วันเวลาปัจจุบัน 08 พ.ย. 2024, 12:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2017, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือนี้ หน้า ๑๘๙

รูปภาพ

บุคคลหาได้ยาก ๒

วันนี้มาพูดต่อต่อไปถึงเรื่อง บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง คือ บุพพการี - บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน, กตัญญูกตเวที- บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วและตอบแทน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2017, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคล ๒ จำพวกนี้ เรียกว่า หาได้ยาก คือ ไม่พร้อมกัน บางที มีบุพพการี แต่ว่า ขาดกตัญญูกตเวที โดยมากมักจะขาดอันหลัง อันแรก มักจะมี ขาดอันหลัง เช่น มารดาบิดา นี่เป็นบุพพการี ครูบาอาจารย์ก็เป็นบุพพการี หรือว่าคนใดคนหนึ่งที่มีน้ำใจดีงาม มีความเมตตา ปรารถนาความสุขความสบายแก่คนอื่น แล้วได้กระทำอะไรลงไปแก่บุคคลผู้นั้น ผู้นั้น ชื่อว่าเป็นบุพพการี แปลว่า ผู้กระทำก่อน หรือผู้อุปการะ

ที่นี้ เมื่อมีอุปการะแล้ว ปฏิการะ คือ การกระทำตอบมันน้อย ไม่ค่อยจะเกิด เช่น บุตร ธิดา บางทีเฉยๆ กับ พ่อแม่ ไม่ได้สำนึกในบุญคุณว่าพ่อแม่ได้กระทำคุณแก่ตนอย่างนั้นอย่างนี้ นึกไม่ค่อยได้ ที่นึกได้อยู่บ้างก็นึกจะเอาท่าเดียว ที่เข้าใกล้อยู่นั้น ก็จะเอานั่นเอานี่จากคุณพ่อคุณแม่

ถ้ามีเรื่องเอา-ได้ อยู่ละก็มักจะเข้าใกล้เอาใจใส่ แต่พอหมดเรื่องที่จะเอาแล้วก็มักจะเฉยๆ ไม่ค่อยจะสนใจ อย่างนี้เรียกว่า ขาดน้ำใจ ไม่มีความกตัญญูกตเวที ต่อผู้ที่ใด้กระทำคุณแก่ตนไว้

ยิ่งกับครูบาอาจารย์ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ คือเมื่อผ่านพ้นไปแล้วก็หมดเรื่องกัน ไม่ค่อยจะได้นึกถึง แล้วเข้าใกล้แสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขาเรียกว่า ขาดความกตัญญูกตเวที

ผู้มีอุปการะ แต่ว่าขาดคนที่จะกระทำตอบ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า หายาก เพราะมันไม่ค่อยตรงกัน นานๆ จะมีตรงกันสักรายสองราย ความจริง มันเป็นอย่างนั้น

ทีนี้ ท่านวางหลักนี้ไว้ก็เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนให้เราทั้งหลายที่อยู่นสังคมโลก “อย่าทำให้หายาก แต่ทำให้หาง่าย”

“การทำให้หาง่าย” นั้น ก็คือว่า ต้องมีน้ำใจกตัญญูกตเวที ต่อผู้ที่ได้กระทำคุณแก่ตน ผู้ที่ทำบุญคุณแก่เรานั้น มีเป็นคู่ๆ เริ่มต้นก็ด้วย มารดาบิดา

มารดาบิดานี่เป็นคู่แรก ที่ทำบุญคุณแก่เราอย่างยิ่งใหญ่ เพราะว่าเราเกิดจากมารดาบิดา

มารดาบิดานั้น ได้ชื่อว่าชนก หมายความว่า ผู้ให้เกิดแล้วก็ไม่ใช้ให้เกิดมาเฉยๆ ยังเป็นผู้เลี้ยงดูเอาใจใส่ทั้งกายใจ ให้เราเติบโตขึ้น ให้ศึกษาเล่าเรียน หางานให้เราทำ มองเงินให้ในเวลาที่เราต้องการแบ่งทรัพย์สมบัติให้ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ เป็นหลักเป็นฐาน แล้วก็ยังมอบมรดกให้ในเวลาที่ควรมอบให้ด้วย อันนี้ นับว่าบุญคุณเหลือหลายที่มีต่อเรา

เราอย่าคิดให้มันเขวอย่างคนสมัยใหม่บางคน ไม่ใช่ทั่วไป คือคิดว่าพ่อแม่ไม่มีอะไรกับเราดอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ท่านเสพกันสนุกกันไปตามเรื่อง แล้วเรานี้มันเป็นผลพลอยได้ที่ออกมาเท่านั้นเอง คิดอย่างนั้น มันเป็นวัตถุมากไปหน่อย เขาเรียกว่าวัตถุนิยมจัดไปหน่อย ไม่ได้คิดถึงน้ำใจของพ่อแม่ พ่อแม่น่ะได้เรื่องสนุกเป็นของธรรมดา มนุษย์เรามันก็ต้องมีเสพกามมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าโดยส่วนลึกในทางจิตใจแล้ว พ่อแม่มีความปรารถนาที่จะมีบุตร

ทำไมท่านจึงต้องการมีบุตร ? สำคัญที่สุดก็เพื่อสืบสกุล เพื่อรับมรดกตกทอดของท่านต่อไป เพื่อจะได้ดูแลท่านต่อไป เพื่อจะได้ดูท่านเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น แก่ชราลงก็จะได้อาศัยลูกเต้า ช่วยเลี้ยงดูตามสมควรแก่ฐานะ แม้ตายไปแล้ว ท่านก็ยังหวังว่าลูกจะได้อุทิศส่วนบุญไว้ให้

อันนี้เป็นความหวังของพ่อแม่ ที่อยากจะมีบุตรธิดา ไม่ใช่ท่านสนุกกันเฉยๆ แล้วเราก็หลุดออกมา ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นความตั้งใจที่จะให้เกิดบุตร จะเห็นว่า คนบางคนแต่งงานกันแล้วไม่มีบุตรสืบสกุลออกมา ก็เป็นทุกข์เป็นร้อนไม่สบายใจ

ในอินเดียเขาจึงมีนรกอยู่ขุมหนึ่ง เขาเรียกว่า ปุตตนรก ครอบครัวใดไม่มีบุตร เรียกว่าตกนรกขุมนี้

ปุตตนรก ก็คือร้อนอกร้อนใจเพราะบุตรนั่นเอง คือไม่มีมันก็ไม่สบายใจ ไม่มีความหวังในการทำงาน ไม่รู้จะทำไปทำไม ทำแล้วจะให้ใครดูแลรักษาต่อไป ทำแล้วจะให้แก่ผู้ใด นี่เป็นความวิตกกังวลในจิตใจของพ่อแม่ คือว่าเมื่อไม่มีบุตร ก็เรียกว่า ตนนรกขุมนี้

แต่พอมีบุตรขึ้นมาท่านก็สบายใจว่าเรามีทายาท เรามีผู้รับมรดกที่จะดูแลทรัพย์สมบัติของเราต่อไป ท่านก็พ้นจากนรกนี้ไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2017, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในบางคน เมื่อไม่มีบุตรไว้สืบสกุลก็ไปเที่ยวหา ทำอย่างไร ? ก็ไปเที่ยวบนบานศาลกล่าวไหว้นั่นไหว้นี่ ขอร้องให้มีลูกกับเขาสักคนเถอะ ว่าอย่างนั้นเถอะ

ที่วัดในไชยา เขาเรียกว่า วัดพังจิก อยู่ที่สวนโมกข์เก่า มีโบสถ์ร้างอยู่ แล้วก็มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง คนไปกราบไหว้อยู่เสมอ เขาบอกว่าหลวงพ่อองค์นี้สำคัญนัก ใครไม่มีลูกก็ไปไหว้ขอลูกได้ เพราะฉะนั้น มีคนที่ไม่มีลูกไหว้กันเสมอ ไปจุดธูปจุดเทียนบูชา บนบานศาลกล่าว แล้วต่อมาก็มีลูก เมื่อมีลูกก็เอาลูกไปถวาย นี่ลูกหลวงพ่อที่มาขอไว้วันนั้น เอามาให้ดูแล้ว ขอให้ลูกมีความสุขความสบายต่อไป นี่เป็นตัวอย่าง

วันหนึ่ง ผมไปที่พัทลุง เข้าไปในถ้ำวัดคูหาสวรรค์ เห็นแม่กับลูกไปนั่งกราบพระอยู่ พอกราบเสร็จแล้วมองมา ก็เลยถาม ถามว่ามากราบพระเรื่องอะไร

แม่บอกว่าลูกชาย นี่ลูกชายของอิฉัน ก่อนอิฉันไม่มีลูก แล้วฉันมามาไหว้หลวงพ่อองค์ใหญ่นี้แหละ ขอลูกสักคนเถอะว่าอย่างนั้น ไว้สืบวงศ์สกุลต่อไป หลังจากขอแล้วไม่เท่าไรก็มีลูกขึ้นมาเป็นลูกชาย พอได้ลูกก็เอาลูกมาไหว้ฝากเนื้อฝากตัว

แล้ววันนี้ที่มาไหว้ เพราะลูกติดทหารจะต้องไปอยู่ราชการทหารที่เมืองนครศรีธรรมราช ที่มากราบลาเพื่อไปรับใช้ชาติบ้านเมือง ขอให้หลวงพ่อตามไปรักษาด้วย

ได้ฟังแล้วรู้สึกว่า เออ คนเรานี้มันเหลือเข็ญ อยากจะมีลูกก็เที่ยวขอกราบไหว้วิงวอนเพื่อให้ได้ดังใจ

อันนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า มารดาบิดานั้นต้องการจะมีบุตร ไม่ใช่มันเรื่องของผลพลอยได้ แต่ว่า มันเป็นผลที่ต้องการจริงๆ ให้เราเกิดมาจริงๆ แล้วเมื่อพอรู้ว่าท้อง ตั้งท้องแล้ว แสดงว่าระดูหยุด แล้วมีอาการว่าตั้งท้อง เช่น อาเจียนบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง อยากกินของเปรี้ยวๆ อะไรนี้ ดีใจแล้ว ดีใจว่าจะมีลูกแล้ว

แล้วถ้ากระซิบบอกพ่อเจ้าประคุณสามี บอกว่าฉันมันเปรี้ยวปาก หมู่นี้อยากจะกินส้มมะขาม อยากจะกินไอ้นั่นไอ้นี่ พ่อก็ดีใจว่า เออ ไม่เท่าใดกูจะได้เป็นพ่อคนแล้ว จะได้มีลูกกับเขาสักคนหนึ่ง
อันนี้แหละ คือ น้ำใจที่แม่พ่ออยากจะได้ลูกอย่างนี้

อย่านึกเขวไปตามพวกมิจฉาทิฐิว่า พ่อแม่สนุกกันแล้วก็เกิดลูกมาเท่านั้นเอง เรียกว่าไม่มีน้ำใจ

เราต้องนึกว่า คุณพ่อคุณแม่นี้ ในส่วนลึกท่านต้องการจะมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ออกมาแล้วพอใจทั้งนั้น ได้ลูกหญิงก็พอใจ ได้ลูกชายก็พอใจ แล้วก็อุตส่าห์ทะนุถนอมกล่อมกล่อมเลี้ยง

ให้เรานึกว่า สมัยเราเป็นเด็กนะเหมือนกับอะไรดี เหมือนกับของที่ว่าจะต้องทะนุถนอมอย่างที่สุด คล้ายกับเราถือไข่เดินไปบนหิน ต้องประคับประคอง คุณพ่อคุณแม่ประคับประคองลูกนักหนา แต่ว่าผู้ที่เอาใจใส่มากที่สุดคือแม่ เพราะหน้าที่โดยตรงของท่าน

พ่อนั้น ต้องออกไปนอกบ้าน ไปทำมาหากินหาเงินหาทองเอามาเลี้ยงครอบครัว

แม่ก็ก็มีหน้าที่อยู่กับลูก อาบน้ำให้ ให้กินนม กลางค่ำกลางคืนก็นอน เอาลูกนอนในเปลเห่กล่อมเพื่อให้ลูกหลับ พอลูกหลับแล้วแม่นอนละ มือถือเชือกไว้ ถือเชือกเปลไว้ ไม่ใช่นอนหลับสนิทนะ

ให้นึกเอาเองว่า สมมติว่าเราจะไปนั่นไปนี่ จะต้องตื่นแต่เช้า ใจมันกังวลอยู่ด้วยเรื่องที่จะไป กลัวจะตื่นสาย กลัวจะพลาดรถไฟ เพราะฉะนั้น ต้องตื่น ตื่นแล้วดูนาฬิกาตี ๒ เท่านั้นเอง นอนต่อ นอนต่อไปหน่อย เอาละ เดี๋ยวตื่น เออ ตีสามครึ่งเท่านั้นเอง เอาลุกขึ้นได้แล้ว เป็นอย่างนี้ฉันใด

มารดาก็คงจะมีใจอย่างนั้น นอนไม่หลับสนิทดอก มือจับเชือกไว้ พอได้ยินเสียงลูก แว้ ดึงเชือกงัวเงียๆ ดึงไปตามเรื่อง ให้ลูกหลับต่อไป ให้ลูกนอนต่อไป

ถ้าหากสมมติว่า ร้องดังจัด แสดงว่า มีอันตราย มดกัดหรือว่ามีอะไร หรือว่าอะไรมันออกมาทำให้ผ้าเปรอะเปื้อน เกิดความชิ้น ลูกน้อยของแม่นอนไม่สบาย ต้องลุกขึ้นเปิดไฟ แล้วยกขึ้นดู อ้อ ลูกไม่สบาย เอาไปเช็ดล้างน้ำเสร็จแล้วก็นอนกล่อมต่อไป

ถ้าลูกเป็นไข้แม่เป็นไข้ด้วยนะ ถ้าลูกสบายแม่สบายด้วย แต่ถ้าลูกเป็นไข้แม่เป็นไข้ด้วยนะ

เรามันโตแล้ว ไม่ค่อยนึกถึงเรื่องอย่างนั้น ไม่ได้นึกย้อนหลัง ถ้านึกเสียบ้างก็จะรักคุณแม่มากขึ้น รักคุณพ่อมากขึ้น

คนเราถ้ารักพ่อรักแม่ดีมากละก็ ไม่เสีย ไม่ทำชั่ว คนที่ไปทำชั่ว ไม่รักแม่ ไม่รักพ่อ ไม่รักอะไรทั้งนั้นแหละ รักแต่ความชั่วเลยเสียคน

ที่นี้ เพื่อให้เกิดความรัก เราก็นึกถึงว่าเมื่อเราอยู่เป็นเด็กนี้ แม่พ่อเอาใจใส่เราอย่างไร บางที อาจจะจำเหตุการณ์บางอย่างได้ว่าเราทำอะไร แล้วคุณแม่รักษาเราอย่างไร ทะนุถนอมเราอย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยท่านรักษาในรูปใด สิ่งเหล่านี้ บางทีนึกแล้วมันก็ตื้นตันใจ แน่นอนขึ้นมาเชียว พูดไม่ออกว่าความตื้นตันนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากความปลื้มในบุญคุณของมารดาที่เราเคารพ ของบิดาที่เราเคารพ ถ้าเรานึกแล้วมันก็น่ารักน่าบูชา เราจะรักท่านมากขึ้นอย่างนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2017, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเราเติบโตขึ้นไปโรงเรียน ต้องการอะไร หนังสือหนังหา สมุดเครื่องเขียน ขอได้ทั้งนั้น พ่อแม่นี่เหมือนกับน้ำบ่อทราย ตักเท่าใดๆ ก็ไม่รู้จักแห้ง ความจริงมันแห้งเหมือนกันละ แต่ว่าท่านไปหามาชดเชยไว้ ไม่ให้มันแห้งเป็นอันขาด

ลูกต้องการ แม่หาให้ เว้นดาวกับเดือนแม่ไม่สามารถจะสอยมาให้ลูกได้ แต่ถ้าเป็นของบนพื้นโลกแล้ว เอาอะไรล่ะลูกเอ๋ย แม่ก็ต้องจัดหาให้ทั้งนั้นแหละ นี่ละ ลูกบางคนจึงขู่เข็ญคุณแม่ จะเอานั่น จะเอานี่

ถ้าสมมติว่าแม่บอกว่า แม่ยังไม่มี โอ้ย ไม่ได้ต้องเอาอย่างนั่น เอาอย่างนี้ ตีอกชกตัวกระทืบเท้าปึงปัง ล้มลงกลิ้งเกลือกให้แม่เห็นใจ พอแม่เห็นอย่างนั้น ก็สงสารลูก เอามา ลุกขึ้นลูก ลุกขึ้นมาเอาไป ได้ไปอีกละ ทำอย่างนี้ เมื่อได้แบบนี้ ทีหลังก็เอาอีก ได้โดยวิธีโกรธก็ต้องโกรธอีก ได้โดยวิธีร้องไห้ก็ต้องร้องไห้อีก อย่างนี้ทำให้เสียหาย แม่ไม่รู้เท่าลูกเลยปล่อยตามใจ ลูกเสียคน

แต่ก็น่าเห็นใจแม่ว่าท่านรักลูกเหลือเกิน รักจนลืมว่าอะไรเป็นอะไร มีแต่ว่าจะให้ลูกสบายใจ ก็เลยให้ตามต้องการ ต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เราขู่ได้โดยไม่ต้องรับความเดือดร้อนก็คือแม่กับพ่อนี่เอง ไปขู่คนอื่นเดี๋ยวก็เกิดเรื่อง แต่คุณพ่อคุณแม่นี่ขู่เอาได้ ก็ขู่เอาได้ตามชอบใจ แล้วก็ได้ทุกทีด้วย น่ารักไหมล่ะ ถ้าเราคิดอย่างนี้

แล้วเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย มีความเดือดร้อน ใครที่มาช่วยเราก่อนเพื่อน ก็คุณแม่นั่นแหละไม่มีใคร คุณพ่อคุณแม่นั่นแหลมาก่อน เพราะฉะนั้น ดวงหน้าคุณพ่อคุณแม่เป็นดวงหน้าที่น่ารักน่าบูชา ถ้าเราไม่สบายเจ็บไข้ พอเห็นคุณแม่มานั่น เห็นหน้าท่านเท่านั้น มันหายขึ้นมาเลย สบายขึ้นมาเลย ลุกขึ้นนั่งได้เดินได้ขึ้นมาทีเดียว ใจมันสบาย คนเราพอใจสบายมันก็หายโรคหายภัยไปเท่านั้นเอง อันนี้แหละคือน้ำใจที่เราได้รับ เป็นอิทธิพลทางจิตใจที่สำคัญที่สุด ซึ่งลึกลับซ่อนเร้นอยู่ในคุณแม่คุณพ่อของเรา

คนบางคนกลัวแม่หรือว่าติดแม่ บางคนก็ติดพ่อ สุดแล้วแต่ว่าอยู่ใกล้ ถ้าอยู่ใกล้ใครมากก็ติดคนนั้นแหละ

ถ้าอยู่ใกล้แม่ก็รักแม่มากกว่าพ่อ ถ้าอยู่ใกล้พ่อมากก็รักพ่อมากกว่าแม่ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปตามใครว่าคุณนี่รักใครมากกว่ากัน บางคนก็ตอบว่า ผมรักแม่ บางคนก็บอกว่า รักพ่อ เนื่องจากความใกล้ชิดนั่นเอง

ถ้าใกล้ชิดพ่อก็รักพ่อ ถ้าใกล้ชิดแม่ก็รักแม่ สินสมุทรในเรื่องพระอภัยมณีไม่รักแม่เท่าใด รักพ่อมาก เพราะว่าพ่อไม่ค่อยดุค่อยว่า ส่วนนางยักษิณีนั้นดุบ่อยๆ สินสมุทรก็ไม่ค่อยชอบเท่าใด คิดอยู่เสมอตลอดเวลา จะพาพ่อหนีไปหาคุณปู่คุณย่าให้ได้ ก็เลยพาหนีเอาจริงๆ

อันนี้เขาเขียนจากน้ำใจคนแท้ๆ สุนทรภู่แกถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องพระอภัยมณี สินสมุทร สุดสาคร อะไรนี่แหละ เอาเรื่องในใจคนมาเผยแผ่ทีเดียวว่า รักอะไรมาก เราอยู่ใกล้แม่ก็รักแม่มาก อยู่ใกล้พ่อก็รักพ่อมาก แล้วถ้าคนใดรักแม่มาก นิสัยใจคอการเดิน การยืน การนั่ง กิริยาท่าทางเอียงไปทางแม่ แต่ถ้ารักพ่อมากเอียงไปทางพ่ออีกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น คนเขาจึงสังเกตเห็น สมมติว่าเด็กคนหนึ่งเขาไม่ถามว่าลูกใคร แต่เขาก็รู้ว่าเป็นลูกของใคร เป็นคนคุ้นเคยกัน เขาดูหน้าดูตา กิริยาท่าทาง เขารู้ว่า อ้อ เป็นลูกคนนั้น เป็นลูกคนนี้ โดยมากมักจะตรงตามที่รู้ อันนี้ ก็เพราะว่า สมบัติของคุณพ่อคุณแม่ถ่ายทอดมาให้ลูกทุกอย่าง ลูกรับไว้หมด เป็นภาพอยู่ในชีวิตของลูกทั้งเพ เราจึงเห็นได้ง่าย คือว่าพ่อแม่เป็นอย่างนี้

จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานการ มีเหย้าเรือน เดือดร้อนหันไปหาคุณพ่อคุณแม่ต้องได้ เรื่องหนี้เรื่องสิน เรื่องอะไร ไปถึงกราบเท้า ผมแย่ละครับคุณแม่ เป็นหนี้เขามาก ถ้าไม่ได้ให้เขา คราวนี้เขาอาจจะฟ้อง ผมอาจจะต้องติดคุกติดตะรางก็ได้ แม่ก็ดุคำสองคำเท่านั้นละ ไม่ว่าอะไรดอก ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นละ เอาไปเถอะ ติดคุกติดตะรางลูกจะลำบาก ดุอย่างนั้นละ ได้อีกแล้ว อันนี้ ก็เรียกว่า ทำให้ลูกเสียเหมือนกัน แต่ว่าเพราะรักมากจึงต้องทำอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีคนอยู่ครอบครัวหนึ่ง ผมคุ้นเคย มีลูกชายคนเดียว แล้วก็มีนาไร่เยอะ ร่ำรวยคนหนึ่งละในจังหวัดนั้น ลูกชายไม่เอาถ่าน ความจริงก็เรียนได้ ธ.บ. เหมือนกันละ ได้สวมเสื้อครุยแล้ว แต่ว่าไม่เอาถ่าน ทำงานก็อย่างนั้น ทำแล้วก็ชอบเที่ยวชอบสนุก ภรรยาก็ไม่มีเป็นหลักเป็นฐาน เอาคนนั้นมาอยู่ได้ ๗ วัน พาไปส่ง พาคนนั้นมาอยู่ได้ ๑๕ วันพาไปส่ง

ถ้าไปถามมารดาเขา โอ้ย ลูกสะใภ้ ฉันจำหน้าไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครมั่ง มันเอามาแล้วมันก็เอาไปคืน มันอยู่กันอย่างนี้แหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันมันจะเป็นฝั่งเป็นฝา แล้วก็จ่ายเงินเปลือง ทำหนี้ทำสินไว้บ่อยๆ พ่อแม่ก็ต้องไปไถ่คืน ต้องไปจ่ายกันอยู่เสมอ เป็นทุกข์เดือดร้อน

ผมไปเยี่ยมครอบครัวนี้บ่อยๆ เขาก็เปิดเผยให้ฟังว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้ ก็เลยแนะนำว่า น้าทั้งสองนี้ต้องเด็ดขาดหน่อย ปีนี้ปี ๒๕๐๐ เรียกลูกมาพูดกันหน่อย ทำความเข้าใจกัน แกก็ถามว่าจะทำความเข้าใจกันอย่างไร บอกว่า เรามาตั้งต้นชีวิตใหม่กันทีเถอะ ปี ๒๕๐๐ นี้ คือว่าเงินที่จะให้ใช้ปีหนึ่งให้เท่านั่น ใช้ให้พอ ถ้าใช้หมดแล้วไปเป็นหนี้เป็นสินอะไรกัน ไม่ยอมไปจ่ายทั้งนั้น ต้องเด็ดขาดไปอย่างนี้ แล้วก็ถามว่าคุณน้าทั้งสองทำได้ไหมล่ะ

น้าผู้ชายบอกว่าผมทำได้ เอาจริงกันเสียที น้าผู้หญิง บ่นออดแอด มันก็ลำบากลูกของเรา ถ้ามันไปตกทุกข์ได้ยาก มันก็ต้องช่วยมันอีกนะแหละ ว่าอย่างนั้น เลยบอกว่า นี่แหละความเสียหายมันอยู่ที่คุณน้ารักลูกไม่ถูกเรื่อง ทำให้ลูกเสีย ต้องเด็ดขาด ผลที่สุดไม่รับหลักการ แม่ทำไม่ได้ เพราะใจอ่อนรักลูกนั่นเอง ลูกก็ถลุงต่อไปจนคุณแม่ตาย พอแม่ตาย เหลือแต่พ่อ พอก็เด็ดขาด ออกจากบ้านเลย ไปอยู่วัด ถือศีลกินเพล ไม่มาบ้านเลย ไม่ไปเฉยๆ นะ ไม่ให้สตางค์ไว้ใช้เสียด้วย เรื่องมันเป็นอย่างนั้น เจ้าลูกชายก็เดือดร้อนน่าซี่ ไม่มีสตางค์ใช้

ผมไปเยี่ยม ไปถึงก็เอาน้ำมาถวาย ปกติไปเยี่ยมนี่เคยซื้อน้ำเย็น โอเลี้ยงมาถวายนะ วันนั้น ถวายน้ำเฉยๆ แล้วบอกว่าผมไม่ไหวแล้วเวลานี้ ต้องเก็บมะพร้าวหลังบ้านไปขายแล้ว สะตงสตางค์ไม่มี ตั้งแต่แม่ตายผมลำบากแย่ เลยบอกว่า ดีแล้วละ อย่างนี้ดีแล้วเราจะได้รู้สึกตัวเสียบ้างว่า มันลำบากอย่างไร อยู่สบายมานานแล้วนี่ ไม่เคยลำบาก แม่ตายแล้วลำบากเสียมั่งจะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที เรามันไม่ไหนี่ บทเรียนแบบนี้มันหนักหน่อย

หลวงพ่อช่วยทีเถอะ ช่วยยังไง ?

ไปตามพ่อกลับบ้านที บอกว่าผมแย่แล้ว ว่าต่อไปนี้จะไม่เลอะเทอะแล้ว เอ้า ก็ไปให้เขาหน่อย เสร็จแล้วก็ไปเหมือนกัน ไปติดต่อกับพ่อเขา เล่าเรื่องให้ฟังเสร็จ พ่อบอกว่า ผมยังไม่กลับ กลับไปก็โน้นแหละเผาศพแม่เขา ตอนนี้ ยังไม่กลับ กลับมาบอก เออ ไม่สำเร็จโว้ย ฉันไปเทศน์เอากัณฑ์ใหญ่แล้ว ท่านไม่ยอม ท่านใจแข็งจริง ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ดีขึ้นหน่อย คราวนี้ ว่าซ้ำมันอีก หน้าเศร้าสร้อยหงอยเหงา มันก็ยังนี้แหละ เอาจริงเข้ามั่งมันก็ค่อยยังชั่ว

แต่ว่าผลที่สุดก็ต้องช่วยอยู่ดี ไปไม่รอด เพราะความรักมันตัดไม่ขาด พ่อแม่รักลูกตัดไม่ขาด แต่ลูกตัดพ่อตัดแม่ได้ พี่ตัดน้องไม่ค่อยได้ แต่น้องตัดพี่ได้ พี่ฆ่าน้องไม่ค่อยได้นะ แต่น้องฆ่าพี่ได้ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น พ่อแม่เราบุญคุณเหลือหลาย ถ้าเรานั่งคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้น เขาสอนให้คิดอยู่บ่อยๆ ให้นึกถึงเสียบ้าง อย่างน้อยวันหนึ่งสักครั้งหนึ่ง

ถามตัวเองว่า ใครให้กำเนิดเรามา ใครเลี้ยงเรามา ใครให้การศึกษาแก่เรา ไอ้ที่เราได้เป็นเนื้อเป็นตัว มีความสุข ความสบายอยู่ในชีวิตประจำวันนี้เพราะใคร ? ตั้งปัญหาถามเสียบ้าง ถ้าคิดอย่างนี้ เราก็จะรักมากขึ้น แล้วก็จะทำอะไรให้ท่านสบายใจ การทำให้พ่อแม่สบายใจนี้ ถือว่าเป็นหน้าที่ คือเราเป็นลูกนี่ ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราก็ต้องเลี้ยงท่านตอบแทน
ช่วยเหลือกิจการงานให้แก่ท่าน
เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษา
ประพฤติตนให้เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่
แล้วก็ทำตนให้เหมาะสมที่จะรับมรดกของท่านต่อไป
เมื่อท่านตายไปแล้วก็ต้องทำบุญอุทิศไปให้ท่าน ดำรงวงศ์สกุลของท่านไว้
อันนี้ เป็นหน้าที่ของลูกที่จะพึงกระทำ

ถ้าพูดย่อๆ สั้นๆ ก็ว่า

เมื่อพ่อแม่ยังอยู่นั้น เราต้องเลี้ยง การเลี้ยงพ่อแม่นั้น เลี้ยง ๒ สถาน เลี้ยงกาย กับ เลี้ยงใจ

เลี้ยงกาย หมายความว่าให้ท่านอยู่สบาย ให้มีที่อยู่ที่กิน ที่หลับที่นอน ห้องน้ำ ห้องส้วม ทำให้ท่านอยู่สบาย ถ้าเราสบายแล้ว ต้องทำให้ท่านสบายพอสมควร เช่น บ้านช่องไม่ค่อยเรียบร้อย ไปซ่อมไปแต่งให้สบาย ทำเรือนชั้นเดียวให้พ่อแม่อยู่ คนแก่สองชั้นขึ้นไม่ไหว ขึ้นลงลำบาก ทำห้องน้ำห้องส้วมไว้ให้ได้ใช้น้ำใช้ส้วมสะดวก ไปไหนมาไหนก็ไม่เดือดร้อน สบาย นี่เรียกว่าเลี้ยงกายให้สบาย

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษา ไอ้เรื่องรักษานี่นะ สมัยนี้พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามีเงินมีทองก็มักจะจ้างพยาบาลให้ดูแลรักษา เมื่อมีพยาบาลแล้วก็นึกว่ามีคนรักษาแล้ว เราเป็นลูกไม่ค่อยเข้าใกล้ ไม่ไปเยี่ยมเยียนถามอาการ ๔ วัน ๕ วันหายไป แล้วก็โผล่หน้าเข้ามาคุยเสียทีหนึ่ง เห็นแม่นอนอยู่ เอ้า หายไป เวลาตื่นก็ไม่มา มาเวลานอนเสียด้วย แม่ตื่นขึ้นไม่เห็นลูก อันนี้ เข้าเรียกว่า ไม่รู้นำใจ

น้ำใจของแม่ของพ่อ คนไหนจะมาเยียวยารักษามันก็ไม่ชื่นใจเหมือนกับลูกในไส้ดอก ลูกไปรักษานี่มันชื่นใจนักหนา เพียงแต่เข้าไปจับมือนวด จับเท้าบีบ ถามว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ ดูอาการแม่ดีขึ้น กินข้าวได้หรือเปล่า นอนหลับหรือเปล่า นี่มันเป็นยาวิเศษนะ อย่านึกว่าเรื่องเล็ก ไอ้เรื่องอย่างนี้ เป็นยาชั้นดีเลย ที่จะช่วยให้พ่อแม่หายเจ็บหายไข้

ให้เราสังเกตว่า พ่อแม่เจ็บหนัก เขาโทรเลขไปบอกลูกซึ่งอยู่ห่างไกล แม้เจ็บหนักก็ยังไม่ตาย เอาใจไว้คอยว่าอย่างนั้น แต่พอลูกมาถึงที่ อยู่ไม่เท่าใดก็สิ้นใจ เขาบอกคอยคุณอยู่ เรียกว่าเอาใจไว้คอย ยังแข็งใจหายใจอยู่ ถ้าลูกไม่มากูไม่ตาย บ่นว่ายังงั้นเถอะ แข็งใจไว้คอย นี่พ่อแม่เป็นอย่างนั้นคอยลูกๆ เรามีหน้าที่เป็นลูกนี้ต้องเอาใจใส่ ต้องดูแลรักษาเยียวยา นั่งใกล้ๆชวนคุย อ่านหนังสือธรรมะให้ฟัง ท่านต้องการรับประทานอะไร ก็ต้องไปหามาให้กิน อย่างนี้จึงจะดี

ในหนังสือเซ็น เป็นหนังสือจีน เขาเรียกว่า “ยี่จับสี่ห่าว” มีเรื่องนิทานเกี่ยวกับความกตัญญูหลายเรื่อง ดีๆทั้งนั้นละ ๒๔ เรื่อง เรื่องดีๆ มีบางเรื่องน่าขำ คือว่า แม่ป่วยแล้วก็เป็นยากจน เจ้าลูกชายก็นั่งพัดให้แม่ พัดตลอดเวลา นั่งๆ พัดไปนึกว่า เอ เรานี่พัดอยู่อย่างนี้ไม่ไหว มันต้องง่วงแล้วต้องหลับ ถ้าหลับยุงก็จะกัดแม่ แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราหลับไม่ให้ยุงกินแม่ ? นึกได้ เลยถอดผ้านุ่ง ถอดเสื้อออก เอาไปคลุมให้แม่หมด เสร็จแล้วก็นอนคว่ำเปิดหลังให้ยุงกิน ถ้ายุงกินก็มากินข้าเถอะวะ เอาผ้าคลุมแม่แล้วยุงมันจะไปกินแม่ทำไม เลยนอนเปิดหลังให้ยุงกันแทนแม่ อันนี้ คือความรักของลูกที่มีต่อแม่

อีกเรื่องหนึ่ง ที่ขำกว่านั้น แม่ป่วยแล้วอยากจะกินหน่อไม้ หน้านั้น มันก็เป็นฤดูแล้ง หน่อไม้ไม่ค่อยจะมี ลูกชายก็รู้ว่าแม่อยากจะกินหน่อไม้ ก็เที่ยวไปในป่า เดินพูดกับกอไผ่ กอไผ่เอ๋ย แม่ฉันป่วย อยากจะกินแกงหน่อไม้ งอกขึ้นมาสักหน่อสองหน่อเถอะ ให้ฉันได้เอาไปต้มไปแกงให้แม่กิน พูดทุกวัน วิ่งไปพูดทุกวัน จนต้นไผ่ทนไม่ไหว ต้องงอกหน่อขึ้นมา ให้ลูกชายเอาไปต้มให้แม่กิน นี่เขาเรียกว่าเรื่องฟังแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันไม่เป็นไปได้ ไอ้ที่เราจะวิ่งไปบอกกอไผ่ให้งอกหน่อน่ะ มันเป็นไปไปได้ แต่เนื้อเรื่องมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าลูกชายอุตส่าห์วิ่งไปหาจนได้ วิ่งไปหาหน่อไม้มาจนได้ แสดงน้ำใจว่าแม่ต้องการอะไร เราต้องหามาให้แม่กินจนได้ ยิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยต้องไปหามา แพงก็ต้องหา ยากก็ต้องหา คือน้ำใจต้องไปหา หาให้แม่กินจนได้ นี่ก็มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในหนังสือสามก๊ก ก็มีเรื่อง เรื่องอะไรล่ะ เรื่องลกเจ๊ก เวลาขงเบ้งไปเจรจาความเมืองที่เมืองกังตั๋งน่ะ พอไปถึงเมือง แหม ขุนนางเมืองกังตั๋งมีโลซกเป็นหัวหน้า เขามักจะพูดล้อเลียนใครๆ ว่า ไอ้โลซก โลซกไม่ใช่คนอย่างนั้น ไม่ใช่คนเซ่อๆ อะไร

โลซกเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน เป็นพวกบูชาสันติภาพ ไม่อยากจะรบทัพจับศึก อยากจะผูกมิตรไมตรีกัน ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน เป็นคนที่ชอบสันติ เลยไปหาขงเบ้ง ไปเจรจาอันนี้ พอขงเบ้งมาก็ แหม พวกขุนนางฝ่ายพลเรือนอื่นๆ นะ โลซกเป็นหัวหน้า เตรียมรับปากไว้เชียว จะปะคารมกับขงเบ้งขึ้นมา เรียกว่า สองเพลงตกม้าตาย สามเพลงตกม้าตาย ไปไม่รอดทั้งนั้นแหละ ขงเบ้งตอกหงายไปเลย
ผลที่สุด ลกเจ๊ก ขึ้นมา ข้าพเจ้าชื่อลกเจ๊ก
ขงเบ้งว่า อ้อ เมื่อเป็นเด็กเคยลักส้มให้มารดา ว่าอย่างนั้น ว่าเสียคนไปเลย หาว่าลกเจ๊กเป็นคนมือไวใจโจร ลักส้มไปให้แม่

ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ลกเจ๊กไม่ใช่เด็กมือไวใจโจร ถ้าเป็นเด็กมือไวมันก็ไม่ได้เป็นขุนนางนะซี่ แต่ว่าเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณแม่ พ่อไม่มี เลยก็รู้แต่คุณแม่ แม่ชอบกินส้ม

วันหนึ่ง เศรษฐีเขาทำบุญแซยิดที่บ้าน ลกเจ๊กก็เลยไปรับเชิญว่าอย่างนั้น เขารับเชิญให้ไปกินเลี้ยง ธรรมเนียมจีนเขา ก่อนจะกินข้าว ก็กินเม็ดแตงโมบ้าง กินส้มบ้าง กินเล่นไปก่อน ก่อนจะถึงเวลากินข้าว พอลกเจ๊กไปหยิบส้มมากินผลหนึ่ง พอปอกกินเข้าไปกลีบเดียว มันหวานชื่นใจ กลืนไม่ลง นึกถึงคุณแม่กลืนไม่ลง เลยนึกในใจว่า แหม คุณแม่ชองส้มแบบนี้ ต้องเอาไปสักสองผล เลยหยิบใส่ในมือเสื้อ ข้างละผล มือเสื้อมันกว้างนี่ เสื้องิ้วนะ เสื้อโบราณจีนเขาใช้ พอเอาส้มใส่ในมือเสื้อแล้วก็เที่ยวเดินทำท่าพนมมือเรื่อยไป ทำท่าเป็นเด็กอ่อนน้อมเสียเหลือเกินละ ความจริงกลัวส้มหล่นเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร

พอถึงเวลากินข้าวก็ไปกินข้าว ประคองส้มไม่ให้หล่น เสร็จแล้วเศรษฐีจะแจกของแก่เด็กยากจน เขาก็เลยเข้าไปคำนับ พอคำนับเท่านั้น ส้มไหลออกจากมือเสื้อเลย

เศรษฐีเห็นก็ยิ้มๆ แล้วรู้แล้วว่ามันมาแต่ไหน ลกเจ๊กยืนพนมมือทำท่าว่าส้มมันอยู่ในมือของข้าพเจ้าเอง เอ้า ทำไมมันเข้าไปอยู่ในมือเสื้อของเจ้า เขาก็บอกว่า แหม กินส้มนี้กลีบเดียว นึกถึงคุณแม่ กินไม่ลง อยากจะเอาส้มนี้ไปฝากคุณแม่สักสองผล เพราะว่าท่านชอบส้มรสนี้

เศรษฐีได้ฟังแล้วตื้นตันใจ เด็กตัวเท่านี้มีความคิดอย่างนี้ รักแม่ถึงขนาดนี้ ควรแก่การชุบเลี้ยง เลยบอกว่า เอาไปสองผลมันน้อยไป ให้คนใช้เอามาให้ถาดหนึ่ง ลกเจ๊กก็เลยถือยิ้มแป้นไปเลย เอาไปให้คุณแม่

แล้วต่อมาเศรษฐีคนนี้แหละชุบเลี้ยงลกเจ๊กให้เล่าเรียนหนังสือ ลกเจ๊กเมื่อได้เรียนหนังสือแล้วนึกอยู่ตลอดเวลาว่า เราได้เรียนเพราะเศรษฐี อย่าให้เขาผิดหวัง ให้เขาได้รับความชื่นใจ เพราะเราตอบแทนเรื่องอื่นไม่ได้ ก็ตอบแทนด้วยการให้เขาชื่นใจสบายใจ เรียนให้เก่ง เรียนให้ดี แล้วก็ตั้งใจเรียนจนกระทั่งจบชั้นขึ้นไป เข้าไปสอบเป็นขุนนางบุ๋นกับเขาได้ ก็เลยได้เป็นขุนนางในเมืองกังตั๋ง

นี่เพราะอะไร เพราะน้ำใจกตัญญูกตเวทีต่อแม่บังเกิดเกล้า จึงส่งผลให้ได้เป็นขุนนางในเมืองกังตั๋ง กตัญญูน่ะมันเป็นอย่างนี้ คนโบราณเขาถือนักถือหนาในเรื่องความกตัญญูนี้.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าท่านทำอย่างไร ? พระเจ้าสุทโธทนะป่วยนะ พระองค์ไปเลย ไปพยาบาล ไปป้อนยาให้ นวดให้ นั่งดู เฝ้าดูแลปรนนิบัติเลยทีเดียว แล้วยังสอนภิกษุทั้งหลายว่า ผู้ใดอยากจะบรรลุมรรคผล เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่ แต่พระองค์ไม่มีแม่แล้ว ตายเสียก่อน มีแต่พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ต้องปฏิบัติต่อพ่อ

เวลาพระเจ้าสุทโธทนะสิ้นพระชนม์ พระองค์ต้องสรงน้ำพระศพด้วยพระองค์เองก่อนใครๆ สรงน้ำเอง จัดศพเรียบร้อยแล้วไปจุดไฟเอง ตามธรรมเนียมของฮินดูเขา ฮินดูนี่ลูกชายต้องจุดไฟ พระองค์ก็เป็นลูกชายพระเจ้าสุทโธทนะ แม้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ต้องทำตามเยี่ยงอย่าง ตามประเพณี จุดไฟก่อนใครๆ อันนี้แสดงว่าพระองค์ก็ประพฤติธรรมข้อนี้ คือ ความกตัญญูกตเวที ไม่ได้ละเลยเพิกเฉย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วก็ พระสาวกที่กตัญญู ก็มีหลายองค์ แต่ว่าที่เด่นก็คือ พระสารีบุตร พระสารีบุตรนี่ ยึดมั่นในความกตัญญู ท่านได้เรียนธรรมะครั้งแรกจากท่านพระอัสสชิ

เพราะฉะนั้น เวลาท่านจะนอนนี่ ต้องหันศีรษะไปทางทิศที่พระอัสสชินอนเสมอ บางทีพระอัสสชิอยู่ทางโน้น ท่านหันหน้าไปทางที่ท่านอยู่ อยู่โน้น หันหัวไปโน้น

พระก็ซุบซิบกัน เอ๊ะ ท่านเสนาบดีสารีบุตรนี่ถ้าจะถือทิศ เห็นเที่ยวนอนหันหัวไปทางทิศโน้น เดี๋ยวหันไปทางทิศนี้ ซุบซิบนินทา

ความดังไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็เรียกประชุมพระทั้งหลาย แล้วก็ถามเรื่องนี้ขึ้นว่า สารีบุตร ได้ข่าว่าเธอนอนหันหัวไปทางทิศโน้นบ้าง ทางทิศนี้บ้าง ไหว้ทิศบูชาทิศตามอย่างไสยศาสตร์หรือ

พระสารีบุตร กราบทูลว่า หามิได้พระเจ้าข้า ข้าพระองค์นึกถึงพระอัสสชิ ซึ่งเป็นอาจารย์ เพราะได้รู้ธรรมะได้เข้ามาในพระศาสนา ก็เพราะท่านพระอัสสชิ ข้าพระองค์เคารพบูชาครูอาจารย์

พระองค์ก็เลยตรัสบอกว่า “ยมฺหา ธมฺมํ วิชาเนยฺย สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิตํ สกฺกจฺจํ ตํ นมสฺเสยฺย อคฺคิหุตฺตํว พฺราหฺมโณ” ว่าเป็นคาถาบอกว่า “เราได้รู้แจ้งธรรมะจากท่านผู้ใด พึงเคารพท่านผู้นั้น เหมือนพราหมณ์บูชาไฟ”

พราหมณ์น่ะเขาเคารพไฟ บูชาไฟ จุดไฟขึ้นแล้วเอาน้ำมันมาราด โอมอัคคี โอมอัคคี ว่าเรื่อยไป บูชาไป พระองค์บอกว่าผู้มีความกตัญญูนั้น พึงนึกถึงครูบาอาจารย์แล้วก็ทำการบูชา เหมือนกับพราหมณ์บูชาไฟ ถ้าอย่างนี้ พระสารีบุตรท่านเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้

แล้วก็มีเรื่องหนึ่ง ที่เคยเล่าให้ฟังวันก่อนว่า ราธพราหมณ์ จะบวช ไม่มีใครบวชให้ พระพุทธเจ้าเสด็จมาประชุม ถามว่าใครนึกถึงอุปการะคุณของ ราธพราหมณ์ได้บ้าง ?

พระสารีบุตรลุกขึ้นตอบทันที ข้าพระองค์นึกได้ พราหมณ์นี้เคยให้ข้าวแก่ข้าพระองค์ทัพพีหนึ่ง แล้วก็เลยบวชให้แก่ราธพราหมณ์

คนเรานะ ใครทำอะไรให้แก่เราแม้เล็กน้อย ต้องจำไว้ เราทำอะไรให้ใครใหญ่โตเท่าภูเขา อย่าไปจำให้เสียเวลา ไม่ต้องจำก็ได้ เพราะไม่จำเป็นอะไร เพราะไม่จำเป็นอะไร แต่ถ้าคนอื่นทำอะไรให้แก่เรา ต้องจำไว้ จำไว้เพื่ออะไร ? เพื่อจ่ายคืนให้เขา เพื่อตอบแทนเขา คนดีนั้น ต้องตอบแทนบุญคุณที่ผู้อื่นทำไว้แก่ตน จึงจะชอบ

ทีนี้ พระสารีบุตรมีอยู่อีกตอน คือ มารดาของท่านยังไม่ได้เป็นพุทธบริษัท ยังอยู่ในอัญญเดียรถีย์ คือ ลัทธิอื่นว่าอย่างนั้น ท่านจะปรินิพพานแล้ว ท่านรู้ว่าท่านจะนิพพาน ก็ไปกราบทูลพระผู้พระภาค ทูลลานิพพาน
พระองค์ถามว่า เธอจะไปนิพานที่ไหน ?

บอกว่า จะไปนิพพานในห้องที่ข้าพระองค์เกิด

ทำไมจึงไปนิพพานที่นั่น ?

ต้องการจะไปโปรดโยมแม่ให้บรรลุมรรคผลเสียก่อน จึงจะนิพพาน ก็เลยกลับไปบ้าน ไปนอนในห้องที่ท่านเกิดนั่นแหละ แล้วก็ไปด้วยอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แม่ก็สงสารลูกเป็นธรรมดา ลูกก็เลยพูดธรรมะให้แม่ฟัง

จิตของแม่มีความรักลูก ผูกพันอยู่กับลูก เมื่อได้ฟังธรรมะจากลูกก็เลยปลงใจหันมานับถือพระพุทธศาสนา ได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วก็นิพพาน ตายไป เรียกว่า นิพพาน

อย่างนี้แหละ ก่อนจะนิพพานยังนึกถึงโยมแม่ ไปโปรดแม่ก่อนแล้วจึงนิพพาน นี้เป็นตัวอย่างจากพระสารีบุตร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2017, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะฉะนั้น ความกตัญญูนี้ จึงกล่าวได้ว่า ความกตัญญู นี้ เป็นพื้นฐานแห่งการสร้างบ้าน สร้างชาติ สร้างเมือง กันเลยทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

ผู้ใดไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ต่อสิ่งทั้งหลายที่ได้อาศัย เขาเรียกว่าเป็นคนไม่มีราคา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มนุสฺสเผคฺคุ คือ เป็นมนุษย์กระพี้ แล้วก็ตรัสบอกว่า ไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู ไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู

เพราะอะไร ? ไม้ลอยน้ำยังใช้ได้ เอาขึ้นมาผึ่งแดด แล้วเอามาใช้รองเหยียบก็ได้ รองนั่งก็ได้ ทำหมอนหนุนหัวก็ได้ เอาไปนอนกอดแก้หนาวก็ยังได้ ใช้ได้ทั้งนั้น แต่คนอกตัญญูจะเอาไปไว้ที่ไหน เอาไปไหว้ใกล้ถุงข้าวสาร เอ๊ะ ข้าวสารมันลดลงไปเรื่อยๆ เอาไปไหว้ใกล้ เงินหาย เอาไปไหว้ใกล้อะไร เสียหายเรื่อย เพราะนิสัยมันไม่กตัญญูรู้คุณคน มันก็ลำบาก

คนเรานี่ อย่าว่าแต่คนเลย แม้ต้นไม้เราเข้าไปนั่งร่มเงา ก็ไม่ควรหักกิ่งก้านต้นไม้ ไม่ควรกะเทาะเปลือกต้นไม้ให้เสียหาย วัตถุอื่นใดที่ให้ประโยชน์แก่ชีวิต เราต้องกตัญญูต่อวัตถุนั้น กตัญญูต่อโรงเรียนที่เรานั่ง ต่อกุฏิที่เราอาศัย ต่อถนนที่เราเดิน ต่อต้นไม้ที่เราเข้าไปนั่งร่มนั่งเงา กตัญญูต่อสิ่งเหล่านี้

เราจะไปตอบแทนต่อมันอย่างไร ? บำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ดีงาม มันเป็นฐานของอะไรหลายอย่าง เช่น เรานึกถึงป่าไม้ว่าที่เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะป่า ป่าเป็นต้นน้ำลำธาร เป็นเหตุให้เกิดห้วย เกิดหนอง เกิดน้ำ ถ้าไม่มีป่า เขาหัวโล้น ฝนไม่ตก พอตกน้ำท่วมเสียหาย เราก็กตัญญูกับป่า เราก็ไม่ทำลายป่า กตัญญูต่อต้นไม้ก็ไม่ทำลายต้นไม้ กตัญญูต่อบ่อน้ำเราก็ไปตักกินทุกวัน เราก็บำรุงมันให้ดีเป็นประโยชน์แก่เราต่อไป

รวมความแล้ว คุณธรรมข้อนี้เป็นยอด จึงกล่าวได้ว่า เพียงประพฤติตนอยู่ด้วยความกตัญญูกตเวทีเท่านั้น โลกนี้ก็จะอยู่รอดได้ มันสำคัญถึงขนาดนี้ อย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นิมิตตัง สาธุรูปานัง กะตัญญูกะตะเวทิตา - ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี”

เราจะดูคน ต้องดูว่า เขามีความกตัญญูขนาดไหน เช่น เราจะรักผู้หญิงสักคนหนึ่ง อย่ารักว่ารูปสวย คอกลม หรือว่าแขนเหมือนงวงช้าง แต่ดูว่าเขาปฏิบัติต่อพ่อแม่เขาอย่างไร แอบไปดูเขาปฏิบัติต่อพ่อแม่เขาอย่างไร มีความรักพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ขนาดไหน

ถ้าเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้ว เอามาทำพันธ์ได้ พันธ์ไม่เสีย ถ้าขาดคุณธรรม คือ กตัญญูกตเวทีแล้ว ทำพันธ์ไม่ได้ มันเสียหาย หลักมันอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น กตัญญู ก็คือรู้ในบุญคุณของผู้อื่นที่มีต่อเรา กตเวที ก็คิดอยู่ว่า ต้องตอบแทน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ต้องตอบแทนให้ได้ นี่แหละเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง.

(จบตอนความหมายกตัญญูกตเวที)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2017, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 718

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2018, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุดรันทดของหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งพักอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ ใน จ.นครราชสีมา โดยคุณยายเล่าว่า ก่อนหน้านี้มีลูก 6 คน เสียชีวิตไป 3 คน ส่วนอีก 3 คน ก็แยกย้ายไปมีครอบครัว ทิ้งให้คุณยายอยู่ลำพังในกระท่อมดังกล่าว ซึ่งก็ได้ชาวบ้านแถวนั้นคอยส่งข้าว ส่งน้ำและหาหยุกยาให้เวลาเจ็บป่วย รวมทั้งพยายยามติดตามหาตัวลูกๆ ทั้ง 3 คน ของคุณยายแต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้

https://www.khaosod.co.th/wp-content/up ... %B8%87.jpg

คุณยายยังเล่าอีกว่า จำได้เมื่อ 30 ปีที่แล้วมีลูกคนหนึ่งมาหา หลังจากนั้นก็ไม่มาหาอีกเลย และยังพร่ำคิดเสมอว่าหากทั้ง 3 คนยังมีชีวิตอยู่ คงจำได้ว่ายังมีหญิงชราแก่ๆ คนนี้ที่ชื่อว่า “แม่” ยังอยู่ในบ้านหลังนี้อีกคน และคุณยายก็ไม่ได้ขอความช่วยเหลืออะไร ขอแค่อยากให้ลูกๆ ได้รู้ว่าแม่คนนี้ยังรักยังรอลูกกลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง

พ่อกับแม่


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2018, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ในอินเดียเขาจึงมีนรกอยู่ขุมหนึ่ง เขาเรียกว่า ปุตตนรก ครอบครัวใดไม่มีบุตร เรียกว่าตกนรกขุมนี้

ปุตตนรก ก็คือร้อนอกร้อนใจเพราะบุตรนั่นเอง คือไม่มีมันก็ไม่สบายใจ ไม่มีความหวังในการทำงาน ไม่รู้จะทำไปทำไม ทำแล้วจะให้ใครดูแลรักษาต่อไป ทำแล้วจะให้แก่ผู้ใด นี่เป็นความวิตกกังวลในจิตใจของพ่อแม่ คือว่าเมื่อไม่มีบุตร ก็เรียกว่า ตนนรกขุมนี้

แต่พอมีบุตรขึ้นมาท่านก็สบายใจว่าเรามีทายาท เรามีผู้รับมรดกที่จะดูแลทรัพย์สมบัติของเราต่อไป ท่านก็พ้นจากนรกนี้ไป

ประชากร “อินเดีย” ต้องการมี “ลูกชาย” ทำเด็กหญิงไม่เป็นที่ต้องการกว่า 21 ล้านคน

https://www.prachachat.net/world-news/news-109290

ปุตตะ เป็นชื่อนรกขุมหนึ่งของลัทธิพราหมณ์ พวกพราหมณ์ถือว่าชายใดไม่มีลูกชาย ชายนั้นตายไปต้องตกนรกขุม “ปุตตะ” ถ้ามีลูกชาย ลูกชายนั้นช่วยป้องกันไม่ให้ตกนรกขุมนั้นได้ ศัพท์ว่า บุตร จึงใช้เป็นคำเรียกลูกชายสืบมา แปลว่า “ลูกผู้ป้องกันพ่อจากขุมนรกปุตตะ”

(นี่แสดงให้เห็นว่า พราหมณ์ กับ พุทธ เดินมาด้วยกัน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2018, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กตเวทิตา ความเป็นคนกตเวที, ความเป็นผู้สนองคุณท่าน

กตัญญุตา ความเป็นคนกตัญญู, ความเป็นผู้รู้คุณท่าน

กตัญญูกตเวทิตา ความเป็นคนกตัญญูกตเวที

กตัญญูกตเวที ผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วและตอบแทน แยกออกเป็น ๒ คือ

กตัญญู รู้คุณท่าน
กตเวที ตอบแทนหรือสนองคุณท่าน

ความกตัญญูกตเวที ว่าโดยขอบเขต แยกได้เป็น ๒ ระดับ คือ

กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้มีคุณความดีหรืออุปการะต่อตนเป็นส่วนตัว อย่างหนึ่ง

กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้ได้บำเพ็ญคุณประโยชน์หรือมีคุณความดีเกื้อกูลแก่ส่วนรวม เช่น ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าโดยฐานที่ได้ทรงประกาศธรรมยังหมู่ชนให้ตั้งอยู่ในกุศลกัลยาณธรรม เป็นต้น อย่างหนึ่ง

(ชวนมองภาพกว้าง @ พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระราชาปกครองบ้านเมือง ส่วนพระพุทธเจ้ามิใช่ผู้ปกครองบ้านเมือง (สถานตอนบวช) เป็นแต่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นๆ ประกาศพระธรรมวินัย @ การประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าจะเป็นไปด้วยดี ก็ต่อเมื่อผู้ครองประเทศนั้นๆ เปิดทางให้ทำ จึงทำได้ ถ้าเขาค้านเข้าต้าน การประกาศพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2018, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกชายคลั่งถือขวาน ก่อนทุบตีแม่บังเกิดเกล้าไม่ยั้งกลางถนน
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_833534

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร