วันเวลาปัจจุบัน 03 ต.ค. 2025, 09:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2025, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5383


 ข้อมูลส่วนตัว


"..สงบจริงๆนั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย.."

" โอวาทหลวงปู่เทสก์ เทสรงํษี "

"..พากันตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตามความสามารถของตน ถ้าหากคนเราไม่ปฏิบัติธรรมะ ก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความสุขอันใดจะเสมอเหมือนความสงบไม่มี คำนั้นเป็นคำจริง ถ้าหากปฏิบัติไม่ถึง พอจะเดาๆ คิดนึกเอาเฉยๆ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อันความที่จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆจังๆ นี่เป็นของยากมาก ถึงหากเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ถ้าหากปฏิบัติลงไปถึงตรงนั้นแล้วจะเชื่อขึ้นมา อ๋อ! ตรงนี้หรอกคำที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้นั้นว่ามีความสุข ความสงบ อย่างนี้เป็นต้น

#ความสงบนั้นมันมีจากไหน คนเราโดยส่วนมากมันยุ่งมันวุ่นวายสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง แส่ส่ายไปในที่ต่างๆ มันหาความสงบไม่ได้ เหตุนั้นคนที่เชื่อว่า ความสงบเป็นความสุข จึงค่อยมีน้อยนัก เพียงแต่เดาๆ คิดๆ นึกๆ ไปเฉยๆ ที่จะให้ถึงความสงบจริงๆจังๆ มันต้องละทุกสิ่งทุกประการ อารมณ์ทั้งปวงวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจของตนหายหมด ไม่มีเกี่ยวข้อง ถึงซึ่งความสงบจริงๆจังๆ ถ้ายังไปเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆอยู่ มันยังไม่ถึงความสงบขึ้นมาได้ ความตรงนี้ล่ะ ที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่ออย่างจริงๆจังๆ เราฝึกหัดนี้ฝึกหัดหาความสงบ ทุกอย่างทุกประการที่อบรมมาก็เข้าหาความสงบอย่างเดียว ความไม่สงบมันมีมาก อย่างเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็หาความสงบไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงจะเอาความสงบจริงๆจังๆ สัก ๕ นาทีก็ยังดี ๑๐ นาทีก็ยังดี นั่นล่ะเห็นแจ้งความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทศนาไว้จริงในใจของเราเลย

#การฝึกหัดในทางพุทธศาสนาจะหัดวิธีใดก็ตาม ถึงกัมมัฏฐานจะหัดต่างครูต่างอาจารย์ก็ตาม ก็ลงสู่ความสงบอันเดียวกัน อย่างเขาหัดยุบหนอพองหนอก็ดี สัมมาอรหังก็ดี อานาปานสติ มรณสติอะไรก็ดี คือให้เข้าถึงความสงบนั่นเอง แต่แท้ที่จริงเมื่อถึงความสงบแล้ว ไม่รู้จักความสงบซ้ำอีก ยังหาว่าความสงบเป็นความโง่ไปโน่นซ้ำอีก ความโง่อย่างนี้เคยไหม? หัดให้ถึงความโง่อันนี้ ไม่ถึงความโง่ไม่ได้ความฉลาดหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเสียก่อนนั่นแหละ มันไม่ฉลาดก่อนหรอก ความสงบ จึงว่า เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ที่เราปฏิบัตินั่นจะใช้อุบายแยบคายใดก็เอาเถอะ ที่ฟังเทศน์ฟังธรรมฟังอุบายจากครูบาอาจารย์ ทุกสิ่งทุกประการนั้นเรียกว่า อุบาย ครั้นเมื่อเข้าถึงความสงบแล้วนั้นเป็น แยบคาย

"..แยบคาย.." กับ " อุบาย " นั้นมันต่างกัน แยบคายนั้นใครสอนไม่ถูกรู้เฉพาะตนเองเป็นแยบคาย เข้าถึงความสงบแล้วนั่นแหละเป็นแยบคายของเรา แยบคายนั้นเมื่อถึงความสงบแล้ว เราจะเอามาสอนคนอื่นว่า ต้องทำอย่างนั้นๆ มันจึงเข้าถึงความสงบ อันนั้นเป็นอุบายอีก แยบคายแล้วมาเกิดเป็นอุบายของคนนั้น สอนคนอื่นต่อไป คนอื่นได้ฟังอีกก็เป็นอุบาย ครั้นเมื่อฝึกฝนอบรมเข้าถึงความสงบจริงๆ จังๆ เป็นแยบคายของแต่ละคน แยบคาย ก็คือ ตัวปัญญานั่นเอง จึงว่าพระพุทธศาสนานี้สอนให้เข้าถึงความสงบเสียก่อน จึงเรียกว่า สมถะ ถ้าไม่เกิดสมถะ ก็ไม่มี ปัญญา สมถะคือความสงบ ความสงบเกิดขึ้นมาในใจของตน มองเห็นหมดทุกสิ่งที่มันไม่สงบนั่น โทษของความไม่สงบเห็นที่นี่ เห็นแจ้งประจักษ์ในใจของตนเลย ชัดขึ้นมา นั่นล่ะคือตัว ปัญญา

#ถ้าไม่เข้าถึงความสงบจิตใจยังฟั่นเฝืออยู่ จิตใจยังกระวนกระวายเกี่ยวข้องอยู่ถึงชัดถึงจริงก็ไม่เป็นของชัดด้วยตนเอง มันยังปะปนด้วยอารมณ์ต่างๆ ด้วยกิเลสทั้งปวง จึงต้องกระสับกระส่ายอยู่ร่ำไป เมื่อเข้าถึงความสงบนั่นเป็นต้น ชัดด้วยตนเองเลยที่เดียว อ๋อ!…อย่างนี้หรอกความความสงบ ที่ท่านว่า "..ความสงบหาความสุขอันใดเสมอไม่ได้.." มันอย่างนี้เอง ถ้าพูดโดยอนุมาน เมื่อไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งปวงหมดมาเกี่ยวข้องกับจิตแล้ว มันจะมีอะไรเหลือในที่นั้น? มันก็ไม่มีอะไรน่ะสิ อันที่มีสิ่งต่างๆ เกี่ยวข้องนั้น จิตมีสิ่งต่างๆ นั้นเรียกว่ามันไม่สงบ ไม่เห็นความสงบ

สงบจริงๆนั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย

#ถ้าคนใดเข้าถึงความสงบแล้ว เห็นด้วยตนเองเลย คราวนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ว่าจะพูดจะคุยอะไรต่างๆ มองเห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ในขณะนั้นจะไม่ได้ความสงบอย่างเต็มที่ มันก็คิดถึงความสงบ ระลึกถึงความสงบ เห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา หากได้โอกาสเวลาว่างๆ เราทำความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนาก็ดี มันสงบ ยังเหลือแต่จิตอันเดียว ไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง มันก็สุขน่ะซีตรงนั้น มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง มันก็สุขนะซี คนที่ไม่เคยละสิ่งที่เกี่ยวข้อง เลยไม่เห็นความสุข เห็นว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องน่ะเป็นความสุขความสบาย โน่นละไปโน่นอีก มันยากที่รู้จักธรรมเห็นธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า

#เหตุนั้น จึงว่าตั้งใจปฏิบัติไปเถิดไม่เป็นไรหรอก เราปฏิบัตินี่ถูกต้องแล้ว ปฏิบัติมุ่งหาความสงบนั้นถูกแล้ว ความไม่สงบมันมากมาย มันเป็นเองหรอก ความไม่สงบน่ะ มันเป็นตามเรื่องตามราวของมัน ของไม่สงบนั่นมันหากมีในนั้น ฉะนั้นสิ่งที่มันสงบน่ะมันหายาก สิ่งที่ไม่สงบน่ะมันหาง่าย ไปที่ไหนๆ ก็พบหรอกความไม่สงบ

#เหตุนั้น ในชีวิตอันนี้ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่งเถิดในวันหนึ่งๆ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่ง ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เอาละ.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิสิทธิ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย (๒๔๔๕-๒๕๓๗)






ผู้ที่ได้ทำทานการกุศลมาดีแล้วก็ได้มาเกิดกับพ่อแม่ที่ดีมีเงินมีทอง เหมือนเด็กที่เขาได้มาเกิดทุกวันนี้เอง ได้มาเกิดกับพ่อกับแม่ตามฐานะของเขาที่เขาได้สร้างบุญเอาไว้

พวกเราก็เหมือนกัน พวกเรารู้แล้วก็ได้ทำเอาไว้ เพื่อเป็นทุนของตนเองเก็บไว้ในใจของตนเอง เรียกว่าเป็นสัญญาเป็นความทรงจำหมายรู้อย่างลึกซึ้ง นึกถึงบุญกุศลที่ตนเองได้ทำแล้วก็จะปลื้มใจสุขใจ ก็จะได้แผ่เมตตาให้ผู้ใดก็ได้หรือจะแผ่เมตตาไปให้ทั่วโลกก็ได้ แล้วแต่ ไม่หมดไปไหนหรอกบุญนี้

บุญนี้อยู่ที่ใจ เมื่อแผ่เมตตาไปเรื่อยๆใจของเราก็ยิ่งมีความสุข ก็ให้คนอื่นมีความสุขด้วย ไม่มีการหมด

เหมือนกับจุดเทียนนี่แหละ จุดเทียนในวันมาฆบูชาก็ดีวันวิสาขบูชาก็ดี เมื่อเราจุดขึ้นมาแล้วหลายๆคนมาจุดต่อกันไปหลายๆเล่ม มากขึ้นเท่าไรแสงสว่างก็มากขึ้นเท่านั้น ฉันใดก็ดีบุญกุศลที่เราได้ทำก็เหมือนกัน เราก็แบ่งบุญแบ่งกุศลให้ มันก็จะยิ่งกว้างขวางยิ่งมีกำลังมาก เมื่อทำบุญทำทานการกุศลก็ดีให้นึกถึงอย่างนั้น ว่าตนเองได้ทำไว้แล้ว เวลารับพรจากพระเจ้าพระสงฆ์ก็ให้ตั้งจิตแผ่เมตตา

โอวาทธรรม หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป






"..เหตุที่พระเณรอยู่ไม่ตลอดรอดผ้าเหลือง คือเรื่องกามฉันทะ กามตัณหา เป็นนายใหญ่คุมขังสัตว์โลกให้อยู่ภายใต้อำนาจของมัน ยากที่ใครจะหลุดออกจากตาข่ายคุกกามราคะได้ ถ้าผู้ใดแหกข่ายตารางคุกของกามราคะออกไปได้แล้ว พระนิพพานอยู่ที่ไหน เราก็จะรู้เอง กิเลสที่หยาบหนาที่สุด ท่านว่าคือกามตัณหา กิเลสตัวนี้เป็นราชาผู้พาสัตว์โลกเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในห้วงมหันตทุกข์.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์
บ.โคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย
(พ.ศ.๒๔๔๔-๒๕๓๘)





"ทุกข์ในการหาอาหารเลี้ยงชีพนั้นอย่างหนึ่ง
ทุกข์ด้วยจิตใจอย่างหนึ่ง คนรวยทุกข์กว่าคนจน
ก็มีถมเถไป ไม่ใช่ว่าคนรวยจะสุขเลยทีเดียว

เหตุนั้น พุทธศาสนาจึงสอนทุกชั้นทุกหมู่
ทั้งคนจนคนมี ให้มีที่พึ่งทางใจ คือ หัดทำความสงบ
อบรมใจให้มีเวลาพักผ่อน ถ้าทุกข์กลุ้มใจอย่างเดียว
ก็ไม่มีหนทางจะพ้นจากทุกข์ได้

คนนับถือพุทธศาสนา ถึงแม้จะทุกข์กาย
แต่เขายังเบิกบานใจอยู่ เพราะเขามีที่พึ่งทางใจ"

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี






“ความตายนั้น เป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดของชีวิต
บททดสอบอื่นๆ นั้น เราสามารถสอบได้หลายครั้ง
แม้สอบตกก็ยังสามารถสอบใหม่ได้อีก

แต่บททดสอบ ที่ชื่อว่าความตายนั้น
เรามีโอกาสอบได้ครั้งเดียว และไม่สามารถสอบแก้ตัว
ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นบททดสอบที่ยากมาก
และสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เป็นบททดสอบที่เราแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่าเวลา สถานที่ หรือแม้กระทั่งร่างกาย และจิตใจ
ของตนเอง”

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล





“การพลัดพรากจากของรักเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
และมันมาพร้อมกับความทุกข์เสมอ
การยอมรับสัจธรรมว่าทุกครั้งที่มีการพบปะกัน
วันใดวันหนึ่ง ความสัมพันธ์ย่อมจบไปด้วยการจากลา
การพิจารณาเช่นนี้ทุกวัน สามารถลดความขมขื่นลงได้”

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





ทวนกระแสน้ำ
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท)
...
การปฏิบัติ ... นั้นคือ การทวนกระแส
ทวนกระแสน้ำ 'ใจ' ของเราเอง ทวนกระแส
ของ ... 'กิเลส' ... อะไรที่เป็นของทวนกระแส
แล้วมันลำบาก พายเรือทวนกระแสก็ลำบาก
สร้างคุณงามความดีนั้นก็ลำบากหน่อยหนึ่ง
เพราะว่าคนเรามี 'กิเลส' ไม่อยากจะทำ
ไม่อยากจะยุ่งยาก ไม่อยากจะอดทน อยากจะ
ปล่อยไปตามอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่

เหมือนน้ำนั่นแหละ มันก็ไหลไปตามเรื่อง
ของมัน ถ้าปล่อยให้ไหลไปตามน้ำก็สบาย
แต่ว่า ... นั่นไม่ใช่ลักษณะการปฏิบัติ
ลักษณะการปฏิบัติ ... ต้องฝืน
ต้องฝืน 'กิเลส' ฝืน 'ใจ' ตนเอง ข่มจิตเจ้าของ
ทำความอดทนให้มากขึ้น มันจึงจะเป็น
'การปฏิบัติทวนกระแสน้ำ' ...







เราเกิดทุกข์เพราะอะไร ?
เพราะไม่พอใจในสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า
แต่จะไปเอาในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
อะไรที่ยังมาไม่ถึง …
ก็อย่าไปนึกให้มันมากเกินไป
...
พระพรหมมังคลาจารย์
หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ







รู้สวรรค์ นรก ไม่เท่า รู้จิต
รู้อดีต อนาคต ไม่เท่า รู้ปัจจุบัน
รู้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
ก็ไม่เท่า รู้ละ รู้ปล่อยวาง.

หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี







ชีวิตของมนุษย์นี้ จะยืนนานเกิน ๑๐๐ ปี
ก็ไม่มาก ทั้งยังเหลืออยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี อีกด้วย
คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์ จะทำทุกวิถีทาง
แม้ที่ชั่วช้าโหดร้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์
ทำไมเล่า ในเมื่อชีวิตดับสลายแล้ว ทุกสิ่ง
ที่ชีวิตเคยครอง ก็ต้องสูญสลายพลัดพราก
จากไป ทรัพย์สมบัติติดตามคนตายไปไม่ได้

แต่เหตุแห่งการแสวงหาทรัพย์โดยมิชอบ
ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ติดตามคนตายไปได้ ให้ผล
เป็นความทุกข์ความเดือนร้อนแก่คนที่ตายไป
แล้วได้ ทรัพย์จึงไม่ใช่สิ่งที่พึงแสวงหาโดยไม่
คำนึงให้รอบคอบถึงความถูก ความผิด
ความควร ความไม่ควร ...
...
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร








เมื่อ "จิต" กับ "ผู้รู้" เป็น "สิ่งสิ่งเดียวกัน" และ เป็น"ความว่าง"

ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไร หรือ ให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไร จะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร

เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว

"จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะ “อยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง” “ เหนือความมีความเป็นทั้งปวง”

“มันอยู่เหนือคำพูด” และ “พ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น”

“เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และ สว่าง” “รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์”

และ “สว่างของจักรวาลเดิม” เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์







#ธรรมะถึงใจ
๒๓ กันยายน ๒๕๖๘

คนเรานั้น
จะดี จะชั่ว
จะสุข จะทุกข์
จะเจริญ หรือไม่เจริญ
ก็อยู่ที่ตัวเราเอง
ว่าประกอบเหตุนำมา
ซึ่งความสุขความทุกข์
มีอยู่ ๓ คือ
การกระทําทางกาย
ทางวาจา และทางจิตใจ"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี







” เวทนามี ๒ ชนิด “

ถาม : ท่านอาจารย์ครับ ผู้ปฏิบัติใหม่ๆอย่างพวกเรานี่ อารมณ์อยู่ที่กาย อย่างเดียวก่อนเลยใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ : ส่วนใหญ่ต้องเริ่มที่กายก่อน เพราะกายเป็นส่วนที่หยาบ เห็นได้ด้วยตา ส่วนอื่นเห็นได้ค่อนข้างยาก สติปัญญายังไม่ค่อยทัน แต่ถ้าได้พัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อสามารถเข้าใจรูปได้อย่างดีแล้ว ก็จะเข้าไปสู่เวทนาเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพิจารณาแต่รูปล้วนๆ เวลาเวทนาแสดงอาการขึ้นมาแรงๆ เราก็จะเห็นเหมือนกัน วันไหนที่เราเจ็บปวดมากๆ เวทนาก็จะชัดขึ้นมา อย่างเวลาเดินไปเตะหินเข้า ทุกขเวทนาความเจ็บปวดก็จะเกิดขึ้นมา ตอนนั้นเราก็ควรรับรู้ว่าเป็นเวทนา ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับมัน มันเกิดขึ้นได้เดี๋ยวมันก็ดับได้ เราเตะหินปั๊บ เดี๋ยวสักครู่ความเจ็บมันก็จะค่อยๆลดลงไปๆ แล้วก็หายไป คือพยายามรักษาใจให้เป็นผู้รู้อย่างเดียว อย่าเป็นผู้ต่อต้าน เป็นผู้ยินดียินร้ายกับเวทนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่ใจ ใจต้องเป็นผู้รู้เฉยๆ ทำตัวให้เป็นเหมือนกับกระจกเงา เวลาที่คนสวยมองกระจกเงานี้ กระจกก็ไม่ได้ดีใจ คนไม่สวยมอง ก็ไม่รังเกียจ เพียงทำหน้าที่สะท้อนเงาของภาพเท่านั้นเอง

ฉันใดจิตของเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น พยายามทำให้มันนิ่งเหมือนกับกระจกเงา เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน อย่าไปหลงว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเราเป็นของเรา ที่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ต้องไปยินดียินร้าย เพราะจะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา จะเกิดตัณหาขึ้นมา เกิดความอยากจะได้ หรือเกิดความอยากจะหนีจากสิ่งนั้นไป ก็จะอยู่เฉยๆไม่ได้ จิตก็จะไม่นิ่ง นี่คือการเจริญสติปัญญาเพื่อปล่อยวาง

ถาม : ทีนี้เวทนาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็วางเฉยอย่างที่ท่านอาจารย์ว่า แต่มันก็ไม่ดับไปเลยหรือจะเกิดขึ้นใหม่อีก

พระอาจารย์ : เวทนามี ๒ ชนิด คือเวทนาที่เกิดขึ้นทางกาย เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่เวทนาทางจิต เราสามารถดับได้ ใจไม่วุ่นวายกับเวทนาทางกาย ใจก็ไม่ทุกข์ เราดับทุกข์ทางจิตใจได้ แต่ทุกข์ทางกายก็ต้องเป็นไปตามเรื่องของเขา.

กำลังใจ ๑๘ กัณฑ์ที่ ๒๓๐
วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี






#อานิสงส์ของการเดินจงกรมมีดังนี้

(๑) เดินทางบ่มีเจ็บแข้งเจ็บขา
(๒) ทำให้อาหารย่อย
(๓) ทำให้เลือดลมเดินสะดวก
(๔) เวลาเดินจงกรมไป ๆ มา ๆ จิตจะลงเป็นสมาธิได้
ถ้ามันรวมลงเวลาเดินจงกรมได้ สมาธิของผู้นั้นไม่เสื่อม
(๕) เทพยดาถือพานดอกไม้มา สาธุ ๆ มาอนุโมทนา

นี่เป็นอานิสงส์ของการเดินจงกรม บางวันเมื่อครั้งอยู่กุฏิเก่าตรงข้างเจดีย์ อาตมาเดินจงกรม มันหอม ๆ หมด ทั่วหมด หอมอิหยังนี่มันไม่เหมือนดอกไม้บ้านเรา มันแม่นเทพยดามาอนุโมทนา ถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา

เรื่องเดินนี่มันเรื่องหัดสติ จะใช้นึกพุทโธไปพร้อมกันกับเท้าที่ก้าวไปก็ได้ ยังไงก็ได้ อย่าให้จิตมันออกไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้งอดีตและอนาคต ให้อยู่ที่จิตเท่านั้น อาตมากำหนดพุทโธ ๆ อยู่ที่จิต เท้าก็เดินไป กำหนดอยู่ที่จิต ไม่ให้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใด ๆ ส่วนทางเดินจงกรม ก็ไม่เลือกทิศเลือกทาง ได้หมด แล้วแต่มันจำเป็น ในที่เหมาะสม เดินไปเพื่อแก้ทุกข์เวทนา

ท่านอาจารย์มั่น ท่านว่าให้เดินตัดกระแสของโลก จากทิศตะวันออกไปตะวันตก ท่านว่าตัดกระแสของสมุทัย ให้ตัดกระแส แต่ถ้ามันจำเป็น มันยังไม่มีบ่อนที่เหมาะสม ก็ไม่เป็นไร เดินมันไปอย่างนั้นเพื่อแก้ทุกขเวทนาดอก

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย






"บุญกุศล ถ้าเราหมั่นสะสมไว้ในจิตใจที่เหนียวแน่น มั่นคง มันก็จะมีอยู่ในตัวเราเสมอ

คนเราอยากให้สตางค์มันไหลเข้ามาหาเราทุกวันๆ แต่บุญทานไม่อยากจะทำเลย หรือมิฉะนั้นก็นานๆ จะทำสักที เราไม่ยอมลงทุนแล้วจะได้กำไรจากไหน"

โอวาทธรรม...ท่านพ่อลี วัดอโศการาม






"ตื่นขึ้นให้นึกถึงความตายไว้ก่อน และในทุกขณะเวลาที่เรายังมีชีวิต ยังมีความรู้สึกอยู่ ถ้าทุกคนไม่ลืมความตายเป็นการดี ในการนึกถึงความตายเป็นปกติ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า #มรณานุสสติกรรมฐาน

ทั้งนี้เป็นการไม่ประมาทในชีวิต เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนในโลกตายหมดไม่มีใครเหลือ เราเองก็ต้องตาย นึกถึงความตายไว้เป็นปกติว่าชีวิตของเราตื่นขึ้นมาเวลาเช้า เราอาจจะไม่เห็นพระจันทร์คืนนี้ก็ได้ ถึงเวลากลางคืนจงคิดไว้ว่า เราอาจจะไม่เห็นพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะว่าความตายไม่มีนิมิต ความตายไม่มีเครื่องหมาย จะหาความแน่นอนในชีวิตของเราไม่ได้ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง เราเกิดมาเพื่อตาย

ในการนึกถึงความตายเป็นอารมณ์นี้ ขอบรรดาท่านพทธบริษัท จงอย่าคิดว่าเราแช่งตัวเอง ไม่ใช่เป็นการแช่งตัวเองเป็นการเตือนตัวเองให้รู้สึกหาความตาย รู้จักตามความเป็นจริงว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ความตายมีจริง แต่ว่าคนคิดถึงความตายหายาก นี่พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า #มนุษย์เต็มไปด้วยความประมาท"

กราบพระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
(รวมคำสอนธรรมปฏิบัติเล่ม ๑๕ หน้า ๑๑๘)





"อะไรที่เป็นบุญเป็นความดี แม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียว ก็พึงทำเมื่อโอกาสมาถึง เมื่อโอกาสเปิดให้ทำได้ อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป โดยอย่าคิดว่าเรื่องบุญเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องสนใจไยดีทำ

น้ำหยดเดียวย่อมทำให้น้ำเต็มโอ่งเต็มไหได้ ให้ชีวิตยุงตัวเดียว มดตัวเดียว บุญน้อยเมื่อเป็นตัวเดียวตัวเริ่มแรก แต่ให้ต่อไป ให้ตลอดไป บุญย่อมมากขึ้น มากขึ้น ที่เรียกว่า สั่งสมบุญนั่นเอง"
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






#สติธรรมมีอุปการะมาก

"ผู้ที่มีสติ จิตเป็นธรรม สามารถรู้สิ่งที่ควร สิ่งที่ไม่ควร รู้เรื่องควร เรื่องไม่ควรได้ การพูดสิ่งใดควร การคิดสิ่งใดไม่ควร นี่..เรารู้แล้ว ความรู้ของเรามีกำลัง ในเมื่อรู้ว่าไม่ควร ก็สามารถที่จะตัดได้ทันที จึงมีการระมัดระวังมีการยับยั้งในสิ่งที่ไม่ควรที่จะปล่อยไป

สติจึงมีอุปการคุณแก่ใจมาก สติก็คือธรรมคุ้มครองใจ

ในเมื่อใจของเรามีสติอยู่น้อย ธรรมะคุ้มครองใจเราก็น้อย มีสติมาก ธรรมะคุ้มครองใจเรามาก มีสติติดต่อ ใจของเรามีธรรมะคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา"

กราบโอวาทธรรม...หลวงปู่แบน ธนากโร






"คำว่า ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ นอนก็ยังได้ ในอิริยาบถใดก็ได้ทั้งนั้น ไม่ขัดข้องหรอก ขออย่างเดียวทำให้มาก ทำให้พอ แล้วตั้งใจทำจริงๆ เท่านั้น

อย่าทำเพียงแต่ว่าทำทดลอง อย่าทำเพียงแต่ว่าทำเล่นๆ หรือทำเป็นพิธี ในการกระทำของเรานั้น ตั้งใจทำจริงๆ ต้องการให้เป็นจริงๆ ต้องการให้เกิดจริงๆ เราจะอยู่ในอิริยาบถอย่างไรก็ได้"

กราบโอวาทธรรม...หลวงปู่แบน ธนากโร







ท่านพ่อลี สอนว่า .....

"บุญกุศลที่บุคคลทำไว้แล้ว ย่อมทำให้บุคคลนั้นมีความสุขกายสบายใจ เมื่อนึกถึงคราวไหนก็ทำให้เกิดปิติอยู่เสมอ เป็นอริยทรัยพ์ติดตามบุคคลนัน เป็นดุจเงาติดตามตัวไปอยู่เสมอไม่ลดละ ถึงแม้บุคคลนั้นจะตายไป บุญก็ติดตามไปแต่งภพชาติที่ดีให้ ซึ่งเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร"







#ให้พร

"วันนี้มีโยมมาขอพร ขอพรอะไร ขอพรอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ ว่างั้น ถ้าอย่างนั้นก็จะให้พรที่ดีที่สุด คือ..ให้ภาวนาดีๆ

พระพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการภาวนา พระอรหันตสาวกเจ้า เป็นพระอรหันต์ด้วยการภาวนา พิจารณาดูแล้ว ไม่มีอะไรดีเท่าการบำเพ็ญภาวนา พ้นจากทุกข์ได้เพราะการภาวนา"

กราบโอวาทธรรม...หลวงปู่แบน ธนากโร







*** สีลมัย ***

"ศีล ๕ เป็นปกติ"

..... องค์สมเด็จพระมหามุนีจึงสอนให้บรรดาพุทธบริษัทเป็นผู้ทรงสติสัมปชัญญะเป็นสำคัญ และจงทราบไว้ว่าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วนี้ จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกได้ก็ต้องอาศัยศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ เพราะเวลานี้สิ่งที่นิยมสมาทานกันก็คือศีล ๕ ก็ถือว่าใช้ได้

ฉะนั้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายจงตั้งใจคิดว่า อย่างเลวที่สุดเราจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ให้ได้ ทีนี้วิธีที่เราจะเกิดเป็นมนุษย์ได้จริงๆ ก็ต้องเคารพในศีล ๕ คิดไว้เสมอว่าศีล ๕ เป็นปกติ เป็นศีลที่เราจำจักต้องรักษา และตั้งใจไว้ว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง คือ
๑. ฆ่าสัตว์
๒. ลักทรัพย์
๓. ประพฤติผิดในกาม
๔. กล่าววาจาที่ไม่เป็นจริง
๕. ดื่มสุราเมรัย
ที่ทำจิตใจตกอยู่ในความประมาท

อาการทั้ง ๕ อย่างนี้ องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถตรัสว่า ถ้าใครละเมิดก็ไม่มีโอกาสจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ความจริงมาได้เหมือนกันแต่ว่านานนัก เพราะต้องไปเสวยทุกข์ในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสูรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง

ฉะนั้นเราจะต้องการจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ตั้งใจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ว่าเราจะไม่ปล่อยให้ศีล ๕ ประการ บกพร่องไปจากใจ.....

โดย พระเดช พระคุณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี

'ธรรมปฏิบัติ ๗๓'

"ทางสายพระอริยบุคคล"
๒๒ กันยายน ๒๕๖๘






#เมตตาภาวนา
คนเราทุกคนล้วนปรารถนาให้ตนเองมีความสุขและความปราศจากทุกข์ ในเวลาเดียวกันก็ปรารถนาให้คนอื่น ๆ มีความสงบและอยู่เป็นสุขด้วย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีมากโดยแท้ และไม่มีใครสามารถพบเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความชั่วร้าย การปลูกเมตตาจิตก็คือ คิดถึงคนและทวยเทพทั้งหลาย หรือคิดถึงสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะตัวหรือโดยส่วนรวมแล้วกล่าวอยู่ในใจว่า “ขอให้เขามีความสุข” หรือว่า “ขอให้เขาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข”
ท่านอาจคิดถึงคน คนใดคนหนึ่งหรือหลายคน ที่ท่านพบเห็นอยู่รอบ ๆ ตัวท่าน แล้วปลูกเมตตาต่อเขาเหล่านั้นโดยคิดในใจว่า “ขอจงมีความสุข” วิธีนี้ท่านทำเพียงในใจของท่านเท่านั้น และถ้าเป็นไปได้ท่านพึงพูดจาช่วยเหลือเขาทั้งหลายด้วยถ้อยคำที่น่ารัก ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งท่านสามารถทำได้ ท่านควรทำสิ่งนั้น ช่วยเหลือเขาด้วยตัวท่านเอง ถ้าท่านมิสามารถช่วยเหลือเขาได้ด้วยการกระทำทางกาย หรือทางวาจา ท่านควรงดเว้นจากการกระทำสิ่งที่มิควรกระทำ หรือคำพูดที่ไม่ควรพูด วิธีนี้เป็นการปลูกเมตตาขึ้นในการกระทำและในคำพูด
ถึงแม้ว่า ท่านไม่สามารถพบเห็นเขาทั้งหลายเหล่านั้น ท่านก็สามารถคิดนึกรำลึกถึงสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง คิดถึงมนุษย์ทั้งหลาย คิดถึงเทวดาทั้งหลาย คิดถึงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย และตั้งความปรารถนาไว้ว่า “ขอจงมีความสุข” หรือ “ขอเขาทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุข” ท่านพึงปลูกเมตตาขึ้นเฉพาะในใจท่านเท่านั้น ขอให้ท่านทำดังนี้สัก ๕ นาที สัก ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง หรือนานกว่านั้น ให้นานเท่าที่ท่านสามารถทำได้ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีท่านอาจจะเกิดในพรหมโลก และมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในพรหมโลกนั้นตลอดเวลานานหลายกัป
แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงมีพุทธประสงค์ให้พวกเรายินดีพอใจในสวรรค์ชั้นพรหมโลกเท่านั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านพราหณ์ผู้เฒ่านามว่าธนัญชานีขณะกำลังนอนบนเตียงนอนก่อนมรณะ รอความตายอยู่ ปรารถนาจะฟังธรรมได้ส่งคนไปนิมนต์ท่านพระสารีบุตรเถระมาแสดงธรรม ท่านพระสารีบุตรก็แสดงวิธีปลูกเมตตาและกรุณาเป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติสามารถไปเกิดในพรหมโลกได้ ครั้นแสดงแล้ว พระเถระก็เดินทางกลับพระวิหารเวฬุวันท่านธนัญชานีพราหมณ์ก็กำหนดเจริญเมตตาภาวนา แล้วก็สิ้นชีวิตลงในปัจจุบันทันด่วน และด้วยผลของเมตตาฌานนั้น เขาขึ้นไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมโลก เวลาตั้งแต่เขาดับจิตแล้วไปเกิดในพรหมโลกนั้น อาจไม่ถึง ๑ ชั่วโมง เพราะว่าเขาไปเกิดเป็นพรหมก่อนท่านพระสารีบุตรกลับถึงพระเวฬุวัน ครั้นท่านพระสารีบุตรเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ทรงตำหนิท่านพระสารีบุตรว่า ไม่สอนวิปัสสนาภาวนาให้แก่พราหมณ์ ไปสอนให้แต่เพียงเมตตาภาวนา ซึ่งสามารถนำไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมโลกเท่านั้น ท่านพระสารีบุตรเถระจึงรีบไปพบธนัญชานีพรหมในพรหมโลกทันที แล้วแสดงสอนวิปัสสนาภาวนา ซึ่งสามารถนำผู้ปฏิบัติให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน เองได้ ธนัญชานีพรหมก็กำหนดภาวนาด้วยตนเองแล้วได้เห็นแจ้งในพระอริยมรรคและบรรลุพระนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงเป็นการไม่ควรที่เรา (พระอาจารย์มหาสีสะยาดอ) จะหยุดการบรรยายของเราไว้แต่เพียงกล่าวถึงเมตตาภาวนา คือการปฏิบัติให้บรรลุฌานแล้วไปเกิดพรหมโลกเท่านั้น แต่เราจะพูดถึงวิปัสสนา คือ การปฏิบัติซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติให้บรรลุ มรรค ผล และพระนิพพานด้วย.
#โอวาทธรรม
พระเดชพระคุณพระพรหมมงคล วิ.
(หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล)






จิต สติ ปัญญา

"จิต คือ...ความรู้สึก รู้นึก รู้คิด
แต่ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว นี่! ธรรมชาติของจิต
ทีนี้! จิตดวงนี้จะเกิดรู้ดี รู้ชั่วขึ้นมาได้
ต้องอาศัย สติ...
เราภาวนาจนกระทั่งแทบเป็น แทบตาย
จนเอาชีวิตเข้าแลก จุดมุ่งหมายครั้งสุดท้าย
ก็คือ สติ...ตัวเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น...
เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะเข้มแข็ง
เรื่องสมาธิ เรื่องฌาน เรื่องญาณ
ไม่ต้องไปสนใจ เมื่อเรามีสติ รู้ตัวอยู่...
จ้องอยู่...ที่จิต ของเรา
การเพ่งคือฌาน สติเพ่ง อยู่...ที่จิตคือฌาน
ทีนี้! จิตรู้ อยู่...ที่จิต คือญาณ
พอจิตไหวตัว เกิดความคิดอ่านขึ้นมา
นั่นคือ...ปัญญา
สติตัวรู้ทัน อยู่...ทุกขณะจิต นั่นคือวิชชา
ความรู้แจ้งเห็นจริง มันอาศัยกัน

เพราะฉะนั้น ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าพูดถึงเรื่องจิต เรื่องใจแล้ว...
มันลงเอยอันเดียวกัน อริยมรรค๘ รวมเป็น๓
คือศีล สมาธิ ปัญญา
ในเมื่อรวมลงเป็นหนึ่ง...
คือสติวินโย สติเป็นผู้นำตลอดเวลา."

พระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)





ศีล 5 หรือเบญจศีลนั้น เป็นวินัยพื้นฐานสำหรับความเป็นมนุษย์ ขอให้ทุกท่านเป็นผู้มีมนุษยธรรม คือมีศีล 5 เป็นวินัยประจำชีวิต รับรองว่าท่านจะไม่มีวันตกต่ำ และจะยิ่งรุ่งเรืองด้วยโภคสมบัติ มีสุคติ และพระนิพพานเป็นที่หมายได้ในเบื้องหน้าเรา...

พระโอวาท | สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๖






#ชนะตนเอง
ทำตัวให้มันสบายๆ ไม่ต้องไปแข่งกับใครหรอก พยายามเอาชนะตนเองให้มันได้ พระพุทธเจ้าบอกว่ามันประเสริฐนะ

ชนะตนนั่นแหละประเสริฐ ชนะตนเองแหละมันดีที่สุด ชนะคนอื่นหมื่นแสนหน ชนะคนอื่นหมื่นแสนครั้งมันอาจจะกลับเป็นผู้แพ้ได้ในวันหนึ่ง แต่ถ้ามันชนะใจตนเอง ชนะตนเองได้มันชนะถาวร

โอวาทธรรมคำสอน พระอาจารย์ราวี จารุธัมโม
วัดป่าโนนกุดหล่ม จ.ศรีสะเกษ





“ลูกรักทุกคน สามารถปฏิบัติธรรม เจริญพระกรรมฐาน อย่างตั้งใจ และ มีจิตเข้มแข็ง ในการพิจารณา กายเนื้อของตนเองได้ดีมาก จึงบรรลุถึงระดับ พระสกิทาคามี ผล กันได้ โดยไม่ยากเย็น นะลูก

ความปีติยินดี จะเกิดขึ้นมากมาย เมื่อพ่อให้ประกาศว่า ลูกหลานคนไหน บรรลุธรรม ในระดับนี้แล้ว

ด้วยความเป็นทิพย์ ที่ลูกสามารถฝึกหัด ดูจิตของตนเองได้จากครูฝึก หรือ อาจารย์ที่ตั้งกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งทางโลก และทางธรรม ลูกก็จะเห็นจิตของตนเอง ใสแพรวพราวสว่างไสว มากขึ้นกว่าเดิม

ลูกจึงเชื่อมั่นได้ ว่าที่พ่อสั่งให้ ท่านพี่ใหญ่ แจ้งมายังผู้ตั้งกลุ่มนี้ ประกาศแจ้งให้ลูกหลานรู้นั้น เป็นความจริงที่ถูกต้องแน่นอน อย่าได้สงสัย หรือ แคลงใจอะไรเลย นะลูก

การประกาศว่า ผู้ใดปฏิบัติธรรม ได้บรรลุเป็นพระอริยะ ในระดับไหนแล้ว สามารถประกาศได้ โดยไม่ผิดอะไร เพราะ เป็นการพยากรณ์ จากพ่อ และ เป็นคำสั่งจากพ่อ ให้ประกาศออกไป

ท่านผู้ตั้งกลุ่ม และ ท่านพี่ใหญ่ มิได้พยากรณ์ด้วยตนเอง กลุ่มนี้จึงไม่ได้ทำผิดประการใด

การสอนธรรมะ ในกลุ่มนี้ ซึ่งพ่อดูแลอยู่ จึงไม่ผิดจากพระธรรมของพระพุทธองค์เลย แม้แต่น้อย นะลูกรัก”

โอวาทของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ









"จวนวาระสุดท้าย ก็มีผู้มาทูลถามว่า...
เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว นานประมาณเท่าไร พระอรหันต์จะสูญสิ้นจากโลก มรรคผล-นิพพาน จะยังมีอยู่ในโลกนานประมาณ เท่าไหร่?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
ก็หลักพระธรรมวินัย ตถาคตมิได้แสดง
ให้ผิดจากเหตุผล อันเป็นฐานที่เกิดขึ้นแห่งมรรคผล-นิพพาน พอผู้ปฏิบัติตามจะผิดหวัง ในกาลที่ล่วงไปแล้วแห่งเรา
แต่เราแสดง เพื่อ...มรรคผล-นิพพาน ทั้งนั้น
เหตุใด จึงต้องมาถามอย่างนั้น

ผู้ใดมีความสนใจใคร่ต่อการปฏิบัติธรรม
ที่เราแสดงไว้ชอบแล้ว...
ผู้นั้น จะได้รับความเป็นธรรม อยู่ตลอดกาล
ทั้งที่ตถาคตยังมีชีวิตอยู่ และตถาคตนิพพานไปแล้ว...
เพราะสวากขาตธรรมไม่นิยมกาล สถานที่
บุคคล แต่เป็นอกาลิโก อยู่...ตลอดกาล

ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม อยู่...
ตราบใด พระอรหันต์จะไม่สูญสิ้นจากโลก
อยู่ตราบนั้น...
ฉะนั้น จึงไม่ควรสงสัย ในสิ่งที่ไม่น่าสงสัย
แต่ควรสงสัยในตัวเองว่า...เวลานี้
เรามีความขยันหมั่นเพียร ตามหลักธรรม
ของพระพุทธเจ้าสอน หรือไม่เท่านั้น เป็นสิ่ง
ที่ควรสนใจ ในตัวเอง

ถ้าเป็นผู้เกียจคร้าน
หมดศรัทธาต่อพระสัทธรรม แม้ตถาคตจะ
ยังมีชีวิตอยู่ ผู้นั้น...ก็คือโมฆบุรุษ โมฆสตรี
ผู้เปล่าจากประโยชน์ อยู่...นั่นเอง
ถึงแม้ว่า...เขาจะจับชายสบง จีวรตถาคตอยู่
ก็หาได้ชื่อว่า...ไปตามตถาคตไม่

แต่ผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม
นั่นแล ชื่อว่า...ผู้ไปตามเราตถาคต
ชื่อว่า...ผู้บูชาตถาคต บูชาพระธรรม และ
พระสงฆ์ อยู่...ทุกระยะกาล
นี่! เป็นพระโอวาท ที่ตรัสกับผู้มาทูลถาม
จวนวาระสุดท้าย ซึ่งเป็นพระโอวาทที่ประ
ทับใจ ของผู้มุ่งต่อธรรมอย่างยิ่ง
จะได้พยายามบำเพ็ญตน โดยความสม่ำเสมอ
เช่นเดียวกับสมัย ที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่...และคอยตักเตือน อยู่...
ตลอดเวลา โดยธรรมที่ประทานไว้แล้ว

เช่นผู้ปฏิบัติถูกหรือผิด ก็แสดงถึงผลว่า
ต้องเป็นความสุข หรือความทุกข์ อยู่...
เช่นเคย ไม่มี การเปลี่ยนแปลงพระธรรม
ที่ประทานไว้ เป็นความคงที่ต่อเหตุผล
สมกับธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว และเป็นธรรมคงเส้นคงวา
สำหรับผู้ปฏิบัติตาม ไม่เป็นอย่างอื่น..."
________________________________________
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.







#เราจะไปเกิดในที่ดีมันยากแล้ว

บุญมันบ่ถึงเขา เราต้องทำเอา เกิดเป็นมนุษย์เป็นสัตว์อันสูงสุด ก็เป็นเพราะ ปุพเพกะตะปุญญะตา บุญหนหลังมาติดตามตนให้เกิดเป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ ครั้นเป็นผู้สมบูรณ์แล้วก็ อัตตะสัมมาปะณิธิ ให้ตั้งตนอยู่ในที่ชอบ อย่าไปตั้งตนอยู่ในที่ชั่ว รักษาศีล ให้ทาน หัดทำสมาธิอย่าให้ขาด ศีลห้ารักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีลแปดให้รักษา ให้พากันภาวนาอยู่ สมาธิมันไม่มีที่อื่น ให้นั่งภาวนา พทโธ ๆ ไม่ต้องร้องให้มันแรงดอก ให้มันอยู่ในใจซื่อ ๆ ดอก การภาวนาก็เป็นอริยทรัพย์ภายใน มันจะติดตามไปทุกภพทุกชาติ ติดไปสวรรค์ ลงมามนุษย์ มาตกอยู่ในที่มั่งคั่งสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ยากไม่จน ทรัพย์อันนี้ติดตามไป บ่มีสูญหายดอก ตามไปจนสิ้นภพสิ้นชาติ..

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)







( วิธี เจริญจิตภาวนา ๔.
ตามแนวการสอนของ : หลวงปู่ดุลย์ อตุโล )
_______________________________________
"เมื่อจิต...
ค่อยๆ หยั่งลง สู่...ความสงบ ทีละน้อยๆ
อาการ ที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก
ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง
ถึงไป ก็ไปประเดี๋ยวปะด๋าว ก็รู้สึกตัวได้เร็ว
ถึงตอนนี้...คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง

เพราะคำบริกรรม พุทโธนั้น...
เป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิต...ล่วงพ้นอารมณ์หยาบ และคำบริกรรมขาด ไปแล้ว...
ไม่ต้องย้อนถอยมา บริกรรมอีก
เพียงรักษาจิตไว้ ในฐานที่กำหนดเดิมไป
เรื่อย ๆ และสังเกต
ดู...ความรู้สึก และพฤติแห่งจิต ที่ฐานนั้นๆ

บริกรรม เพื่อ...รวมจิตให้เป็นหนึ่ง
สังเกตดูว่า...
ใครคือ ผู้บริกรรมพุทโธ."
-------------------------------------------------------------------
( ๒ )
ดูจิต...เมื่ออารมณ์สงบแล้ว
ให้สติจดจ่อ อยู่...ที่ฐานเดิม เช่นนั้น...
เมื่อมีอารมณ์อะไร เกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้น ทิ้งไป

มาดูที่ จิต...ต่อไปอีก
ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิต อยู่...ในฐานที่ตั้งเสมอๆ
สติ...คอยกำหนดควบคุม อยู่...อย่างเงียบๆ
ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาใดๆ ที่เกิดขึ้น

เพียงกำหนดรู้ แล้วละไปเท่านั้น...
เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็ค่อยๆ
เข้าใจกิริยา หรือพฤติ แห่ง...จิตได้เอง."
_______________________________________
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม
ที่มา :จากหนังสือการเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้
และละอารมณ์.





ไม่รู้ว่าต้องเกิดอีกกี่ชาติ
ถึงจะมีโอกาสได้กราบไหว้พระอรหันต์แบบนี้
ที่ทันในยุคเรา

ที่ไม่ได้ฟังแต่เรื่องเล่าขาน
อยากให้เพื่อนๆได้หาเวลาและโอกาส
ไปกราบไหว้ท่านสักครั้งในชีวิตนะครับ
หรือ หากไปไม่ได้จริงๆ
ลองนึกถึงท่านดูนะครับ

#หลวงปู่ศิลา_สิริจันโท

#พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นข้าศึกจะยังเหลืออยู่ในจิตนิพพานนั้นเลย จะว่าสูญชาติไปหมด ชื่อว่าสิ่งที่เคยเป็นข้าศึกต่อกันมาแล้ว นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ และไม่มีธรรมชาติใด ที่จะมีความสุขยิ่งกว่าจิตได้ตัดเครื่องกังวลต่อตนเองออกโดยสิ้นเชิง
เมื่อได้ตัดเครื่องกังวลออกโดยสิ้นเชิงแล้ว อดีตหรืออนาคตจึงไม่เป็นวิสัยของจิตดวงนั้นจะเกี่ยวข้อง และไม่เป็นวิสัยสามารถจะไปเกี่ยวข้องกับจิตดวงนั้นได้อีก นี่เป็นสนฺทิฎฺฐิโก เป็นความรู้อยู่จำเพาะ หรือว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากข้อปฏิบัติที่เราฝึก พยายามฝึกฝนอบรม ล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เบื้องต้นจนมาถึงขั้นนี้ เป็นผลสืบเนื่องหรือเป็นคุณสมบัติสืบเนื่องกันมาเป็นลำดับๆ นับตั้งแต่เราพยายามเรียน ก.ไก่ ก.กา ทีแรกจนถึงภูมิ ณ บัดนี้

ฉะนั้นขอให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย ได้ทำความเข้าใจกับเรื่องของใจเราเอง แล้วปรับปรุงใจของเราให้ดำเนินไปตามเข็มทิศ คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า วันนี้ได้น้อยวันนั้นได้มาก ขอให้ได้ทำไปทุกวัน เหมือนกับเราก้าวเดินไปทุกวัน เราจะไม่ได้ขึ้นรถขึ้นราไปอย่างรวดเร็วตามใจหวังก็ตาม แต่การก้าวไปนั้นไม่ใช่เป็นการถอยกลับ ต้องก้าวไปเพื่อจุดหมายปลายทางด้วยกัน จะช้าหรือเร็ว ไม่เป็นของสำคัญ สำคัญอยู่ที่การก้าวไปเสมอ ต้องมีวันถึงวันใดวันหนึ่งแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย ดีกว่าผู้ที่เป็นขอนซุงทั้งท่อน ทิ้งเกลื่อนกีดขวางอยู่ตามถนนหนทางนั้นเองมากมาย

ฉะนั้นในอวสานแห่งพระธรรมเทศนานี้ ขออำนาจแห่งบุญญานุภาพขององค์สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ จงมาปกเกล้าเหล่าท่านทั้งหลาย ให้มีความสุขกาย สบายใจ และสมความมุ่งมาดปรารถนาตามใจหวัง โดยทั่วหน้ากันเทอญ...

โอวาทธรรม
#หลวงตาพระมหาบัว_ญาณสัมปันโณ
#จากธรรมเทศนา “ต้นเหตุแห่งธรรมคือใจ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๗
ณ วัดป่าบ้านตาด


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร