วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2018, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภวังคจิต


เมื่อพูดถึงภวังค์ คือ ภวังคจิต ก็ควรทราบเป็นพื้นไว้บ้าง เพราะในภาษาไทยก็มีการพูดถึงบ่อยเหมือนกัน และบางทีก็เข้าใจกันเพี้ยนไปหรือไม่ก็คลุมเครือ


ที่จริง จิตของเราเกิดดับต่อเนื่องไปและสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา ถึงเราจะไม่รู้ตัว มันก็เป็นอย่างนั้น จะเรียกว่ามันทำงานหรือทำหน้าที่ของมันตลอดเวลาก็ได้



จิตที่ทำงาน คือสืบต่อกันไปในระดับที่ไม่รู้ตัวนั้น เป็นส่วนหลักหรือส่วนใหญ่ของชีวิตของเรา จะเรียกว่าเป็นจิตยืนพื้นก็ได้ มีคำเรียกเฉพาะว่า ภวังคจิต แปลว่า จิตที่เป็นองค์แห่งภพ


ที่ว่า จิตในระดับที่ไม่รู้ตัวนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นสำนวนพูด จะต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เป็นการทำงานรู้เข้าใจคิดนึกในกระบวนการรับรู้อย่าง ที่ว่ากันทั่วไป แต่เป็นการทำงานในความหมายว่าเป็นการเกิดดับสืบต่อกันตามธรรมดาของมัน


เมื่อพูดในแง่ทั่วๆไป ให้รู้สึกเป็นตัวตนน้อยลง แทนที่จะใช้คำว่า ภวังคจิต ท่านใช้คำว่า การสืบต่อของจิต ที่เป็นไปไม่ขาดสาย (ในช่วงที่ไม่อยู่ในกระบวนการรับรู้) เรียกเป็นคำศัพท์ว่า "จิตตสันดาน" (แต่คำนี้ ในภาษาไทยเราก็นำมาใช้ในความหมายที่เพี้ยนไปอีก หนีไม่พ้นปัญหา)


ข้อสำคัญ ภวังคจิต ที่ว่านั้น เป็นจิตส่วนวิบาก เมื่อมันสืบต่อกันไป ก็คือการสืบทอดผลรวมแห่งกรรมของเราต่อเนื่องไปนั่นเอง เราจึงพูดให้เข้าใจกันง่ายขึ้นเป็นภาษารูปธรรมว่า กรรมของเราสั่งสมสืบมาในภวังคจิตนี้ ที่สืบต่ออยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย

(มีต่อ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2018, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตนี้ พูดได้ยาก เพราะเมื่อจะให้คนทั่วไปเข้าใจ ก็ต้องใช้ถ้อยคำเชิงรูปธรรม หรือสำนวนภาษาเหมือนอย่างเป็นตัวเป็นตน ซึ่งก็จะชวนให้เกิดความเข้าใจเกินเลยสภาวะไป อันเป็นความเข้าใจผิดไปอีกด้านหนึ่ง จึงถือว่าพูดกันพอให้เห็นเค้าเรื่องเท่านั้น

ภวังคจิต แปลว่า จิตที่เป็นองค์แห่งภพ (ถ้าใช้ศัพท์เชิงปฏิจจสมุปบาท เพื่อช่วยให้ชัดขึ้น ก็พูดว่าจิตที่เป็นองค์แห่งอุปปัตติภพ) ซึ่งเกิดดับสืบต่อกันไปตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบชีวิตของเรา คือตลอดชีวิต (พูดเป็นคำศัพท์ว่า ต่อจากปฏิสนธิ จนถึงจุติ) พูดเป็นภาษารูปธรรมหรือภาษาตัวตนว่า เป็นจิตยืนพื้น ใกล้กับคำที่ท่านใช้ว่าเป็น "ปกติจิต"


ภวังคจิตนี้ เป็นจิตที่เป็นวิบาก เมื่อมันเกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดชีวิตของเรา จึงเท่ากับเป็นผลรวมแห่งกรรมทั้งหมดของเรา พูดเป็นภาษาธรรมหรือภาษาตัวตนว่า เป็นที่เก็บสะสมผลกรรมของเรา หรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตของเรา หรือเป็นที่ประมวลผลแห่งการแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในตัวเรา เท่าที่ทำได้และได้ทำมาทั้งหมดในชีวิต พูดเชิงอนาคตว่า ภวังคจิต เป็นแหล่งแห่งศักยภาพ หรือเป็นศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่


ภวังคจิต เป็นชื่อที่ใช้เรียกในแง่การสืบต่อของชีวิต แต่ถ้าพูดในแง่การทำงานในกระบวนการรู้ตามปกตินี้ ที่เรียกว่า มโน คือ มนายตนะ หรือมโนทวาร นั่นเอง


ในฐานะเป็นมโน หรือเป็นมโนทวารนั้น มันเป็นที่เกิดหรือที่ปรากฏของมโนวิญญาณ ทีทำงานในระดับแห่งวิถีจิต


อนึ่ง ในฐานะแห่งจิตที่เป็นวิบาก ภวังคจิตจึงเป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว คือไม่เป็นกุศล และไม่เป็นอกุศล เป็นจิตในภาวะที่กิเลสไม่ได้มาแสดงบทบาท แม้จะมีคุณสมบัติตามที่ประมวลผลเป็นวิบากไว้ ก็เป็นจิตตามสภาวะของมัน คือไม่มีตัวแปลกปลอมภายนอกมายุ่มย่าม


ดังนั้น ท่านจึงว่า ภวังคจิต นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเป็นประภัสสร คือ สะอาดผ่องใส หมายความว่า จิตโดยสภาวะ คือตามภาวะของมันเอง เป็นอย่างนั้น แต่มันมัวหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา


ก็เพราะธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนั้น คือกิเลสมิใช่เป็นเนื้อเป็นตัวของมัน การชำระจิตด้วยการกำจัดกิเลสให้หมดไป จึงเป็นไปได้ ดังพุทธพจน์ที่ว่า (ยกมาให้ดูพอเห็นรูปเค้า)


ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐนฺติ....จิตฺตภาวนา อตฺถีติ วทามีติ ฯ


ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส แต่จิตนั้นแล เศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา...ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส และจิตนั้นแล หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา. อริยสาวกผู้ได้เรียนสดับแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า อริยสาวกผู้ได้เรียนสดับแล้ว ย่อมมีการพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) (องฺ.เอก.20/50-53)


เปรียบได้กับน้ำ ถึงจะขุ่นมัวสกปรกเพียงใด เราก็สามารถชำระให้ใสสะอาดได้ เพราะสิ่งที่ทำให้ขุ่นมัวนั้น เป็นของแปลกปลอม หมายความว่า น้ำนั้น โดยสภาวะของมัน ก็คือน้ำ ไม่ใช่เป็นของสกปรกนั้น พูดง่ายๆ ว่า เมื่อน้ำสกปรก ถึงจะเน่าเหม็นอย่างไร ถ้าคนมีปัญญา ก็หาทางทำน้ำนั้นให้สะอาดได้


อย่างไรก็ตาม ถึงจะเทียบจิต กับ น้ำ ก็เป็นการเทียบได้ในแง่หนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เหมือนกันทีเดียว เพราะถึงอย่างไร ก็เป็นสภาวะต่างอย่างกัน ถึงจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน เฉพาะอย่างยิ่ง เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม การเปรียบเทียบบางทีก็ต้องเทียบกับอันโน้นอันนี้ทีละแง่


ขอเทียบให้ฟังอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ศักยภาพ ลองดูเมล็ดพืช เช่นเม็ดมะม่วง เราเอาเม็ดมะม่วงเม็ดหนึ่งไปปลูก จากมะม่วงเม็ดนั้น ต่อมามีต้นมะม่วงงอกขึ้นมา และเจริญงอกงาม มีกิ่ง ก้าน ใบ ดอก และผล ซึ่งทั้งหมดก็มาจากมะม่วงเม็ดเดียวนั้น


จึงเหมือน กับว่ากิ่ง ก้าน ใบ ดอก และผลมะม่วงทั้งหมด มีพร้อมอยู่ในมะม่วงเม็ดเดียวนั้นแล้ว แต่ขณะที่มันเป็นมะม่วงนั้น เราชี้บอกได้ไหมว่า ตรงไหมเป็นกิ่ง ตรงไหนเป็นก้าน - ใบ - ดอก - ผล ตลอดจนลักษณะเฉพาะของมันที่สะสมมาแม้แต่ที่เริ่มแปลกพันธ์ ก็บอกไม่ได้ นี่คือ ที่ใช้คำว่า ศักยภาพ

เรื่องภวังคจิต ที่ว่าเป็นผลรวมวิบากของเรา เมื่อเทียบในแง่หนึ่ง ก็พึงเข้าใจทำนองนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2018, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างเทียบข้อความที่ขีดเส้นใต้ข้างบน

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมาก บางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


และเทียบกับบาลีที่ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา และ จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา

อกุศลกรรม กุศลกรรม ที่ได้ทำไว้ไม่สูญไปไหน มันตกตะกอน (เป็นวิบาก) นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน ในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเห็น ได้ยิน ฯลฯ ทางตา ทางหู สภาพแวดล้อมคล้ายๆ ก็นึกได้นึกออก อ้อตนเคยทำเคยพูด....

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร