วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 22:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2022, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


#อย่าไปตามกิเลส

คนเรานี้นะอย่าไปตามกิเลส
อย่าไปทำตามความโลภ ความโกรธ ความหลง
เอาความอดทนออกมาทั้งหมดให้เต็มที่
เพราะความอดทนของคนนี้มีน้อย เอาความรับผิดชอบออกมา เอาความขยันออกมา อย่าเอาความขี้เกียจออกมา ต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการทำความดี

สมาธิของคนเรามันน้อย น้อยเหลือเกิน
ต้านทานกิเลสก็ไม่อยู่ . . . อย่าไปโง่
อย่าไปเอาความสุขจากการกิน การนอน
การพักผ่อน การเที่ยว การเล่น
เค้าเรียกว่า คนไม่เต็มบาท
ไม่ได้เดินตามพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้เดินตามพระพุทธเจ้า
ต้องมีความสุขในการทำงานเนอะ

คนเราต้องเอาปัญญาบารมีออกมา ส่วนใหญ่มันไม่ได้เอาปัญญาบารมี เอาแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงออกมา มันทำตามความเคยชิน มันเลยไม่มีปัญญาบารมี...ใช่มั้ย เราทำผิดก่อนค่อยไปแก้
เช่นเรานั่งอยู่ในรถก็คิดไปเอาของที่อยู่ในท้ายรถน่ะ มันต้องปลดล็อคออกก่อนถึงจะลงไป นี่มันไม่ปลดล็อคออก มันทำตามความเคยชินก็ลงไปเปิดท้ายรถ เปิดไม่ได้ก็ต้องกลับมา เพราะว่ามันทำตามความเคยชินน่ะ มันไม่ได้ปัญญาบารมี...เห็นด้วยมั้ย

คนเราน่ะพยายามเข้มแข็ง สาวๆ มันชอบเยอะก็อย่าไปสนใจ เฉยๆ เลย เพราะทุกอย่างคนมาเยอะๆ ก็ผ่านไป กิเลสทั้งหลายทั้งปวงมันเกิดขึ้นเราก็เฉยๆ ไว้ แล้วมันก็ผ่านไป ต้องเข้มแข็งนะ

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม
บ่ายวันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑






“คนฉลาดจะรู้จักรักษาใจของตน”

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ไม่ว่าจะทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ถ้าต้องตายไปก่อนเวลาที่ควร ก็เป็นเพราะวิบากกรรม ทำบุญมาเพียงเท่านี้ก็อยู่ได้เพียงเท่านี้ จะให้อยู่เกินบุญที่ทำไว้ไม่ได้ เหมือนกับเติมน้ำมันรถครึ่งถัง ก็จะไปได้ไม่ไกลเท่ากับเติมเต็มถัง

คนเราก็เช่นเดียวกัน มีความแตกต่างกัน มีอายุสั้นยาวต่างกัน มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนต่างกัน มีอาการ ๓๒ ไม่เท่ากัน เพราะทำบุญกรรมมาต่างกัน ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้มากน้อยเพียงไร ถ้าละได้มากอายุก็ยืนยาวนาน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียนมาก มีอาการ ๓๒ ครบถ้วนบริบูรณ์

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาอยู่เสมอ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราก็ดี กับคนที่เรารักก็ดี จะได้ทำใจได้ ไม่เศร้าโศกเสียใจ เพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น ไม่ได้ทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา ไม่ได้ทำให้เราสบายใจ แต่จะทำให้จิตของเราว้าวุ่นขุ่นมัว กินไม่ได้นอนไม่หลับไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

จึงต้องดูแลรักษาใจเป็นหลัก คนอื่นเราก็ดูแลไปด้วย แต่ต้องไม่ลืมมองใจของเรา บางทีเราห่วงคนอื่นมากจนลืมใจของเราไป ห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างนี้ไม่ถูก เป็นการสร้างความทุกข์ให้กับตนเอง เป็นอกุศล เป็นความไม่ฉลาด คนที่ฉลาดจะต้องรู้จักรักษาใจของตนด้วย ในขณะที่ดูแลรักษาผู้อื่น ช่วยอะไรได้ก็ช่วยไป ช่วยไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม จะมาเศร้าโศกเสียใจก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

นี่คือปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เจริญอยู่เรื่อยๆ จะได้ไม่ลืม ถ้ายังคิดอยากจะอยู่ไปนานๆ ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายอยู่ แสดงว่ายังไม่มีปัญญา ยังไม่ได้พิจารณาตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ลองถามตัวเราว่า พร้อมที่จะเจอกับความแก่หรือไม่ พร้อมที่จะเจอกับความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ พร้อมที่จะเจอกับความตายหรือไม่ ถ้ายังไม่พร้อมแสดงว่ายังสอนใจไม่มากพอ

กำลังใจ ๓๓, กัณฑ์ที่ ๓๑๙
วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขาชีโอน







บางคนก็มีศรัทธาอยากจะทำบุญนะ ตั้งใจจะทำนะ แต่พอกาลเวลาผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง เกิดเปลี่ยนใจไม่อยากจะทำแล้ว

นี่..พระพุทธเจ้าบอก ถ้ามีจิตเป็นบุญเป็นกุศล อยากทำบุญให้รีบทำ เพราะถ้าไม่รีบทำกิเลสจะมา ความหวงความตระหนี่ จะไม่อยากทำแล้วมันเปลี่ยน

สังเกตุดูบางคนคิดว่าจะทำบุญนะ ก็ยังไม่ทำซักที ยังไม่มีโอกาสจะทำ คอยไปมา ไม่ทำแล้ว คือกิเลสเข้ามาแหย่ เพราะฉะนั้น ทานบารมีสำคัญ เราคิดว่าพอแต่ไม่พอ

โอวาทธรรม หลวงพ่อตั๋น ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี







ตอนเป็นเด็ก อาตมามองตนเองว่าเป็นคนไม่มีศาสนา เพราะคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องการเอาความเชื่อเป็นที่พึ่ง จึงไม่จำเป็นและไม่สำคัญ ศาสนาลัทธิต่างๆ มักสอนว่าเราควรหรือไม่ควรเป็นคนอย่างไร โดยแทบไม่แสดงวิธีการว่าจากตรงนี้ที่เราเป็นจะไปสู่ตรงนั้นที่เราควรเป็นได้อย่างไร อาตมาเห็นว่านี่เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่มองตนเองในแง่ร้าย เพราะเขายอมรับว่าเขายังไม่เป็นคนดีอย่างที่ศาสนาสอนให้เป็น

เมื่อพบคำสอนของพระพุทธองค์ อาตมาก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ใช่ เพราะทรงสอนทั้งอุดมการณ์และเน้นข้อวัตรปฏิบัติที่เราต้องทำ ต้องฝึก ต้องขัดเกลาทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยมีรายละเอียดชัดเจนมากในแต่ละขั้นตอน ไม่ต้องเอาศรัทธาความเชื่อในคัมภีร์เป็นที่พึ่ง หากเอาการพัฒนาฝึกฝนตนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

หากสุ่มเปิดพระสูตรเพื่อดูว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร จะพบเรื่องมรรคมากที่สุด ทรงแสดงวิธีฝึกตน วิธีพัฒนาชีวิต ธรรมชาติที่เป็นกิเลสตัวขัดขวางและคุณธรรมที่เอื้อต่อการเจริญมรรค คำสอนเน้นที่การกระทำ พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาประเภทวิริยวาทเพราะให้ความสำคัญกับความเพียร

การถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สิ่งสำคัญคือการกระทำ คำพูด และความคิดของเราในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไร นี่คือการวัดความเป็นพุทธมามกะ ไม่ใช่เพียงมีความเชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

พระอาจารย์ชยสาโร






ศาสนาเจริญอยู่ที่ #การภาวนา

หลวงปู่เจม จิรธมฺโม
สำนักสงฆ์เขาพนมปลายบัด อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์








หลวงตาสอนว่า—-กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม สติจะเป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ต้านทานกระแสของกิเลสได้ทุกกระแสไม่ให้แสดงตัวออกมาได้เลย

เช่นจิตของเราธรรมดานี้มันจะเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ความอยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเต็มหัวใจด้วยกันนั่นแหละ นี่คือทางเดินของกิเลสมันราบรื่นไปหมด

ทีนี้เอาทางเดินของธรรมเข้ามาสกัดลัดกั้นทางเดินของกิเลส ไม่ให้มันคิดมันปรุงเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นกิเลสล้วนๆ แต่ให้คิดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม

เช่นผู้บำเพ็ญภาวนาถ้าสติดี เอ้า !กิเลสมันจะผลักดันออกมาขนาดไหน อยากคิดอยากปรุงเหมือนอกจะแตกก็ตาม แต่สติบังคับเอาไว้ไม่ยอมให้คิด ความผลักดันของกิเลสที่เกิดขึ้นมาจาก อวิชฺชาปจฺจยา เป็น สงฺขารา เป็นสมุทัยด้วยกัน มันจะออกมาไม่ได้

สติจับเอาไว้ ติดเอาไว้ ปิดเอาไว้ แล้วเอาคำบริกรรม ผู้ที่ตั้งรากตั้งฐานเบื้องต้นให้เอาคำบริกรรมคำใดก็ตามติดไว้นั้น เช่นชอบคำบริกรรม พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา บ้าง หรือมรณสติบ้าง ตามแต่จริตนิสัยชอบ

นี้แลคืออารมณ์แห่งธรรม นำมากำกับไว้กับจิตเป็นคำบริกรรมของจิต แล้วสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนี้ ไม่ยอมให้สังขารที่มันคิดเป็นสมุทัยนั้นโผล่ขึ้นมาได้

บังคับไว้เอาให้หนักทีเดียวนะ ผู้ที่จะตั้งรากฐานได้ทีแรกต้องเป็นผู้มั่นคงในสติ

นี่ได้ดำเนินมาแล้วพูดให้ท่านทั้งหลายฟังอย่างอาจหาญชาญชัย เพราะเคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาแล้ว เป็นนักมวยเหมือนว่าล้มลุกคลุกคลาน เวลาเอากันอย่างหนักก็หนักถึงขนาดล้มลุกคลุกคลาน แต่ไม่ยอมให้เผลอสติ เอาให้ติดแนบสติ

สุดท้ายกิเลสที่มันผลักดันออกมาให้ล้มลุกคลุกคลานก็ค่อยอ่อนตัวลงๆ สติดีขึ้นๆ อารมณ์ที่ผลักดันก็ค่อยเบาไปๆ

เน้นหนักสติให้มากขึ้นๆ จิตจะเข้าสู่ความสงบได้ จำให้ดีนะผู้ปฏิบัติธรรม นี่การตั้งรากฐานในเบื้องต้นตั้งด้วยสตินะ

เอาให้จริงให้จังกับสติ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน อิริยาบถทั้งสี่เป็นไปด้วยสติติดแนบกันตลอดเวลาเลย นี่เรียกว่าผู้ประกอบความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์โดยแท้จริง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วตั้งได้สติ จิตนี้เป็นรากฐานขึ้นมาได้เลย

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุด เสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน

ท่านพ่อลี ธัมมธโร






..#การทำพระนิพพานให้แจ้ง..

..เมื่อมันยังเกิดยังดับอยู่ มันก็เรียกว่ามันยังเกิดอีกอยู่นั่นเอง เพราะมันอยากเกิดอีกอยู่ มันจึงปรุงอารมณ์นั้นอารมณ์นี้เกิดขึ้นอยู่ภายในจิต เมื่อไหร่เราจะคิดอยู่ในอารมณ์เดียวได้ มันก็จะไม่เกิดอีก คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แล้วมันจึงจะดับสิ่งนั้นได้ ไม่ต้องคิดอีกไม่ต้องเกิดอีก และไม่ต้องหาวิธีดับอะไรอีก จิตมันจะรู้อยู่ตลอด เรียกว่ารักษาตัวตนเองได้ มีเกราะหุ้มตนเองได้กันภัยได้

#ก็ทำอย่างไรจิตจึงจะมีสติปัญญารู้แจ้งเห็นจริง

โลกที่ไปเกิดโลกไหนมันก็ทุกข์เหมือนกัน ไปเกิดประเทศใดเมืองใดมันก็ทุกข์เหมือนกัน ไม่เหลือหลอที่ไหน ในโลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น เราไปเที่ยวที่ไหน ไปไหนเมืองไหน มันก็อยู่อย่างนี้ถ้ามันเป็นธรรมชาติอย่างนี้

#พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านคงจะเบื่อ

เพราะท่านมีสติปัญญารู้ว่ามันเป็นทุกข์จริง เกิดขึ้นมาแล้ว จึงค้นคว้าให้พ้นจากกองทุกข์ไปได้ จึงดับทุกข์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบรมครูรู้แจ้งเห็นจริงค้นคว้าถึงที่สุดของกองทุกข์ได้จริง ท่านจึงดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงไม่มีเชื้ออะไรเหลือหลออยู่ในใจ ท่านที่รู้แจ้งเห็นจริง

#ความรู้นี้พวกเราจะว่าเรื่องอะไร

เราจะสมมุติว่าปัญญารึ สมมุติว่าวิชารึ สมมุติว่าความรู้รึ หรือสมมุติว่าธรรมธาตุชนิดหนึ่ง เป็นธาตุรู้รึ มันเป็นเรื่องสมมุติหมด ถ้าหากพวกเราไม่สมมุติก็ขอให้มันเอารู้ สติก็ดี ปัญญาก็ดี มันรู้ มันรู้จริงแล้ว มันก็คืออะไร ก็เป็นเรื่องของบุคคลที่จะค้นคว้า ถ้าเราไม่สมมุติก็คงจะอยู่เฉยๆเหมือนกับคนที่อิ่ม ถ้าสมมุติขึ้นมามันก็เป็นสมมุติ
..

#เหตุฉะนั้น_พระพุทธองค์จึงไม่อยากให้พวกเราไปสมมุติขึ้นมา

เพราะเรื่องนี้มันก็เรื่องลบสมมุติ มันไม่มีสมมุติ ท่านจึงตรัสว่าเป็นนิพพาน เพราะมันลบสมมุติแล้ว นิพ ก็แปลว่าไม่เหลือหลออะไร บัดนี้ถ้าไม่เหลือหลออะไรถ้าเราวกมาพิจารณาดู ก็คือธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่ก็คงดับสนิท ถ้าเราเรียกว่ายังจิตใจที่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ที่เป็นพุทโธ ธัมโม สังโฆบริบูรณ์ ที่เราสมมุติออกมาอย่างนั้น
..

#ผู้ที่อิ่ม_ผู้ที่พอ_ผู้ที่เบื่อโลกแล้ว

ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว ท่านก็เลยไม่มาเกิดอย่างนี้ เพราะมันมาเกิดมันจะทุกข์ ท่านก็เลยไม่มาเกิดอีก ไม่มาเกิดกับอะไร ไม่มีเกิดกับใครที่ไหน เป็นสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ เป็นมนุษย์เทวดาพรหมโลก ท่านก็ไม่เอาทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะท่านเห็นหมดรู้หมด เขาเรียกว่าบริบูรณ์ เป็นคนอิ่ม เหมือนบุคคลมีอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามันอิ่มมันพอแล้ว มันจะเป็นยังไงไม่ทราบเราก็คิดดูก็แล้วกัน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..การทำพระนิพพานให้แจ้ง








#เรื่องราวเต็มโลก_เต็มบ้านเมือง_เราก็วางเสียละเสีย

ละอยู่ที่กาด ที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น การหอบอดีต และอนาคต มาหมักสุมไว้ในใจ ก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด

ตา เป็นเหตุ หู เป็นเหตุ จมูก เป็นเหตุ เป็นเหตุ แห่งความรักความชัง ตา เป็นเหตุ เมื่อได้เห็นรูปสวย รูปงาม รูปอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่าชัง หู เป็นเหตุ ได้ยินเสียงการประโคมขับร้องอันไพเราะ หรือเสียงน่ารำคาญ จมูกและใจก็เหมือนกัน ถ้าดีเป็นน่ารัก มันก็ติดก็หลง ถ้าตรงกันข้าม มันก็เกลียดก็ชัง จึงว่ามันเป็นเหตุ

#ของดีที่หลวงปู่มอบให้ลูกหลานทุกคน

“ของดีอะไร อะไรคือของดี ของดีก็มีอยู่ด้วยกันทุกคนแล้วการที่ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้พยาธินั้น ก็มีของดีแล้ว การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะ ครบถ้วน ไม่บกพร่อง วิกลวิการ

อันนี้ก็เป็นของดีแล้วของดีมีอยู่ในตน ไม่รู้จะไปเอาของดีที่ไหนอีก สมบัติของดีจาก เจ้าพ่อ เจ้าเแม่ให้มา ก็เป็น ของดีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วทุกคน

จะไปเอาของดีที่ไหนอีกของดีก็ต้องทำให้ มันเกิดมันมีขึ้นในจิตใจของตน ความดีอันใด ที่ยังไม่มี ก็ต้องเพียรพยายาม ทำให้เกิดให้มีขึ้นนี่แหละของดีของดีอยู่แล้ว

ในตัวของเราทุกๆ คน มองให้มันเห็น หาให้มันเห็น ภายในตนของตนนี่แหละ จึงใช้ได้ ถ้าไปมองหาแสวงหาของดี ภายนอกแล้ว ใช้ไม่ได้”

ในตัวของเราทุกๆ คน มองให้มันเห็น หาให้มันเห็น ภายในตนของตนนี่แหละ จึงใช้ได้ ถ้าไปมองหาแสวงหาของดี ภายนอกแล้ว ใช้ไม่ได้”

#หลวงปู่แหวน #สุจิณโณ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร