วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 07:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้เล่นของสูง :b32: เหตุมาจาก

อ้างคำพูด:
นิพพานแล้วไปไหนคะ
อยากทราบว่านิพพานแล้วไปไหนคะ บ้างก็บอกนิพพานแล้วไปสวรรค์​ บ้างก็บอกนิพพานคือการดับสูญ​ ขอคนรู้จริงๆอ้างจากพระคัมภีย์พระไตรปิฎกเลยค่ะ​ หรืออ้างจากพระวจนะของพระพุทธเจ้า​ ถ้าพระรูปอื่นบอกหรืออ่านตามกระทู้อื่นๆแล้วเราจะรู้จะเชื่อได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ​ โดยส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อเรื่องการนิมิตการดูดวงการฝันเห็นแล้วนำมาบอกเล่าเท่าไร​ เพราะคิดว่ายังไม่ค่อยมีความชัดเจน

https://pantip.com/topic/37960579



อ้างคำพูด:
กรัชกาย
คุณโรสลองไปดูดิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
นิพพานพ้นโลก
โลกคือสิ่งที่เกิดดับ
นิพพานจึงพ้นสิ่งที่เกิดดับไงคะ

viewtopic.php?f=1&t=55490&p=424939#p424939


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
นิพพานพ้นโลก โลกสิ่งที่เกิดดับ

จะพูดวกวนให้มันไกลตัวทำไม ก็พูดตรงๆเสียว่า นิพพานคือดับทุกข์ดับกิเลสดับตัณหาอุปาทานในจิตในใจตนได้แล้ว แค่นี้คนกลัวทุกข์ไม่อยากเป็นทุกข์ จะได้เร่งปฏิบัติไปให้ถึงนิพพานกัน คิกๆๆ

ศัพท์ นิพพาน ของเขา มันก็บอกอยู่แล้ว ว่า ออกไปจากตัณหา ไม่มีตัณหา (นิ+วาน แปลง ว. เป็น พ ซ้อน พ =นิพพาน) ไม่ต้องไปไหนหรอก นั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ ถ้าดับทุกข์ได้กำจัดตัณหาได้ มันก็นิพพาน ก็เท่ากับนิโรธ พูดก็สั้นๆแค่นี้ แต่ทำสิมันยากกกกก


อ้างคำพูด:
Rosarin
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่หมดอยากแล้วเพราะรู้แล้ว
อยากถึงนั้นถึงนิพพานไม่ได้เพราะอยากถึงอยู่
จึงคิดไปทำไงคะแต่ลืมไปว่าต้องฟังคำสอน
จึงเป็นสาวกคือทำพหุสุตะ
ทำมานับชาติไม่ถ้วนแล้วค่ะ
ที่ยังไม่ทำคือฟังพระพุทธพจน์
เพราะมีทิฏฐิมานะถือตนว่าคนพูด
ไม่ใช่พระพุทธเจ้า555ไม่ฟังก็ไม่รู้ไงคะ
คำที่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏคือคำสัจจะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานถ้าพูดแล้วมีนิดเดียว พูดนะนิดเดียว แต่ถ้าทำแล้วละก็นิพพานใหญ่มากกกกกก :b16:

นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์

นิรฺวาณมฺ ความดับ เป็นคำสันสกฤต เทียบกับภาษาบาลี ก็ได้แก่ศัพท์ว่า นิพพาน นั่นเอง ปัจจุบันนิยมใช้เพียงว่า นิรวาณ กับ นิรวาณะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กระทู้นี้เล่นของสูง :b32: เหตุมาจาก

อ้างคำพูด:
นิพพานแล้วไปไหนคะ
อยากทราบว่านิพพานแล้วไปไหนคะ บ้างก็บอกนิพพานแล้วไปสวรรค์​ บ้างก็บอกนิพพานคือการดับสูญ​ ขอคนรู้จริงๆอ้างจากพระคัมภีย์พระไตรปิฎกเลยค่ะ​ หรืออ้างจากพระวจนะของพระพุทธเจ้า​ ถ้าพระรูปอื่นบอกหรืออ่านตามกระทู้อื่นๆแล้วเราจะรู้จะเชื่อได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ​ โดยส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อเรื่องการนิมิตการดูดวงการฝันเห็นแล้วนำมาบอกเล่าเท่าไร​ เพราะคิดว่ายังไม่ค่อยมีความชัดเจน

https://pantip.com/topic/37960579



อ้างคำพูด:
กรัชกาย
คุณโรสลองไปดูดิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
นิพพานพ้นโลก
โลกคือสิ่งที่เกิดดับ
นิพพานจึงพ้นสิ่งที่เกิดดับไงคะ

viewtopic.php?f=1&t=55490&p=424939#p424939


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
นิพพานพ้นโลก โลกสิ่งที่เกิดดับ

จะพูดวกวนให้มันไกลตัวทำไม ก็พูดตรงๆเสียว่า นิพพานคือดับทุกข์ดับกิเลสดับตัณหาอุปาทานในจิตในใจตนได้แล้ว แค่นี้คนกลัวทุกข์ไม่อยากเป็นทุกข์ จะได้เร่งปฏิบัติไปให้ถึงนิพพานกัน คิกๆๆ

ศัพท์ นิพพาน ของเขา มันก็บอกอยู่แล้ว ว่า ออกไปจากตัณหา ไม่มีตัณหา (นิ+วาน แปลง ว. เป็น พ ซ้อน พ =นิพพาน) ไม่ต้องไปไหนหรอก นั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ ถ้าดับทุกข์ได้กำจัดตัณหาได้ มันก็นิพพาน ก็เท่ากับนิโรธ พูดก็สั้นๆแค่นี้ แต่ทำสิมันยากกกกก


อ้างคำพูด:
Rosarin
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่หมดอยากแล้วเพราะรู้แล้ว
อยากถึงนั้นถึงนิพพานไม่ได้เพราะอยากถึงอยู่
จึงคิดไปทำไงคะแต่ลืมไปว่าต้องฟังคำสอน
จึงเป็นสาวกคือทำพหุสุตะ
ทำมานับชาติไม่ถ้วนแล้วค่ะ
ที่ยังไม่ทำคือฟังพระพุทธพจน์
เพราะมีทิฏฐิมานะถือตนว่าคนพูด
ไม่ใช่พระพุทธเจ้า555ไม่ฟังก็ไม่รู้ไงคะ
คำที่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏคือคำสัจจะ

:b32:
แค่อ่านคำว่านิพพาน
อยากถึงจึงไปทำไม่มีทางถึงน๊า
เพราะนิพพานถึงด้วยหมดอยากทำดับโลภะ
มีตัวตนเร่งทำน่ะลืมคำสอนว่าทำสุตมยปัญญาไงคะ
เพราะทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงปัจจุบันขณะทุกคำเลย
แล้วทำอะไรกันอยู่ถึงนิ่งนอนใจเพราะทุกอย่างมีแล้วตรงตามที่ตรัสไว้แล้ว
เพียรรู้ความจริงจากการฟังทีละคำให้รอบรู้ทุกคำหรือยังเอาแค่คำว่าธัมมะคำเดียว
รู้หรือเปล่าว่าพูดตามคำว่าธัมมะได้แต่นัยยะที่เป็นสัจจะคือตถาคตตรัสทุกคำจริงทั้งหมด
ตนไม่รู้อะไรเลยเลือกจำบัญญัติคำและความหมายที่ไม่เป็นความจริงที่ตนกำลังมีแล้วจะมีปัญญาตนไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ คือนิพพาน


วางหลักอริยสัจ ๔ เทียบด้วย

ทุกข์ (ทุกขอริยสัจ) ปัญหาคือทุกข์มนุษย์
สมุทัย (ทุกขสมุทัยอริยสัจ) ตัณหา
นิโรธ ( ทุกขนิโรธอริยสัจ) นิพพาน
มรรค ( ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) วิธีปฏิบัติ, ข้อปฏิบัติ

๑. ทุกข์เป็นผล
๒. สมุทัยเป็นเหตุ

๓. นิโรธเป็นผล
๔. มรรคเป็นเหตุ

ปฏิบัติข้อ ๔ ข้อเดียวมันโยงถึงกันหมด ขอแต่ทำให้ถูกเถอะ ปฏิบัติให้ถูกเถอะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กระทู้นี้เล่นของสูง :b32: เหตุมาจาก

อ้างคำพูด:
นิพพานแล้วไปไหนคะ
อยากทราบว่านิพพานแล้วไปไหนคะ บ้างก็บอกนิพพานแล้วไปสวรรค์​ บ้างก็บอกนิพพานคือการดับสูญ​ ขอคนรู้จริงๆอ้างจากพระคัมภีย์พระไตรปิฎกเลยค่ะ​ หรืออ้างจากพระวจนะของพระพุทธเจ้า​ ถ้าพระรูปอื่นบอกหรืออ่านตามกระทู้อื่นๆแล้วเราจะรู้จะเชื่อได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ​ โดยส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อเรื่องการนิมิตการดูดวงการฝันเห็นแล้วนำมาบอกเล่าเท่าไร​ เพราะคิดว่ายังไม่ค่อยมีความชัดเจน

https://pantip.com/topic/37960579



อ้างคำพูด:
กรัชกาย
คุณโรสลองไปดูดิ


อ้างคำพูด:
Rosarin
นิพพานพ้นโลก
โลกคือสิ่งที่เกิดดับ
นิพพานจึงพ้นสิ่งที่เกิดดับไงคะ

viewtopic.php?f=1&t=55490&p=424939#p424939


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
นิพพานพ้นโลก โลกสิ่งที่เกิดดับ

จะพูดวกวนให้มันไกลตัวทำไม ก็พูดตรงๆเสียว่า นิพพานคือดับทุกข์ดับกิเลสดับตัณหาอุปาทานในจิตในใจตนได้แล้ว แค่นี้คนกลัวทุกข์ไม่อยากเป็นทุกข์ จะได้เร่งปฏิบัติไปให้ถึงนิพพานกัน คิกๆๆ

ศัพท์ นิพพาน ของเขา มันก็บอกอยู่แล้ว ว่า ออกไปจากตัณหา ไม่มีตัณหา (นิ+วาน แปลง ว. เป็น พ ซ้อน พ =นิพพาน) ไม่ต้องไปไหนหรอก นั่งหัวโด่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ ถ้าดับทุกข์ได้กำจัดตัณหาได้ มันก็นิพพาน ก็เท่ากับนิโรธ พูดก็สั้นๆแค่นี้ แต่ทำสิมันยากกกกก


อ้างคำพูด:
Rosarin
นิพพานเป็นสภาพธรรมที่หมดอยากแล้วเพราะรู้แล้ว
อยากถึงนั้นถึงนิพพานไม่ได้เพราะอยากถึงอยู่
จึงคิดไปทำไงคะแต่ลืมไปว่าต้องฟังคำสอน
จึงเป็นสาวกคือทำพหุสุตะ
ทำมานับชาติไม่ถ้วนแล้วค่ะ
ที่ยังไม่ทำคือฟังพระพุทธพจน์
เพราะมีทิฏฐิมานะถือตนว่าคนพูด
ไม่ใช่พระพุทธเจ้า555ไม่ฟังก็ไม่รู้ไงคะ
คำที่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏคือคำสัจจะ

:b32:
แค่อ่านคำว่านิพพาน
อยากถึงจึงไปทำไม่มีทางถึงน๊า

เพราะนิพพานถึงด้วยหมดอยากทำดับโลภะ
มีตัวตนเร่งทำน่ะลืมคำสอนว่าทำสุตมยปัญญาไงคะ
เพราะทุกคำในพระไตรปิฎกมีตรงปัจจุบันขณะทุกคำเลย
แล้วทำอะไรกันอยู่ถึงนิ่งนอนใจเพราะทุกอย่างมีแล้วตรงตามที่ตรัสไว้แล้ว
เพียรรู้ความจริงจากการฟังทีละคำให้รอบรู้ทุกคำหรือยังเอาแค่คำว่าธัมมะคำเดียว
รู้หรือเปล่าว่าพูดตามคำว่าธัมมะได้แต่นัยยะที่เป็นสัจจะคือตถาคตตรัสทุกคำจริงทั้งหมด
ตนไม่รู้อะไรเลยเลือกจำบัญญัติคำและความหมายที่ไม่เป็นความจริงที่ตนกำลังมีแล้วจะมีปัญญาตนไหมคะ



ทำนองเดียวกัน ฟังคลิปแม่สุจินแล้วอยาก อยากถึงนิพพานอยากหมดกิเลส แต่ไม่ทำมันก็ไม่ถึงนิพพาน กิเลสมันก็ไม่หมดน๊า

มันต้องทำต้องปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานแล้วก็ปฏิบัติให้ถูก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฏฐานในฐานะสัมมาสติ

สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติบ้าง การที่สติเข้าไปตั้งอยู่ คือมีสติกำกับอยู่บ้าง ฯลฯ ว่าโดยหลักการก็ คือ การใช้สติ หรือวิธีปฏิบัติเพื่อใช้สติให้บังเกิดผลดีที่สุด ดังความแห่งพุทธพจน์ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นโสกะ และปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรมรรค เพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งนิพพาน นี้คือสติปัฏฐาน ๔" (ที.ม.10/273/245 ฯลฯ)

การเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมาก และยกย่องนับถือกันอย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว ผู้ปฏิบัติอาจเจริญสมถะจนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานไปจนถึงที่สุดก็ได้ หรือจะอาศัยสมาธิเพียงขั้นต้นๆ เท่าที่จำเป็นมาประกอบ เจริญวิปัสสนาเป็นตัวนำตามแนวสติปัฏฐานนี้ ไปจนถึงที่สุดก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แค่อ่านคำว่านิพพาน

อยากถึงจึงไปทำ ไม่มีทางถึงน๊า เพราะนิพพานถึงด้วยหมดอยากทำดับโลภะ

มีตัวตนเร่งทำน่ะ ลืมคำสอนว่าทำสุตมยปัญญาไงคะ


คุณโรสเข้าใจผิดคิดไปว่า ความอยากทำ อยากทำนั่นอยากทำนี่เป็นตัณหา เป็นโลภะไปหมด เป็นความเข้าใจพุทธธรรมผิดสุดกู่ทีเดียว คิดอย่างนี้ ก็ไม่ต้องอยากทำอะไรกันเลยชิมิ คุณโรส เช่น อยากไปทำบุญก็ไม่ได้ อยากเดินจงกรมก็ไม่ได้ อยากทำกัมมัฏฐานเป็นต้นก็ไม่ได้ ใช่ไหมขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 15:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กัตตุกัมยตาฉันทะ ความพอใจคือความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ, ความต้องการที่จะทำ ได้แก่ ฉันทะที่เป็นกลางๆ ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ แต่โดยทั่วไปหมายถึงฉันทะที่เป็นกุศล หรือกุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ ต่างจากกามฉันทะที่เป็นแต่ฝ่ายอกุศล

กามฉันท์, กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป เป็นต้น, ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวะของนิพพาน

เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ คือนิพพาน


ตามปกติของปุถุชน อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ย่อมคอยครอบงำ เคลือบแฝงจิตใจ กำบังปัญญา และเป็นตัวชักใยนำเอากิเลสต่างๆ ให้ไหลเข้ามาสู่จิตใจ ทำใจให้ไหว ให้วุ่น ให้ขุ่น ให้มัว ให้ฝ้าหมอง ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ชัดบ้าง ให้บิดเบือนไปเสียบ้าง ตลอดจนถ่วงดึงเหนี่ยวรั้งไว้ให้วนเวียนติดตังข้องขัดและคับแคบอยู่กับ เครื่องผูกมัดหน่วงเหนี่ยวชนิดต่างๆ

เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทาน นั้นดับหายไปแล้ว ก็เกิดปัญญา เป็นวิชชาสว่างแจ้งขึ้น มองเห็นสิ่งทั้งหลาย กล่าวคือ โลกและชีวิตถูกต้องชัดเจนตามที่มันเป็นของมัน ไม่ใช่ตามที่อยากให้มันเป็น หรือ ตามอิทธิพลของสิ่งเคลือบแฝงกำบัง
การมองเห็น การรับรู้ต่อโลกและชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ความรู้สึก และท่าทีต่อสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป ยังผลให้บุคลิกภาพเปลี่ยนไปด้วย

สิ่งที่ปรากฏอยู่ แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือแม้แต่นึกถึง เพราะถูกปิดกั้น คลุมบังเงาไว้ หรือเพราะมัวสาระวนเพลินอยู่กับสิ่งอื่น ก็ได้รู้ได้เห็นขึ้น เกิดเป็นความรู้เห็นใหม่ๆ จิตใจเปิดเผยกว้างขวางไม่มีประมาณ โปร่งโล่ง เป็นอิสระ เป็นภาวะที่แจ่มใส สะอาด สว่าง สงบ ละเอียดอ่อน ประณีต ลึกซึ้ง ซึ่งผู้ยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ครอบงำใจอยู่ อย่างที่เรียกกันว่า ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ
แต่เข้าถึงเมื่อใด ก็รู้เห็นประจักษ์แจ้งเองเมื่อนั้น ดังคุณบท คือ คำแสดงคุณลักษณะของนิพพานว่า

“นิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล เรียกให้มาดูได้ ควรน้อมเอาเข้ามาไว้ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน” *(องฺ.ติก. 20/495/202)

........

@ พึงสังเกตว่า คุณบท ๕ อย่างของนิพพาน ตรงกับคุณบท ๕ ข้อสุดท้ายของพระธรรม ทั้งนี้สอดคล้องกับความที่ท่านอธิบายกันมาว่า
คุณบทข้อที่ ๑ ของพระธรรม (สฺวากฺขาโต) เป็นคุณลักษณะของพระธรรมส่วนที่เป็นคำสั่งสอน ที่ต่อมาเรียกว่า ปริยัติธรรม คือธรรมอันพึงเล่าเรียน
คุณบทข้อที่ ๒ ถึง ๖ สนฺทิฏฺฐิโก ถึง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ) เป็นคุณลักษณะของโลกุตรธรรมโดยเฉพาะ (วิสุทฺธิ. 1/273)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 30 มิ.ย. 2020, 15:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุถุชน คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส, คนที่ยังมีกิเลสมาก หมายถึงคนธรรมดาทั่วๆไป ซึ่งยังไม่เป็นอริยบุคคลหรือพระอริยะ; บุถุชน ก็เขียน

บุคคล "ผู้กลืนกินอาหารอันทำอายุให้ครบเต็ม" คนแต่ละคน, คนรายตัว, อัตตา, อาตมัน, ในพระวินัย โดยเฉพาะในสังฆกรรม หมายถึง ภิกษุรูปเดียว

บุทคล บุคคล (เขียนอย่างสันสกฤต)

ปปัญจ กิเลสเครื่องเนิ่นช้า, กิเลสที่ปั่นให้เชือนแชชักช้าในสังสารวัฏ หรือ ปั่นสังสารวัฏให้เวียนวนยืดเรื้อ, กิเลสที่เป็นตัวการปั่นเรื่องทำให้คิดปรุงแต่งยืดเยื้อแผกเพี้ยนพิสดาร พาให้เขวออกไปจากความเป็นจริง และก่อปัญหาความยุ่งยากเดือดร้อนเพิ่มขยายทุกข์ มี ๓ คือ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ

โสกะ ความเศร้าโศก ได้แก่ ความแห้งใจ เช่น เมื่อสูญเสียญาติ เป็นต้น (บาลี โสก สันสกฤต โศก)

ปริเทวะ ความคร่ำครวญหรือร่ำไร ได้แก่ บ่นเพ้อไปต่างๆ เช่น เมื่อสูญเสียญาติ เป็นต้น

ทุกข์ ความทุกข์กาย ได้แก่ เจ็บปวด เช่น กายบาดเจ็บ ถูกบีบคั้น เป็นโรค เป็นต้น

โทมนัส ความทุกข์ใจ ได้แก่ เจ็บปวดรวดร้าวใจ ที่ทำให้ร้องไห้ ตีอกชกหัว ลงดิ้น เชือดตนเอง กินยาพิษ ผูกคอตาย เป็นต้น

อุปายาส ความคับแค้น หรือสิ้นหวัง ได้แก่ เร่าร้อนทอดถอนใจ ในเมื่อความโศกเศร้าเพิ่มทวี เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สฺวากฺขาโต (พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสดีแล้ว คือ ตรัสไว้เป็นความจริง ไม่วิปริต งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด สัมพันธ์สอดคล้องกันทั่วตลอด ประกาศพรหมจริยะ คือ ทางดำเนินชีวิตอันประเสริฐ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

สนฺทิฏฺฐิโก (พระธรรมอันผู้ได้บรรลุ) เห็นเองรู้เอง ประจักษ์แจ้งกับตน ไม่ต้องขึ้นต่อผู้อื่น ไม่ต้องเชื่อต่อถ้อยคำของใคร (ข้อ ๒ ในธรรมคุณ ๖); เมื่อมาด้วยกันกับ สมฺปรายิโก (ใช้เป็นคำไทย มีรูป เป็น สัมปรายิกะ) ซึ่งแปลว่า เลยไปเบื้องหน้า หรือเลยตาเห็น (เช่น ม.มู.12/198/169) สนฺทิฏฺฐิโกนี้ (สันทิฏฐิกะ) แปลว่า เป็นปัจจุบัน เห็นทันตา หรือเห็นกับตา

อกาลิโก (พระธรรม) ไม่ประกอบด้วยกาล, ให้ผลไม่จำกัดกาล คือไม่ขึ้นกับกาลเวลา ไม่จำกัดด้วยกาล ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา ทุกโอกาส บรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น ไม่เหมือนผลไม้ที่ให้ผลตามฤดู, อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นจริงอยู่อย่างไร ก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป

เอหิปสฺสิโก (พระธรรม) ควรเรียกให้มาดู คือ เชิญชวนให้มาชม เหมือนของดีวิเศษที่ควรป่าวร้องให้มาดู หรือท้าทายต่อการพิสูจน์ เพราะเป็นของจริงและดีจริง

โอปนยิโก (พระธรรม) ควรน้อมเข้ามาไว้ในใจ หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึงด้วยการปฏิบัติให้เกิดขึ้นในใจ หรือให้ใจบรรลุถึงอย่างนั้น

ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ (พระธรรม) อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ผู้อื่นไม่พลอยตามรู้ตามเห็นด้วย เหมือนรสอาหาร ผู้บริโภคเท่านั้นจึงจะรู้รส ผู้ไม่ได้บริโภคจะพลอยรู้รสด้วยไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ ทำเอาคุณโรสจำบ้านเลขไม่ได้ คือ กลับสำนักไม่ถูกเบย คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนรู้ศัพท์และความหมายไปด้วย


อัตถะ 1. ประโยชน์, ผลที่มุ่งหมาย, จุดหมาย,

อัตถะ ๓ คือ

๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ปัจจุบัน, ประโยชน์ในภพนี้

๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้า, ประโยชน์ในภพหน้า

๓. ปรมัตถะ ประโยชน์อย่างยิ่ง, ประโยชน์สูงสุด คือ พระนิพพาน

อัตถะ ๓ อีกหมวดหนึ่ง คือ

๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน

๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น

๓. อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

2. ความหมาย, ความหมายแห่งพุทธพจน์, พระสูตร พระธรรมเทศนา หรือพุทธพจน์ ว่าโดยการแปลความหมาย แยกเป็น อัตถะ ๒ คือ

๑. เนยยัตถะ (พระสูตร) ซึ่งมีความหมายที่จะต้องไขความ, พุทธพจน์ที่ตรัสตามสมมติ อันจะต้องเข้าใจความจริงแท้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เช่น ที่ตรัส เรื่องบุคคล ตัวตน เรา-เขา ว่า บุคคล ๔ ประเภท, ตนเป็นทีพึ่งของตน เป็นต้น

๒. นีตัตถะ (พระสูตร) ซึ่งมีความหมาย ที่แสดงชัดโดยตรงแล้ว, พุทธพจน์ที่ตรัสโดยปรมัตถ์ ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เช่นที่ตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น อรรถ ก็เขียน

อรรถ เนื้อความ, ใจความ, ความหมาย, ความมุ่งหมาย, ผล, ประโยชน์

พยัญชนะ 1. อักษร, ตัวหนังสือที่ไม่ใช่สระ 2. กับข้าวนอกจากแกง, คู่กับสูปะ 3. ลักษณะของร่างกาย

อรรถรส “รสแห่งเนื้อความ” “รสแห่งความหมาย” สาระที่ต้องการของเนื้อความ, เนื้อแท้ของความหมาย, ความหมายที่ต้องการ, ความมุ่งหมายที่แทรกซึมอยู่ในเนื้อความ คล้ายกับที่มักพูดกันในบัดนี้ว่า เจตนารมณ์ (พจนานุกรมว่า ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความซาบซึ้ง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม่อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด แล้ววาดภาพขึ้นใหม่จากสัญญาต่างๆ ที่เอามากำหนดเทียบนั้น ได้ภาพตามสัญญาที่เป็นองค์ประกอบ เหมือนอย่างคนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักช้างเลย เมื่อมีใครพูดขึ้นแก่เขาว่า “ช้าง” เขาจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ นึกอะไรไม่ได้เลย อาจจะกำหนดไปตามอาการกิริยา เป็นต้น ของผู้พูด แล้วอาจจะนึกว่า ผู้พูดกล่าวผรุสวาทแก่เขา หรืออาจจะนึกไปว่า ผู้พูดกล่าวภาษาต่างประเทศคำหนึ่ง หรืออาจจะนึกว่า ผู้พูดเสียสติ จึงกล่าวคำไร้ความหมายออกมา หรืออะไรต่างๆ ได้มากมาย แล้วแต่สถานการณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2018, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนอย่างคนไม่เคยเห็นช้างเลย ใช้ภาพนี้แทน

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิ รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตจนนั่งต่อไม่ได้

พอมีวิธีแก้มั้ยคะ เราทำอานาปานสติ แต่ไม่ได้จับที่ลมหายใจ แค่ดูการเคลื่อนที่ของลำตัว ตอนกลางวันนั่งไป 1 ชม. จนรู้ทั่วตัว แต่พอมาตอนเย็น นั่งแบบเดิม รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตอยู่เรื่อยๆ รู้สึกทีนึงก็หยุด พอนั่งอีกก็โดนช็อตอีก ความรู้สึกเหมือนจั้กกะจี้ค่ะ จนเราต้องนอนแทน แต่นอนก็หลับ พอมีวิธีแก้มั้ยคะ แบบว่านั่งไม่ได้เลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร