วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 00:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2022, 06:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ค. 2020, 07:10
โพสต์: 465

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
คนบนโลกนี้อยากได้ อยากมี อยากทำให้มีเพิ่มขึ้นยิ่งมากยิ่งรู้สึกดี
เช่นผลิตเงินและทำมาหากินทำเงินให้งอกเงยคิดวิธีทำให้เงินเพิ่มขึ้น
และก็เข้าใจว่าการมีเงินมากๆทำงานหาเงินได้มากคือความสุขของชีวิต
ข้อนี้ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาระที่เต็มใจทำด้วยความไม่รู้
:b12:
คำว่ารู้ของพระพุทธเจ้าคือสภาพจิตที่ยืนยันสภาวะธรรมที่กำลังปรากฏว่ามี
ในขณะนี้เองที่่ทุุกอย่างเป็นธรรมะไม่มีเรามีแต่ธรรม มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี
แปลว่า ขณะนี้ความคิดของเราคิดว่าเรามีตัวตนจริงและกำลังมีชีวิตมีครอบครัวบนโลก
สิ่งที่เราเคยคิดว่ามีนี้แหละพระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้เข้าใจตามได้ว่าอะไรที่มีจริง
:b16:
เพราะสิ่งที่มีจริง(ธรรม)ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นสภาพรู้ที่เป็นโลกที่กำลังเกิดดับกำลังแตกสลาย
สิ่งที่มีจริงจริงคือมีจิตเป็นประธานรับรู้ว่ามีภพภูมิเพราะมีจิตถ้าไม่มีจิตอะไรอะไรที่คิดว่ามีก็มีไม่ได้อีกต่อไป
คนเงินงานสัตว์สิ่งของนัั้นมีจริง?ถ้ารู้ความจริงได้แบบพระพุทธเจ้าทุกคนจะหยุดสร้างภาระขึ้นมาให้ตนลำบาก
ตามปกติของภพภูมิมนุษย์คือการมีครอบครัวมีหญิงชายมีการดำรงชีพหุงหาอาหารมีการสืบเผ่าพันธุ์มีคนเพิ่ม
:b1:
ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความกำลังมากไปด้วยความไม่รู้ว่าจริงจริงไม่มีคนไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเที่ยงแท้ทุกคนหลงทาง
อยู่ในเงาของธรรมโดยไม่รู้ว่าตัวจริงของธรรมในขณะนี้เองที่่่กำลังคิดว่ามีคนจริงจริงไม่รู้ว่ามีอะไรจริงๆกันแน่
ยินดีแบกภาระการสร้างตัวตนและเพิ่มภาระเอาไว้แบกจนหนักอึ้งด้วยความลุ่มหลงมัวเมาหาทางออกไม่เจอค่ะ
อยากมีรถอยากมีบ้านอยากมีครอบครัวอันที่จริงมีแค่ตัวเราคนเดียวที่แบกหามกรรมข้ามภพชาติตามเป็นจริง
:b17:
มีคิดนึกจำทำทุกอย่างด้วยความมีตัวตนสร้างตัวตนใหม่ชาติแล้วชาติเล่าเพื่อให้ไม่รู้ให้ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีจริง
จนกว่าจะได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อละความไม่รู้ที่แบกหามตัวตนสร้างภาระคือเดี๋ยวนี้แหละ
ที่มีตัวตนเป็นภาระให้ต้องขวนขวายแสวงหาให้ได้มาเพิ่มซึ่่่่งเงินคนของแล้วก็คิดวิธีย้ายคนย้ายเงินย้ายของ
ตามการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นโลกแปลว่าสิ่งที่เกิดดับ เป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้นแค่ชั่วคราวแล้วก็ไม่มีแล้วก็หามีไม่
:b20:
โลกกำลังว่างเปล่าจริงจริงจะแต่งงานมีครอบครัวหรืออยู่คนเดียวก็คือมีภาะที่ต้องแบกอวิชชาตัวตนเหมือนกัน
อยู่คนเดียวคือการมีตัวตนคนที่มีกิเลสจะมีมากกว่า1คนก็คืออยู่คนเดียวในโลกมืดไร้แสงสว่างไม่มีทางออกได้
แบกภาระว่ามีตัวเองมีครอบครัวทำกรรมดีบ้างไม่ดีบ้างร่วมกันจะอยู่คนเดียวหรือหลายคนก็ทำกรรมคนเดียว
เพราะกรรมคือภาระแบกหามความไม่รู้เอาไปขวนขวายหาสิ่งอื่นนอกกายใจมาเพิ่มความไม่รู้ให้มากกว่าเดิม
:b11:
การใช้ชีวิตร่วมกันคือการผ่านมาพบประสบพบเคราะห์กรรมในสถานการณ์เพื่อโง่ต่อไปหรือจะตื่นรู้ความจริง
ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของการใช้ชีวิตของคนแต่ละคนปนกันไม่ได้จะเห็นได้ว่่าแม้แต่นางวิสาขาห์มหาอุบาสิกา
ซึ่งบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ7ขวบก็เป็นโสดาบันบุคคลจนถึงอายุร้อยกว่าปีก็ยังแบกภาระอยู่
มีครอบครัวมีบุตรมากมายแม้พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่ายังอยากจะมีลูกอีก?ที่อยากมีอยากได้เพิ่มคืออะไร
:b13:
ตามทัศนคติของผู้เขียนที่ศึกษาพระธรรมได้เข้าใจพระธรรมมีความเห็นว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยความเข้าใจชีวิต
คือการรอบรู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือการลดภาระที่ต้องแบกหามตัวตนอัตตากิเลสตัณหาอวิชชาได้จริง
การฟังพระธรรมทุกวันคือการศึกษาความมีชีวิตในยามปกติที่สร้างกรรมไปทุกภพภูมิตามสิ่งที่กำลังทำขณะนี้
จะอยู่คนเดียวหรือจะแต่งงานไม่มีลูกหรือแต่งงานแล้วมีลูกก็คือการเลือกสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกับกิเลสใคร
https://youtu.be/xQAGkWZx99o
:b12:
:b4: :b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร