วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 02:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2019, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เราจะทำหน้าที่ตายของเรา เพียงแต่ทำหน้าที่ปล่อยขันธ์เท่านั้น ไม่เห็นมีภาระอะไร
พิจารณาไปตามสภาพความจริงมียังไงๆ เวลานั้นพิจารณา
ถึงวาระแล้วก็สลัดปั๊วะไปเลย

ร่างกายมันจะดีดจะดิ้นยังไง หมู่เพื่อนอย่ามากังวลผม คือร่างกายนี่มันเป็นได้ วิบากขันธ์

บางองค์ตายไม่สงบ ธาตุขันธ์ดีดดิ้นกระตุกนั้นกระตุกนี้ มันหากเป็นของมัน นั่นแหละธาตุขันธ์

เรื่องจิตนั้น จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ว่างั้นเลย

ขอให้จิตบริสุทธิ์เสียอย่างเดียวเท่านั้น เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้

ถึงร่างกายจะเป็นแบบไหนก็เถอะ เป็นเรื่องของขันธ์ดีดดิ้นไปตามสมมตินิยมของขันธ์เท่านั้นแหละ

เรื่องจิตที่จะให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปตามขันธ์นั้นเป็นไปไม่ได้ เรียกว่า "อกุปปะ" ทีเดียวพอ หาความกำเริบและหาความเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ถึงได้เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ว่าพระอรหันต์บางองค์ท่านยืนนิพพาน บางองค์นั่งนิพพาน นอนนิพพาน เดินนิพพาน ท่านทำไม่ได้ยังไง เพราะมันคนละอันจริงๆ

นี่เป็นหลักธรรมชาติ
เหมือนน้ำในคลองนี้ คนละฝั่งจริงๆไม่ใช่ฝั่งเดียวกัน ทางโน้นฝั่งโน้นทางนี้ฝั่งนี้
นี่ฝั่งโลก นี่ฝั่งธรรม
นี่ฝั่งสมมุติ นี่ฝั่งวิมุตติ
จะเอาเข้ามาประสานกันได้ยังไง ไม่ประสาน ให้รู้ชัดๆอย่างนั้นซิในหัวใจ แล้วจะสงสัยอะไร

ว่าตายก็ว่าไปตามกิริยาของโลกไม่เห็นวิตกวิจารณ์นี่นะ

อันนี้มารวมตัวเป็นส่วนผสมแล้วมันก็สลายของมันออกไปธรรมดาๆ ธาตุขันธ์อันนี้ก็ไม่รู้เรื่องจิต

มีแต่จิตเป็นผู้รู้เขา จิตไม่สำคัญมั่นหมาย ไม่ไปยึดเขาเสียอย่างเดียวจะมีอะไร เขาไม่รู้เรื่องของเราอยู่แล้วนี่


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน







จิตกับสติมันอันเดียวกัน แต่มันแยกแตกต่างกัน
สติ คือ ผู้รักษา ผู้ควบคุม ผู้ระลึกตาม
จิต คือ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงแต่ง
แต่มันทำหน้าที่คนละอย่างกัน
เมื่อสติรักษาควบคุมระลึกตามจิตผู้นึกผู้ปรุงแต่งอยู่เสมอแล้ว
จิตนั้นก็คลายเสียซึ่งความคิดนึกปรุงแต่งเป็นต้น
จิตนั้นจะมาอยุ่ที่พุทโธแห่งเดียว
คำบริกรรมที่ว่าพุทโธๆนั้นมิใช่จิต
ผู้นึกคำบริกรรมพุทโธๆนั้นต่างหากคือตัวจิต
ให้จับเอาตัวจิตนั้น
แล้วคำบริกรรมหรือสิ่งทั้งปวงที่จิตคิดนึกปรุงแต่งอยู่นั้น
ก็จะหายไปหมด
หรือถ้าไม่หายก็ให้วางเสีย จับแต่จิตอันเดียว
เราหัดตรงนี้แหละให้มันมาก ให้มันได้บ่อยๆ
หัดให้มันชำนิชำนาญ
ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถ หัดให้ได้เสมอ
แล้วเราจะได้นำไปต่อสู้กับกิเลส

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








"ตัวจิตตัวที่มันโง่ เพ่งมันลงไป
ตัวจิตตัวที่มันมืด เพ่งทำลายมันลงไป
คำว่า เพ่งจิต
คำว่า ทำลายจิต
คำว่า บดขยี้จิต
ที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดกันละลายกายแล้วละจิต พิจารณากายให้เป็นของว่าง คือว่างทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างคือไม่มีอะไรเป็นตัวตน
พิจารณาจิตให้เป็นของว่าง
แม้แต่จิต จิตนี้ก็เป็นของว่าง คือ สักแต่ว่าจิต ไม่ใช่ตัวตน จิตสักแต่ว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

ทำลายมันลงไปจิตตัวนี้
จิตดวงนี้ทุบมันลงไปบดขยี้มันลงไป
คำว่าทำลายคือยังไง
ทำลายคือทำทุกอย่างให้จิตดวงนี้มันสลายตัว
ทำทุกอย่างที่ให้จิตดวงนี้มันดับไป
มาพิจารณาทำลายร่างกาย ร่างกายสลายลงไป
จริงๆแล้วร่างกายก็ยังอยู่ แต่ความรู้สึกนั้นร่างกายเป็นของว่าง ร่างกายไม่ใช่ตัวตน ร่างกายเป็นอนัตตา รูปัง อนัตตา มันชัดขึ้นมา แต่ร่างกายของเราก็ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รูปัง อนัตตา องค์พระพุทธเจ้าก็ยังทรงมีอยู่นี่ คำว่าจิตเป็นอนัตตา จิตของพระพุทธเจ้าก็ยังทรงมีอยู่ จิตบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าก็ยังทรงมีอยู่

จิตของพระพุทธเจ้าก็ยังทรงมีอยู่ แต่ทำไมจึงตรัสว่า จิตเป็นอนัตตาล่ะ

นี่เพราะทรงเห็นชัดตามสภาพที่เป็นในส่วนรูป ชัดในสภาพที่เป็นในส่วนนาม เบญจขันธ์มีทั้งรูป เบญจขันธ์มีทั้งนาม ล้วนเป็นอนัตตาทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วยังทรงเดินไปไหนมาไหนได้ รูปของพระพุทธเจ้าก็ยังทรงมีอยู่ เรียกว่าพระรูปพระสรีระ แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงว่า รูปัง อนัตตา

จิตก็เหมือนกัน จิตไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จิตพระพุทธเจ้าก็ยังทรงมีอยู่ พระพุทธเจ้สก็ยังตรัสว่าจิตบริสุทธิ์อยู่เป็นอมตธรรมแน่ะ

ทำลายภพชาติ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดจากจิตดวงเดียวเท่านั้น กามก็เกิดจากจิต รูปก็เกิดจากจิต อรูปก็เกิดจากจิต เราหลับตาเสียไม่ต้องไปดูอะไรนี่ ตามันก็มี เราหลับตาเสียไม่ต้องไปดูรูป รูปมันก็มีแน่ะ เราหลับตาเสียไม่ต้องไปสนใจกับอะไรที่ไม่ใช่รูป มันก็ปรากฏแน่ะ

ทำลายลงกามภพ รูปภพ อรูปภพ ทำลายดวงจิตที่มันเป็นจิตอยู่เดี๋ยวนี้ให้มันระเบิดออกไปทีเดียว แตกสลายออกไปทีเดียว จิตเป็นจิต จิตไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร พระพุทธเจ้าตรัส ธัมมา อนัตตา พระพุทธเจ้าก็ยังคงแสดงธรรมอยู่ โลกุตรธรรม ท่านยังทรงมีอยู่แต่พระพุทธเจ้าทรงไม่ได้ยึด

คำว่าอนัตตา คือไม่ได้ยึดอะไร วิมุตติธรรมก็เป็นธรรม จิตก็เป็นอนัตตา จิตไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จิตก็ยังมีอยู่

กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามาสวะ อวิชชาสวะ ทำลายมันไม่ต้องไปทำลายที่ไหน จิตดวงเดียวนี้เป็นทั้งหมด กามภพ รูปภพ อรูปภพ คำว่าตัวกาม คำว่าตัวภพ คำว่าตัวอวิชชา จิตดวงเดียวนี้เป็น จึงว่าสารพัดรวมอยู่ในจิตนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากจิต ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต หมายถึงธรรมทั้งหมดในโลกธาตุนี้ ธรรมทั้งหมด คำว่า ทุกข์ คำว่า สุข คำว่า ดี คำว่า ชั่ว เรื่องของสมมุติบัญญัติเกิดจากจิตทั้งนั้น กิเลสตัณหาทั้งหลายเกิดจากจิตทั้งนั้น

จึงว่าการทำลายกาม ทำลายลงไปในจิต เพ่งลงไปจุดเดียวดับหมดเลย ลุกเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ก็ช่าง ลุกเป็นฟืนเป็นไฟก็เพราะตัวสังขารมันไปปรุง มันออกไปหาไปก่อไฟขึ้น เพ่งลงไป สังขารดับนี่ คำว่าฟืนไฟก็ดับหมดเหมือนกัน จึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากจิตตัวเดียว เพราะจิตเป็นผู้ที่จุดระเบิดขึ้น จิตเป็นผู้ติดระเบิดตัวนั้น จิตตัวนั้นเรียกว่า สังขาร

อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารตัวนี้ล่ะเป็นผู้ที่จุดระเบิด วางระเบิดนี้

จึงว่าปล่อยวางออกไป พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ปล่อยวางก่อนแล้ว ทรงเป็นผู้ที่พ้นแล้ว พ้นจากไหน พ้นจากความเกิด พ้นจากความแก่ พ้นจากความตาย พ้นจากอะไรเล่าก็พ้นจากร่างกายอันนี้ เขาเกิดอยู่เสมอ เขาแก่อยู่เสมอ เขาเจ็บอยู่เสมอ เขาตายอยู่เสมอ นี่พ้นจากนี้

ถ้าหากว่าไม่พ้นเดี๋ยวนี้แล้วตายไป แล้วมันก็ไปอยู่ที่นี้อีกล่ะ เพราะมันไม่พ้น พ้นมันก็พ้นเดี๋ยวนี้ ถ้าหากไม่พ้น มันก็ไม่พ้นเดี๋ยวนี้ นี่ล่ะพ้นหรือไม่พ้น ดูเอา พ้นจากก้อนเกิดก้อนตายหรือไม่พ้น พ้นจากกองทุกข์กองเกิดกองตายหรือไม่พ้น ก็ดูเอา ทำจิตทำใจของเราต้องทำให้มันพ้นจากที่นี้ จุดหมายปลายทางของพระพุทธเจ้าทรงพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็พ้นจากกองทุกข์กองยากอันนี้

เราๆ พ้น หรือ ไม่พ้น ดูเอา ที่ไม่พ้น เพราะอะไร..."

หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร










“เป็นมะเร็งขอสติจากหลวงพ่อค่ะ”

ถาม: หลวงพ่อคะ วันนี้หนูไปฟังผลชิ้นเนื้อมา หมอบอกหนูเป็นมะเร็ง หนูอยากจะขอสติจากหลวงพ่อค่ะ หนูยอมรับว่ากลัวมากค่ะ

พระอาจารย์: อ๋อ หมอเขาลืมบอกว่าร่างกายของหนูไม่ใช่หนู นี่คือสิ่งที่หมอไม่รู้ ต้องไปหาหมอพระ ไปหาพระพุทธเจ้า ไปหาพระอริยสงฆ์สาวก ท่านก็จะบอกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ร่างกายเป็นคนรับใช้เรา เราเป็นเจ้านายของร่างกาย เราเป็นผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ ฉะนั้นเวลาร่างกายเป็นอะไร มันไม่ได้มาเป็นที่เรา แต่เราไม่รู้เราไปหลงคิดว่าเราเป็นร่างกาย พอร่างกายเป็นอะไรขึ้นมาเราก็เลยคิดว่าเราจะเป็นไปกับร่างกาย ความจริงเราเป็นใจผู้รู้ผู้คิด ผู้ที่ไม่มีรูปร่างหน้าตา ไม่มีร่างกาย เราเลยไปเช่าร่างกายมาจากพ่อแม่ของเรา ไปขอร่างกายจากพ่อแม่เพื่อเราจะได้ใช้ร่างกายพาเราไปเที่ยว พาไปหาความสุขกัน แต่ร่างกายของเรามันไม่ช้าก็เร็วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย อันนี้เราไม่มาศึกษากัน ไม่มาทำความเข้าใจก่อน เหมือนกับไปซื้อของแล้วไม่เปิดดูหนังสือกำกับมาว่าสินค้าชนิดนี้มีประโยชน์ยังไงมีโทษยังไง เราก็เลยไปคิดว่ามันมีประโยชน์อย่างเดียว แต่ความจริงสินค้าที่เราซื้อมานี้มันมีทั้งคุณมีทั้งโทษ คุณก็คือเวลาที่มันแข็งแรงมันก็พาเราไปไหนมาไหนทำอะไรได้ แต่เดี๋ยวต่อไปมันจะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย อันนี้เราไม่รู้กัน เราไปเหมาว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นตัวเรา แล้วเราก็จะอยากให้มันดีตลอดเวลา ไม่ต้องการให้มันเป็นอะไรไป พอมันเป็นอะไรมันก็เลยทำให้เราไม่สบายใจ แต่ถ้าเรามาศึกษามาทำความเข้าใจให้รู้ว่า เราไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย มันเป็นเพียงคนรับใช้เรา เป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่เราซื้อมา เราเช่ามาจากพ่อจากแม่ หรือเช่ามาจากดินน้ำลมไฟก็ว่าไป เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องกลับไปคืนเจ้าของ คือดินน้ำลมไฟไป เราต้องรู้อย่างนี้แล้วเราจะได้สบายใจ แล้วเราจะได้ปล่อยใจได้
ถ้ารู้แล้วยังไม่ยอมเชื่อ ยังไม่ยอมปล่อยเราก็ต้องมานั่งสมาธิทำใจให้สงบ เปลี่ยนความคิดใหม่เพราะขณะนี้เรายังจะคิดว่ามันเป็นเราเป็นตัวเราอยู่ แต่ถ้าเรามาหยุดความคิดนี้ได้ พุทโธพุทโธ เดี๋ยวความคิดว่าเป็นตัวเราของเรามันก็จะหายไป แล้วทีนี้เราก็จะปล่อยวางร่างกายได้ตามความเป็นจริงของมัน นี้คือสิ่งที่เราต้องมาฝึกกัน ฝึกกันก่อนที่จะเจอเหตุการณ์นี้ เพราะเวลาเจอเหตุการณ์นี้จะเหมือนเข้าห้องสอบโดยที่ไม่เตรียมทำข้อสอบไว้ก่อน มันก็จะสอบตกนะ ใจมันก็จะตกจากข้างบนลงมาสู่เท้า ต่อไปนี้ตอนนี้คงจะไม่มีกะจิตกะใจอยากทำอะไรแล้ว วิตกกังวลกับเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย แต่ถ้าเราได้ฝึกไว้มาตั้งแต่ก่อน พอเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เราก็จะรู้วิธีทำใจว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องเสียร่างกายนี้แล้วนะ ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือเป็นคนรับใช้เรา เขารับใช้เราได้เท่าไหร่ก็ให้เขารับใช้ไปพอหมดเวลาก็ปล่อยเขาไป เราก็จะไม่วุ่นวายใจ เราก็จะไม่เดือดร้อนใจกับความเป็นไปของร่างกาย ฉะนั้นตอนนี้ถ้าวุ่นวายใจก็พยายามหัดฝึกสติพุทโธพุทโธ ทำใจให้สงบ อย่าไปคิดถึงร่างกาย ปล่อย ถ้าจะคิดก็คิดว่าไม่ใช่เป็นตัวเราของเรา รักษาได้ก็รักษาไป รักษาไม่ได้ก็ต้องปล่อยมันไป

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๒

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณทั้งวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน








ตัวราคะตัณหานี้รุนแรงมากนะ
เวลาขึ้นเวทีถึงรู้กัน ไม่งั้นไม่รู้นะ

อยู่ในจิต มันก็เป็นของจิตนะ
มันไม่ได้แสดงอาการอะไร
มันยิบแย็บ ก็ยิบแย็บเป็นอยู่ในนั้น มันเป็นยิบๆแย็บๆ กวนเล็กกวนน้อยมันก็เป็น อันนี้แหละเป็น

โห อันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้นะๆ ทั้งๆที่เราจะฆ่ามันอยู่ มันยังมาแสดงยิบๆแย็บๆให้เห็น

ร้อยสันพันคม ไม่มีอะไรเกินนี้
อันนี้ออกสนาม ออกทำงาน ออกแนวรบ เวลาพิจารณาแล้วอวิชชาพอเป็นพื้นฐานเท่านั้น ไม่ได้ออกทำงานอะไร เป็นพื้นฐานเหมือนแผ่นดินนี่

ต้นไม้ภูเขาอะไรเต็มแผ่นดินนี้ มีแต่เรื่องของราคะตัณหาสร้างขึ้นมา สร้างเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมาร้อยสัมพันคม

เวลาเราจะรู้มันก็คือว่า พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว ไม่เห็นมีอะไรแสดงเรื่องที่ว่าเหล่านี้หมด

อ๋อ มันเป็นเพราะอันเดียวนี้ มันแตกกิ่งก้านสาขาดอกใบไป ทั้งใกล้ทั้งไกลครอบโลกธาตุ มีแต่อันเดียวนี้

พออันนี้มุดลงไปเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรแสดง ก็แสดงว่าตัวนี้ นั่นก็ชัดเจนซิ อวิชชาไม่เห็นแสดงอะไร
พออันนี้ดับลงไปแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรมาดึงดูดมากวนใจ อวิชชาไม่ดึงดูดนะ มีแต่ให้เพลิน เพลินความเพียรในเรื่องสติปัญญาอัตโนมัติ นั่นล่ะอวิชชา

ความผาดโผนโจนทะยานนี้
ตอนราคะตัณหา
ปัญญาประเภทนี้ เป็นประเภทที่ฟัดกันถึงเป็นถึงตาย

บางทีเหมือนกับว่ากายไหวนู่น
มันแรงนะ อำนาจสติปัญญาฟัดกัน รุนแรงมาก มันหากเป็นธรรมชาตินะไม่ใช่เราตกแต่ง มันหากมีพอฟัดพอเหวี่ยงกันจนได้ เขาต่อยมาเราต่อยไปเหมือนนักมวย
หนักเบามันก็เต็มแรงทุกคน กิเลสก็เต็มแรงมัน เราก็เต็มแรงเรา

บทเวลาอันนี้มันหมดของมันลงไปๆ แล้วไม่เห็นมีอะไรมาแสดง
ดังที่ว่าเหล่านี้ไม่มีนะ

มีแต่อวิชชา ก็ละเอียดลออ อ้อยอิ่งๆ ดูดดื่มอยู่ตรงนั้นๆเท่านั้น
ไม่เห็นไปกังวลกับอะไรเลย มีเท่านั้น

มีแต่จิต ร่างกายไม่มาเกี่ยวข้อง (พระอนาคามี)
เพราะฉะนั้นมันถึงหมุนอยู่ภายในหัวใจ เดินจงกรมนี่ออกนอกลู่นอกทาง เดินเปะปะ เข้าไปป่านั้นเข้าไปป่านี้ คือตามันไม่เห็น จีบมันอยู่ข้างใน ทำงานอยู่ภายในไม่ออกเดินเซ่อๆซ่าๆ
คนไปเห็น เขาจะว่าเราเป็นบ้า

แต่ทางภายในมันพูดไม่ถูกนะ เรื่องกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้ ถ้าเป็นนักมวยก็แชมเปี้ยนไม่ทัน แชมป์เปี้ยนอย่างช้าไป พอเราจะเอาอันนี้มาพูดเป็นภาษาสอนกัน ไม่ได้
ให้เป็นในใครๆก็ตาม รู้เอง ภาษาของธรรมะกับกิเลสฟัดกัน
เวลาถึงเข้าหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วเอาอย่างนั้น พิจารณาขนาดนั้นเต็มหัวใจ

อวิชชาไม่มีอะไร มีแต่เบาหวิวๆๆ ไม่มีอะไรดึงดูด
มีอันเดียวนี้ตัวดึงดูด (กามราคะ)
ดึงดูดจะเอาให้ล่มให้จมต่อหน้าต่อตานะ

มันกดมันถ่วงมันหน่วงมันเหนี่ยวอยู่ในนี้แหละ
ใครๆ ก็รู้เอง มีอยู่กับหัวใจของทุกคน

พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรดึงดูดนี่

หมุนลิ่วๆละเอียดเข้าไปๆ ละเอียดเข้าหาจุดนั้นแหละไม่ใช่อะไร ไล่เข้าไปๆ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน









“เกลียดก็ทุกข์ โกรธก็ทุกข์
แล้วเราจะเกลียด จะโกรธ
ไปให้เราเป็นทุกข์ทำไม

คนที่เราเกลียด คนที่เราโกรธ
เขาไม่ทุกข์ไปกับเราหรอก
เราทำให้เราทุกข์เอง ทั้งสิ้น

แต่ถ้าเราปล่อยวาง ไม่สนใจเขา
ไม่รับรู้เรื่องเขา ใจเราก็ไม่หมกหมุ่น
กับเรื่องของเขาอีก เราก็ไม่ทุกข์
เพราะใจมันสงบ”

หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล









[*]


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร