วันเวลาปัจจุบัน 07 พ.ย. 2024, 10:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 482 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 33  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7506

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร

:b12:
คนบนโลกนี้เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ตาเนื้อกำลังเห็นผิดจากคำสอน
เหมือนแมลงเม่ามองแสงไฟไกลๆ
ยังไม่สัมผัสไม่รู้ว่าตัวไฟร้อนต่อเมื่อ
บินถึงตัวไฟจึงเผาไหม้ทันที
เปรียบเหมือนตาเนื้อที่กำลัง
เห็นผิดว่าเป็นคนสัตว์วัตถุ
ทำไปตามอยากบินเข้าไป
ในกองไฟคือกองกิเลสด้วย
ความไม่เข้าใจความจริงจนกว่า
จะเริ่มฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีถูกตามได้
เพียรอาศัยการฟังพึ่งคิดตามคำสอน
เพื่อเข้าใจจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำ
ออกจากกิเลสคือความไม่รู้ที่กำลังมี
https://youtu.be/Pr-Djg44m68
:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร

:b12:
คนบนโลกนี้เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ตาเนื้อกำลังเห็นผิดจากคำสอน
เหมือนแมลงเม่ามองแสงไฟไกลๆ
ยังไม่สัมผัสไม่รู้ว่าตัวไฟร้อนต่อเมื่อ
บินถึงตัวไฟจึงเผาไหม้ทันที
เปรียบเหมือนตาเนื้อที่กำลัง
เห็นผิดว่าเป็นคนสัตว์วัตถุ
ทำไปตามอยากบินเข้าไป
ในกองไฟคือกองกิเลสด้วย
ความไม่เข้าใจความจริงจนกว่า
จะเริ่มฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีถูกตามได้
เพียรอาศัยการฟังพึ่งคิดตามคำสอน
เพื่อเข้าใจจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำ
ออกจากกิเลสคือความไม่รู้ที่กำลังมี
https://youtu.be/Pr-Djg44m68
:b16: :b16: :b16:

:b8:

คุณ Rosarin ลองคิดหรือมองดูครูบาอาจารย์
หลายองค์สิครับ ท่านเหล่านั้นสำเร็จโดยส่วนมากเพราะ
อะไร ใช่เพียงแค่การฟังเท่านั้นก็หาไม่ ท่านเหล่านั้นยัง
ต้องเพียรพยายามอย่างยิ่งในการปฏิบัติ และหลายองค์
เลยที่ต้องเข้าชีวิตเข้าแลกเพื่อได้ธรรมที่สูงสุดนั้น

ก็อาจจะมียุคที่พระพุทธเจ้า มีหลายองค์เพียงแค่ฟังแล้ว
พิจารนาก็บรรลุ แต่ท่านเหล่านั้นปฏิบัติมามากแล้วในชาติก่อนๆ
แต่ยุคนี้เป็นช่วงของยุคคนส่วนมากเป็นคนมีบุญบารมีน้อยดั่งนั้น
ยากยิ่งที่จะเพียงแค่ฟังจะบรรลุธรรมได้ครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7506

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร

:b12:
คนบนโลกนี้เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ตาเนื้อกำลังเห็นผิดจากคำสอน
เหมือนแมลงเม่ามองแสงไฟไกลๆ
ยังไม่สัมผัสไม่รู้ว่าตัวไฟร้อนต่อเมื่อ
บินถึงตัวไฟจึงเผาไหม้ทันที
เปรียบเหมือนตาเนื้อที่กำลัง
เห็นผิดว่าเป็นคนสัตว์วัตถุ
ทำไปตามอยากบินเข้าไป
ในกองไฟคือกองกิเลสด้วย
ความไม่เข้าใจความจริงจนกว่า
จะเริ่มฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีถูกตามได้
เพียรอาศัยการฟังพึ่งคิดตามคำสอน
เพื่อเข้าใจจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำ
ออกจากกิเลสคือความไม่รู้ที่กำลังมี
https://youtu.be/Pr-Djg44m68
:b16: :b16: :b16:

:b8:

คุณ Rosarin ลองคิดหรือมองดูครูบาอาจารย์
หลายองค์สิครับ ท่านเหล่านั้นสำเร็จโดยส่วนมากเพราะ
อะไร ใช่เพียงแค่การฟังเท่านั้นก็หาไม่ ท่านเหล่านั้นยัง
ต้องเพียรพยายามอย่างยิ่งในการปฏิบัติ และหลายองค์
เลยที่ต้องเข้าชีวิตเข้าแลกเพื่อได้ธรรมที่สูงสุดนั้น

ก็อาจจะมียุคที่พระพุทธเจ้า มีหลายองค์เพียงแค่ฟังแล้ว
พิจารนาก็บรรลุ แต่ท่านเหล่านั้นปฏิบัติมามากแล้วในชาติก่อนๆ
แต่ยุคนี้เป็นช่วงของยุคคนส่วนมากเป็นคนมีบุญบารมีน้อยดั่งนั้น
ยากยิ่งที่จะเพียงแค่ฟังจะบรรลุธรรมได้ครับ

:b8:

ภิกษุในธรรมวินัยบรรพชาสละหมดทรัพย์สินเงินทอง
ความจริงตรงตามพระไตรปิฎกมีที่กายใจตนเองเท่านั้น
จะเห็นอะไรนอกตาก็คือความคิดเห็นผิดถูกไหมคะเพราะ
สีที่เห็นดับทันทีในลูกตาก่อนกะพริบตาดังนั้นปัญญารู้ตาม
ถูกตรงตามการพึ่งคิดตามคำสอนตรงขณะทีละ1คำคือปริยัติ
ข้ามการฟังก็คือไปทำตามเห็นผิดเชื่อคนอื่นทำตามคนอื่นไม่ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยการฟังเพื่อคิดเห็นถูกตามได้ตรงขณะ
ไม่ใช่เลือกไปทำตามความอยากและเชื่อตาเนื้อกิเลสตนเองว่ามีคนทำอะไร
ไปทำตามเขาลืมไหมคะตถาคตบอกให้ฟังไตร่ตรองเหตุผลมีศรัทธาในการฟังไหมคะ
การจะรู้ว่าใครบรรลุธรรมระดับไหนรู้ได้เท่าที่ปัญญาตนถึงระดับนั้นไม่ใช่หรือคะเชื่อตาตัวเองถึงไม่ฟังไงคะ
ลองฟังคลิปนี้ให้จบฟังว่าพระภิกษุที่มาสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯกล่าวอะไรให้เข้าใจได้บ้างนะคะ
https://youtu.be/XHkG7EOodUY
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

หากมีเพียงแค่การฟังแล้วสำเร็จได้ โลกใบนี้ก็คงไม่ต้อง
มีการลงฝึกหัตงานจริงกันแล้วครับ
อีกแค่คิดแค่ฟังคนผู้หนึ่งอธิบายถึงการทานข้าวให้เราฟัง
ขณะที่เรากำลังหิว หากมีเพียงการฟังจะทำให้ท้องอิ่มไหม?

รู้จริงย่อมตัดกิเลสขาดจริง ขาดจริงคือไม่หวนกับมาอีก

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อีกประการหนึ่งหากเรารู้จริงเห็นแจ้ง สังเกตไหมเวลาเราอธิบายให้
คนส่วนมากเข้าใจและปฏิบัติได้ไหม หรือมีเพียงส่วนน้อยที่เข้าใจ และ
ปฏิบัติได้จริง

การละกิเลสเพียงการคิดนึกพิจารณานั้นยุคนี้ยากที่บุคคลจะทำได้ เพราะ
เป็นยุคข่อนของพระพุทธศาสนาแล้วครับ คนโดยส่วนมากเกิดมามีแต่บุญน้อย
ดูแต่ศีล ๕ ข้อ คนทั่วไปส่วนมากมีกันกี่ข้อครับ รักษากันได้กี่ข้อ?

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2018, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7506

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร

:b12:
คนบนโลกนี้เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ตาเนื้อกำลังเห็นผิดจากคำสอน
เหมือนแมลงเม่ามองแสงไฟไกลๆ
ยังไม่สัมผัสไม่รู้ว่าตัวไฟร้อนต่อเมื่อ
บินถึงตัวไฟจึงเผาไหม้ทันที
เปรียบเหมือนตาเนื้อที่กำลัง
เห็นผิดว่าเป็นคนสัตว์วัตถุ
ทำไปตามอยากบินเข้าไป
ในกองไฟคือกองกิเลสด้วย
ความไม่เข้าใจความจริงจนกว่า
จะเริ่มฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังมีถูกตามได้
เพียรอาศัยการฟังพึ่งคิดตามคำสอน
เพื่อเข้าใจจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำ
ออกจากกิเลสคือความไม่รู้ที่กำลังมี
https://youtu.be/Pr-Djg44m68
:b16: :b16: :b16:


ภิกษุในธรรมวินัยบรรพชาสละหมดทรัพย์สินเงินทอง
ความจริงตรงตามพระไตรปิฎกมีที่กายใจตนเองเท่านั้น
จะเห็นอะไรนอกตาก็คือความคิดเห็นผิดถูกไหมคะเพราะ
สีที่เห็นดับทันทีในลูกตาก่อนกะพริบตาดังนั้นปัญญารู้ตาม
ถูกตรงตามการพึ่งคิดตามคำสอนตรงขณะทีละ1คำคือปริยัติ
ข้ามการฟังก็คือไปทำตามเห็นผิดเชื่อคนอื่นทำตามคนอื่นไม่ฟัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องอาศัยการฟังเพื่อคิดเห็นถูกตามได้ตรงขณะ
ไม่ใช่เลือกไปทำตามความอยากและเชื่อตาเนื้อกิเลสตนเองว่ามีคนทำอะไร
ไปทำตามเขาลืมไหมคะตถาคตบอกให้ฟังไตร่ตรองเหตุผลมีศรัทธาในการฟังไหมคะ
การจะรู้ว่าใครบรรลุธรรมระดับไหนรู้ได้เท่าที่ปัญญาตนถึงระดับนั้นไม่ใช่หรือคะเชื่อตาตัวเองถึงไม่ฟังไงคะ
ลองฟังคลิปนี้ให้จบฟังว่าพระภิกษุที่มาสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯกล่าวอะไรให้เข้าใจได้บ้างนะคะ
https://youtu.be/XHkG7EOodUY



1. สัมมาทิฏฐิไม่ใช่ความคิดเห็น ความคิดเห็นคือสัมมาสังกัปปะ
สัมาทิฏฐิ คือ จิตเป็นพุทธโธ คือ เป็นผู้รู้ ผู้คื่น ผู้เบิกบาน
- สัมมาทิฏฐิ เป็น ผู้รู้ คือ รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ คือ เข้าไปเห็นของจริงนั่นเอง ไม่ใช่มานั่งคิดเองเออเอง สัมมาทิฏฐิจึงไม่ใช่คิดเห็นตามจริง จึงเป็นประธานในมรรค สันตะติขาดเข้าสังขารุเปกขา ได้เห็นของจริง ถึงพระอริยะสัจ ๔ ของจริง จิตน้อมไปถอนจากอวิชชา นี่คือสัมมาทิฏฐิ ตราบยังเข้าไม่ถึงจุดนี้ แค่เรียนรู้จดจำมาว่าแนวทางเป้นอย่างนี้ๆก็ขึ้นชื่อว่า สัมมาทิฏฐิที่เป็นเหตุสะสมเท่านั้น คือ เป็นบุญบารมีแก่ขันธ์สะสมจดจำในจิตทับถมแทนอวิชชาเท่านั้น สำหรับพระอริยะแล้วมันเป็นเพียงความคิด เป็นสัมมาสังกัปปะแบบสาสวะเท่านั้น
- สัมมาทิฏฐิ เป็น ผู้ตื่น คือ ตื่นจากความหลงอยู่ในสมมติความคิด สมมติกิเลสของปลอม มีใจหมายออกจากความทุกข์ทั้งสิ้นนี้ หลุดพ้นจากความหลงสมมติของปลอม นั่นคือ น้อมเข้าองค์อริยะมรรคในโลกุตระ หากปุถุชนนี้คือเอาสันดารพระอริยะมาสถิตย์ มุ่งมั่นเดินตรงในทางมรรคทั้งสิ่งที่เป็นบุญแก่ขันธ์ และมุ่งมั่นเพื่อเข้าถึงองค์มรรค (ปุถุชนฆราวาสมีไตรสิกขา คือ ทาน ศีล ภาวนา หากเป็นพระไม่สามารถทำทานได้ แต่เป็นผู้รับทาน จึงมีไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)
- สัมมาทิฏฐิ เป็น ผู้เบิกบาน คือ เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอมทั้งปวง ปุถุชนนี้จะเบิกบานได้เมื่อจิตนี้เป็นกุศล ไม่เจอปนด้วยกิเลส มันเบา สบาย เย็นใจ อุ่นใจ ไม่หวาดกลัว ไม่ติดใจข้องแวะ ไม่เร่าร้อน สะสมเหตุใน ปัสสัทธิ นิโรธ แบบสาสวะ ให้เป็นอุปนิสัยที่ไม่ยึดกิเลส และบุญบารมีแก่ขันธ์

2. จิตเกิดได้ที่ละดวง หรือการรู้ทีละ 1 ที่คุณโรสแนะนำ อันนี้ก็เป็นการดีอยู่ แต่เป้นปัญญาโดยความคิดเอาเท่านั้นอยู่ สะสมความจำไว้ แต่การรู้ทีละ 1 ทีละขณะนั้น ทีละสีขณะกระพริบตาของคุณโรสมันเป็นของสมมติตั้งแต่เห้นตรานั้นแล้วครับ หากสัตตะติขาด คุณโรสจะเห้นมันไม่เหมือนที่ท่องจำมาเป๊ะ
คือ
- จิตเปิดรับ ขณะนั้นเกิดความรู้สึกรับรู้ที่มีอาการเพียงแว๊บขึ้น แต่ไม่รู้อะไร จิตรู้แค่ว่ามีสิ่งหนึ่งกระทบ หรือมาทำให้จิตกระเพื่อมรู้สึกแว๊บหนึ่งไวมากเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็ดับวูบ นิ่ง ว่างลง (ของจริงดับไป)
- จิตทำไว้ในใจด้วยความหมายรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นให้รู้นั้น แล้วก็ดับวูบ นิ่ง ว่าง
- เกิดเจตนาออกจากจิตจงใจเข้าไปรู้สิ่งนั้น มีอาการที่พุ่งออก ส่งออกไปหาสิ่งนั้นด้วยความหมายรู้อารมณ์ แล้วก็ดับวูบนิ่งว่าง
- เจตนาหมายรู้อารมณ์นั้นแหละเป็นตัวทำให้สัญญาเกิดขึ้น จิตเข้าไปค้นหาในสัญญา แล้วก็ดับวูบลง (สมมติเกิดตั้งแต่สัญญาเกิดขึ้นของปลอมทั้งสิ้นของจริงดับไปนานแล้ว)
- ทำให้เกิดความรู้โดยสัญญา เช่น เกิดความรู้ว่าเป็นสี แสง ความสั่นสะเทือนกังวาลกระทบจิตมีลักษณะเหมือนคลื่นน้ำที่แผ่เป็นวงมากระทบ อาการสภาวะรูปลักษณ์ที่แปรเปลี่ยนของสภาวะที่เป็นอยู่ ขณะเดียวกันนี้ก็ให้รู้ถึงความรู้สึกจากสิ่งนั้นๆ เป็นไปในความรู้สึกต่างๆ แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ดับนิ่ง วูบลง ความไม่ก่อนไม่หลังสืบต่อกันเริ่มแต่ลำดับนี้ไป
- เกิดความรู้ว่าเป็นสีอะไร แสงอะไรแบบไหน สว่าง มืดสุข ทุกข์ เฉยๆ วูบ นิ่ง แล้วก็วูบนิ่ง ว่างลง
- นับจากนี้ก็เกิดความปรุงแต่งสมมติไปต่างๆนาๆ เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นโน่น หลับตากระพริบเห็นทีละสี เป็นสีนั้น สีนี้ คนนั้น คนนี้ สวยไม่สวย งามไม่งาม รัก ชัง เกลียด หลง ก็จุดนี้เป็นต้นไป (นี่คือทีละขณะที่คุณโรสกล่าวถึงมันอยู่แค่จุดนี้เอง ยังไม่ไปถึงด้านบน แต่สามารถเรียนรู้เพื่อให้จิตคลายความยึดสิ่งที่เห็นได้ เพื่อน้อมเข้าสมาธิได้)
- นี่ทำให้เห็นเลยของแท้มันไม่มีอะไรน่าใคร่ปารถนา น่าขัดเคืองชิงชัง น่าหลงอยู่ แต่ที่ รัก ชัง หลง เพราะสมมติของปลอมทั้งนั้นโดยสัญญา แต่ต่อให้เห้นให้รู้ให้ถึง ถ้าจิตไม่ทำกิจครบรอบ 3 อาการ 12 ก็แค่ปุถุชนเท่านั้น คนถึงมีมากมาย สูงกว่านี้จนเข้าไปทำกิจก็มี แต่เพราะจิตยังวางเฉยต่อสังขารที่เกิดขึ้นไม่ได้ มันก็ทำกิจไม่ได้ไม่พร้อม ไม่ถอน

**ดังนี้จึงชื่อว่าท่องจำได้หมดพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ก็ไม่สู้รู้จริงชั่วแวบเดียว**
พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึงใบลานเปล่า และกล่าวว่าผู้ที่เข้าถึงวิปัสสนาแท้ๆ(ไม่ใช่ท่องจำคิดเอาแต่เห็นจริง) แค่ชั่วลัดข้อนิ้วมือ นี้ยังสูงกว่าผู้ทรงฌาณอีก เพราะผลของจิตหลังจากนั้นมันจะทำให้กาย วาจา ใจ สูงขึ้นมาก ทำเหตุสะสมเพื่อน้อมไปในมรรคอันเป็นองค์มรรคแท้ๆ

ถ้าปฏิบัติจึงจะเห็นได้
- จะให้ทานบุญมากบุญน้อยช่างมันเราทำเพื่อสะสมเหตุให้ใจเราสละไม่เอาใจเข้ายึดครองสิ่งที่ตนให้และผู้รับให้ได้
- ศีลจะไม่บริสุทธิ์ จะขาด จะทะลุ จะอะไรก็ช่างมันตั้งใจทำมันทุกวันเพื่อสะสมให้เกิดความเย็นใจ อุ่นใจ มีเจตนาเป็นศีล
- จะเข้าสมาธิได้ฌาณ หรือไม่ได้ก็ช่างมัน จะถึงขั้นไหนก็ช่างมัน จะได้สุกขวิปัสโก หรือเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทา ก็ช่างมัน ให้ทำสะสมไปเรื่อยให้ละความฟุ้งซ่าน ติดใจข้องแวะน้อยลง จิตเป็นกุศลมากขึ้น จนสติมันจดจ่อในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้นาน จิตมันก็จะตั้งมั่นเป็นอารมร์เดียวได้นานตามเอง จิตอิ่มอามิสเมื่อไหร่มันก็เห็นของจริงเมื่อนั้น

- ทำก่อนให้เห็นจริง มีคุณกว่ามาเพ้อตามกระทู้กว่าเยอะ ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ได้ยิ่งดี พระป่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฤๅษี ยุคสุดท้ายในช่วงเวลานี้ยังมีอยู่ครับ และฝ่ายกรรมฐานอีกหลายสาย ปล่อยให้กระทู้เป็นเพียงบันทึกความจำตนในแต่ละรับดับการเจริญธรรมดีกว่าครับ ผมไม่ได้ว่าท่านโรสรินคนสวยนะครับ แต่ผมเชื่อว่าความรู้จากสิ่งที่คุณโรสรินเรียนจำมานี้หาคุณโรสรินเข้าถึงของจริงเมื่อไหร่นะ จะกลายเป็นโปรอภิธรรมเลยครับ สามารถอธิบายง่ายๆ ภาษาชาวบ้านได้ ไม่ต้องไปเอาวิถีจิตใดๆมาอ้างให้มาก และทุกอย่างที่คุณโรสจะกล่าวในตอนนั้นก็ล้วนเป็นของจริงด้วย

ผมติดตามคุณโรสรินคนสวย กับท่านกรัซกาย ทั้ง 2 ท่านเสมอครับ เป็นแฟนคลับอะครับ
:b27: :b27: :b27:

ขออนุโมทนาครับ

สัมมาทิฏฐิ=ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา เกิดตอนเริ่มฟังแล้วคิดตรงตามคำสอนได้จากการฟังตอนลืมตาดูหูฟัง
ปัญญาเกิดตรงข้ามกับฌานซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสมาธิหลับตาคือสภาพเพ่งเผาธัมมะฝ่ายตรงข้าม
ถ้าทำฌานจิตโดยขาดปัญญาฌานนั้นก็ทำลายสัมมาทิฏฐิเพราะไม่รู้และไม่พึ่งคิดตามคำสอนไม่เข้าใจอะไร
(ศาสนาคือคำสอน)(ศาสดาคือตถาคต)(ตถาคตยกคำสอนแทนตนเอง)=ศาสดาคือคำสอนไม่ใช่ภิกษุบุคคล
:b11:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 10:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร


สัมมาทิฏฐิ=ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา เกิดตอนเริ่มฟังแล้วคิดตรงตามคำสอนได้จากการฟังตอนลืมตาดูหูฟัง
ปัญญาเกิดตรงข้ามกับฌานซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสมาธิหลับตาคือสภาพเพ่งเผาธัมมะฝ่ายตรงข้าม
ถ้าทำฌานจิตโดยขาดปัญญาฌานนั้นก็ทำลายสัมมาทิฏฐิเพราะไม่รู้และไม่พึ่งคิดตามคำสอนไม่เข้าใจอะไร
(ศาสนาคือคำสอน)(ศาสดาคือตถาคต)(ตถาคตยกคำสอนแทนตนเอง)=ศาสดาคือคำสอนไม่ใช่ภิกษุบุคคล
:b11:
:b16: :b16:


คุณโรสพูดขัดกันเองมั้ยนะ :b32: :b32: :b32:

ทั้งเเรื่องจิตรู้ได้ทีละดวง เวลาจิตทำกิจมันไม่มีสุตะมยะปัญญาหรอกครับคุณโรส(สุตะนี้มันเป็นความรู้ที่เป็นแนวทางไม่ใช่ความรู้ที่เป็นการกระทำ ..ความรู้จากการกระทำจนเข้าใจลงใจ คือ จิตนะมยะปัญญา ถ้าไม่รู้จุดนี้ก็เข้าใจผิดหมดแล้วคุณโรส ) การทำกิจเห็นสังขารมันเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 17 ธ.ค. 2018, 19:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7506

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
Rosarin เขียน:

มิจฉาทิฏฐิคือความคิดเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความจริงไม่ตรงไม่ฟังและไม่คิดตรงตามคำสอนอยู่

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเข้าใจถูกตรงตามคำสอนตอนกำลังเห็นรู้ว่าตนเห็นผิดอย่างไร


สัมมาทิฏฐิ=ปัญญา=ญาณ=วิปัสสนา เกิดตอนเริ่มฟังแล้วคิดตรงตามคำสอนได้จากการฟังตอนลืมตาดูหูฟัง
ปัญญาเกิดตรงข้ามกับฌานซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสมาธิหลับตาคือสภาพเพ่งเผาธัมมะฝ่ายตรงข้าม
ถ้าทำฌานจิตโดยขาดปัญญาฌานนั้นก็ทำลายสัมมาทิฏฐิเพราะไม่รู้และไม่พึ่งคิดตามคำสอนไม่เข้าใจอะไร
(ศาสนาคือคำสอน)(ศาสดาคือตถาคต)(ตถาคตยกคำสอนแทนตนเอง)=ศาสดาคือคำสอนไม่ใช่ภิกษุบุคคล
:b11:
:b16: :b16:


คุณโรสพูดขัดกันเองมั้ยนะ :b32: :b32: :b32:

ทั้งเเรื่องจิตรู้ได้ทีละดวง เวลาจิตทำกิจมันไม่มีสุตะมยะปัญญาหรอกครับคุณโรส(สุตะนี้มันเป็นความรู้ที่เป็นแนวทางไม่ใช่ความรู้ที่เป็นการกระทำ ..ความรู้จากการกระทำจนเข้าใจลงใจ คือ จิตนะมยะปัญญา ถ้าไม่รู้จุดนี้ก็เข้าใจผิดหมดแล้วคุณโรส ) การทำกิจเห็นสังขารมันเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b32: :b32: :b32:

- การฟังแล้วคิดตามเสียงที่ได้ยิน มันเพียงสุตะ(ฟังรู้แนวทาง) จินตะ(ทำความเข้าใจโดยการน้อมใจไป การปฏิบัติกระทำ) เวลาที่จิตมันทำกิจเข้าองค์มรรคสัมมาทิฏฐิแท้ๆแบบอนาสวะนี้ มันไม่มีสิ่งภายนอกแล้วคุณโรส เพราะคุณโรสยังไม่เคยรับรู้จุดนี้ใช่ไหม จึงยังข้องที่ลืมตาหลับตา :b32: :b32:

- การลืมตาแล้วเห็นธรรมนี้มันเรื่องปรกตินะ ธรรมของพระพุทธเจ้าให้ผลได้ไม่จำกัดกาล จะเดินอยู่ก็ดี นั่งอยู่ ยืนอยู่ นอนลืมตาก็ดี เวลาที่จิตเดินเข้าเห็นสังขาร รูปภายนอกไม่มี เสียงไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น จิตมันรู้เฉพาะสังขารนั้นแสดงตัวให้เห็น เวลาเดินเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นมันก็จะเหมือนเดินช้าขึ้นหรือหยุดเดินแล้วก็นิ่งอยู่กับที่เลยทั้งๆที่ลืมตาแต่ไม่รับรู้สิ่งเบื้องหน้าภายนอก (ถ้าอยู่ผิดที่ผิดทางนี้ ตายตอนนั้นได้เลย) แม้แต่ขณะเอนตัวลงนอนไม่ยืน ไม่นั่ง ไม่นอน ไม่เดิน อยู่ในอิริยาบถแบบพระอานนท์ผมก็เห็นมาแล้ว เลยเข้าใจพระอานนท์เถระว่าท่านสามารถบรรลุเห็นธรรมด้วยท่านั้นได้อย่างไร ผมผ่านมาหมดแล้วครับคุณโรสจึงแนะนำจำเพราะสิ่งที่ดีที่ถูกที่คววรให้ด้วยใจเอื้อเฟื้อครับ :b32: :b32: :b32:

คุณโรสคิดว่าเวลาญาณมันเกิด คนอื่นเขาเข้าใจว่ามันเกิดเฉพาะตอนนั่งสมาธิหราครับ :b32: :b32: :b32: ขนาดนั่งหลับตาไม่รู้ภายนอกคุณโรสยังส่งจิตออกนอกได่้เลย ลืมตาจะเหลือหราครับ

- ญาณมันเกิดจากสมาธิ จึงต้องทำสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอ สัมมาสติ สติตั้งมั่นก็ จิตตั้งมั่นไม่มีอกุศลตามเป็นสัมมาสติ สัมโพธายะ สัมมาญาณ วิชชา :b32: :b32: :b32: ดังนั้นจึงต้องทำสมาธิบ่อยๆในกรรมฐาน 40 กองใดกองหนึ่ง เพื่อให้จิตมีกำลัง เวลาจิตมีกำลังมันจะไม่หวั่นไหวไปตามกิเลส มีกำลังใจดีแข็งแกกร่งไม่ไหวกระเพื่อมตามสัมผัสอยู่ร่ำไป
ซึ่งตรงนี้คนโง่จะไม่รู้ว่านั่งทำสมาธิเพื่ออะไร
- กรรมฐานทำสมาธิทั้ง 40 กอง ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เป็นการฝึกทำให้สติตั้งมั่นก่อน แล้วจิตตั้งมั่นตาม แล้วรู้เห็นตามจริง สัมมาญาณ คือญาณทัศนะ ทั้งสิ้น

สัมมาทิฏฐิแบบคุณโรสนี้ มันเป็นแบบสาสวะ คือ เหตุสะสมบุญแก่ขันธ์ ที่ฟังแล้วคิดเอาแบบคุณโรสทำอยู่นี่แหละ ก็เป็นไปตามนั้นแหละครับ ไม่ใช่องค์มรรคเป็นอนาสวะ แถมยังไม่ครบมรรค ๒ ด้วย ได้แต่สัมมาสังกัแปปะ :b32: :b32: :b32:

ส่วนที่ผมกล่าว คือ องค์มรรคแบบอนาสวะ เป็นมรรคแท้ๆ เหตุให้เข้าถึงมรรคแท้ๆนั้น ก็ต้องทำสะสมเหตุเหมือนกัน คือ
- ให้ทานถึงความสละให้ อิ่มขันธ์ เป็นจาคานุสสติ
- เจริญศีล เย็นใจ เจตนาเป็นศีล สติตั้งมั่นด้วยศีล ไม่มีเจตนาอกุศล อินทรีย์สังวร เป็นสีลานุสติ
- ทำสมาธิ ฝึกให้จิตจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน ลมหายใจสติอยู่กับลมได้นานไม่ส่งออกนอกมากเท่าไหร่จิตก็ตั้งมั่นตามสติที่รู้ลมอยู่ได้มากเท่านั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อสติและจิตตั้งมั่นได้ จิตนี้มันมีกำลังไม่หลงตามสมมติกิเลสของปลอม นี้เป็นสุจริต
- ก็พอเมื่อจิตมีกำลังสติเป็นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตจะทำหน้าที่แยกแยะความปรุงแต่งจิตแทนความระลึกรู้ มีสัมปะชัญญะที่ทำความรู้จิตตัวรู้แทนการู้ตัวรู้กิจการงานตนในปัจจุบัน เกิดการแยกกันระหว่างสังขารธรรมและจิต เข้าสู่สภาวะธรรมสังขารุเปกขาสืบต่อมาได้
- เมื่อจิตเป็นพุทโธ สังขารุเปกขาเกิด สัมมาทิฏฐิเกิดเป็นผู้รู้ รู็เห็นของจริงต่างหากจากสมมติ

- พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา พระธรรมคือคำสอน พระสงฆ์สาวกคือผู้ปฏิบัติตรงแล้วคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ ซึ่งเป็นผู้ที่นำคำสอนนั้นมาให้คุณโรสรู้จนทุกวันนี้ พระอภิธรรมประยุกต์ในทุกวันนี้ที่เรียนก็มาจากพระอนุรุทธาจารย์ คุณโรสไม่รู้หรือครับ นี่แสดงว่าคุณโรสยังต้องทำให้เห็นอีกเยอะ
- ผู้ใดเห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า พุทธพจน์พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ไม่ได้หมายถึงจำเพาะการมาอ่านมาฟังมา แต่เป็นการโอปนยิโก คือ น้อมมาสู่ตน น้อมมาสู่ตนเป็นไฉน การเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ ทำเป็นประจำ จนจิตเป็นพุทโธเกิดเข้าไปเห็นของจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอน ชื่อ ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

- ผมไม่แปลกใจที่คนสมัยนี้ตีรวนมั่ว เพราะเอาความคิดเอาไม่ใช่การเข้าถึงมาตีรวนกัน ก็เพี้ยนไปหมด พระอภิธรรมคือปัญญาเป็นของสูงจึงลงมาที่ต่ำด้วยเหตุนี้มีขายทัะ้วไปหาเอาง่ายทั่วไป ผมก็เลยไม่แปลกใจที่คุณโรสจะยังไม่เกิดสัมมาทิฏฐิแบบอนาสวะ

- ปัญญาทางโลกเขาใช้ความคิด ปัญญาทางธรรมเขาไม่ใช้ความคิดครับ ความคิดในทางธรรม คือ การจับ ปักหลัก แนบแน่นต่ออารมณ์เพื่อความรู้จริง ไม่ใช่คิด แต่ความคิดแก่ผู้เริ่มฝึกใหม่คือการกลั่นกรองแนวทางการปฏิบัติ

- ไม่ได้กล่าวว่าคุณโรสผิดนะครับ เพียงแต่ยังต้องศึกษาและปฏิบัติให้มาก ผมก็ยังต้องทำให้มาก ไม่ใช่บรรลุอรหันต์แล้วไม่ต้องศึกษาอีก วันนี้มานะทิฏฐิอาจจะบดบังปัญญาไว้ แต่เมื่อมานะทิฏฐิหายไปก็จะรู้ประโยชน์และเข้าใจในสิ่งที่ผมคุยกับคุณโรสรินคนสวยเองครับ
cool cool cool


:b12:
ตอบนะคะไม่มีอะไรขัดกัน
ถ้าขาดการฟังก็ไม่เกิดปัญญาแน่นอน
เพราะชื่อของปัญญาคือองค์ธรรมแรกคือมรรคแรกในอริยมรรค8คือสัมมาทิฏฐิ
ถ้าประมาทการฟังไม่ทำสัมมาทิฏฐิคือมรรคแรกตรงตามคำสอนแล้วมรรคที่เหลือก็เป็นมิจฉามรรคทั้งหมด
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8% ... B%E0%B8%94
:b1:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2018, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ดีแล้วครับ ขออนุโมทนาครับคุณโรสรินคนสวย

อย่าลืมทบทวนบทเรียนบ่อยๆ แล้วทำให้มากๆ และทำสมาธิบ่อยๆนะครับ แล้วเราจะได้มาคุยในสิ่งที่เป็นปัจจัตตัง ให้เจริญใจกันครับ

:b16: :b16: :b16:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7506

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
สาธุ ดีแล้วครับ ขออนุโมทนาครับคุณโรสรินคนสวย

อย่าลืมทบทวนบทเรียนบ่อยๆ แล้วทำให้มากๆ และทำสมาธิบ่อยๆนะครับ แล้วเราจะได้มาคุยในสิ่งที่เป็นปัจจัตตัง ให้เจริญใจกันครับ

:b16: :b16: :b16:


Rosarin เขียน:
sssboun เขียน:
:b8:

Quote Tipitaka:
ก็ปัญญานี้นั้นมีความสว่างเป็นลักษณะ และมีความรู้ทั่วเป็น
ลักษณะเหมือนอย่างว่า ในเรือนมีฝา ๔ ด้าน เวลากลางคืน เมื่อจุด
ประทีป ความมืดย่อมหายไป ความสว่างย่อมปรากฏ ฉันใด ปัญญามี
ความสว่างเป็นลักษณะก็ฉันนั้น. ชื่อว่าแสงสว่างที่เสมอด้วยแสงสว่างแห่ง
ปัญญา ไม่มี. ก็เมื่อผู้มีปัญญานั่งโดยบัลลังก์เดียว หมื่นโลกธาตุย่อมมี
แสงสว่างเป็นอันเดียวกัน. เพราะเหตุนั้นพระเถระจึงกล่าวว่า มหาบพิตร

บุรุษถือประทีปน้ำมันเข้าไปในเรือนที่มืด ประทีปเข้าไปแล้วย่อมกำจัด
ความมืดให้เกิดแสงสว่างส่องแสงสว่าง ทำรูปทั้งหลายให้ปรากฏได้ ฉันใด
มหาบพิตร ปัญญาก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้น ย่อมกำจัดความมืดคือ
อวิชชา ให้เกิดแสงสว่างคือวิชชา ส่องแสงแห่งญาณ ทำอริยสัจ ๔ ให้
ปรากฏได้, มหาบพิตร ปัญญามีความสว่างเป็นลักษณะอย่างนี้ทีเดียวแล

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนแพทย์ผู้ฉลาด ย่อมรู้โภชนะเป็นต้น ที่เป็น
สัปปายะ และไม่เป็นสัปปายะ ของผู้ป่วยไข้ทั้งหลาย ฉันใด ปัญญาก็ฉันนั้น
เมื่อเกิดขึ้น ย่อมรู้ทั่วซึ่งธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล ที่ควรเสพและ
ไม่ควรเสพ ที่เลวและประณีต ที่ดำและขาว และมีส่วนเปรียบ. สมจริงดัง

คำที่พระธรรมเสนาบดีกล่าวไว้ว่า ดูก่อนอาวุโส เพราะอรรถว่า ย่อมรู้ทั่ว
ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าปัญญา รู้ทั่วอะไร? รู้ทั่วว่า นี้ทุกข์ ดังนี้.คำนี้
พึงให้พิสดาร พึงทราบความที่ปัญญานั้น มีความรู้ทั่วเป็นลักษณะอย่างนี้.

อีกนัยหนึ่ง ปัญญามีการแทงตลอดตามสภาวะเป็นลักษณะ. หรือ
มีการแทงตลอดไม่ผิดพลาดเป็นลักษณะ ดุจการแทงตลอดของลูกธนู
ของผู้ฉลาด, มีความสว่างในอารมณ์เป็นรส ดุจประทีป มีความไม่ลุ่มหลง
เป็นปัจจุปปัฏฐาน ดุจคนชำนาญป่าไปป่า ฉะนั้น.
:b8:


Kiss
อ่านแล้วเข้าใจไหมคะว่าหนทางอันเอกคือสุตะ
เข้าใจไหมคะว่าแสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี
และทราบไหมคะสุตมยปัญญาเกิดในความมืดตรงขณะ
อบรมจิตจากฟังได้ทีละนิดผ่านที่ประชุมรวมกันครบ6ทางNOW
ตรงทางตามเสียงทีละคำแต่ละ1ทางที่กำลังได้ยินเข้าใจถูกที่กาย
เป็นปัจจุบันขณะก่อนสภาพธรรมแต่ละ1ทางจะดับคือปัจจุปปัฏฐาน
จิตเห็นทางเดียวที่รู้แจ้งจิตทางอื่นๆเกิดในมืดและปัญญาแรกเกิดจากจิตได้ยิน
สติปัญญาคือการระลึกตามได้ตรงปัจจุบันธรรมเป็นปัจจุบันอารมณ์รู้ทั่วถึง6ทางก่อนดับ
ฟังพระพุทธพจน์พร้อมเพิกถอนอิริยาบทเพื่อระลึกตามคำสอนตรงขณะตอนกำลังฟังคือพึ่งพระรัตนตรัย
พึ่งคิดตามคำตถาคตทีละคำตรงทางตรงปรมัตถะสัจจะตรงวิสยรูป7เป็นจิตรู้นามหรือจิตรู้รูปตรงจริงขณะฟัง
https://youtu.be/v321dn9mqZg
:b11:
:b16: :b16:

อ้างอิงจากกระทู้56839เรื่องธรรมที่ควรพิจารณา ทรงจำ และนำไปปฏิบัติเพื่อทางที่ถูกต้อง
viewtopic.php?f=1&t=56839&start=15


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 20:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:

คุณโรสพูดขัดกันเองมั้ยนะ :b32: :b32: :b32:

ทั้งเเรื่องจิตรู้ได้ทีละดวง เวลาจิตทำกิจมันไม่มีสุตะมยะปัญญาหรอกครับคุณโรส(สุตะนี้มันเป็นความรู้ที่เป็นแนวทางไม่ใช่ความรู้ที่เป็นการกระทำ ..ความรู้จากการกระทำจนเข้าใจลงใจ คือ จิตนะมยะปัญญา ถ้าไม่รู้จุดนี้ก็เข้าใจผิดหมดแล้วคุณโรส ) การทำกิจเห็นสังขารมันเป็นภาวนามยปัญญาแล้ว :b32: :b32: :b32:

- การฟังแล้วคิดตามเสียงที่ได้ยิน มันเพียงสุตะ(ฟังรู้แนวทาง) จินตะ(ทำความเข้าใจโดยการน้อมใจไป การปฏิบัติกระทำ) เวลาที่จิตมันทำกิจเข้าองค์มรรคสัมมาทิฏฐิแท้ๆแบบอนาสวะนี้ มันไม่มีสิ่งภายนอกแล้วคุณโรส เพราะคุณโรสยังไม่เคยรับรู้จุดนี้ใช่ไหม จึงยังข้องที่ลืมตาหลับตา :b32: :b32:

- การลืมตาแล้วเห็นธรรมนี้มันเรื่องปรกตินะ ธรรมของพระพุทธเจ้าให้ผลได้ไม่จำกัดกาล จะเดินอยู่ก็ดี นั่งอยู่ ยืนอยู่ นอนลืมตาก็ดี เวลาที่จิตเดินเข้าเห็นสังขาร รูปภายนอกไม่มี เสียงไม่มี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น จิตมันรู้เฉพาะสังขารนั้นแสดงตัวให้เห็น เวลาเดินเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นมันก็จะเหมือนเดินช้าขึ้นหรือหยุดเดินแล้วก็นิ่งอยู่กับที่เลยทั้งๆที่ลืมตาแต่ไม่รับรู้สิ่งเบื้องหน้าภายนอก (ถ้าอยู่ผิดที่ผิดทางนี้ ตายตอนนั้นได้เลย) แม้แต่ขณะเอนตัวลงนอนไม่ยืน ไม่นั่ง ไม่นอน ไม่เดิน อยู่ในอิริยาบถแบบพระอานนท์ผมก็เห็นมาแล้ว เลยเข้าใจพระอานนท์เถระว่าท่านสามารถบรรลุเห็นธรรมด้วยท่านั้นได้อย่างไร ผมผ่านมาหมดแล้วครับคุณโรสจึงแนะนำจำเพราะสิ่งที่ดีที่ถูกที่คววรให้ด้วยใจเอื้อเฟื้อครับ :b32: :b32: :b32:

คุณโรสคิดว่าเวลาญาณมันเกิด คนอื่นเขาเข้าใจว่ามันเกิดเฉพาะตอนนั่งสมาธิหราครับ :b32: :b32: :b32: ขนาดนั่งหลับตาไม่รู้ภายนอกคุณโรสยังส่งจิตออกนอกได่้เลย ลืมตาจะเหลือหราครับ

- ญาณมันเกิดจากสมาธิ จึงต้องทำสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เสมอ สัมมาสติ สติตั้งมั่นก็ จิตตั้งมั่นไม่มีอกุศลตามเป็นสัมมาสติ สัมโพธายะ สัมมาญาณ วิชชา :b32: :b32: :b32: ดังนั้นจึงต้องทำสมาธิบ่อยๆในกรรมฐาน 40 กองใดกองหนึ่ง เพื่อให้จิตมีกำลัง เวลาจิตมีกำลังมันจะไม่หวั่นไหวไปตามกิเลส มีกำลังใจดีแข็งแกกร่งไม่ไหวกระเพื่อมตามสัมผัสอยู่ร่ำไป
ซึ่งตรงนี้คนโง่จะไม่รู้ว่านั่งทำสมาธิเพื่ออะไร
- กรรมฐานทำสมาธิทั้ง 40 กอง ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เป็นการฝึกทำให้สติตั้งมั่นก่อน แล้วจิตตั้งมั่นตาม แล้วรู้เห็นตามจริง สัมมาญาณ คือญาณทัศนะ ทั้งสิ้น

สัมมาทิฏฐิแบบคุณโรสนี้ มันเป็นแบบสาสวะ คือ เหตุสะสมบุญแก่ขันธ์ ที่ฟังแล้วคิดเอาแบบคุณโรสทำอยู่นี่แหละ ก็เป็นไปตามนั้นแหละครับ ไม่ใช่องค์มรรคเป็นอนาสวะ แถมยังไม่ครบมรรค ๒ ด้วย ได้แต่สัมมาสังกัแปปะ :b32: :b32: :b32:

ส่วนที่ผมกล่าว คือ องค์มรรคแบบอนาสวะ เป็นมรรคแท้ๆ เหตุให้เข้าถึงมรรคแท้ๆนั้น ก็ต้องทำสะสมเหตุเหมือนกัน คือ
- ให้ทานถึงความสละให้ อิ่มขันธ์ เป็นจาคานุสสติ
- เจริญศีล เย็นใจ เจตนาเป็นศีล สติตั้งมั่นด้วยศีล ไม่มีเจตนาอกุศล อินทรีย์สังวร เป็นสีลานุสติ
- ทำสมาธิ ฝึกให้จิตจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน ลมหายใจสติอยู่กับลมได้นานไม่ส่งออกนอกมากเท่าไหร่จิตก็ตั้งมั่นตามสติที่รู้ลมอยู่ได้มากเท่านั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อสติและจิตตั้งมั่นได้ จิตนี้มันมีกำลังไม่หลงตามสมมติกิเลสของปลอม นี้เป็นสุจริต
- ก็พอเมื่อจิตมีกำลังสติเป็นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตจะทำหน้าที่แยกแยะความปรุงแต่งจิตแทนความระลึกรู้ มีสัมปะชัญญะที่ทำความรู้จิตตัวรู้แทนการู้ตัวรู้กิจการงานตนในปัจจุบัน เกิดการแยกกันระหว่างสังขารธรรมและจิต เข้าสู่สภาวะธรรมสังขารุเปกขาสืบต่อมาได้
- เมื่อจิตเป็นพุทโธ สังขารุเปกขาเกิด สัมมาทิฏฐิเกิดเป็นผู้รู้ รู็เห็นของจริงต่างหากจากสมมติ

- พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา พระธรรมคือคำสอน พระสงฆ์สาวกคือผู้ปฏิบัติตรงแล้วคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ ซึ่งเป็นผู้ที่นำคำสอนนั้นมาให้คุณโรสรู้จนทุกวันนี้ พระอภิธรรมประยุกต์ในทุกวันนี้ที่เรียนก็มาจากพระอนุรุทธาจารย์ คุณโรสไม่รู้หรือครับ นี่แสดงว่าคุณโรสยังต้องทำให้เห็นอีกเยอะ
- ผู้ใดเห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า พุทธพจน์พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ไม่ได้หมายถึงจำเพาะการมาอ่านมาฟังมา แต่เป็นการโอปนยิโก คือ น้อมมาสู่ตน น้อมมาสู่ตนเป็นไฉน การเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ ทำเป็นประจำ จนจิตเป็นพุทโธเกิดเข้าไปเห็นของจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอน ชื่อ ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

- ผมไม่แปลกใจที่คนสมัยนี้ตีรวนมั่ว เพราะเอาความคิดเอาไม่ใช่การเข้าถึงมาตีรวนกัน ก็เพี้ยนไปหมด พระอภิธรรมคือปัญญาเป็นของสูงจึงลงมาที่ต่ำด้วยเหตุนี้มีขายทัะ้วไปหาเอาง่ายทั่วไป ผมก็เลยไม่แปลกใจที่คุณโรสจะยังไม่เกิดสัมมาทิฏฐิแบบอนาสวะ

- ปัญญาทางโลกเขาใช้ความคิด ปัญญาทางธรรมเขาไม่ใช้ความคิดครับ ความคิดในทางธรรม คือ การจับ ปักหลัก แนบแน่นต่ออารมณ์เพื่อความรู้จริง ไม่ใช่คิด แต่ความคิดแก่ผู้เริ่มฝึกใหม่คือการกลั่นกรองแนวทางการปฏิบัติ

- ไม่ได้กล่าวว่าคุณโรสผิดนะครับ เพียงแต่ยังต้องศึกษาและปฏิบัติให้มาก ผมก็ยังต้องทำให้มาก ไม่ใช่บรรลุอรหันต์แล้วไม่ต้องศึกษาอีก วันนี้มานะทิฏฐิอาจจะบดบังปัญญาไว้ แต่เมื่อมานะทิฏฐิหายไปก็จะรู้ประโยชน์และเข้าใจในสิ่งที่ผมคุยกับคุณโรสรินคนสวยเองครับ
cool cool cool


:b16: :b16: :b16:

เอกอนชอบ สำบัดสำนวน ผักกาด ตรงนี้ง่ะ

:b32: ขนาดนั่งหลับตาไม่รู้ภายนอก....ยังส่งจิตออกนอกได่้เลย ลืมตาจะเหลือหราครับ

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
ลองฟังคลิปนี้ให้จบฟังว่าพระภิกษุที่มาสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯกล่าวอะไรให้เข้าใจได้บ้างนะคะ
https://youtu.be/XHkG7EOodUY
:b12:
:b16: :b16:


สำนักนี้มีฝีมือเลือกมวยมาขึ้นสังเวียนด้วยได้แค่นี้เหร๋อ
ดิ้นรนทำได้แค่นี้เองเหร๋อ

:b6: :b6: :b6:

ทำอะไรกันบ้าจี้จังเลย ... คิดได้ไงเนี๊ยะ

:b1:

ยิ่งเผยแพร่ยิ่งแสดงถึงฝีมือของสำนักนี้นะ

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 ธ.ค. 2018, 21:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

คุณ Rosarin ลองคิดดูสิครับ หากมีเพียงการฟังแล้ว
บรรลุธรรมแบบไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย นั้นมิเข้าข่ายดีกว่า
พระอริยเจ้าทั้งหลายหรือครับ บางท่านกว่าจะสำเร็จต้องเอา
ชีวิตเข้าแรกเลยนะครับ แม้พระพุทธเจ้าเองกว่าจะสำเร็จก็มิได้
เพียงแต่ฟังแล้วพิจารณา แม้พระองค์ก็ยังต้องปฏิบัติเช่นกันครับ

หากง่ายอย่างคุณ Rosarin ผมว่าพระอริยะเจ้าเต็มจนเดินชนกัน
แล้วล่ะครับ จริงมั้ย s006 s006 s006

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

คุณ Rosarin ลองคิดดูสิครับ หากมีเพียงการฟังแล้ว
บรรลุธรรมแบบไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย นั้นมิเข้าข่ายดีกว่า
พระอริยเจ้าทั้งหลายหรือครับ บางท่านกว่าจะสำเร็จต้องเอา
ชีวิตเข้าแรกเลยนะครับ แม้พระพุทธเจ้าเองกว่าจะสำเร็จก็มิได้
เพียงแต่ฟังแล้วพิจารณา แม้พระองค์ก็ยังต้องปฏิบัติเช่นกันครับ

หากง่ายอย่างคุณ Rosarin ผมว่าพระอริยะเจ้าเต็มจนเดินชนกัน
แล้วล่ะครับ จริงมั้ย s006 s006 s006

:b8:


:b32: ที่นั่งกันอยู่ในห้องคงเป็นพระอริยะเจ้ากันหมดแล้ว :b32:

ฟังกันมากซะจนไม่เอะใจกันเองเลย

:b1:

อวยกันได้แต่ในเวทีปิด ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2018, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อีกประการหนึ่ง หากฟังอย่างเดียวแล้วปัญญาเกิดตัด
กิเลสได้ง่ายเช่นนั้น พระไตรปิฏกจะมีมากมายมาทำไมและ
ที่สำคัญในนั้นท่านก็บอกวิธีปฏิบัติแบบต่างๆมากมายไว้ด้วย

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 482 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 33  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร