วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 19:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัยธรรม สังขารจึงเป็นปัจจยุบันธรรม (อวิชชาเป็นเหตุสังขารเป็นผล)
อวิชชา คือความไม่รู้ (หมายถึงไม่รู้ตามความเป็นจริง)
อวิชชา ปรุงแต่ง อวิชชา จึงทำให้เกิดสังขาร มี อปุญญาภิสังขาร. ปุญญาภิสังขาร. อเนญชาภิสังขาร คือสังขาร ๓
หรืออีกนัยหนึ่งสังขารคือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร บางท่านอาจเรียกรวมว่าสังขาร ๖
อปุญญาภิสังขาร ก็คือเจตนาที่ปรุงแต่งให้เป็นบาป อธ.ได้แก่เจตนาในอกุศลจิต ๑๒ ที่นำไปสู่อบายภูมิ ๔
ปุญญาภิสังขาร ก็คือเจตนาที่ปรุงแต่งให้เป็นบุญ อธ. ได้แก่เจตนาในมหากุศลจิต ๘ และรูปาวจรกุศลจิต ๕ รวมเจตนา ๑๓
เจตนาในมหากุศลจิต ๘ เป็นหนทางนำไปสู่ปฏิสนธิใน มนุษย์ ๑ เทวดา ๖
เจตนาในรูปาวจรกุศลจิต ๕ เป็นหนทางนำไปสู่ปฏิสนธิในพรหม ๑๖ ชั้น
อเนญชาภิสังขาร ก็คือเจตนาที่ปรุงแต่งให้เป็นบุญชนิดที่ไม่หวั่นไหว อธ.ได้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุศลจิต ๔
เป็นหนทางนำไปสู่ปฏิสธิวิญญานในอรูปภูมิ ๔
ส่วนเจตนาในโลกุตตร ๘ เป็นบุญก็จริงแต่ไม่จัดเป็นปุญญาภิสังขาร หรืออเนญชาภิสังขาร
เพราะโลกุตตรกุศลนั้นไม่มีหน้าที่ทำให้เกิดภพชาติอันเป็นวัฏฏะต่อไป แต่มีหน้าที่ทำลายภพทำลายชาติอันเป็การตัดวัฏฏะ
ส่วนสังขาร ๓ มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร จะไม่ขอกล่าวในที่นี้
สรุปความว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้แก่สังขารนี้เป็นปัจจัยให้เกิดก็ได้แก่เจตนา ๒๙ หรือกรรม ๒๙
อันต้องเวียนว่ายในวัฏฏะทุกข์ ไม่พ้นทุกข์ไปได้เลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 23:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: smiley
ลุงหมาน
อ้างคำพูด:
อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัยธรรม สังขารจึงเป็นปัจจยุบันธรรม (อวิชชาเป็นเหตุสังขารเป็นผล)

:b10:
เรื่องนี้มีสิ่งน่าพิจารณาให้ละเอียดนะครับลุงหมาน
ก็เราพูดอยู่หยกๆว่า......อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร....ดูที่คำว่า ..."ปัจจัย"

แล้วคุณลุงหมานมาสรุปเอาเองว่า (อวิชชาเป็นเหตุสังขารเป็นผล) ดังอ้างอิงข้างบน ผมเลยเห็นว่ามันจะยังไงๆอยู่นะครับ

ปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 แสดงให้เห็นถึงปัจจัยทั้งสิ้น ไม่ได้กล่าวถึงตัวเหตุ........

ตัวเหตุนั้นคืออะไร .....?.....ทุกท่านพอจะทราบไหมครับ?

ผมเดาเอานะครับ หรืออาจจะถูกต้องก็ได้ ว่าตัวเหตุนั้นคือ......อัตตา.....กู....ความเห็นผิดว่า เป็นกู เป็นเรา เป็นตัว เป็นตน หรือสักกาายทิฏฐินั่นแหละคือ ตัวเหตุ
:b53:
เพราะมี .."กู"....จึงมีที่ให้อวิชชาเกิด

ถ้าหมด ..."กู"....อวิชา จะไปเกิดที่ไหนได้

ผมตั้งแง่คิดวิจารณ์ขึ้นมาอย่างนี้ในกระทู้ของคุณลุงหมาน เชิญท่านผู้รู้อื่นๆ มาแสดงความเห็นสู่กันฟังบ้างนะครับ

เจริญสุข เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ทุกท่าน

กูนั่นแหล่ะ ประตูธรรม

บังธรรม
:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
ลุงหมาน
อ้างคำพูด:
อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัยธรรม สังขารจึงเป็นปัจจยุบันธรรม (อวิชชาเป็นเหตุสังขารเป็นผล)

:b10:
เรื่องนี้มีสิ่งน่าพิจารณาให้ละเอียดนะครับลุงหมาน
ก็เราพูดอยู่หยกๆว่า......อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร....ดูที่คำว่า ..."ปัจจัย"

แล้วคุณลุงหมานมาสรุปเอาเองว่า (อวิชชาเป็นเหตุสังขารเป็นผล) ดังอ้างอิงข้างบน ผมเลยเห็นว่ามันจะยังไงๆอยู่นะครับ

ปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 แสดงให้เห็นถึงปัจจัยทั้งสิ้น ไม่ได้กล่าวถึงตัวเหตุ........

ตัวเหตุนั้นคืออะไร .....?.....ทุกท่านพอจะทราบไหมครับ?

ผมเดาเอานะครับ หรืออาจจะถูกต้องก็ได้ ว่าตัวเหตุนั้นคือ......อัตตา.....กู....ความเห็นผิดว่า เป็นกู เป็นเรา เป็นตัว เป็นตน หรือสักกาายทิฏฐินั่นแหละคือ ตัวเหตุ
:b53:
เพราะมี .."กู"....จึงมีที่ให้อวิชชาเกิด

ถ้าหมด ..."กู"....อวิชา จะไปเกิดที่ไหนได้

ผมตั้งแง่คิดวิจารณ์ขึ้นมาอย่างนี้ในกระทู้ของคุณลุงหมาน เชิญท่านผู้รู้อื่นๆ มาแสดงความเห็นสู่กันฟังบ้างนะครับ

เจริญสุข เจริญธรรม

ขอบคุณครับ
เราต้องเข้าใจดังนี้นะครับ คือเราใช้หลักปฏิจสมุปบาท คำว่า(เหตุกับปัจัย)ตัวเหตุเองนั้นเป็นได้ทั้งสองอย่างคือเป็นได้ทั้งเหตุและปัจจัย ส่วน ปัจจัยนั้นเป็นได้แค่ปัจจัยอย่างเดียวไม่สามารถเป็นเหตุได้
ฉะนั้นเหตุจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เหตุจะเกิดขึ้นมาได้ลอยๆโดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยอะไรเลยนั้นไม่ใช่ ถึงแม้ว่าตัวเหตุจะเป็นปัจจัยได้ด้วยก็จริง แต่ก็ไม่มีสามารถ คือ ไม่มีกำลังพอที่จะทำให้เหตุเกิดขึ้นได้ จึงต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆมาสนับสนุน
..........................
แล้วคุณลุงหมานมาสรุปเอาเองว่า (อวิชชาเป็นเหตุสังขารเป็นผล) ดังอ้างอิงข้างบน ผมเลยเห็นว่ามันจะยังไงๆอยู่นะครับ
...........................
วิสัชชนา.......
ไม่ได้สรุปเอาเองนะ เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทครับ
อวิชชาจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัย สังขารจึงเป็นผล
.....................
ปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 แสดงให้เห็นถึงปัจจัยทั้งสิ้น ไม่ได้กล่าวถึงตัวเหตุ........

ตัวเหตุนั้นคืออะไร .....?.....ทุกท่านพอจะทราบไหมครับ?

...................
วิสัชชนา....
ตามปฏิจจสมุปบาท...สายเกิดทั้ง ๑๒ องค์นั้นจะมีตัวเหตุถึง ๓ เหตุตลอดทั้ง ๑๒ องค์ คือ โลภะเหตุ โทสะเหตุ โมหะเหตุ
ถ้าตามปฏิจจสมุปบาท...สายดับทั้ง ๑๒ องค์นั้นก็จะมีตัวเหตุถึง ๓ เหตุตลอดสายเช่นกัน คือ อโลภะเหตุ อโทสะเหตุ อโมหะเหตุ
ฉะนั้นเหตุทั้ง ๖ เหล่านี้ก็ยังมีตัวปัจจัยคอยสนับสนุน ถ้าจะถามหาว่าอะไรเป็นปัจจัยก็ต้องไปหาใปจจัย ๒๔ หรือ ๕๒ ปัจจัยอีก

คำว่า "กู" นั้นคือตัวอุปาทาน เป็นผลมาจาก ตัณหา และตัว ตัณหา ก็เป็น เหตุ ด้วยคือ"โลภะเหตุ"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 11:26
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


....ถูกต้องแล้วครับ ลุงหมาน..
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย (สังขตธรรม) ....
เพราะอวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายจึงเป็นผล....
แต่ในลำดับต่อไป สังขารจะเป็นเหตุให้เกิดผลคือ วิญญาณ.......

.....................................................
ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ...จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว...
จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
....ถูกต้องแล้วครับ ลุงหมาน..
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย (สังขตธรรม) ....
เพราะอวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายจึงเป็นผล....
แต่ในลำดับต่อไป สังขารจะเป็นเหตุให้เกิดผลคือ วิญญาณ.......

เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงเป็นปัจจยุบัน

V

สังขตธรรมอย่างหนึ่ง ที่เป็นกุศล คือมรรค 8 มีเพราะอวิชชา เป็นปัจจัย ....

มรรคมีองค์ 8 เป็นปัจจยุบันของอวิชชา :b6: :b10:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
....ถูกต้องแล้วครับ ลุงหมาน..
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย (สังขตธรรม) ....
เพราะอวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายจึงเป็นผล....
แต่ในลำดับต่อไป สังขารจะเป็นเหตุให้เกิดผลคือ วิญญาณ.......

เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงเป็นปัจจยุบัน

V

สังขตธรรมอย่างหนึ่ง ที่เป็นกุศล คือมรรค 8 มีเพราะอวิชชา เป็นปัจจัย ....

มรรคมีองค์ 8 เป็นปัจจยุบันของอวิชชา :b6: :b10:





ในองค์ปฏิจจ ทั้ง 12 องค์นั้น ตลอดทั้งสายเป็นโลกียะค่ะ
มรรค 8 เป็นโลกุตตระค่ะ

ในปฏิจจสมุปบาท ทั้งสายมีแค่ ทุกข์ กับ สมุทัย ในอริยสัจจ์ 4
ส่วน นิโรธ กับ มรรค ไม่มีในปฏิจจสมุปบาท

และ อวิชชา เป็น ปัจจัยแก่ สังขาร6 ได้เท่านั้นค่ะ
อวิชชาเป็นปัจจัยให้ มรรค8 เกิดไม่ได้ค่ะ
หาก มรรค8 เกิดขึ้นครบ 4 รอบ อวิชชาดับสนิทค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
....ถูกต้องแล้วครับ ลุงหมาน..
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย (สังขตธรรม) ....
เพราะอวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายจึงเป็นผล....
แต่ในลำดับต่อไป สังขารจะเป็นเหตุให้เกิดผลคือ วิญญาณ.......

เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงเป็นปัจจยุบัน

V

สังขตธรรมอย่างหนึ่ง ที่เป็นกุศล คือมรรค 8 มีเพราะอวิชชา เป็นปัจจัย ....

มรรคมีองค์ 8 เป็นปัจจยุบันของอวิชชา :b6: :b10:





ในองค์ปฏิจจ ทั้ง 12 องค์นั้น ตลอดทั้งสายเป็นโลกียะค่ะ
มรรค 8 เป็นโลกุตตระค่ะ

ในปฏิจจสมุปบาท ทั้งสายมีแค่ ทุกข์ กับ สมุทัย ในอริยสัจจ์ 4
ส่วน นิโรธ กับ มรรค ไม่มีในปฏิจจสมุปบาท

และ อวิชชา เป็น ปัจจัยแก่ สังขาร6 ได้เท่านั้นค่ะ
อวิชชาเป็นปัจจัยให้ มรรค8 เกิดไม่ได้ค่ะ
หาก มรรค8 เกิดขึ้นครบ 4 รอบ อวิชชาดับสนิทค่ะ


...SOAMUSa อวิชชา เป็นปัจจัย แก่ มรรค โดยอนันตรปัจจัย :b6: จริงไหมฮับ

อ่าาาาาาา .....ต้องรอคำตอบที่สังขารทั้งหลาย(สังขตธรรม)....ว่าเติมลงไปด้วยเหตุไร น่าจะมีอะไรที่เห็นแจ้งอยู่ นะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารได้เท่านั้นค่ะ
อวิชชาไม่เป็นปัจจัยให้เกิด มรรค8 นะคะ
ลองหาอ่านดูนะคะ อวิชชามันลงล๊อกกับสังขารเท่านั้นนะคะในปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร6 ค่ะ ไม่มีองค์มรรคอยู่ใน สังขาร6
อวิชชา กับสังขาร เป็นอดีตเหตุ แก้ไขไม่ได้
หากจะทำมรรคต้องทำที่ปัจจุบันเหตุคือ มีตัณหานำหน้าในการสร้างกุศลค่ะ เป็นพลวปัจจัย
เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย ให้ส่งผลเป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย ในอนาคตผล

และ อวิชชาเป็น อกุศล คือ โมหะ
ดังนั้น อกุศล ที่เกิดก่อนช่วยอุปการะให้ กุศลเกิด เป็นอนันตรปัจจัยไม่ได้ค่ะ


คุณเช่นนั้น สนใจฟังเรื่องปัฏฐาน ตอนนี้มีบรรยายที่วัดโพธิ์ค่ะ
ทุกวันอาทิตย์ตอนบ่ายโมง ที่ตึกเขียวด้านหลังตึกที่สอนพระอภิธรรมวัดโพธิ์ท่าเตียน

ดิฉันก็ขอตอบพอเท่าที่ตอบได้นะคะ
หากมีข้อผิดพลาดอย่างไร ลุงหมานกรุณาช่วยแก้ไขให้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะลุง

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


สังขตธรรม ที่เป็น ทุกขสัจจะ นั้น ไม่มีมรรค4 ผล4 ค่ะ
มีแต่โลกียจิต 81 เจตสิก 51(โลภเจตสิก) รูป 28

ในปฏิจจสมุปบาท มีแต่ทุกข์กับสมุทัย แต่ถ้าจะทำหนทางไปสู่มรรคผลนิพพานนั้น
ก็เริ่มทำกุศลที่ปัจจุบันเหตุ ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:

อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารได้เท่านั้นค่ะ
อวิชชาไม่เป็นปัจจัยให้เกิด มรรค8 นะคะ
ลองหาอ่านดูนะคะ อวิชชามันลงล๊อกกับสังขารเท่านั้นนะคะในปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร6 ค่ะ ไม่มีองค์มรรคอยู่ใน สังขาร6
อวิชชา กับสังขาร เป็นอดีตเหตุ แก้ไขไม่ได้
หากจะทำมรรคต้องทำที่ปัจจุบันเหตุคือ มีตัณหานำหน้าในการสร้างกุศลค่ะ เป็นพลวปัจจัย
เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย ให้ส่งผลเป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย ในอนาคตผล

และ อวิชชาเป็น อกุศล คือ โมหะ
ดังนั้น อกุศล ที่เกิดก่อนช่วยอุปการะให้ กุศลเกิด เป็นอนันตรปัจจัยไม่ได้ค่ะ


คุณเช่นนั้น สนใจฟังเรื่องปัฏฐาน ตอนนี้มีบรรยายที่วัดโพธิ์ค่ะ
ทุกวันอาทิตย์ตอนบ่ายโมง ที่ตึกเขียวด้านหลังตึกที่สอนพระอภิธรรมวัดโพธิ์ท่าเตียน

ดิฉันก็ขอตอบพอเท่าที่ตอบได้นะคะ
หากมีข้อผิดพลาดอย่างไร ลุงหมานกรุณาช่วยแก้ไขให้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะลุง

ทราบอยู่ที่ คุณSOAMUSA แสดงมา
เป็นการศึกษาปัฏฐานตามรูปแบบ มาตรฐานทั่วๆไป

เพราะอวิชชา เป็นเหตุ ผล ก็ยังคงมีอวิชชา...จริงหรือไม่จริง
อวิชชา จึงมีทั้งใน เหตุและผล
จึงต้องเจริญมรรคภาวนาในปัจจุบัน เพื่อดับอวิชชา
ถ้าไม่มีอวิชชา ก็ไม่ต้องเจริญมรรคปฏิปทา....
จึงกล่าวว่าอวิชชาเป็นอนันตรปัจจัย แก่มรรค
เรื่องปัฏฐานไม่ซับซ้อนมากมายอะไรดั่งที่สาธยายกันหรอกครับ
เข้าใจสภาวะธรรม ก็เข้าใจปัฏฐานตามที่อรรถาจารย์ แกะออกมาจากสุตตันตปิฏก แยกออกมาไว้เฉพาะในพระอภิธรรมปิฏก 7 คัมภีร์
เพียงแต่จะ งง ศัพท์แสง ที่ไม่คุ้นเคยเท่านั้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
สังขตธรรม ที่เป็น ทุกขสัจจะ นั้น ไม่มีมรรค4 ผล4 ค่ะ
มีแต่โลกียจิต 81 เจตสิก 51(โลภเจตสิก) รูป 28

ในปฏิจจสมุปบาท มีแต่ทุกข์กับสมุทัย แต่ถ้าจะทำหนทางไปสู่มรรคผลนิพพานนั้น
ก็เริ่มทำกุศลที่ปัจจุบันเหตุ ค่ะ

สังขตธรรม ล้วนเป็นทุกข์ ไม่เว้นแม้แต่ มรรค
มรรค เกิดแล้ว ก็ดับ
แต่มรรค ไม่ใช่ทุกข์สัจจ์
SOAMUSA ต้องจำแนก ให้ดีระหว่าง ทุกขสัจจ์ กับ ทุกขลักษณะของสังตขธรรม นะจ๊ะ

ในปฏิจสมุปบาท มีหมด ทั้งทุกข์ สมุทัย นิโรธ กับมรรค
ทุกข์เกิดเพราะตัณหา
ตัณหาตั้งอยู่ที่ไหน ตัณหาก็ดับที่ตรงนั้น จริงหรือไม่จริง

อยู่ที่คุณตั้งสัมมาสติทันหรือไม่ทัน เท่านั้นเอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจจสมุปบาท แสดงเหตุและผล นั่นคือ มีทั้งสายเกิดและสายดับ แต่ถ้าเป็นปฏิจจสมุปบาทสายดับ แสดงผลคือ อวิชชาดับลงไปด้วย เป็นแนวทางในการเทียบ เช่น การเกิดมาก่อนการตาย ในปฏิจจสมุปบาทสายเกิด แต่การตายเป็นการสิ้นสุดหรือ ไม่มีการเกิดอีกต่อไปในปฏิจจสมุปบาทสายดับ

การพยายามอธิบายกฏปฏิจจสมุปบาทให้เข้าใจนั้นทำได้เพียงความจำได้หมายรู้ ไม่มีใคร หรือ พระอนุพุทธะก็ไม่สามารถเข้าใจถ่องแท้ได้ ยกเว้นแต่พระพุทธเจ้าที่เข้าใจรู้แจ้ง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


หาความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทให้ได้ก่อน
แล้วแต่ละองค์ปฏิจจทั้ง 12 องค์นั้น กล่าวไว้แค่ไหนมีธรรมที่เกี่ยวข้องด้วยมีอะไรบ้าง
หากจะว่าตำราเป็นแค่สัญญา ก็อ่านแล้วพิจารณาตามให้เข้าใจก็จะมีปัญญาประกอบไปด้วยค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 10:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: SOAMUSA เขียน:
หาความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทให้ได้ก่อน
แล้วแต่ละองค์ปฏิจจทั้ง 12 องค์นั้น กล่าวไว้แค่ไหนมีธรรมที่เกี่ยวข้องด้วยมีอะไรบ้าง
หากจะว่าตำราเป็นแค่สัญญา ก็อ่านแล้วพิจารณาตามให้เข้าใจก็จะมีปัญญาประกอบไปด้วยค่ะ


:b8:
อนุโมทนาสาธุกับความรอบรู้และลึกซึ้งในธรรมของคุณSOAMUSA
:b27: :b27:
ขอความกรุณาคุณSOAMUSAช่วยอธิบายให้ทราบด้วยว่า ในปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 พูดแต่เรื่อง ปัจจัยให้เกิด
:b38:
"ปัจจัย" นั้น มักทำงานคู่กับ "เหตุ" จึงจะเกิดเป็น ...."ผล"...ตามมา
:b10:
อะไรหรือที่เป็น....เหตุ....ให้ปัจจัยทั้งหลายกระทบแล้วเกิดเป็น....ผล?
:b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร