วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ย. 2025, 10:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2018, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
สภาพธรรมเกิดดับเร็วไม่มีใครต้องไปทำ
เพราะทุกอย่างที่กำลังปรากฏกำลังเกิดดับ
และปรากฏว่ากำลังเป็นไปตรงตามที่ตรัสรู้จริงๆ
ทุกคำในพระไตรปิฎกส่องถึงสิ่งที่กำลังมีแล้วแต่ไม่รู้
เมื่อขาดการฟังคือไม่พึ่งคิดตามคำตถาคตจึงหลงคิดผิด
แล้วก็ไปตามที่ตนคิดเอาเองว่าตนรู้แล้วตามที่กำลังเห็นผิด
เห็นผิดที่กำลังเห็นเป็นคนสัตว์วัตถุคือลืมคิดตามคำตถาคต
ตถาคตตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรมเพื่อบอกกล่าวความจริงที่
กำลังปรากฎว่าเห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น
เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะคือสิ่งที่มีจริงที่เกิดดับทีละ1อย่าง
ไม่ใช่ตัวตนคนสัตว์วัตถุและไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รวมๆกัน
แต่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่ามีแล้วนั้นต่างทำหน้าที่
เกิดดับตามเหตุตามปัจจัยทีละ1อย่างสลับกันทีละ1ทาง
ไม่ปนกันและไม่ซ้ำกันเลยและสิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก
เกิดสิ่งใหม่ตลอดเวลาทุกครั้งที่กะพริบตาคือจิตขณะใหม่
ทั้งหมดเป็นจิตแต่ละ1ทางเกิดดับสลับกันตั้งมั่นตรงทาง
คือมีแล้วเป็นสมาธิตั้งมั่นแต่ละ1ทางโปรดอ่านให้เข้าใจ
ทำอะไรไม่ได้เลยมีแต่ต้องเพียรอดทนฟังความจริงตาม
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อคิดเห็นถูกตามได้
:b31: :b31:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2018, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา
จากไม่มีจึงเกิดขึ้นตั้งอยู่นิดนึงแล้วดับไป
เลือกให้เกิดขึ้นตามใจไม่ได้เพราะธัมมะ
เป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเกิดด้บมีแล้วแต่ไม่รู้
ไม่ต้องไปทำไม่รู้เพิ่มแยกออกไปต่างหาก
รู้ความจริงถูกตามได้ตอนกำลังฟังเท่านั้น
เพราะเหตุปัจจัยเดิมมาปรากกฏตลอดเวลา
จึงจำเป็นต้องฟังเพื่อเข้าใจตามได้ทีละน้อย
เพื่อสะสมเหตุปัจจัยใหม่ที่เพิ่มปัญญาจนกว่า
จะประจักษ์ความจริงที่กายใจตนตรงตามที่กำลังฟัง
เอกายโนมัคโคทางสายกลางทางตรงทางเดียวไม่มีทางลัด
เพราะการดูและฟังตามปกติต้องกำลังคิดตื่นลืมตาดูตามปกติ
ทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตาตามเหตุปัจจัยคือกรรมใน
อดีตที่เคยทำมาปรากฏผลให้ได้รับสุขทุกข์ตามกรรมเก่า
และเหตุปัจจัยที่กำลังมีนี้แหละทำให้ทำกรรมใหม่ตามเห็น
จะบังคับบัญชาหรือจัดการให้เกิดรู้เองเร็วๆไม่ได้เพราะว่า
ความจริงตามคำสอนเกิดจากการตรัสรู้ทุกคำจริงๆ
ไม่ใช่การคิดด้นเดาเอาได้มาจากบำเพ็ญบารมียาวนาน
เพื่อตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นกาลสมัยที่มีเพียงทีละ1พระองค์ที่ประกาศคำสอน
และที่เหลือทำได้แค่ฟังเพื่อให้คิดเห็นถูกตามได้เท่านั้น
ความจริงจากการลืมตาตื่นรู้ต้องมีจิตมั่นคงไม่วอกแวก
เพราะเป็นตาดูหูฟังรู้โลกตามปกติตอนลืมตาเห็นเป็นปกติ
:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2018, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ต้องหายใจเลยนะ
อดทนฟัง ก็พอ
คิดก็ไม่ต้องคิด เพราะทำอะไรไม่ได้เลย ชิมิ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2018, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไม่ต้องหายใจเลยนะ
อดทนฟัง ก็พอ
คิดก็ไม่ต้องคิด เพราะทำอะไรไม่ได้เลย ชิมิ

:b12:
ทำอะไรไม่ได้จริงๆค่ะ
อ่ะพิสูจน์ได้คิดตามค่ะ
ลืมตาเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
คือคิดเห็นผิดจำผิดอยู่
เพราะไม่ได้ระลึกตาม
คือไม่พึ่งคำตถาคตที่
กำลังคิดตรงคำตรงขณะ
แต่เป็นการมองไปตาม
ความคิดตนเองคือคิดเอง
แปลว่าไม่ได้มีเสียงให้คิดตาม
เพราะขาดสติคือขาดกุศล
สติเป็นโสภณเจตสิกดีงาม
ไม่เกิดกับจิตที่ไร้ปัญญา
หมายเหตุสติและปัญญาเจตสิก
ปัญญาเกิดจะไม่ขาดสติเลย
แต่สติเกิดโดยไม่มีปัญญาได้
จิตเกิดดับทีละ1ขณะและ
เจตสิกที่เกิดดับพร้อมจิต
ที่เป็นโสภณเจตสิกคือดี
ไม่เกิดร่วมกับฝ่ายไม่ดี
และเจตสิกดีกะไม่ดี
ไม่เกิดร่วมกันแต่อย่างใด
ฉะนั้นตนต้องกำลังรู้ตัวว่า
กำลังสะสมขณะจิตที่เป็น
กุศลหรืออกุศลถ้าไม่รู้เลย
แปลว่าสะสมกิเลสอวิชชา
เพราะสมาธิจิตตรงขณะ
มีแล้วไม่เคยขาดสมาธิ
เพราะชื่อสมาธิคือเอกัคตาเจตสิก
เกิดกับจิตที่กำลังเกิดดับทุกขณะค่ะ
ดังนั้นเมื่อขาดสุตมยปัญญา
จึงเป็นมิจฉาสมาธิตลอดเวลา
ที่ลืมตาเห็นเป็นปกตินี้นั่นเอง
ทำอะไรได้ไหมคะแค่กะพริบตากิเลสไหล
และที่คิดพูดทำเองอยู่ทุกวันก็มีปกติอกุศลศีลค่ะ
:b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 21 มิ.ย. 2018, 02:00, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2018, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ไม่ต้องหายใจ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 07:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไม่ต้องหายใจเลยนะ
อดทนฟัง ก็พอ
คิดก็ไม่ต้องคิด เพราะทำอะไรไม่ได้เลย ชิมิ

:b12:
ทำอะไรไม่ได้จริงๆค่ะ
อ่ะพิสูจน์ได้คิดตามค่ะ
ลืมตาเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
คือคิดเห็นผิดจำผิดอยู่
เพราะไม่ได้ระลึกตาม
คือไม่พึ่งคำตถาคต
ที่
กำลังคิดตรงคำตรงขณะ
แต่เป็นการมองไปตาม
ความคิดตนเองคือคิดเอง
แปลว่าไม่ได้มีเสียงให้คิดตาม
เพราะขาดสติคือขาดกุศล
สติเป็นโสภณเจตสิกดีงาม
ไม่เกิดกับจิตที่ไร้ปัญญา
หมายเหตุสติและปัญญาเจตสิก
ปัญญาเกิดจะไม่ขาดสติเลย
แต่สติเกิดโดยไม่มีปัญญาได้
จิตเกิดดับทีละ1ขณะและ
เจตสิกที่เกิดดับพร้อมจิต
ที่เป็นโสภณเจตสิกคือดี
ไม่เกิดร่วมกับฝ่ายไม่ดี
และเจตสิกดีกะไม่ดี
ไม่เกิดร่วมกันแต่อย่างใด
ฉะนั้นตนต้องกำลังรู้ตัวว่า
กำลังสะสมขณะจิตที่เป็น
กุศลหรืออกุศลถ้าไม่รู้เลย
แปลว่าสะสมกิเลสอวิชชา
เพราะสมาธิจิตตรงขณะ
มีแล้วไม่เคยขาดสมาธิ
เพราะชื่อสมาธิคือเอกัคตาเจตสิก
เกิดกับจิตที่กำลังเกิดดับทุกขณะค่ะ
ดังนั้นเมื่อขาดสุตมยปัญญา
จึงเป็นมิจฉาสมาธิตลอดเวลา
ที่ลืมตาเห็นเป็นปกตินี้นั่นเอง
ทำอะไรได้ไหมคะแค่กะพริบตากิเลสไหล
และที่คิดพูดทำเองอยู่ทุกวันก็มีปกติอกุศลศีลค่ะ

:b55: :b55:


ที่พูดมาตั้งเยอะ...มีคำไหนเป็นคำตถาคตบ้าง?...ยกตัวอย่างมาก็ได้ครับ
หากมี...คำของตถาคต..กับ..คำของตนเอง...อันไหนเยอะกว่ากัน?..

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 07:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพระสอน

"อนึ่ง ร่างกายไม่ดี พึงพักผ่อนให้มาก การรู้จักประมาณตนเป็นสิ่งประเสริฐ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม แล้วจักเห็นทางสายกลางอย่างแท้จริง ไม่ว่าจักมีอะไรเกิดขึ้น ให้พิจารณาว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วจงคอยคุมสติ อย่ามีอารมณ์ปรุงแต่งธรรม จักตกเป็นทาสของสังขารปรุงแต่งได้โดยง่าย ให้พยายามปล่อยวาง ยอมรับกฎของกรรมให้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ บุคคลใดจักไปพระนิพพานพึงรักษาอารมณ์จิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ให้หมั่นตรวจสอบอารมณ์ของจิตอยู่เนือง ๆ ดูความไม่ผ่องใส มัวหมองด้วยเหตุอันใด แล้วพยายามหมั่นชำระอารมณ์ของจิตให้หลุดออกจากเหตุเหล่านั้น จุดนี้จักต้องทำอย่างจริงจัง จึงจักเห็นผล"

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 08:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2013, 19:24
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ก็ไม่ต้องหายใจ


ไม่ต้องทำอะไรนะ
ก็ได้แต่คอยจ้องขัดคอ ขวางทางเขาอยู่ร่ำไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2018, 08:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพระ

"
การพิจารณาธรรมให้มีความใจเย็นเป็นพื้นฐาน แล้วจักเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
อย่าใช้อารมณ์เป็นเครื่องพิจารณา จักทำให้คลาดเคลื่อน กิเลส - ตัณหา - อุปาทานและอกุศลกรรม เอาไปกินได้โดยง่าย
รู้ช้าตามความเป็นจริงดีกว่ารู้เร็วแล้วแต่ไม่ตรงความจริง
รายละเอียดของธรรมมีอีกมาก ให้ค่อย ๆ ศึกษาพิจารณาไป แล้วจิตจักเข้าถึงธรรมอันละเอียดมากขึ้น
แล้วจิตจักมีกำลังป้องกันกิเลสได้ และตัดกิเลสได้ในที่สุด
อย่าท้อใจ การแพ้กิเลสบ้างเป็นของธรรมดา เป็นของดีที่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในการปฏิบัติ
ถ้าไม่รู้ว่าแพ้ จิตก็จักไม่มุ่งเอาชนะกิเลส ข้อนี้พึงศึกษาจิตให้มากที่สุดก็จักเอาชนะได้
"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2018, 06:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คำสอนของพระ

"
การพิจารณาธรรมให้มีความใจเย็นเป็นพื้นฐาน แล้วจักเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
อย่าใช้อารมณ์เป็นเครื่องพิจารณา จักทำให้คลาดเคลื่อน กิเลส - ตัณหา - อุปาทานและอกุศลกรรม เอาไปกินได้โดยง่าย
รู้ช้าตามความเป็นจริงดีกว่ารู้เร็วแล้วแต่ไม่ตรงความจริง
รายละเอียดของธรรมมีอีกมาก ให้ค่อย ๆ ศึกษาพิจารณาไป แล้วจิตจักเข้าถึงธรรมอันละเอียดมากขึ้น
แล้วจิตจักมีกำลังป้องกันกิเลสได้ และตัดกิเลสได้ในที่สุด
อย่าท้อใจ การแพ้กิเลสบ้างเป็นของธรรมดา เป็นของดีที่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในการปฏิบัติ
ถ้าไม่รู้ว่าแพ้ จิตก็จักไม่มุ่งเอาชนะกิเลส ข้อนี้พึงศึกษาจิตให้มากที่สุดก็จักเอาชนะได้
"

Kiss
จิตคิดนึกได้ทีละคำคิดตรงหรือยังคะและต้องตรงกับสัจจะ1คำตถาคตที่ตนกำลังมีด้วยนะคะ
ที่ยังไม่ดับด้วย...ทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆค่ะ...ลองใช้สติปัญญาที่ตนมีคิดตามให้ตรงทีละ1คำนะคะ
https://youtu.be/buWeOEx4Cu4
:b12: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2018, 02:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไม่ต้องหายใจเลยนะ
อดทนฟัง ก็พอ
คิดก็ไม่ต้องคิด เพราะทำอะไรไม่ได้เลย ชิมิ

:b12:
ทำอะไรไม่ได้จริงๆค่ะ
อ่ะพิสูจน์ได้คิดตามค่ะ
ลืมตาเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
คือคิดเห็นผิดจำผิดอยู่
เพราะไม่ได้ระลึกตาม
คือไม่พึ่งคำตถาคต
ที่
กำลังคิดตรงคำตรงขณะ
แต่เป็นการมองไปตาม
ความคิดตนเองคือคิดเอง
แปลว่าไม่ได้มีเสียงให้คิดตาม
เพราะขาดสติคือขาดกุศล
สติเป็นโสภณเจตสิกดีงาม
ไม่เกิดกับจิตที่ไร้ปัญญา
หมายเหตุสติและปัญญาเจตสิก
ปัญญาเกิดจะไม่ขาดสติเลย
แต่สติเกิดโดยไม่มีปัญญาได้
จิตเกิดดับทีละ1ขณะและ
เจตสิกที่เกิดดับพร้อมจิต
ที่เป็นโสภณเจตสิกคือดี
ไม่เกิดร่วมกับฝ่ายไม่ดี
และเจตสิกดีกะไม่ดี
ไม่เกิดร่วมกันแต่อย่างใด
ฉะนั้นตนต้องกำลังรู้ตัวว่า
กำลังสะสมขณะจิตที่เป็น
กุศลหรืออกุศลถ้าไม่รู้เลย
แปลว่าสะสมกิเลสอวิชชา
เพราะสมาธิจิตตรงขณะ
มีแล้วไม่เคยขาดสมาธิ
เพราะชื่อสมาธิคือเอกัคตาเจตสิก
เกิดกับจิตที่กำลังเกิดดับทุกขณะค่ะ
ดังนั้นเมื่อขาดสุตมยปัญญา
จึงเป็นมิจฉาสมาธิตลอดเวลา
ที่ลืมตาเห็นเป็นปกตินี้นั่นเอง
ทำอะไรได้ไหมคะแค่กะพริบตากิเลสไหล
และที่คิดพูดทำเองอยู่ทุกวันก็มีปกติอกุศลศีลค่ะ

:b55: :b55:


ที่พูดมาตั้งเยอะ...มีคำไหนเป็นคำตถาคตบ้าง?...ยกตัวอย่างมาก็ได้ครับ
หากมี...คำของตถาคต..กับ..คำของตนเอง...อันไหนเยอะกว่ากัน?..

:b12: :b12: :b12:

tongue
ก็การขยายความเพื่อเข้าใจชัดตามที่ขีดเส้นใต้น่ะแหละค่ะกำลังมีมิจฉาทิฏฐิ
ถ้าไม่อธิบายจะเข้าใจได้ไหมล่ะคะในเมื่อไม่รู้ว่ามีไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าไม่รู้อ่ะค่ะ
:b12: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร