พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบความมืดบอดของจิตกับแสงสว่าง
ในภาษาบาลี คำว่า อาภา แปลว่า แสงสว่าง มีพระพุทธพจน์ว่า
นัตถิ ปัญญา สมา อาภา แปลว่า แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
ทรงตรัสแสดงธรรมในภาษาบาลีเวลาแปลต้องทีละคำจากหลังไปหน้าดังนี้
นัตถิ=ไม่มี ปัญญา=ปัญญา(สัมมาทิฏฐิ) สมา=เสมอ อาภา=แสงสว่าง เอาคำแปลมารวมกัน

แม้แสงสว่างจากพระอาทิตย์กี่ดวงก็ตามยังไม่สว่างเท่าพระพุทธพจน์เพียง1คำที่ทำให้เข้าใจความจริง
ความมืดบอดของจิตเกิดจากความขุ่นมัวของจิตแก้ได้ด้วยการฟังพระพุทธพจน์ทีละคำจนรอบรู้โดยละเอียด
ซึ่งต้องตรงต่อความจริงที่กำลังปรากฏว่ากำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นปัจจุบันธรรมอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
ไม่มีใครคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏได้ด้วยตนเองเพราะต้องอาศัยฟังพระพุทธพจน์ตรงคำเพื่อนำทางออกจากมืด
คือความมืดของจิตด้วยอวิชชาปกปิดความจริงมีตลอดเวลาจนกว่าจะเริ่มฟังแล้วได้ยินเสียงเปิดเผยความจริง
พระพุทธพจน์คือปัญญา ดุจประทีปส่องนำทาง เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
ถ้าไม่พึ่งการฟังพระพุทธพจน์ ก็ไม่มีวันเกิดปัญญาได้เองเพราะปัญญาแรกเกิดจากการฟังเป็นจิรกาลภาวนา
https://youtu.be/0KjGWuJwK3Y

แต่ละวันอยากตื่นขึ้นมาเห็น
จำแต่ชื่อแต่เรื่องราวเป็นเรา
มีตัวตนคิดพูดทำจำทุกอย่าง
ด้วยความคิดหลงผิดว่ามีตัวตน
ไม่เคยฟังเพื่อคิดพิจารณาตรงธรรม
ความตรงต่อธรรมต้องคิดตามเป็นปกติ
เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ
ตรงตามที่ได้ยินได้ฟังเพื่อเทียบความจริงกับความจำ
การระลึกตามต้องคิดตามเป็นจริงเพื่อศึกษาปัจจุบันที่มีแล้วเป็นธรรมดา
การฟังเพื่ออบรมเจริญปัญญาต้องอาศัยเวลายาวนานมากชาติเดียวไม่พอฟังจนกว่าปัญญาสมบูรณ์พร้อม
https://youtu.be/qUskWzwJ7qw