็รีบชำระสะสางให้หมดสิ้นไปจากดวงใจของเรา ให้พึงเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอมิใช่ว่าเราไม่รู้ คือให้รู้ภายในจิตใจของตน อย่าส่งรู้ออกภายนอกจิตใจของตน ให้พากันดูให้พากันฟัง สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนครบบริบูรณ์ ขณะนี้เราอยู่ในสมถกรรมฐาน คือความสงบ วางอารมณ์ภายนอกทังหมดได้ ไม่กำหนัดรักใคร่ยินดี ใจไม่หงุดหงิด ไม่ซึมเซา ไม่ท้อแท้ และไม่งมงาย เราอยู่ในวิปัสสนากรรมฐาน ก็ตัดหมด ตัดภพ ตัดชาติทั้งหลาย อารมณ์สัญญาที่เป็นไปตามกระแสโลกตัดหมด ไม่มีเหลือ เป็นเรื่องสมมตินิยมกันเท่านั้น จิตของเราเป็นวิมุติ หลุดพ้นไปหมด เรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่องทุกข์ เรื่องภัย ไม่มีอีกแล้ว นี้แหละเป็นข้อปฏิบัติ.."

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร
อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)





เราก็รู้แล้วว่า จิตใจไม่สงบมันมีความทุกข์
ไม่สงบขึ้นมาเมื่อไร ทุกข์เมื่อนั้น
จิตใจสงบเมื่อไร สุขเมื่อนั้น
ตรงนี้แหละพวกเราจะได้พากันแสวงหา

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป








"..ถ้าประมาทในชาติมนุษย์
ไม่พยายามสร้างความดีไว้เสริมต่อ ในภพชาติต่อไป ทางที่จะได้เกิดเป็นสัตว์ มีมากกว่าทางที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต




ต้องคอยสังเกตให้รู้ภาวะแห่งจิตของตน
ว่าเป็นอย่างไร และให้หัดยกจิต ในเวลาที่ควรยก
หัดข่มจิตในเวลาที่ควรข่ม ความตั้งใจจริงนี่
อาจเป็นของที่ใคร ๆ คิดว่ายาก

เมื่อยังไม่ได้ลองหัดทำดู แต่ถ้าได้ลองหัดทำดู
ให้ได้สักครั้งหนึ่งแล้ว จะรู้สึกว่าไม่ยาก
และจะรู้สึกว่าง่ายขึ้นจนเป็น "ของธรรมดา"
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






#โอวาทธรรม หลวงปู่จาม มหาปุญโญ

"...จิตมีหน้าที่รับรู้ในอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านอายตนะ
ประสาท ตริตรอง คิดอ่าน คิดรู้ตามสัญญา
คิดรู้แจ้ง ได้แก่ปัญญา ตริตรึก นึกคิด เข้าใจ รู้ตัว
อาการเหล่านี้ยังเป็นกลางๆ ของจิตอยู่

คิดหาธุลีก็เศร้าหมอง คำว่า ธุลี คือ กิเลส
๑. อยากได้มากจนทำบาป
๒. เพ่งเล็งโลภอย่างแรง
๓. โลภละโมบโดยทุจริต
๔. กำหนัดในกามในรูปในอารมณ์
๕. เดือดดาลใจ คิดร้าย ขัดเคืองใจ
๖. ลุ่มหลง มัวเมา เห็นผิดมิจฉา
๗. ฟุ้งซ่าน มากสงสัย
๘. อวิชชา
สิ่งเหล่านี้เป็นธุลีของจิต อยาก รัก ชัง หลง เมา

คิดอ่านให้ดีนะเมื่อใดจะสะอาดหมดจด
ความหมดจดของจิตนั้นมีอยู่แท้ๆ หน๋า
ผู้ขัดเกลาได้แล้วหมดภาระใดๆ ในโลกนี้
หมดภาระเพราะหมดกิเลส จิตใสสะอาด
ผุดผ่อง ผ่องใส หมดจดโดยแท้..."








ภาวนาไปเรื่อยๆ เหมือนกินข้าว
ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆกินไป
มันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน
ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ
หน้าที่ของเรา คือภาวนาไป

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ









"...คนเรา อย่าไปเหยียดหยาม ดูถูกในคนที่เขามีปัญญาน้อย หรือฐานะกำเนิดชาติสกุลของเขาที่ตกอยู่ในความต่ำต้อย เพราะสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่ที่กรรมแห่งบุคคลซึ่งทำไว้ในกาลก่อน จึงส่งผลจำแนกให้มาเป็นในลักษณะต่างกัน

บางคนแม้จะตกไปอยู่ในสกุลที่ลำบากยากเข็ญใจ ก็สักแต่ว่ากรรมซัดไปเท่านั้น แต่ความดีซึ่งติดอยู่ในจิตสันดานเดิมของเขามีอยู่ เขาก็อาจจะสำเร็จมรรคผลได้ในวันหนึ่ง ที่กรรมนั้นซัดไปให้เกิดในสกุลยากก็เพื่อจะทรมานเขาให้แลเห็นทุกข์เห็นโทษ และใช้หนี้เวรเก่าของเขาให้หมดสิ้นไปก็มี เพราะคนเราทุกคนที่เกิดมานี้ย่อมเกิดมาแต่ผลของกรรมเก่าที่ตนกระทำไว้ทั้งสิ้น

ถ้าผู้ใดมีดวงตาญาณ ผู้นั้นก็อาจจะรู้ชาติภพของตนที่กระทำกรรมอันใดไว้ ผู้ใดที่ดวงตายังมืดอยู่ด้วยอวิชชา ผู้นั้นก็ย่อมมองไม่เห็น
เรื่องของกรรมนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงสอนไว้มิให้เราประมาท ผู้ใดทำดีก็ย่อมไม่หนีจากกรรมดี ผู้ใดทำชั่วก็ย่อมไม่หนีจากกรรมชั่วนั้น

เหตุนั้น จึงควรมีความสำรวมระวัง อย่าประมาทในสิ่งที่เรามองไม่เห็นอย่าเหยียดหยามติเตียนในวัตถุทานของผู้ใด ในศีลของเขาก็ดี ในภาวนาของเขาก็ดี เขาอาจมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความดีแฝงอยู่ภายใน
แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยกรรมที่มองไม่เห็น ถ้าเราไปประมาทเขาเข้า กรรมนั้นอาจกลับมาเป็นโทษสนองตัวเราเองให้ได้รับผลวิบากในกาลภายหน้าได้

จิต นี้ จะว่าตายก็ตาย จะว่าไม่ตายก็ไม่ตาย
จิตที่ตายก็คือจิตที่มีอาการแปรเปลี่ยนไปด้วยบาปอกุศล จิตคงที่อยู่ในสภาพเดิม หรือเป็นจิตที่เจือด้วยบุญกุศล ก็เป็นจิตที่ไม่ตาย ร่างกายของเรานี้ เรียกเป็น ๔ อย่าง ๑. รูป ๒. กาย ๓. สรีระ ๔. ธาตุ กายนี้ก็ไม่ได้ตายไปไหน เป็นแต่มันแปรเปลี่ยนไปเข้าสภาพเดิมของมัน ธาตุดินก็ไปอยู่กับธาตุดิน ธาตุน้ำก็ไปอยู่กับธาตุน้ำ ธาตุไฟก็ไปอยู่กับธาตุไฟ ธาตุลมก็ไปอยู่กับธาตุลม

ก่อนที่เราจะเกิดมาจริง ๆ นั้น ก็คือธาตุทั้ง ๔ ไปประชุมสามัคคีกันขึ้น และถ้าเจ้าตัวจิตวิญญาณซึ่งลอยอยู่นั้น เข้าไปแทรกผสมเข้าเมื่อใด ก็จะเกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้น แล้วก็ค่อย ๆ ขยายตัวเติบโตออกไปทุกที ๆ เป็นเลวบ้าง ประณีตบ้าง เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง แล้วแต่ กรรมของจิตที่เป็น บุญหรือบาป. จิต เป็นผู้รับผิดชอบในบุญและบาปทั้งหลาย คือกรรมดีและกรรมชั่ว ร่างกาย นั้นไม่ใช่เป็นผู้รับผิดชอบ..."

ท่านพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ







ติดในผู้รู้
ความ “ติด” มันก็คือความที่ยังยึดว่าเป็นเรา เป็นตัวเราของเรา
ยึดไหมว่ารู้คือเรา

หรือว่า #เราปฏิบัติไปจิตว่าง
#แต่ในว่างมันมีจิตผู้รู้อยู่
#เราดูออกว่ามีผู้รู้อยู่ #แต่มันก็ยังไม่เห็นเป็นอนัตตา
#มันยังเห็นเป็นเรา
ก็คือมันยังติดอยู่
คำว่า “ติด” ก็คือมันยังยึดเป็นตัวตนอยู่
มันยึดว่ารู้ก็คือเรา
ว่างคือเราว่าง รู้คือเรารู้
อย่างนี้คือติด ยึดติดในความเห็นผิดอยู่

ทีนี้ถ้าไม่ติด
ก็คือมันต้องเห็นว่าว่างก็ไม่ใช่ตัวตน รู้ก็ไม่ใช่ตัวตน รู้ก็ไม่ใช่ตัวเราของเรา
จนมันเห็นชัด แล้วมันก็สละความยึดติดออกไป
เห็นเป็นเพียงสิ่งหนึ่ง ธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่ตัวตน

#รู้ก็ไม่ใช่ตัวเราของเรา
#ก็คือต้องเห็นความเกิดความดับของมัน
กำหนด #เห็นจิตผู้รู้มันหาย
#มันรู้มันก็หาย #ไม่ได้ตั้งอยู่คงอยู่

#อะไรที่มันรู้สึกเป็นตัวตนเพราะว่าเราเห็นมันตั้งอยู่มันคงอยู่
#อะไรที่มันคงอยู่แล้วมันทำให้รู้สึกเป็นตัวตน
#ถ้าเราเห็นสิ่งนี้มันสลายไปหมด

#มาปรากฏแล้วมันก็สลายไป
#ม่ได้คงที่ #ไม่ได้ยั่งยืน
#แล้วจะเอาเป็นตัวเราได้อย่างไร
#มันก็เลยทิ้งความเป็นตัวตน

ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ คอร์สอบรมกรรมฐานระยะสั้น ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา






"สติตั้ง ใจมั่น อย่าหวั่นไหว
มีสติ ทุกข์ใด ไม่กล้ำกราย
รู้เท่าทัน อารมณ์ ไม่หลงไป
สุขในใจ จะเกิดเอง ไม่ต้องรอ"
#หลวงปู่ศิลา_สิริจันโท


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร