วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 13:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้จะพูดเรื่อง สรณาคมน์ ซึ่งหมายถึงที่พึ่งทางใจ

พวกเรามีที่พึ่งทางใจทั้งนั้น ทุกศาสนาก็มีที่พึ่งทางใจเหมือนๆ กัน คือ มีคำสอน แล้วก็มีผู้รับคำสอนที่เป็นชั้นชนสูงๆ เป็นสรณะของคนชั้นหลังๆ

พระพุทธศาสนา ก็มี สรณะ ๓ เราเรียกว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์

พระพุทธเจ้า คือ ผู้พบคำสอน

พระธรรม ก็คือ คำสอน

พระสงฆ์ ก็คือ ผู้รับคำสอน แล้วก็ปฏิบัติตามจนหมดความทุกข์ความเดือดร้อน เรียกว่า พระอริยสงฆ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในศาสนาอื่นเขาก็มีหลักสรณะของเขาเหมือนกัน เช่น ศาสนาฮินดู เรียกว่า ตรีมูรติ แปลว่า รูป ๓ ประการ เมื่อพบคนฮินดู มีอะไรเขียนที่หน้าผาก ๓ เส้น เขียนที่แขนก็ ๓ เส้น เขียนไว้ที่หน้าอกก็ ๓ เส้น สามเส้นทั้งนั้น เป็นเครื่องหมายแทนสิ่งที่เขานับถือ ๓ อย่าง ที่เรียกว่า ตรีมูรติ

ตรีมูรติ นั้นได้แก่ ธรรมะ คือ พระพรหม ผู้สร้างโลก แล้วก็ ศิวะ หมายถึงผู้รักษาโลก วิษณุ ผู้ปราบปรามความยุคเข็ญ อันนี้มีขึ้นในโลกเป็นครั้งคราว เขาถือสิ่ง ๓ ประการนี้ว่า เป็นสรณะของเขา

ชาวคริสต์ก็มีสิ่ง ๓ ประการ ฉะนั้น พวกคริสต์เตียน เวลาไหว้เขามักจับ ๓ ครั้ง จับที่แขนขวา จับที่แขนซ้าย และหน้าผาก เป็น ๓ จุด ๓ จุด นั้น ก็คือสิ่งไตรสรณะ คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

ส่วนศาสนาอิสลาม ไม่ครบ ๓ เขาถือแต่อย่างเดียว คือ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระอัลล่าห์เจ้า เป็นสูงสุด พระนบีมูฮัมหมัดเป็นเพียงผู้แทนองค์ พระเจ้าเป็นที่พึ่งของเขา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สรณะหรือที่พึ่งทางใจ เป็นสิ่งอุ่นใจ คอยประเล้าประโลมใจ

เวลาเรามีความทุกข์ ความเดือดร้อน เราก็นึกถึงสรณะทั้ง ๓ อย่าง ที่เรามีอยู่ เช่น ชาวพุทธเรามีความทุกข์ ความเดือดร้อน เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ว่าเป็นที่เป็นที่พึ่งของเรา

บางที เราก็เอาพระนามของพระพุทธเจ้ามากล่าวว่า พุทโธ พุทโธ

พวกฮินดู เขาก็เอานามของพระเจ้ามากล่าว เช่น กล่าวว่า ราม-ราม-ราม

คำว่า “ราม” นั้น หมายถึงวิษณุ หรือพระรามที่อวตารมาจากพระวิษณุ

บางทีเขาก็สวดมนต์ว่า ราม-นาม –สัตยะแฮ-สีตาราม คือพระรามและนางสีดา

เวลาสวดก็นั่งสวดตัวโยกเยกหน่อย ราม-รามๆ สัตยะแฮ-สีตาราม ก็ว่ามันเรื่อยไป นานๆเข้ามันชักจะห้วนเข้า ราม-ราม-รามๆ ว่ากันเรื่อยไป ระลึกถึงพระวิษณุเจ้าทุกเวลานาที ทุกลมหายใจเข้า-ออก นึกถึงแต่พระผู้เป็นเจ้าให้นาน เพราะบาปไม่มีโอกาสแทรกเข้าไป

เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เช่น สวดมนต์ว่า พุทโธ-พุทโธ บางคนก็มีประคำด้วย พุทโธ ก็ลูกหนึ่ง พุทโธ ก็ลูกหนึ่ง หมุนลูกประคำเรื่อยๆไป ให้จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ

ที่ทิเบตเขาสวดมนต์วันยังค่ำ คืนยังรุ่ง แปลว่า ยืนขึ้นก็ต้องสวดมนต์ ชาวทิเบตเขาสวดว่า โอมมณีปตเวหุงๆๆๆ เรื่อยไป ไกวเปลก็สวด ถักไหมพรม เดินไปไหนก็สวด ทิเบตนี้ใจอยู่กับพระตลอดเวลา จึงไม่มีอาชญากรรม ไม่มีเรื่องยุ่ง เขาอยู่กันอย่างสงบ เป็นเมืองสวรรค์ก็ว่าได้ เพราะไม่มีขโมยขโจร ไม่วุ่นวาย เพิ่งวุ่นเมื่อคอมมิวนิสต์เข้าไปนี่เอง คอมมิวนิสต์เห็นว่าทิเบตนี้สงบนัก ทำให้ยุ่งเสียหน่อยเลยเข้าไป ทิเบตต้องเผ่นเป็นแถวไป

คอมมิวนิสต์ก็เลยเข้าไปครอง ไม่ใช่เรื่องอะไรดอก ทิเบตแผ่นดินมันกว้าง ทรัพย์ในดินยังไม่ได้สำรวจ คงจะมีอะไรเยอะแยะ แร่ธาตุต่างๆ พวกจีนเขาอยากจะได้ เลยเข้าไปครอบครอง

โดยลำพังชาวทิเบตเอง เขาเป็นนักศาสนาอยู่กับพระ อยู่กับพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ตลอดเวลา แม้ไกวเปลให้ลูกก็สวดมนต์ ไม่ได้นึกอย่างอื่น เขาอยู่อย่างนี้ ชีวิตเขาเป็นสุข เพราะเขานึกถึงแต่พระที่เขานับถืออยู่ตลอดเวลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่นับถือที่เป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้เราได้อุ่นใจ นั่นมันเป็นเบื้องต้น ความอุ่นใจนั้นเป็นเรื่องเบื้องต้น แต่ว่าความอุ่นใจที่สูงขึ้นไปกว่านั้น ก็คือว่า ให้ได้รับความสุขความสงบในชีวิต

ความสุขความสงบนั้น ไม่ใช่เกิดจากบุญ แต่เกิดจากการประพฤติการปฏิบัติ ซึ่งจักถึงธรรมในทางพระศาสนา พ้นความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างแท้จริง

ในฐานที่เราเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัท แปลว่า ผู้แวดล้อมพระพุทธเจ้า เราจึงควรจะได้ศึกษาให้เข้าใจกันให้ชัดในเรื่องเกี่ยวกับสรณะ คือที่พึ่งทั้ง ๓ ประการ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าถูกต้อง

ถ้าไม่รู้ชัดไม่เข้าใจชัด ก็เข้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าที่ถูกที่ชอบ แต่ไปเข้าถึงเปลือกนอกของพระพุทธเจ้า เพียงรูปร่างของพระพุทธเจ้า

ถ้าพระพุทธเจ้า นิพพานไปแล้วเราก็เข้าไปถึงเพียงพระธาตุเป็นก้อนๆ ที่เหลืออยู่ หรือเข้าถึงพระรูปอะไร ที่เขาสร้างไว้อย่างนั้น เรียกว่า ถึงเปลือกทั้งนั้น ยังไม่ถึงเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า

เนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าจะเป็นอย่างไร จะเล่าเรื่องให้ฟังก่อน ในสมัยโน้น เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ วักกะลิ เข้าได้เห็นพระพุทธเจ้า มีความเลื่อมใสชอบใจ เลื่อมใสไม่ใช่เพราะฟังฟังธรรมอะไรดอก แต่เห็นว่าพระพุทธเจ้ารูปท่านงาม คือโดยธรรมดาคนเกิดใกล้ภูเขาหิมาลัย รูปร่างผิวขาว สง่างามเป็นธรรมดา พระองค์เป็นกษัตริย์ รูปร่างพระโฉมของพระองค์ก็งดงามเอาการอยู่ เขาได้เห็นก็ชอบใจ เดินตามไปทีเดียว จนไปถึงวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ เมื่อเข้าไปถึงแล้ว ก็เข้าไปกราบขอบวช พระองค์ก็บวชให้

เรื่องที่เขามาบวชนี้ไม่ใช่มาศึกษาธรรมอะไรดอก บวชเพื่อให้ได้อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า จะได้ดูรูปพระพุทธเจ้าอิ่มตา หารู้ไม่ดอกว่า ความอิ่มตานี้ไม่มี ความอิ่มทางหูก็ไม่มี ความอิ่มทางจมูกก็ไม่มี ความอิ่มทางลิ้นก็ไม่มี ความอิ่มด้วยการลูบคลำมันก็ไม่มี แกไม่รู้ว่าไอ้ความอิ่มอย่างนี้มันไม่มีเลย นึกว่าจะไปดูให้อิ่มตา

เพราะฉะนั้น เมื่อบวชแล้ว พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ไหน แกก็ต้องอ ยู่ใกล้ๆ นั่งดูแล้วดูอีกอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าฉันข้าวก็ไปนั่งดู เสด็จเทศนาที่ไหนก็ไปนั่งดู ไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ไปตั้งใจดู ดูอยู่อย่างนั้นหลายวัน
พระองค์เห็นว่า ไม่เข้าทีเสียแล้ว ที่มานั่งดูรูปร่างอันเปื่อยเน่าของตถาคต พระองค์บอกว่า ร่างกายมันเป็นของเปื่อยเน่า ดูอะไรนักหนา เลยเรียกมาแล้วบอกว่า เธอนี่มันไม่ได้เรื่อง เป็นคนเปล่าๆ ปลี้ๆ ใช้คำบาลีว่า โมฆะบุรุษ

โมฆะบุรุษ แปลว่า คนไม่ได้เรื่อง เป็นคนเปล่าๆ ปลี้ๆ ออกไป ออกไปจากสำนักของเรา มานั่งดูร่างกายอันเน่าเปื่อยของเราอยู่ได้ ขับไล่ไปเลย

พระวักกะลิเสียใจมาก นึกในใจว่าเราจะอยู่ไปทำไม ไม่ได้อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ไม่ได้เห็นพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไปตายดีกว่า เลยเดินไปตั้งใจว่าจะไปกระโดดหน้าผาให้ถึงความตาย

พระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านก็ตามไป ในเรื่องนั้นว่า พระองค์ท่านเปล่งพระรัศมีโอภาสส่องไป เป็นอันว่า พระองค์ได้ไปเถอะ ไปพบพระวักกะลิอีกทีหนึ่ง เมื่อพบแล้วก็ตรัสว่า “โย โข วักกะลิ ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ - วักกะลิเอ๋ย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นแหละเห็นเราผู้ตถาคต (ในทางตรงกันข้าม) ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นตถาคต”

การดูรูปร่างของพระองค์ ไม่ได้เห็นพระองค์ แต่เห็นเพียงรูปของพระองค์เท่านั้น

วักกะลิเป็นคนที่มีการศึกษามาพอสมควร เมื่อได้ยินคำตรัสเช่นนั้นก็นึกได้ว่า กูนี่มันไม่เข้าท่า ไปดูรูปร่างของพระพุทธเจ้ามันจะได้อะไร เลยก็กลับมากราบพระพุทธเจ้า แล้วตั้งหน้าปฏิบัติธรรมะ เพื่อให้เข้าถึงธรรมที่แท้จริง ก็เรียกว่าเข้าถึงพระพุทธเจ้า เลยก็ได้เป็นพระอรหันต์ไปด้วยเหมือนกัน

เรื่องที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้านั้น มี ๒ ชั้น

พระพุทธเจ้าชั้นนอก พระพุทธเจ้าชั้นใน

พระพุทธเจ้าชั้นนอก ถ้าในสมัยพุทธกาล เมื่อพระองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ร่างกายของพระองค์ทั้งหมดเป็นพระพุทธเจ้าชั้นนอก จีวรที่พระองค์ห่ม เสนาสนะ กฏิที่พระองค์ประทับอยู่ และอะไรๆ ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เช่น ต้นโพธิ์ อะไรที่เขาไปเห็นแล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้า เรียกว่าพระพุทธเจ้าชั้นนอก ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแท้ เป็นเพียงพระพุทธเจ้าชั้นนอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อแท้พระพุทธเจ้าคือ ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว ปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้วค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าชั้นนอก นั้น เหมาะสำหรับเด็กอมมือ หรือคนปัญญาอ่อนๆ ที่ไม่รู้ประสีประสา ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ความเข้าใจ จะได้ไปเกาะไปเข้าถึงสิ่งเหล่านั้น อันนี้ เป็นพระพุทธเจ้าสมัยก่อน ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ที่เป็นวัตถุ ก็เหลือพระธาตุคือกระดูกนั่นเอง

พระธาตุคือกระดูก พระธาตุไม่ใช่อะไรคือกระดูกนั่นเอง

พระธาตุเมืองไทย กับ พระธาตุเมืองแขก ไม่เหมือนกัน ที่เขาบรรจุกันๆ วุ่นวายอยู่ในเมืองไทย คอยโฆษณากันอยู่ทุกวันๆ นั่นเป็นพระธาตุแบบไทย ไม่ใช่แบบแขกเขา

พระธาตุแบบไทยคล้ายกับเม็ดกรวดเม็ดทราย แต่เป็นกรวดอะไรไม่รู้ มันเบาๆหน่อย ไม่เหมือนกรวดธรรมดาซึ่งหนักกว่า บางครั้งลอยน้ำได้ วางลงในน้ำลอยอยู่ในน้ำได้ เขาเรียกว่าเป็นธาตุ มีชื่อเรียกไปต่างๆ ธาตุพระพุทธเจ้า ธาตุพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรธาตุ ธาตุคนนั้น ธาตุคนนี้ มีตำราว่าลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตำรานี้คนเขียนทีหลังไว้ดูพระธาตุเป็นของใคร คนก็ไปถือเอาพระธาตุนั้น ส่วนพระธาตุเมืองอินเดียไม่เหมือนของเมืองเรา

ผมไปอินเดีย ได้ไปดูพระธาตุที่เขาขุดขึ้นมาจากเจดีย์เก่าที่สุดคือ สานจิเจดีย์ สานจิเจดีย์เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ

เจดีย์นี้ มีอยู่ ๒ องค์ ฝรั่งที่เป็นนักโบราณคดีได้สำรวจ โดยขุดเข้าไปข้างใต้ ไม่ได้ทำลายองค์พระเจดีย์ให้เสียหายเลย ขุดอย่างนักวิชาการ ไม่ได้ขุดอย่างนักทำลายที่ขุดกันอยู่ในเมืองไทย

ขุดอย่างนักวิชาการนี้ไปพบเรือนทองสวยงาม ทำด้วยทองคำประดับเพชรนิลจินดาราคาแพงมาก และมีพระธาตุอยู่ในเจดีย์ องค์หนึ่งเป็นของพระสารีบุตร และพระธาตุของพระโมคคัลลานะ อยู่ในเจดีย์อีกองค์หนึ่ง เขาเลยยกเอาพระธาตุนั้นทั้งหมดนำไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ กรุงลอนดอน ที่เขาเรียกว่า Albert Museum มหานครลอนดอน ๑๙ ปี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมาสมาคมมหาโพธิ์ได้ไปพบเข้าจึงได้ทำหนังสือขอร้องว่าพระธาตุนี่ไม่ใช่เป็นของเอามาเก็บอย่างนี้ เป็นของพุทธบริษัท เขาบูชาสักการระ ขอคืนเถอะ จนรัฐบาลอังกฤษต้องเสนอต่อสภา ต้องออกเป็นกฎหมาย เพราะได้กลายเป็นสมบัติของชาติเขาไปแล้ว เสนอต่อสภา ว่าสมควรจะให้หรือไม่ สภาพิจารณายกพระธาตุให้

แต่เรือนทองที่ประดับเพชรนิลจินดาราคาแพงนั้นไม่ให้ คงเอาไว้เป็นสมบัติอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่อไป ให้แต่พระธาตุ จะเอาอะไรใสมาให้พอเหมาะพอสมกัน

มหาอุบาสิกาผู้มั่งคั่งที่เมืองพม่าไปดูว่าเขาทำอย่างไร ที่บรรจุพระธาตุนั้นหนักเท่าไร ประดับอย่างไร ท่านเอามาทำให้เหมือนทุกอย่าง แล้วก็บรรจุเอาพระธาตุนั้นกลับมาอินเดีย

ผมไปดูแล้วเขาเปิดให้ดู กระดูกไหม้ไฟเราดีๆ นี่เอง เขาเก็บไว้เป็นกระดูกยาวอย่างนี้ ดูแล้วเป็นกระดูก ไม่เหมือนพระธาตุบ้านเรา ซึ่งดูแล้วเป็นเม็ดกรวดเม็ดทรายไป ลักษณะมันแตกต่างกันอย่างนี้ เรียกว่าพระธาตุที่เหลืออยู่ของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันต์ทั้งหลาย สิ่งเหล่านั้นก็เรียกว่าเป็นเปลือกไม่ใช่เนื้อแท้

แม้พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อ ๗๐๐ ปี หลังพระพุทธเจ้านิพพานก็เรียกว่า เป็นพระพุทธเจ้าชั้นนอก ไม่ใช่พระพุทธเจ้าชั้นใน เช่น พระห้อยคอไม่ใช่เนื้อแท้ แต่มันเหมาะสำหรับเด็กๆ เขาห้อยคอ เพราะจิตใจยังเป็นเด็กอยู่ ไม่ประสีประสาเหมือนคนไร้เดียงสา ที่ชอบเล่นตุ๊กตาตัวเล็กบ้างตัวใหญ่บ้าง จึงออกไปตามเรื่อง

เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าคนมีพระห้อยคอ แต่กินเหล้า เมาไม่ได้สติหรือประพฤติเหลวไหล ใจคอโหดร้ายก็มี คนคอรัปชั่นขนาดหนักก็มี แต่ยังทำชั่วขนาดนั้นทั้งๆที่มีพระ เพราะคนนั้นยังไม่เข้าใจพระพุทธเจ้า เข้าถึงเพียงเปลือกเท่านั้นเอง

ถ้าจะเปรียบกับอาหาร แต่เอาลิ้นไปแตะถ้วยใส่อาหารเท่านั้นเอง เราลองนึกดูสิว่าเราเอาลิ้นไปเลียถ้วยนี้ รสชาติมันเป็นอย่างไร มันอร่อยไหม มันได้ประโยชน์ต่อร่างกายไหม การเอาลื้นไปเลียถ้วยใส่อาหาร อาหารในจานนั้นเอาใส่เข้าไปในปากเคี้ยวแล้วก็กลืนลงไปจึงจะได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น คนที่ถึงเปลือกนี้ จึงยังไม่ถึงพระ ไม่ถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดจะมาอยู่ร่วมกุฏิของตถาคต ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าถึงองค์ตถาคต แม้จะจับชายผ้าชายจีวรตถาคตอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ถึงองค์ตถาคต จับแข้งจับขา ก็ไม่ถึงองค์ตถาคต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแห่งแคว้นโกศลไปกราบพระพุทธเจ้า กราบลงบนพระบาท กราบแล้วเอามือลูกคลำพระบาทของพระพุทธเจ้าแล้วเอาใส่พระเศียรของพระองค์

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศล “มหาบพิตรมากราบตถาคตในรูปอย่างนี้ไม่ได้อะไร ยังไม่ได้ชื่อว่ามากราบบูชาตถาคต เพราะมากราบร่างกายอันเน่าเปื่อยของตถาคตเท่านั้น

แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านก็ตอบดีเหมือนกันว่า “ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระจริยาวัตรข้อปฏิบัติของพระองค์มาก สิ่งใดที่เป็นของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์บูชาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงกราบได้สนิท” เพราะน้ำใจของท่านนั้นถึงพระพุทธเจ้าชั้นในอยู่พอสมควร แต่ชั้นนอกท่านก็เลื่อมใส

คนเราถ้าถึงพระพุทธเจ้าชั้นนอก ชั้นในแล้ว ดี แต่ถ้าถึงเพียงชั้นนอก ไม่ถึงชั้นในแล้วละก็ยังใช้ไม่ได้

ทีนี้ ในสมัยนี้ มีการกระทำหลายอย่างที่ทำคนไม่ให้เข้าถึงพระพุทธเจ้าเนื้อแท้ แต่ให้ไปติดอยู่ที่เปลือกของพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าชั้นนอก คือไปสร้างสิ่งบูชา เช่น พระพุทธรูปเป็นต้น สร้างแล้วไม่ได้ทำความเข้าใจกับคนผู้ไหว้กราบ มอบให้ในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชในรูปต่างๆ แล้ว เวลาทำก็ต้องมีวิธีทำ ปลุกๆ เสกๆ ซึ่งเรื่องการปลุกเสกนั้นไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา แล้วก็อ้างว่าพระอาจารย์ที่มีคุณวุฒิมาปลุกเสก

ถ้าให้หลวงพ่อพูดแล้ว ก็จะพูดว่าอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องทั้งหลายมาทำการปลุกเสก ถ้ามีคุณวุฒิแล้วละก็ ไม่ต้องมาปลุกเสกดอก คือหมายถึง มีความดี มีคุณธรรมในจิตใจ ก็ต้องไม่มาปลุกเสก

บางคนก็อ้างว่าเป็นอาจารย์วิปัสสนาแก่กล้า เข้าถึงฌาน หรืออะไรต่ออะไร แต่ว่าก็ยังไม่ได้เรื่อง เพราะมาทำพิธีอย่างนี้อยู่ อย่างนี้ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน ไม่ได้ให้คนเข้าถึงพระพุทธเจ้าเนื้อแท้ แต่เอาเปลือกไปขวางไว้ เรียกว่า ภูเขาเอามาบังพระพุทธเจ้า ไม่ให้คนเข้าถึงพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธรูปไปบังไว้เสียบ้าง เอาสิ่งนั่นสิ่งนี้ไปบังไว้เสียบ้าง ทำให้คนไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น ว่าศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดช

คนเราที่นับถือศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้องแล้ว เราก็ไม่เข้าถึงแก่นของพระศาสนา ไม่ต้องอะไรมากดอก เพียงพระพุทธเจ้าก็ยังเข้าไม่ถึง ไม่ถึงพระพุทธเจ้า เราพูดว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ว่ากันเต็มเสียง ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า ยังไม่ถึง ยังเข้าไม่ถึงพระพุทธเจ้า เพียงแต่ไปครึ่งทางก็ยังไม่ได้ ยังไม่ได้เข้าทางด้วยซ้ำไป เช่น เหมือนว่า จะไปโบสถ์วัดพระแก้ว ก็ไปยืนดูประตูวิเศษไชยศรี อยู่เท่านั้นเอง ยังไม่ได้เข้าไปในโบสถ์วัดพระแก้วเลย หรือว่าเข้าข้างในก็เข้าไปเพียงบูชายักษ์หน้าโบสถ์นั้นเอง ไม่ได้ถึงในโบสถ์พระแก้ว มันไม่ถึงที่

ไม่ถึงเพราะอะไร ? เพราะไปหลงใหลอยู่กับสิ่งที่เป็นเปลือกเสีย เลยไม่ถึงพระพุทธเจ้า นี่แหละเป็นพระพุทธเจ้าชั้นนอก ให้เข้าใจเอาไว้ ขอให้เข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกนะ

ถ้าจะนับถือพระพุทธศาสนา ต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าที่เป็นชั้นนอก มีพระพุทธเจ้าชั้นในนั้นมี แต่เราไม่ว่าดอกว่าใครจะถือเพียงชั้นนอก ไม่ว่า แต่เรายังนึกอยู่ในใจว่ายังเป็นเด็กเกินไปยังไม่เดียงสา เป็นอนุบาลเสียเรื่อยไม่น่าเลย บางคนเป็นเด็กอนุบาลจนเข้าโลงไปเลย มันจะได้อะไร สมหรือที่นับถือพระพุทธศาสนา เรามันควรสอบเลื่อนชั้นขึ้นบ้าง ให้มันขึ้นไปเรื่อยๆ

จริงอยู่สมัยหนึ่ง เราเป็นเด็ก เราก็ต้องชอบของเด็กๆ เช่น เป็นเด็กชอบตุ๊กตา ชอบรถน้อยๆ ชอบม้าน้อยๆ ชอบช้างน้อยๆ แต่พอเป็นหนุ่มขึ้นใครจะไปเล่นตุ๊กตา ช้างน้อยๆ ม้าน้อยๆ อยู่ ไม่มีใครเล่นต่อไปแล้วละ เล่นน้อยๆ อันอื่นที่มันดีกว่าออกไป เมื่อเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มันก็ต้องเปลี่ยนไปตามลำดับ ตามอายุวิวัฒนาการทางร่างกายตามจิตใจที่เจริญเติบโตขึ้น ปัญญาก็ต้องเจริญเติบโตขึ้นด้วย อะไรๆ เติบโต แต่ปัญญาไม่เติบโต มันก็ยังใช้ไม่ได้

ในเรื่องการนับถือพระศาสนานี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราถือแค่เปลือก ก็อยู่แค่นั้นไม่ก้าวหน้า ไม่ก้าวหน้าไปเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เหล่านั้นที่โพสต์มายืดยาว เป็นความเห็นยิ่งกว่าเด็กอมมือ ที่ไม่ได้เรียนทั้งปริยัติ และไม่ปฎิบัติ
ที่ยังเห็นไปว่า มีพระพุทธเจ้าเปลือก พระพุทธเจ้าแก่น
จัดว่าเป็นปทปรมะเสียแล้ว


เพราะไม่ได้ศึกษาปริยัติ และไม่ได้นำพาต่อการปฎิบัติ
จึงไม่เข้าใจในน้ำพระทัย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมไว้
ทรงมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทุกรูปนาม

นอกจากนี้ ยังได้ทรงแสดงคุณูปการในการระลึกถึงเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ

โดยคุณูปการ 4 เหล่า ซึ่งพระพุทธองค์ และท่านต่างๆ ได้พิชิตแล้ว มีดังนี้ คือ

1พระพุทธเจ้า
2 พระปัจเจกพุทธเจ้า
3พระอรหันต์สาวก
4พระเจ้าบรมจักรพรรดิ์

อันทรงแสดง และยกมาเป็นอุเทศเสมอในพระธรรมที่ทรงแสดง


และคำว่า สรณะ นั้นหมายรวมทั้ง พุทธานุสติ ธรรมานุสติ และสังฆานุสติด้วย

เพราะการระลึก ในคุณูปการ จึงทำให้เกิด เจดีย์ เครื่องระลึก เครืองบูชาเหล่านี้ขึ้น

เจดีย์นั้นมี 3 อย่าง คือ บริโภคเจดีย์ อุทิสสกเจดีย์ และธาตุกเจดีย์

และการบูชา เป็นมงคลหนึง ใน38 มงคล ที่ได้ทรงกล่าวไว้
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ไม่ทำให้ตกต่ำ ไปนรกได้

ดังพระสูตรนี้ค่ะ

ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล.
ชนเป็นอันมาก ย่อมยังจิตให้เลื่อมใสว่า
นี้เป็นพระสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ชนเหล่านั้น ยังจิตให้เลื่อมใสพระสถูปนั้นแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
อานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล.


แต่คนที่ไม่รู้ทั้งปริยัติ และไม่ปฎิบัติ
ที่ไป ก่นด่าว่า เยาะเย้ย ถากถาง และถึงขั้นจงใจกล่าวคำเป็นเท็จ บิดเบือนไม่ตรงตามพระไตรปิฎก ที่ได้ทรงแสดง มาลอบบ่อนทำลายศรัทธาในพระตถาคต


มีโทษไปนรก สถานเดียวค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เหล่านั้นที่โพสต์มายืดยาว เป็นความเห็นยิ่งกว่าเด็กอมมือ ที่ไม่ได้เรียนทั้งปริยัติ และไม่ปฎิบัติ
ที่ยังเห็นไปว่า มีพระพุทธเจ้าเปลือก พระพุทธเจ้าแก่น
จัดว่าเป็นปทปรมะเสียแล้ว


เพราะไม่ได้ศึกษาปริยัติ และไม่ได้นำพาต่อการปฎิบัติ
จึงไม่เข้าใจในน้ำพระทัย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมไว้
ทรงมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทุกรูปนาม

นอกจากนี้ ยังได้ทรงแสดงคุณูปการในการระลึกถึงเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ

โดยคุณูปการ 4 เหล่า ซึ่งพระพุทธองค์ และท่านต่างๆ ได้พิชิตแล้ว มีดังนี้ คือ

1พระพุทธเจ้า
2 พระปัจเจกพุทธเจ้า
3พระอรหันต์สาวก
4พระเจ้าบรมจักรพรรดิ์

อันทรงแสดง และยกมาเป็นอุเทศเสมอในพระธรรมที่ทรงแสดง


และคำว่า สรณะ นั้นหมายรวมทั้ง พุทธานุสติ ธรรมานุสติ และสังฆานุสติด้วย

เพราะการระลึก ในคุณูปการ จึงทำให้เกิด เจดีย์ เครื่องระลึก เครืองบูชาเหล่านี้ขึ้น

เจดีย์นั้นมี 3 อย่าง คือ บริโภคเจดีย์ อุทิสสกเจดีย์ และธาตุกเจดีย์

และการบูชา เป็นมงคลหนึง ใน38 มงคล ที่ได้ทรงกล่าวไว้
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ไม่ทำให้ตกต่ำ ไปนรกได้

ดังพระสูตรนี้ค่ะ

ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล.
ชนเป็นอันมาก ย่อมยังจิตให้เลื่อมใสว่า
นี้เป็นพระสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ชนเหล่านั้น ยังจิตให้เลื่อมใสพระสถูปนั้นแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
อานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล.


แต่คนที่ไม่รู้ทั้งปริยัติ และไม่ปฎิบัติ
ที่ไป ก่นด่าว่า เยาะเย้ย ถากถาง และถึงขั้นจงใจกล่าวคำเป็นเท็จ บิดเบือนไม่ตรงตามพระไตรปิฎก ที่ได้ทรงแสดง มาลอบบ่อนทำลายศรัทธาในพระตถาคต


มีโทษไปนรก สถานเดียวค่ะ



การอ่านหนังสือหรือบทความใดๆ ต้องจับประเด็นให้ได้ ไม่ยังงั้นแล้วจะตกนรกสถานเดียว คิกๆๆ

เขาก็บอกมาเป็นลำดับว่า เบื้องต้นไหว้พระ สวดมนต์ ไหว้กราบพระพุทธรูป เพื่อจุดประสงค์ใด นี่ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สองต่อไป เราอย่าหยุดอยู่ติดอยู่เพียงเท่านั้น จะต้องพัฒนาจิตขึ้นไปอีก คือ เข้าถึงธรรมะซึ่งเป็นแก่น ซึ่งเป็นชั้นใน (ที่พูดเนี่ยพอเข้าใจไหม)


แต่ก็อย่างว่า สติปัญญาคนไม่เท่ากัน ให้กันไม่ได้ของใครก็ของคนๆนั้น หมายความว่าในเมื่อตนมีสติปัญญาบารมีศรัทธาอยู่แค่เบื้องต้นก็ว่าไป ไม่เสียหายแต่อย่างใด

เหมือนเคยบอกว่า ถ้าคิดหลักนามธรรมที่ลึกซึ้งแล้วผิดเพี้ยนไป ให้ถอยมาเริ่มต้นที่ ทอดกฐิน ทอดผ้า ถวายสังฆทาน ตักบาตรพระตอนเช้า ปล่อยสัตว์น้ำสัตว์บกไปก่อน พอเข้าใจไหมขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


แน่นอนค่ะ สติปัญญาคนเราไม่เท่ากัน พระพุทธองค์ทรงจำแนกคนไว้หลายแบบ
ตามสติปัญญา และความประพฤติ
มนุษยดิรัจฉาน มนุสเปโต มนุสอสุรกาโย ....

และถ้าคุณกรัชกาย เป็นคนฉลาด คงไม่สรรหาบทความต่างๆ หาลิ้งต่างๆ
ที่หาความงามไม่ได้ ทั้งอักขระ ทั้งพยัญชนะ
หาความงามไม่ได้ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย
มาทำความเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน โสมมม แก่ลานพระธรรมนี้ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สวนโมกข์ ในวัดเขาเขียนภาพหนึ่งไว้ที่ฝาผนัง ของโรงมหรสพทางวิญญาณ เขียนเป็นพระองค์หนึ่งยืนอยู่แล้วด้านหลังมีคนไหว้พระอยู่คนหนึ่ง ด้านหน้ามีคนนั่งปิดหูอยู่ รู้ไหม เขาเขียนหนังสือใต้ภาพว่าอย่างไร เขียนว่า สมัยนี้พวกเราเอาแต่ไหว้ พอบอกให้ประพฤติธรรมก็กำหู คนทุกวันนี้ดีแต่ไหว้ พอบอกให้ทำเอามือกำหู คือบอกประพฤติธรรมไม่เอา

นี่แหละนับถือพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน จะเอารูปพระพุทธเจ้าที่ท่านนิพพานไปนานแล้ว ขอเอาพระเครื่องบ้างละ ท่านมีเหรียญบ้างไหม ท่านมีของดีบ้างไหม ยังถามแบบโง่ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ก้าวหน้าเสียเลย และก็ไม่ใช่คนชั้นน้อยนะ บางคนก็มีการศึกษา

เราอย่านึกว่าคนก็มีการศึกษามหาวิทยาลัยแล้วฉลาดทุกแง่ทุกมุม ก็ฉลาดในเรื่องที่เขาศึกษาเท่านั้น แต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาทางจิตทางวิญญาณ อาจจะยังไม่ได้เรื่อง บางคนเป็นด๊อกเตอร์ยังไม่ได้ความเลย ยังไปเที่ยวทรงเจ้าเข้าผีเลอะเทอะวุ่นวายอยู่อย่างนั้นแหละ นี่เขายังไม่ได้ความอะไรเลย ไปหลงผิดทางเข้าแล้วก็หลงไปใหญ่ จะเรียกกลับมาหาพระพุทธเจ้าไม่ได้ยินแล้ว หาหลวงปู่เสียเรื่อยทีเดียว นี่แหละมันเป็นอย่างนั้น ไม่เข้าใจไม่รู้วส่าอะไรเป็นอะไร ไปติดอยู่แต่เพียงเปลือกของสิ่งเหล่านั้น

นี่แหละ เป็นเรื่องสำคัญที่น่าคิดตลอดเวลา หลวงพ่อคิดเรื่องนี้บ่อย กับใครๆ ก็พูด ปาฐกถาก็พูดอยู่เสมอ จนใครๆ เขาไม่ชอบอยู่แล้ว แต่ช่างหัวมันเถอะ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างตามใจ เรามันลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องพูดเรื่องพระพุทธเจ้า นำคนเข้าถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นำคนเข้าหาสิ่งอื่นนอกจากพระพุทธเจ้า เราต้องซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้า แล้วก็จูงคนให้เข้าถึงพระ ต้องพูดให้เข้าใจ นี่เปลือกนะอย่าเอา เปลือกกินไม่ไหว เนื้อกินจึงจะได้ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน อย่าถึงเปลือกพระพุทธเจ้า เปลือกนั้นเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจนิดหน่อย ให้เราเข้าถึงเนื้อของพระพุทธเจ้า เนื้อของพระพุทธเจ้า คืออะไร ? ก็คือคุณธรรมที่อยู่ในองค์พระพุทธเจ้านั่นเอง

เราต้องเข้าถึงคุณธรรมที่พระองค์ ตรัสว่า “โย โข วักกะลิ ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ - วักกะลิเอ๋ย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นแหละเห็นตถาคต. เห็นความจริงประจักษ์ขึ้นใจ

สมมติเช่นว่า เราเห็นสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงด้วยปัญญา เห็นว่าเราทุกข์ด้วยปัญญา เห็นว่าเป็นอนัตตาด้วยปัญญา อย่างนี้ เรียกว่าเห็นธรรมะแล้ว

การเห็นธรรมะคือการได้ปัญญาเห็นแสงสว่างขึ้นในใจด้วยปัญญาดวงนั้น ความโง่หายไป ความหลงหายไป ความเข้าใจผิดหายไป อะไรๆ หายไปหมดไม่มีเหลือ มีแสงสว่างปรากฏในใจตลอดเวลา มองอะไรก็เห็นเป็นของแท้ของจริง อย่างนี้ เรียกว่าถึงธรรมะ

เราลองมาคิดดูสักเล็กน้อยว่า พระพุทธเจ้านี้ ก่อนที่ท่านจะรู้ธรรม เขาไม่เรียกท่านว่า พระพุทธเจ้า อยู่ในวังเขาเรียกว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวชเขาเรียกว่า “พระโพธิสัตว์” หรือ “พระมหาสัตว์” เขาใช้ศัพท์อย่างนั้น

เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือนหกที่ต้นโพธิ์พุทธคยาแล้ว ท่านจึงถูกขนานนามว่า “พุทโธ อรหัง สัมมาสัมพุทโธ” เรียกว่า พระอรหันต์บ้าง พุทโธ พุทธะ ภะคะวันตัง บ้าง ใช้ชื่ออย่างนั้น เพราะอะไร ? ก็เพราะว่ามีธรรมเกิดขึ้น ในใจของพระองค์ จิตของพระองค์เข้าถึงธรรม พระองค์ก็ได้ชื่อว่ามีธรรมประจิตใจอยู่

ธรรมนั้นแหละ เป็นตัวสำคัญที่เราจะต้องเข้าถึง จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คุณของพระพุทธเจ้า เราสวดว่า “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา” เพราะเราระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า

คุณอะไรบ้าง ? “ภะคะวา” นั่นหมายถึง “กรุณาธิคุณ” “อะระหัง” หมายถึง “บริสุทธิคุณ” “สัมมาสัมพุทโธ” หมายถึง “พระปัญญาธิคุณ” หมายความว่า ในองค์พระพุทธเจ้านั้น มีสิ่งสำคัญอยู่ ๓ ประการ น้ำพระทัยมีกรุณาคุณ มีปัญญาคุณ และมีบริสุทธิคุณ เราก็ต้องเข้าถึงตัวนั้น ไม่ใช่เข้าถึงเปลือกชั้นนอกของพระองค์

แต่เราเข้าถึงตัวคุณงามความดีของพระองค์ชั้นสูงสุดที่มีอยู่ในองค์พระพุทธเจ้า เช่นว่า เราเข้าถึงความกรุณา เราเข้าถึงตัวปัญญา เราเข้าถึงความบริสุทธิ์ การเข้าถึงนั้น จะทำอย่างไร ? เราก็จะต้องนึกถึงประวัติของพระพุทธเจ้า

ประวัติเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เราอย่าไปคิดอะไรให้มันมากไป คิดว่าพระองค์เป็นคนก็แล้วกัน คิดว่าเป็นคนธรรมดา อย่าคิดวุ่นวายไป แต่ว่าเป็นราชา พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์เท่านั้นเอง เป็นลูกกษัตริย์ในสมัยนั้น พ่อของพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ใหญ่อะไร เรื่องนี้พระองค์พูดเองว่าเราเป็นกษัตริย์ศากยะ บิดาชื่อ สุทโธทนะ มารดาชื่อ สิริมายาเทวี ครองเมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะของโกศล หมายความว่า อยู่ในอารักขาของแคว้นโกศลอีกทีหนึ่ง แคว้นโกศลเป็นแคว้นใหญ่ สักกะเป็นแคว้นเล็กๆ ต้องอาศัยแคว้นโกศลในเรื่องความคุ้มครอง พระองค์ก็บอก

แล้วยังบอกว่าในเมืองของข้าพเจ้ามีอาชีพทำนา อาชีพของกษัตริย์ก็ทำนา พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ต้องไปไถนาเหมือนกัน ทรงทำพิธีแรกนา อาชีพของพวกพระองค์อย่างนั้น แปลว่า พระองค์เป็นนักคิดนักค้น ผลที่สุดก็เลยออกบวช เพราะคิดปัญหาอะไรมากไม่ออก ต้องไปคิดในป่าเงียบๆ

บวชแล้วก็ไปศึกษาเล่าเรียนในสำนักต่างๆ ได้ความรู้พื้นฐานมากมายหลายประการ แล้วก็ไปคิดค้นต่อไปจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นี่ประวัติย่อๆ ก็อย่างนั้นแหละ แต่เราก็ควรอ่านเหมือนกัน เพราะประวัติของพระพุทธเจ้านั้น เป็นประวัติบุคคลที่น่าอ่าน เป็นบุคคลที่มีชีวิตสะอาดหมดจด ไม่มีอะไรยุ่ง

เปรียบเทียบศาสดาที่ตั้งศาสนาใหญ่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ พุทธนี่เกิดก่อนเพื่อน เกิดก่อนศาสนาคริสต์ ๕๐๐ ปี ก่อนศาสนาอิสลาม ๑,๐๐๐ ปี แต่ว่าถ้าเราได้ไปศึกษาให้ละเอียด แล้วจะเห็นว่า พระพุทธเจ้านี้ก้าวหน้ากว่าใครๆ ชีวิตเรียบร้อย มีพระชนม์ชีพถึง ๘๐ ปี ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีศัตรูมุ่งร้าย มีคนเดียว คือเทวทัตยอดอันธพาล นอกนั้นไม่มี แต่เทวทัตแพ้ภัยตนเองย่อยยับอับปางไป พระองค์จึงได้ชื่อว่าไม่มีภัยไม่มีเวรกับใคร เป็นประวัติที่น่าศึกษาน่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย เราควรอ่านเพื่อให้รู้พระพุทธเจ้าในประวัติ เพราะบางคนเขาเลื่อมใสในพุทธประวัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องเล่าแถมให้สักหน่อย มีฝรั่งอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อนาย Alex Rayman แกอยู่มหาวิทยาลัยเมือง Sanfrancisco คุณสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ไปพบ

คุณสัญญาสมัยนั้น อยู่ที่เชียงใหม่เป็นอธิบดีศาล อเมริกันเชิญไปเที่ยว เวลาไปท่านก็ไปลาหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณจะเอาอะไรบ้างไหมล่ะ บอกว่า ไม่ต้องการอะไรดอก แต่เมื่อไปถึงเมืองอเมริกันแล้วละก็ไปพบกับครอบครัวหนึ่งอยู่ที่เมือง Philadelphia เคยติดต่อกันทางจดหมายอยู่ ชื่อ Mr. John Rayer ขอให้ไปพบให้ได้ ท่านก็ไป พอไปถึง Washington เขาก็ถามว่าท่านจะไปไหนบ้าง คุณสัญญาก็บอกว่าถ้าผ่านเมือง Philadelphia ขอพบครอบครัวนี้หน่อย เขาจัดให้พบสะดวกมาก สมความตั้งใจ เขาดีอกดีใจมาก แล้วคุณสัญญาถามเขาว่า ในอเมริกานี่มีใครสนใจพระพุทธศาสนาบ้าง เขาเลยให้รายชื่อตามเมืองต่างๆ ครั้นมาถึงเมือง Sanfrancisco ก็ได้ไปพบ Mr. Alex Rayman

แกกำลังศึกษาทำปริญญาโทอยู่เวลานั้น ก็ไปสืบหาจนพบ ในห้องสมุด ผมยาวรุ่มร่ามหนวดเครารุงรัง กำลังอ่านสมุดข่อย ค้นคว้าในเรื่องภาษาสันสกฤต ภาษาโบราณอินเดีย แกก็สนทนากัน

คุณสัญญาก็เลยถามว่า ทำไมจึงสนใจพระพุทธศาสนา เขาบอกว่าที่ได้เป็นพุทธบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเลย ที่มานับถือพระพุทธศาสนา นี่ก็เพราะว่าไปเรียนภาษาสันสกฤต ภาษาสันสกฤต เป็นภาษาเก่าคู่ภาษาบาลี คัมภีร์พราหมณ์ทั้งหมด เขาบันทึกไว้ในภาษาบาลี

บาลี เป็นภาษาชาวบ้าน สันสกฤต เป็นภาษานักปราชญ์มันลึกซึ้งมาก เขาก็เรียนเพื่อทำปริญญาโทภาษานั้น สำหรับจะได้สอบต่อไปในมหาวิทยาลัย

หนังสือที่เขาให้เรียนนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชื่อ พุทธจริต แต่งโดยท่านอัศวภูตินักปราชญ์ยุคนาลันทา ซึ่งเป็นสมัยที่รุ่งเรืองมาก

นาลันทามีนักศึกษาตั้งเป็นหมื่น อยู่กันมากมาย สมัยนั้น มีนักปราชญ์ชั้นดีๆ เกิดหลายคน อัศวภูติแต่งพุทธประวัติเป็นภาษาสันสกฤตไม่ใช่ร้อยแก้ว เป็นภาษาร้อยกรองกาพย์ไพเราะ เคยพบปราชญ์ชาวอินเดียที่นับถือพุทธศาสนา เขาท่องหนังสือเล่มนี้เป็นตอน ตอนที่ไพเราะที่สุด เขาท่องเอาไว้ ขึ้นใจเลย

ฝรั่งคนหนึ่ง เขาก็ไปศึกษา อ่านไปๆ ใจมันรักพระพุทธเจ้า ต้องเสน่ห์หายาแฝดเข้าแล้ว รักพระพุทธเจ้า เลยหันเข้ามาศึกษาธรรมะ เลยศึกษาจริงจัง นั่นแหละ เขาเรียนขั้นแรกถึงเปลือกพุทธประวัติ แต่เปลือกชั้นนอก พอมาเรียนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าถึงเนื้อแท้ เขาบอกว่าผมเป็นสุขกว่าใครๆ ในอเมริกา

คุณสัญญาถามว่าเป็นสุขอย่างไร เขาบอกว่าผมประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วผมมองดูคนอเมริกันนี้เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด สงสารอย่างไร ก็บอกว่า มันไม่รู้จักแสวงหาความสุข มันบ้าแต่เงินเหรียญดอลล่าห์ตลอดเวลา นี่แสดงว่าแกเข้าใจธรรม คุณสัญญาคุยกับฝรั่งคนนี้ บอกว่าฝรั่งคนนี้เข้าใจธรรมลึกซึ้งทีเดียว นี่มันเป็นอย่างนี้ เปลือกกับเนื้อมันแตกต่างกัน แต่เราก็ควรอ่าน เมื่ออ่านแล้วก็จะเกิดความศรัทธา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเราสวดมนต์เย็นๆ เคยคิดบ้างไหมที่พูดว่า “พุทธัสสาหัสมิ ทาโสว พุทโธ เม สามิกิสสะโร - ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า” นี้แหละคือการให้เข้าถึงตรงนั้น ถ้าไม่เป็นทาสพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่แท้ ต้องเป็นทาสของพระพุทธเจ้าตรงน้ำใจ จึงจะถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ รักพระองค์จริงๆ ไม่ทิ้งพระองค์ ใครจะเอาเงินมาให้สัก ๕๐ ล้านก็ไม่เอา ฉันจะเอาพระพุทธเจ้าไว้ในดวงใจของฉันเถอะ นับถือจริงๆ

แล้วคนที่รักพระพุทธเจ้าจริงๆ นับถือจริงๆ ไม่ทำชั่ว คนรักพระพุทธเจ้าจะไปทำชั่วได้อย่างไร เหมือนเรารักพ่อแม่ เราทำชั่วไม่ลง ที่ไปทำชั่วอยู่ได้เพราะไม่รักพ่อแม่ ไปรักเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ รักกัญชา รักยาเสพติด มากกว่าพ่อแม่ รักผงขาวมากกว่าพ่อแม่ เลยไปทำชั่วกัน พอเรารักพ่อแม่ ทำชั่วไม่ลง ทำไม่ได้ คนที่ชั่วอยู่น่ะไม่รักจริงๆดอก จะเอาเงินเท่านั้นเอง จะปะเหลาะเอาสตางค์ ใจมันไม่รักแท้

เหมือนเรารักเมียก็เหมือนกัน ถ้าเรายังไปเที่ยวหญิงอื่น เราก็ไม่รักเมียจริง ไม่รักลูกจริง รักจริงต้องไม่คิดยุ่งๆ

ทีนี้เรารักพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้ารักพระพุทธเจ้า เราจะไม่ทำชั่ว เราจะไม่คิดเรื่องชั่ว ซื่อตรง จงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า เรียกว่ารักจริงๆ เข้าถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ชาวต่างประเทศมีหลายคนที่เข้าถึงพระพุทธเจ้าจากหนังสือ แล้วก็ศึกษาธรรมต่อไป

หนังสือช่วยให้ฝรั่งได้เปลี่ยนชีวิตเข้ามาหาพระพุทธเจ้า อ่านพุทธประวัติก่อน แล้วก็เข้าถึงธรรมทีหลัง หรือบางคนสนใจในวรรณคดีทางบาลีมาก่อน ถึงธรรมทีหลัง บางคนสนใจในวัตถุโบราณ วัตถุในเรื่องอะไรๆ ทางพุทธศาสนา แล้วมาศึกษาพระพุทธศาสนา รู้เรื่องธรรมะ ฝรั่งเขาก้าวหน้า “ครั้งแรกเขาเป็นเด็ก แต่ต่อมาเขาเป็นผู้ใหญ่” แต่พวกเราในเมืองไทยไม่ก้าวหน้าอย่างนั้น จึงอยากจะขอแนะนำว่า ต้องก้าวต่อไป จนถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อแท้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้ามีความกรุณา เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าในแง่กรุณา พระพุทธเจ้ามีความกรุณาอย่างไร ? นึกถึงประวัติพระองค์ เป็นเจ้าชายไม่ใช่คนยากคนจน ไม่ใช่มีความคับแค้น ไม่มีความลำบาก ที่ต้องหนีไปอยู่ในป่า ฐานะสมบูรณ์อยู่ในปราสาท ๓ หลัง เหมาะกับฤดูกาลทั้งสาม มีเมียรูปสวย มีสาวใช้สวย มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ ถ้าเป็นเราๆท่านๆ ก็จมปลักอยู่นั่นแหละ ขึ้นไม่ได้ดอก

แต่พระองค์ไม่สนุกกับเรื่องนั้น ใจไม่เพลิดเพลินกับเรื่องนั้น พระองค์หนีไปได้ ไม่ใช่เรื่องเล็กนา จิตใจต้องยิ่งใหญ่ ที่หนีจากสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะกามคุณผูกมัดจิตใจคน ทิ้งไม่ได้ พวกเราที่มีครอบครัวแล้วมาบวช คิดดูเองเถอะ นึกถึงหรือเปล่า นึกถึงลูกเมียอยู่หรือเปล่า ต้องคิดถึงเรื่องธรรมดาอย่างนี้ แต่ทว่า พระองค์ทิ้งหมดเลย ทิ้งออกไปเลย ทั้งเพราะอะไร ต้องมีอะไร ใจของท่านสละเพื่ออะไร ออกไปศึกษาค้นคว้า นอนกลางดินกินกลางทราย สมัยก่อนเป็นเจ้านาย ไปไหนต้องมีรถม้า กลับมาเดินเท้าเปล่า นุ่งผ้าขาด รับอาหารจากคนยากคนจน เอามานั่งฉัน มื้อแรกๆ คงจะฉันไม่ลง ต้องปะฏิสังขาโย กันหลายจบละ ผลที่สุดก็ฉันได้ อยู่ได้ นี้ไม่ใช่เล็กน้อย ถ้าเรานึกแล้วมันน่ารักพระองค์เหลือเกิน ความเสียสละ

ถ้าเราอ่านในตอนก่อนเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เราจะรักพระองค์มากขึ้น ทรงบำเพ็ญตนเพื่อคนอื่นทั้งนั้น แม้ในวันจะเสด็จปรินิพพานประชวรหนักเต็มที่ ปริพาชกรู้ว่าพระองค์จะนิพพานแน่แล้ว ต้องไปถามปัญหาให้ได้ มิฉะนั้น จะเสียประโยชน์ไปเลย

พระอานนท์บอกว่า อย่าเลยท่าน พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนักอย่าไปรบกวนเลย พระองค์ได้ยิน บอกว่า อานนท์อย่าไปห้ามเขา เขาต้องการความรู้ เขาไม่ได้รบกวนตถาคต ปล่อยเขาเข้ามาเถิด นี่น้ำพระทัยของพระองค์ ครั้งสุดท้าย พอเข้าไปได้ก็ถามใหญ่ ถามแบบแขก

พระพุทธเจ้าบอกว่า เวลามันน้อย อย่าถามให้มันยาวความ คอยฟังดีกว่า ตถาคตจะพูดให้ฟังดีกว่า ฟัง แล้วก็พูดให้ฟัง เขาเข้าใจเลยขอบวชเป็นองค์สุดท้ายในวันนั้น บวชกับพระพุทธเจ้าเป็นสาวกคนสุดท้าย ชื่อว่า สุภัททภิกขุ (เดิมชื่อสุภัททปริพาชก) แล้วพระองค์ก็ปรินิพพาน

ก่อนจะปรินิพพาน ตรัสว่าอย่างไร ? “หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิโว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ - ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” สอนให้ทำประโยชน์ตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อม อย่าเหลวไหล เป็นพระกรุณาขั้นสุดท้าย ที่หลุดออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า แล้วหับพระโอษฐ์ หายใจไม่ได้ หยุดไป ทิ้งสิ่งที่มีค่าไว้กับโลก อันนี้ เราคิดแล้วตื้นตันใจ ในการกระทำของพระองค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร