วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ค. 2025, 22:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2025, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5331


 ข้อมูลส่วนตัว


"..สิ่งใดเป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นไปเพื่อโทษ ก็รีบชำระสะสางให้หมดสิ้นไปจากดวงใจของเรา ให้พึงเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอมิใช่ว่าเราไม่รู้ คือให้รู้ภายในจิตใจของตน อย่าส่งรู้ออกภายนอกจิตใจของตน ให้พากันดูให้พากันฟัง สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนครบบริบูรณ์ ขณะนี้เราอยู่ในสมถกรรมฐาน คือความสงบ วางอารมณ์ภายนอกทังหมดได้ ไม่กำหนัดรักใคร่ยินดี ใจไม่หงุดหงิด ไม่ซึมเซา ไม่ท้อแท้ และไม่งมงาย เราอยู่ในวิปัสสนากรรมฐาน ก็ตัดหมด ตัดภพ ตัดชาติทั้งหลาย อารมณ์สัญญาที่เป็นไปตามกระแสโลกตัดหมด ไม่มีเหลือ เป็นเรื่องสมมตินิยมกันเท่านั้น จิตของเราเป็นวิมุติ หลุดพ้นไปหมด เรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่องทุกข์ เรื่องภัย ไม่มีอีกแล้ว นี้แหละเป็นข้อปฏิบัติ.."

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)







"..ธรรมนั้นอยู่ฟากตาย ถ้าใครกลัวตายเสียดายทุกข์ ชอบถือเอาความสนุกในการเกิดว่าเลิศเลอ ผู้นั้นต้องจัดว่าลืมตัวประมาทและชอบผัดเพี้ยนเลื่อนเวลาว่าเช้า -สายบ่าย-เย็น ไม่อยากบำเพ็ญความดีสำหรับตนในเวลาที่เป็นฐานะพอทำได้อยู่

ความประมาททั้งนี้ยังจะพาให้หลั่งน้ำตาด้วยผ่านทุกข์ในสงสารไม่อาจประมาณได้ว่ายังอีกนานเท่าไรจึงจะผ่านพ้นแหล่งกันดารอันเป็นที่ทรมานไปได้.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส
จังหวัดสกลนคร






จิตเป็นสมบัติอันลํ้าค่า
ถ้าความเพียรย่อหย่อน ความฉลาดไม่พอ
จิตจำต้องหลุดมือ ตกไปอยู่ในอำนาจฝ่ายตํ่า
คือกิเลส และพาให้เป็นวัฏจักรหมุนเพื่อความทุกข์
ร้อนรนไปตลอดอนันตกาล ถ้าเราสามารถ
ด้วยความเพียร และความฉลาดหลักแหลม
จิตจำต้องตกในเงื้อมมือและสมบัติ
อันลํ้าค่าของเราแต่ผู้เดียว

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






..ธรรมที่ปฏิบัตินี้ #พระพุทธเจ้าว่าให้ยึดสุข..เบื้องแรกให้ยึดสุข ยึดเรื่อยไปเถอะสุข #แต่ยึดด้วยปัญญาของมัน ยึดไปเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะมีทุกข์เกิดขึ้นมา ถึงมันหนัก เราก็ไม่ยอมปล่อยมัน ไม่ยอมวางมัน เพราะอะไร เพราะเราคิดว่าของนี้มันดี ของนี้ มันถูกอย่างนี้ ยึดเรื่อยไป ถ้าเขาว่าอันนี้ไม่ดีเราก็ไปทุกข์ อันนี้ไม่ถูกเราก็ไปทุกข์ มันก็ตั้งมานะให้เกิดขึ้นมาตรงนั้นอีกแหละ

..ดังนั้น อารมณ์ที่มันกระทบอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเราพิจารณาซ้ำเข้าไปมันเป็นบุญคุณที่สุด ที่จะปลุกตัวของเราให้ตื่นขึ้นมาดูอะไรต่างๆ ให้มันซาบซึ้งต่อไป ให้มันรู้เรื่องมัน ที่เราไม่สบายก็เพราะว่าเราอยากให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ คําที่ว่า ไม่อยาก นั่นแหละคืออยาก ที่ว่าไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบ นี่คืออยากล่ะ ไม่อยากน่ะมันกลับเป็นอยาก เป็นกิเลส #มันเป็นตัณหา อย่างเราเบื่อมัน ไม่อยากรู้มัน ไม่อยากเห็นมัน นี่ก็นึกว่าเราเบื่อ มันจึงเพิ่มความกําหนัดขึ้น เพิ่มความหลงขึ้น เท่าตัว มันอย่างนี้

..คําว่า "#ความอยาก" หรือ "#ความไม่อยาก" สองอย่างนี้มันเป็นภาษาทําให้คนรู้สึกเท่านั้นแหละ ถ้าพูดถึงธรรมะที่พระองค์ท่านตรัสแล้ว จริงๆ นั้นมันก็เท่าๆ กัน ความอยากนี้มันเป็นโทษ เหมือนกันกับที่ว่าความไม่อยากนี้ก็เป็นโทษ ที่ว่าไม่อยาก หรืออยากนี้ มันอยากด้วยความโง่ ไม่อยากก็ไม่อยากด้วยความโง่ คือมันผิดน่ะ #เป็นทุกข์

#พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)








#ปัจฉิมโอวาทของหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต

"... ตอนสุดท้ายแห่งธรรม ที่พอยึดได้ว่าเป็นปัจฉิมโอวาท เพราะท่านมาลงเอยในสังขารธรรม เช่นเดียวกับพระปัจฉิมโอวาท.. ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สงฆ์ เวลาจะเสด็จปรินิพพาน
โดยท่านยกเอาพระธรรมบทนั้นขึ้นมาว่า ..

... ดูก่อนพระภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลาย สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงมีความเกิดหรือเจริญขึ้นแล้วเสื่อมไปดับไปจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด
จากนั้นท่านก็อธิบายต่อใจความว่า...คำว่าสังขารในปัจฉิมโอวาทนั้นเป็นยอดธรรม
พระองค์ทรงประมวลมาในคำว่าสังขารทั้งสิ้น
แต่พระประสงค์ทรงมุ่งสังขารภายใน มากกว่าสังขารอื่นใดในขณะนั้น เพื่อเห็นความสำคัญของสังขาร อันเป็นตัวสมุทัย เครื่องก่อกวนจิตให้หลงตาม ไม่สงบลงเป็นตัวของตัวเองได้เมื่อพิจารณาสังขาร
คือความคิดปรุงของใจทั้งหยาบละเอียด รู้ตลอดทั่วถึงแล้วสังขารเหล่านั้นก็ดับ เมื่อสังขารดับใจก็หมดการก่อกวน แม้มีการคิดปรุงอยู่บ้างก็เป็นไปตามปกติของขันธ์ ที่เรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ ไม่แฝงขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหาอวิชชา ถ้าเทียบกับการนอน ก็เป็นการนอนหลับอย่างสนิทไม่มีการละเมอเพ้อฝัน มาก่อกวนในเวลาหลับ
ถ้าหมายถึงจิตก็คือ"วูปสมจิต"เป็นจิตสงบที่ไม่มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ภายใน จิตของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งปวง เป็นจิตประเภทนี้ทั้งนั้น
ท่านจึงไม่หลงใหลใฝ่ฝันหาอะไรกันอีก นับแต่ขณะที่จิตประเภทนี้ปรากฏขึ้น คำว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ก็มีมาพร้อมกัน ความสิ้นกิเลส ก็สิ้นไปในขณะเดียวกัน ความเป็นพระอรหันต์ก็เป็นขึ้นพร้อมในขณะเดียวกัน จึงเป็นธรรมอัศจรรย์ ไม่มีอะไรเทียบได้ในโลกทั้งสาม พอแสดงธรรมถึงที่นี้แล้วท่านก็หยุด นับแต่วันนั้นมา
ไม่ปรากฏว่าได้แสดงที่ไหนในเวลาใดอีกเลย
จึงได้ยึดเอาว่าเป็นปัจฉิมโอวาท และได้นำลงในประวัติท่าน เป็นวาระสุดท้าย สมนามว่าเป็น "ปัจฉิมโอวาท"..."
___________________________

#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทัตโต)
วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓ -​ ๒๔๙๒)
คัดลอกจาก..
หนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
ถ่ายทอดโดย..
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน







"..การปฏิบัติต่อร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน การปฏิบัติต่อจิตใจก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน ถ้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเท่าที่ควร ก็ต้องทำผิดจริง ๆ ด้วย โดยไม่เลือกเพศวัยและชาติชั้นวรรณะใด ๆ เลย เพราะสามัญมนุษย์เราเป็นเหมือนเด็ก ซึ่งต้องได้รับการดูแลและอบรมสั่งสอนจากผู้ใหญ่อยู่ทุกขณะจึงจะปลอดภัยและเจริญเติบโตได้ คนเราใหญ่แต่กาย ใหญ่แต่ชาติ ใหญ่แต่ชื่อ ใหญ่แต่ยศ ใหญ่แต่ความสำคัญตน แต่ความรู้ความฉลาดที่จะทำตนให้ร่มเย็นเป็นสุขทั้งทางกายและทางใจโดยถูกทาง ตลอดผู้อื่นได้รับความร่มเย็นเป็นสุขด้วย นั่นไม่ค่อยเจริญเติบโตด้วยและไม่สนใจบำรุงให้ใหญ่โตอีกด้วย จึงเกิดความเดือดร้อนกันอยู่ทุกหนทุกแห่ง โดยไม่เลือกเพศวัยและชาติชั้นวรรณะอะไรเลย.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร