วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 12:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2018, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อสุภะ ให้พิจารณาร่างกายของตนและของคนอื่น ให้เห็นเป็นของไม่งาม ร่างกายที่ว่านี้ ถ้าเห็นว่างามแล้วมันก็เกิดราคะ เกิดความลุ่มหลง เกิดความกำหนัดมัวเมา ท่านให้มองอย่างตรงกันข้าม คือ เนื้อแท้ว่าไม่งาม แต่ความงามเป็นของปรุงแต่งแล้วงามขึ้น

ร่างกายเรา ถ้าดูให้เห็นว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไรมันก็ไม่งาม เป็นของสมมติปรุงแต่งขึ้นทั้งนั้น เราแยกออกพิจารณาเป็นอย่างๆ เช่น ดูผม อย่าดูให้งาม ดูว่าเนื้อแท้ กลิ่น ที่เกิดมันเป็นอย่างไร ที่กลิ่นมันไม่หอม แล้วเราใส่น้ำหอม น้ำหอมก็คือยาดับกลิ่นนั่นเอง

บางคนกลิ่นตัวจัดออกมาทางรักแร้บ้าง อะไรบ้าง คนไหนทาน้ำหอมมากๆ แสดงว่ากลิ่นตัวแรง จึงต้องใช้ยาดับกลิ่นมากหน่อย

ถ้าเราดูคนตอนตื่นนอนใหม่ๆ นั่นคือตัวแท้ของเขาละ อย่างอิเหนากับบุษบา อิเหนาไม่ชอบก็เพราะเห็นรูปตอนตื่นนอนใหม่ ไม่ใช่รูปแต่งตัว แต่ช่างเขียนภาพนางบุษบาก็ไปเขียนตอนบุษบาตื่นเช้ายังไม่ทันล้างหน้าล้างตา ขี้ตาเกรอะกรัง เลยไม่สวย อีกรูปตอนที่แต่งตัวทาหน้าทาตาอย่างดี ก็เลยสวย แล้วก็เอาภาพกลับมาให้อิเหนาดู แต่ภาพที่สวยหล่นหายเสีย เอาภาพที่ไม่สวยไปให้ดู อิเหนาเลยไม่สนใจ
แต่ภาพที่หล่นหายนั้นวิหยาสะกำมาเจอเข้าก็หลงเป็นบ้าเป็นหลังไปเลย ท้าวกระหมังกุหนิงบิดาก็เลยให้คนไปขอ แต่มีท้าวจรกาไปหมั้นไว้แล้ว วิหยาสะกำก็ไม่ยอม จะไปชิงเอานางบุษบามาให้ได้ แต่ตอนนั้นอิเหนาไม่สนใจเลย สู้นางจินตะหราไม่ได้

แสดงว่า คนเราเวลาตื่นนอนใหม่ๆ ไม่ได้ความ หน้าตายู่ยี่ พออาบน้ำแล้วค่อยเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย เราลองนึกต่อไปว่าร่างกายเราสิ่งที่ออกมานั้นเป็นอย่างไร ออกมาทางหูเป็นขี้หู เราอยากดมไหม ขี้ตา ขี้มูก หรือน้ำลาย มีอะไรน่ารักบ้าง เวลาเหงื่อออกมีใครอยากหอมกันบ้าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 เม.ย. 2018, 09:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2018, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เหมือนหมีกินผึ้ง หลับหูหลับตาเอากันเข้าไปได้ พวกหมีไปกินผึ้ง มันหลับตา ผึ้งจะต่อยตรงอื่นมันไม่กลัว เพราะขนมันเยอะ แต่ตรงลูกตา คิ้ว จมูก ผึ้งมันจะต่อยตรงนั้น มันก็รู้จุดอ่อนของหมี หมีมันก็จับเอามากินเลย ไม่ลืมหูลืมตาเลย คอยปิดตาอย่างเดียว ผึ้งก็หมดปัญญาเหมือนกัน เลยต่อยไม่ได้
มนุษย์ก็เหมือนกัน หลับหูหลับตาจะกินให้ได้ กูจะหม่ำท่าเดียว ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้ปฏิสังขาโย เลยวุ่นวาย เรามันไม่ปัจจเวกขณ์เลยยุ่ง ไอ้ถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะอุจจาระก็เหม็น ระบายลมออกมาก็เหม็น
พระท่านเทศน์ว่า ถึงแม้รูปร่างมันจะสวยสด ถ้าแม้ตดออกมามันก็เหม็นเหมือนกัน คล้ายกับว่าเป็นมายา ปิดไว้แล้วมองไม่เห็น
เราจึงควรหัดเพ่งไว้บ้าง เวลาใดมันฟุ้งซ่านอยากสนุก มีความกำหนัดในกาม ก็นั่งลงพูดกับตัวเอง กำหนัดอะไร น่ารักตรงไหน ลองเปิดท้องดูสิ เหม็นทั้งนั้น ลองไปดูที่ถ่ายไว้ที่ส้วมซิ เอาคืนมาได้ไหม มันก็หยุดกำหนัดลง เหมือนท่านพุทธทาสว่า ตวาดมันเข้าไล่มันออกไป มึงมาทีไรก็ยุ่งทุกที แล้วหมั่นพูดกับตัวเองว่า ไม่เข้าท่า ไม่เห็นงามสักหน่อย สกปรกจะตายไป เหม็นตั้งแต่ผมถึงปลายเท้า ว่าอย่างนั้นบ่อยๆ มันก็เฉยๆไปเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2018, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หรือเรามีภรรยา พอนานๆ เข้าก็ว่า อ้อ ทำลูกเสียหน่อยไว้สืบพันธ์ แล้วก็ทำด้วยปัญญา ไม่ใช่อย่างคนหลง
ก่อนจะเสพกาม ไหว้พระสวดมนต์ซะก่อน ทั้งสองคนผัวเมียจุดธูปเทียนไหว้พระเสร็จแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าเวลานี้ระดูมันหยุดแล้ว ถึงเวลาจะต้องเสพ เพื่อสืบพืชสืบพันธ์ ขอให้วิญญาณสัตว์ดีๆ มาเกิดในท้องของแม่บ้าน
พอไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็เข้าห้องนอน ทำไปตามเรือง :b1: ลูกมันจะดี ออกมาว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กเรียบร้อยเพราะใจมันเป็นพระ ลูกออกมามันดีแน่
แต่ไอ้ที่ไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระ พออยากเข้าก็เอาเลย มันจึงออกมาเลอะเทอะ ทีนี้ ไอ้คนไหนมันเกะกะ ควรจะกล่าวว่า ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สวดมนต์ ถึงออกมาอย่างนั้น
ถ้าเราสวดมนต์สวดพร ไหว้พระ เรียกว่า ทำด้วยปัญญา ทำด้วยจิตว่างมันเรียบร้อยไม่ยุ่ง

อสุภะ ให้พิจารณา หรือว่าเอาภาพอะไรที่มันเตือนใจ เป็นภาพแผลเหวะหวะ ถูกยิงถูกฟัน เห็นแล้วมันติดตาเราเอามานั่งนึกคิดบ่อยๆ เวลาใดใจมันฟุ้งซ่าน ก็นึกถึงภาพนั้น ซึ่งเป็นแผลน่าเกลียด พุพองเป็นหนอง จะแก้อารมณ์กามได้ เรียกว่า เจริญอสุภกัมมัฏฐาน เป็นเครื่องยับยั้ง ความมัวเมาในกามที่เกิดขึ้นในจิตใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กายคตาสติ ระลึกทั่วไปในกายให้เห็นว่าไม่งาม น่าเกลียด โสโครก. นี่จุดสำคัญ คือ ร่างกายนี่ กายคตาสติ

คนเราโดยปกติทั่วไปนั้น มักจะมองร่างกายในแง่สวยงาม เพาะราคานุสัย เพาะปฏิฆานุสัย เพาะอวิชชานุสัย มันเพาะทั้งนั้น เพาะราคะ อวิชชา ปฏิฆะให้เกิดขึ้นในใจ เพราะมองไปว่ามันสวยมันงาม ให้นึกว่าเรายืนหน้ากระจกนี่เรานึกอย่างไร เวลาเอากระจกมาส่องนี่ เรานึกอย่างไร ไม่มีใครนึกว่ากูไม่สวย ไม่หล่อ นึกว่าสวย ว่าหล่อทั้งนั้น
แม้ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ก็ยังมองว่าพอไปได้ นึกว่าอย่างนั้น ธรรมดาเป็นอย่างนี้

ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น ? เพราะมนุษย์เรานี่หลงตน หลงกาย หลงว่าฉันลืมตาย หลงกายมันลืมแก่ หลงเมียลืมพ่อแม่ ไปอย่างนั้น
อันนี้ถูกต้อง คนหลงตนมันลืมตาย ไม่นึกว่าตัวจะตาย หลงร่างกาย ก็ลืมแก่เพราะนึกว่ากูยังหนุ่มอยู่ ยังสาวอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ ยังไม่เป็นไร พอไปหลงเจ้าแม่ประคุณเมียเข้า ลืมพ่อลืมแม่ไปเสียแล้ว เป็นอย่างนั้น

ปกติคนเรามักจะหลง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ทีนี้ ความหลง ทำให้เกิดความผิด ทำให้เกิดทุกข์ เกิดความเสียหาย ก็เพื่อจะแก้ความหลงนี่แหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร เพื่อจะแก้ความหลงมัวเมาในเรื่องร่างกายนี้ให้มันผ่อนคลายลงไปเสียบ้าง
ท่านจึงสอนให้พิจารณา กายคตาสติ คือ พิจารณาในแง่ว่าไม่สวยงาม ปฏิกูล แปลว่า น่าเกลียด โสโครกด้วยประการต่างๆ ให้พิจารณาร่างกายนี้ทั้งหมด ให้เห็นในรูปอย่างนั้น จุดหมายอยู่ที่ตรงนั้น
เราจะพิจารณาอย่างไร จึงจะเห็นว่ามันไม่สะอาด ? เราลองมาคิดกันง่ายๆ ว่าร่างกายของเรานี้ ตั้งปัญหาขึ้นว่ามันสะอาดหรือไม่สะอาด ตั้งปัญหาขึ้นมาอย่างนั้น แล้วเราก็หาคำตอบว่ามันเป็นอย่างไร จะตอบว่าสะอาดหรือจะตอบว่าไม่สะอาด
อย่าตอบตามอารมณ์ อย่าตอบตามความหลง แต่เราตอบตามความเป็นจริงทีเดียว การตอบตามความเป็นจริงนั้น ก็ต้องพิสูจน์กัน ให้เห็นว่ามันไม่สะอาดอย่างไร เพียงแต่พูดเฉยๆว่าไม่สะอาด มันยังไม่รู้ว่าไม่สะอาดอย่างไร
ทีนี้ การพิสูจน์ก็คือ การพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เพื่อให้เห็นว่ามันไม่สะอาด เอาอย่างง่ายๆ กันก่อนว่ามันไม่สะอาดอย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมเราจึงต้องมีการชำระล้างร่างกายนี้ทุกวันๆ ทำไมเราต้องอาบน้ำบ่อยๆ ทำไมเราต้องแปรงฟัน ทำไมจึงหวีผม ทำไมเราต้องแต่งเล็บ ทำไมจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ทั่วร่างกายนี้ มีเรื่องที่จะต้องแต่งเยอะแยะ ตั้งแต่ปลายผมถึงปลายเท้า
คนเขาตั้งโรงงานหากินกับร่างกายมนุษย์นี้ หากินได้นะร่ำรวยกันเป็นเศรษฐีไปเลย ไอ้โรงานเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์นี่ ตั้งแต่บนหัวลงไป ตั้งโรงงานทำเครื่องดัดผมของผู้หญิง น้ำมันใส่ผม, หวี, แปรง, อะไรต่ออะไรร้อยแปด เรื่องผมเรื่องเดียวนี่โรงงานกี่หลังก็ไม่รู้ มากมายก่ายกอง หากินได้เรื่องผมน่ะ ร่างกายนี่
เรื่องของคิ้วยังตั้งโรงงานได้ ทำแหนบเล็กๆ ถอนคิ้ว คิ้วที่ดีอยู่แล้วไม่สวย ถอนซะไปทำให้มันโก่งเหมือนกับวงพระจันทร์ ยังใส่อะไรให้มันนิดหน่อย
เรื่องตานี่เยอะมากเหมือนกัน ต้องมีแว่นตาสำหรับคนที่ตาไม่เห็น ยังมีแว่นกันแดด แว่นกันแดดก็ต้องอันใหญ่ๆ เบ้อเริ่มๆ ใส่ให้มันโก้ แล้วก็ต้องมียาหยอดตา หยอดให้มันคมกริบ ตัดหัวใจผู้ชายให้มันสลายไปเลย นี่ยาหยอดตา แล้วก็ทำให้มันเลอะเทอะ เวลาเห็นผู้หญิงที่ทาขอบตานี่ นึกว่าไปสบายทุกที หลวงพ่อนี่คิดว่าอย่างนั้น นึกว่า เอะ หนูนั่น ท่าจะไม่สบาย นึกไปอย่างนั้นทุกทีน่ะ เห็นทาตานี่แล้วไม่ได้นึกรักเลย ที่ทาตาลงไปนี่ มันน่าจะรักคนที่ไม่ทาเสียมากกว่า แต่ว่าพอทาแล้วมันดูเป็นน่าเกลียดไป ทำไมไปทาให้เลอะเทอะ
ร่างกายมนุษย์นี่หากินได้ คนที่เขารู้จักหากินก็หากินกับร่างกายมนุษย์นี่มากมาย ทุกเรื่องที่กระทำนั้น ก็เพื่อส่งเสริมราคะ ความกำหนัด ส่งเสริมโทสะ ส่งเสริมโมหะ ให้เกิดขึ้นในใจตน นี่ละเรียกว่าเพิ่มพูนกิเลสทั้งนั้น ถ้าว่าอยู่ตามธรรมชาติปกติ ไม่ส่งเสริมเท่าใด
มันปกติ คือว่าไม่ยั่ว


เดี๋ยวนี้ มนุษย์เรามันยั่ว เลยหลงใหลเพลิดเพลินในกามารมณ์ จึงสร้างปัญหาคือความทุกข์ ความเดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ เราจึงต้องแก้ด้วยการเจริญกายคตาสติ พิจารณาร่างกายนี้ว่าโดยธรรมชาติมันไม่สะอาด
ถ้ามันสะอาดเราก็ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องแปรงฟัน ไม่ต้องใส่ครีม ไม่ต้องใส่น้ำอบ น้ำหอม สะอาดแล้วนี่ แต่นี่มันไม่สะอาด จึงต้องทำอย่างนั้น

แล้วเราลองนึกอีกแง่หนึ่งว่า อะไรๆ ที่ออกมาจากตัวคนนี่ มีอะไรสะอาดบ้าง มีอะไรน่ารัก มีอะไรน่าหลงบ้าง
เหงื่อออกมานี่นักรักไหม หญิงชาย ทำงานเหงื่อท่วมตัว เราจะไปกอดได้ไหม ไปจูบได้ไหม ไม่ไหวละเหงื่อทั้งนั้น สกปรก
ออกมาทางตาก็สกปรกเป็นขี้ตา
ออกมาทางจมูกเป็นน้ำมูกก็สกปรก
ออกมาทางปากก็เป็นน้ำลาย
ถ้าสมมติว่าแฟนเราจะถ่มน้ำลาย แล้วเราก็ว่า เอ้า ถ่มในปากฉันนี่ มีไหมไอ้อย่างนั้น ฉันรักเธอเหลือเกิน น้ำลายเธอฉันก็ไม่รังเกียจ ไม่มีละ มีแต่ว่าให้ไปถ่มที่อื่น เราไม่รัก น้ำลายออกมาก็ไม่น่ารัก
ปัสสาวะออกมาก็ไม่น่ารัก เอามาดมก็ไม่ได้
อุจจาระออกมาก็ไม่ไหว น่าเกลียด
เวลาเราไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะดูๆ มันเสียบ้าง เอามาเป็นกรรมฐาน ถ้าออกมาแล้วก็กลับไปดู น่าเกลียด ไม่ไหว นี่ฉันเอาคืนไม่ได้แล้ว รีบๆชักโครกดีกว่า ลงไปให้พ้นหูพ้นตาเสียไม่ไหว
เราถ่ายเสร็จแล้ว น้ำชักโครกไม่มีนะ ออกไปสักสี่-ห้านาที กลับมาดูไม่ได้ ของตัวเองแท้ๆ ดูไม่ได้ นี่แสดงว่ามันไม่ไหว ของเราแท้ๆ ดูไม่ได้แล้ว ไม่สะอาด แล้วไอ้ที่อยู่ในท้องเรานี่ มันสะอาดที่ไหน แต่ว่าอยู่ในท้องของแฟนนี่มันสะอาดไหม
บางคนยังไปดมที่ท้องเสียด้วย ดมทั้งตัว บางคนหนักไปถึงกับเลียเลย อื้อ ทำเหมือนกับควาย เหมือนกับสุนัขที่เลียนะ สุนัขมันเลีย มาถึงเลียเลย ทีนี้มนุษย์เห็นว่าสุนัขมันเลีย น่ากลัวอร่อย เลยลองเลียดูบ้าง มันโง่เต็มทีของสกปรกแท้ๆ เราไม่ได้พิจารณามองไม่เห็น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ลองพิจารณาในรูปนี้บ่อยๆ ลองนึกคิดบ่อยๆ ดูร่างกายทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ผมถึงปลายเท้า ไม่มีส่วนใดสะอาดเลย มีแต่ส่วนไม่สะอาดทั้งนั้น เช่นว่า เขาทาแป้งไว้ ถ้าเรามองลึกลงไปในแป้ง มันก็ไม่สะอาด
คนบางคนทาแป้งหน้าเข้าท่า พอตื่นเช้าหน้าเป็นกระเลย เอาแป้งทาไว้ มายาฉาบทาไว้ ไม่ใช่ของแท้ของจริง
เราคิดในรูปอย่างนั้นบ่อยๆ แล้วจิตใจก็จะเหนื่อยหน่ายในกามคุณ กามารมณ์ แม้เราจะอยู่ครองบ้านครองเรือน ก็ควรจะพิจารณาเอาไว้เพื่อให้เกิดความพอดี คุมกำเนิดอยู่ในตัว ถ้าเราทำอย่างนั้น คุมกำเนิดอยู่ในตัว เพราะว่าเราเบื่อหน่าย ไม่รักไม่ชอบอะไรนักหนา มันเป็นห้ามล้ออยู่ แล้วก็สอนให้พิจารณากันทั้งสองฝ่าย หญิงก็สอนให้พิจารณาด้วย

แต่งงานกันแล้วก็บอกว่า กายคตาสติ กันเสียก่อน สอนให้เข้าใจว่าฉันไปบวชมา หลวงพ่อสอนมาแบบนี่ว่าไม่งามดอก ฉันไม่ได้แต่งงานกับเธอเพราะเธองามอะไรดอก แต่ฉันแต่งงานเพราะว่าอยากจะมีลูกไว้สืบสกุลสักคนเท่านั้นเอง แล้วก็เรามาทำลูกกันหน่อย ว่าไปตามเรื่อง ทำไปตามเรื่อง แล้วพิจารณาไป
เวลาทำก็อย่าทำด้วยความหลง พิจารณาให้รอบคอบ ปฏิสังขาโยเสียก่อนก็ได้ พิจารณาว่า เราฉันบิณฑบาตนี้ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อสนุก ไม่ใช่เพื่ออร่อย
แล้วเราก็พิจารณาว่า ที่ฉันมานอนกับเธอนี่ไม่ใช่ว่าฉันหลงใหลอะไรดอก ฉันพิจารณาแล้วว่าไม่ได้ความอะไร ไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดูอะไร แต่ว่าฉันสงสารเธอ ว่าอยู่คนเดียวเหงา ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอหน่อย แล้วเราก็ไม่ได้อยู่กันด้วยความหลงนะ อยู่กันด้วยปัญญา แม้เราจะเสพกาม ก็เพื่อสืบพืชสืบพันธุ์ ไม่ใช่เสพเพื่อสนุกสนานเพลิดเพลินเหมือนกับสุนัข ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน พูดกันเสียหน่อย ทำความเข้าใจกัน ผลที่สุดมันก็เรียบร้อยอยู่กันได้เป็นปกติ ไม่มีอะไร อยู่ด้วยธรรมะแล้วอยู่ด้วยกันดี


ถ้าอยู่ด้วยความหลง ไม่อิ่ม ไม่พอ เดี๋ยวไปเห็นของคนอื่น เอ๊ะ สวยกว่าของกู เลยไปกันใหญ่ เลอะเทอะใหญ่ ผู้ใดเห็นอารมณ์ว่างาม มารย่อมรังควานได้ง่าย แต่ผู้ใดเห็นว่าอารมณ์ไม่งาม มารไม่รังควาน เป็นผู้มีจิตใจมั่นคงแข็งแรง อันนี้ เราควรจะได้พิจารณาไว้
ทีนี้ ลองนึกถึงเอามาเป็นวัตถุพยาน เช่น คนเป็นแผลนี่สวยงามไหม แผลเหวอะหวะ เราเห็นแผลนี่ไม่งาม ก็ภายใต้ผิวหนังมันก็ไม่งาม ลอกผิวหนังออกมันก็มีน้ำเลือด เป็นของไม่สะอาด เลือดนี่ไม่สะอาด อะไรก็ไม่สะอาดทั้งนั้น อย่างนี้ เรียกว่า เจริญกายคตาสติ เพื่อป้องกันไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดขัดเคือง ลุ่มหลงมัวเมา เราห้ามล้อมันเสียบ้างก็จะได้สบายใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


https://www.khaosod.co.th/around-the-wo ... ws_1016614

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มรณัสสติ นึกถึงความตายที่จะมีแก่ตน เรื่องตายไม่น่ากลัว เรื่องเกิดสิน่ากลัว เพราะตายแล้วก็แล้วกัน

แต่เรื่องเกิดต้องอยู่อีกหลายปี เรื่องตายจึงเป็นเรื่องธรรมดา มันเดินทางมาด้วยกัน กับ ความเกิด พอเกิดมามันก็เดินทางมาด้วย ทั้งตายทั้งเกิด แล้วอยู่คู่กันตลอดเวลา ไอ้ร่างกายเราเวลานี้มันก็กำลังเกิด แล้วกำลังตายเหมือนกัน เกิด ตาย เกิด ตาย เพราะในพุทธศาสนาถือว่าเป็น ขณิกวาท เป็นของชั่วขณะ ไม่เป็นกลุ่มก้อน แต่เกิด ดับ เกิด ดับ ทุกเวลา แต่ไม่ตายเด็ดขาด เพราะยังมีสิ่งสืบต่อชดเชย

ถ้าหากหมดสิ่งชดเชย เมื่อนั้นก็เรียกว่าตายจริงๆ ร่างกายดับจริงๆ การตายไม่ได้เจ็บปวดอะไร ไอ้เจ็บปวดมันเรื่องความเจ็บกาย ความตาย พอหลับตาก็ตายไป ไม่เห็นจะทุกข์ร้อนอะไร ความจริงมันไม่น่ากลัว ตายแล้วก็จบฉากไป

แต่ตอนเป็นซิน่ากลัว เดี๋ยวข้าวสารแพง ไอ้นั่นแพง ไอ้นี่แพง กลัวบ้านเมืองจะวุ่นวาย พอตายแล้วมันไม่น่ากลัว ลองไปถามไอ้พวกนอนอยู่ในโลง ถ้ามันตอบได้มันก็จะบอกว่า ข้าไม่รู้ไม่ชี้ มนุษย์นี่ยุ่งจริงๆเว้ย คนกลัวตายนี่ตายวันละหลายหน
แต่คนไม่กลัวตายก็เป็นคนไม่ตาย ถ้าเราไม่กลัวตาย เมื่อไรก็ได้ จะมาหาฉันเมื่อไรก็ได้ ความตายเอ้ย จึงต้องนึกถึงความตายไว้บ้าง

อีกอย่างหนึ่ง ความตายมันดี คือว่าคนรักจะรักเรามาก คนเกลียดจะได้สบายใจ รักน่ะต้องคิดถึงเรามาก ถ้าเราตาย
ส่วนคนที่เกลียดเราก็สบายใจ เออ มันตายไปเสียทีก็ดี ไม่ขาดทุน ไม่สูญหาย เราจึงไม่ควรจะไปกลัวตาย
ถ้าไม่กลัวตายก็ไม่ต้องมีเครื่องรางของขลัง ไอ้คนที่แขวนเครื่องรางของขลังมากๆ นะมันกลัวตาย ไม่เจริญมรณัสสติเสียบ้าง

เมื่อสมัยสงครามญี่ปุ่น ผมอยู่กรุงเทพ ฯ วัดสามพระยา ระเบิดตกที่เทเวศร์ราบไปเลย ผมเลยชวนพระด้วยกันไปดู ปรากฏว่าวังทั้งหลายหายไปเลย เลยนึกกลัว ไม่นอนวัดสามพระยาในคืนนั้น เลยไปนอนฝั่งธน ฯ วัดวิเศษการ เหมือนหนีเสือปะจระเข้ คืนนั้นมันไปทิ้งบางกอกน้อย แล้วก็ทิ้งระเบิดทำลายบ้านแถวนั้นราบพังไปหมดเลย
พวกเราเป็นพระไปหลบอยู่ในคู ซึ่งคูนั้น กลางวันนอนไม่ลงละ น้ำมันสกปรก พอตกใจระเบิดลงนอนเฉยเลยในบ่อน้ำ เอามือจับบ่อไว้
มีพระองค์หนึ่ง วิ่งเตลิดไปในสวน พอเจอโยมก็บอกว่า โยมช่วยด้วย
โยมบอกว่า ผมซิจะบอกให้พระช่วย เรื่องอะไรพระจะให้ผมช่วยละ
ก็เลยนึกได้ว่าตัวเองเป็นพระเลยเดินกลับวัด พอตอนเช้าขาลายเลย
ส่วนผมนอนอยู่ในร่อง คิดว่า ถ้าไม่ลงมาโดนข้าก็ไม่ตาย เลยนอนเฉย ไม่กลัว ยอมแล้ว แล้วว่าถ้าไม่ลงบนหัวก็รอดต่อไป เหตุที่เฉยก็เพราะยอมแล้วนั่นเอง ไม่กลัวตายเลยไม่เป็นไร

อีกทีหนึ่ง ไปพักที่วัดสงขลา ยิ่งกว่ากรุงเทพฯ อีก กรุงเทพฯ มันกว้าง ทิ้งบางรัก ทิ้งเทเวศน์ ไม่เป็นไร ทิ้งบางรัก บางขุนพรหมไม่เป็นไร สงขลาเมืองนิดเดียว มันวนอยู่บนหัว ไม่วนเปล่า ยิงปืนกลกราดด้วย ผมก็ลงไปอยู่ในป่ากับเพื่อน เดินๆ ไปเพื่อนหายไปเฉยๆ คนที่หายไปน่ะ เดินบุกไป ๙ กิโลเมตร ด้วยความตกใจโผล่ที่บางกระดาน แต่เดินทางลัดไปถึง ๙ กิโลเมตร หนามเป้งชายทะเลตำเต็มเท้า เป็นหนามทั้งนั้น กลับมาเลยว่าทำไมถึงทิ้งเพื่อนไปได้
เขาบอกว่ามันนึกไม่ออก ก็มันร่อนอยู่บนหัว เลยหนีไปเลย ผมเองนั่งอยู่ใต้ต้นไม่ นั่งนึกว่า ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไป
ถ้ามันยิงถูกกูตาย ไม่ถูกกูอยู่ต่อไป ภาวนาพุทโธๆๆ ไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าไม่เป็นไร แล้วก็ไม่กลัว ไม่กลัวก็ตรงที่ยอมมันนั่นเอง เลยนึกว่าตายก็ตาย เลยไม่กลัวมัน

ในเมื่อผจญกับสิ่งที่เป็นอันตราย อย่าไปกลัวมัน ยอมมันเลย ตายก็ตายวะ เราก็ไม่กลัวเองแหละ อย่างเราเป็นทหารออกรบ เวลาออกไปตระเวนหาข้าศึก ก็นึกว่ามันยิงโดนกูก่อน กูตาย ถ้ากูเห็นก่อนกูก็ยิงละวะ มันก็ไปได้ด้วยความกล้าหาญ เพราะเรายอมแล้วก็ไม่กลัวตายเอง
พวกเราเวลานอนก็หัดตายเสียบ้าง เอามือวางท่าถือดอกไม้ หลับตาคิดว่ากูนี่ ถ้าไม่หายใจออกก็ตาย ถ้าหายใจเข้า แล้วไม่หายใจออกก็ตาย นอนไปหัวใจหยุดเต้นก็ตาย
ถ้าคืนนี้เกิดตายไปจะมีอะไร สมบัติทั้งหลายไม่ใช่ของเรา เราเกิดมาอาศัยโลกชั่วคราว ของในห้องนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราอยู่ก็ใช้มันไป ถ้าตายไปก็เป็นของคนอื่นต่อไป จะไปยึดถือมันทำไม ไม่ใช่ของเที่ยงแท้อะไร ถ้าจะแตกดับไปคืนนั้น ช่างเป็นไร ถ้าตายคืนนั้นก็ตายดี
แต่ถ้านึกว่าขโมยจะเข้ามาเลยนอนไม่หลับ เรายอมมันเสียก็หมดเรื่อง อย่างนี้เรียกว่า เจริญมรณัสสติ นึกถึงความตายบ่อยๆ
คนขับรถก็ควรนึกถึงความตายบ่อยๆ ว่าเวลานี้กูขับรถ ถ้ากูประมาท กูตายแน่ ก็ไม่ประมาท เอาตัวรอดได้
คนไม่เจริญมรณัสสติก็จะตายง่าย เพราะประมาท เราจึงต้องหมั่นคิดไว้บ่อยๆ
วันหนึ่งต้องคิดถึงความตายสักครั้ง อย่างน้อยก่อนนอนก็ต้องนึกถึงความตาย ไปไหนก็นึกว่าชีวิตมันไม่เที่ยง
ทีนี้ เมื่อนึกถึงความตายแล้ว มืออ่อนตีนอ่อนไปเลย ไม่ต้องทำอะไร ถามว่าทำไม บอกว่า ทำไปทำไม อีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว ถ้าอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงเป้าหมายที่พระพุทธเจ้าต้องการ


พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เจริญมรณัสสติ เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย เราหนีความตายไม่พ้น แล้วจะได้ไม่ประมาท ให้รีบเร่งใช้ชีวิตที่จะต้องตายนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้เร่งทำประโยชน์ ให้เร่งเล่าเรียน ให้เร่งศึกษา เป็นนักเรียนรีบเรียนเข้า เดี๋ยวพ่อแม่ตายไม่ทันได้ฉลองปริญญา ไม่ได้ชื่นอกชื่นใจ รีบเรียนหน่อย อย่าเรียนเถลไถล ทำอะไรก็รีบทำ มีหน้าที่อันใดก็รีบทำเข้าไป ตามสมควรแก่หน้าที่
บางคน คิดว่าทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ คิดผิด
เราไม่ได้ทำเพื่อจะเอาไป ก็เราไม่ได้เอาอะไรมา แล้วจะเอาไปอย่างไร เวลาเกิดมาเอาอะไรมาบ้าง มาตัวเปล่าทั้งนั้น ไม่ได้ถืออะไรมา มือไม้ไม่มีอะไร ตายก็ต้องไปมือเปล่า จะเอาอะไร คิดผิด
ที่ว่าไอ้นั่นของกู ไอ้นี่ของกู เรียกว่าตู่ธรรมชาติ เ ราก็ควรจะคิดว่า เราเกิดมาไมได้เอาอะไรมา เวลาไปก็จะเอาอะไรไปเล่า ที่เราทำๆ เราทำไว้ในโลกนี้ เราทำตามหน้าที่ในฐานะเป็นลูกหนี้ธรรมชาติ ลูกหนี้คุณแม่ แม่ธรณี เป็นหนี้ท่าน ท่านไม่คิดดอกเบี้ยอะไรดอก เราเอามากินมาใช้ตามชอบใจ เราก็ต้องเปลื้องหนี้เสียบ้าง ด้วยการทำอะไรๆ ให้เป็นประโยชน์ ชีวิตนี้จะมีค่าตรงที่เราใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ จะมีค่าที

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร