วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 16:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2018, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ จะได้ทำความเข้าใจเรื่อง การทำวัตรสวดมนต์ อันเป็นกิจอย่างหนึ่งของพวกเราภิกษุ ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา

การมาทำวัตรสวดมนต์ใน ตอนเช้า – ตอนเย็น นั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของการอ้อนวนขอร้องดังที่เขาทำกันอยู่ในศาสนาอื่น เพราะในพระพุทธศาสนาของเราไม่ต้องการเรื่องการอ้อนวอน ไม่มีเรื่องการขอร้อง มีเฉพาะเรื่องที่เราจะต้องปฏิบัติตัวของเราเอง ทุกคนจะต้องปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นด้วยตนเอง

องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตเป็นเพียงแต่ผู้ชี้ทางให้ ส่วนการเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสคำนี้ สำคัญมาก เราควรจะยึดถือเป็นหลักประจำจิตใจว่า สิ่งไรที่จะสำเร็จขึ้นได้ นั้น จะสำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติ หรือด้วยการกระทำของตนเอง ไม่ใช่สำเร็จได้ด้วยการวิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าว เรื่องการวิงวอนขอร้องนั้นไม่มีในวงการพระพุทธศาสนา

ที่เราเห็นเขากระทำกันอยู่บ้างทั่วๆไปนั้น ขอให้พึงเข้าใจว่าเป็นการกระทำที่นอกลู่นอกทาง ไม่ได้เป็นการกระทำตามธรรมวินัย หรือตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นการกระทำแบบอื่นนอกพุทธศาสนาของเรา ซึ่งเราผู้มาบวชมาศึกษาเรื่องธรรมวินัยแล้ว ก็ควรจะทำความเข้าใจว่า การกระทำอย่างนั้นมิใช่วิสัยของพุทธบริษัท แต่เป็นเรื่องของสิ่งอื่นนอกเหนือจากความเป็นพุทธบริษัท แล้วเราจะต้องไปกระทำในรูปอย่างนั้นได้อย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 เม.ย. 2018, 08:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2018, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


http://www.alittlebuddha.com/Monkpictur ... eTO_02.jpg

จากอะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2018, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การแก้ไขปัญหาชีวิตไม่ว่าเรื่องใด ๆ เราต้องแก้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลักคำสอนของท่านสอนให้เราแก้ด้วยการพิจารณาตัวเอง ค้นหาเหตุภายในตัวของเรา เมื่อพบเหตุนั้นแล้วจงตัดเหตุนั้นเสีย เพราะสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้ เหตุที่จะทำให้เกิดผลอะไรขึ้นนั้น ส่วนมากอยู่ในตัวของเราเอง อยู่ที่การคิด การพูด การกระทำของตัวเราเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่เราได้มากระทำการกราบไหว้ในตอนเช้า-เย็นนี้ ไม่ได้หมายความว่าเรามาขอร้องอ้อนวอนอะไร ดังที่ได้กล่าวแล้ว
แต่ว่าเรามากล่าวสรรเสริญคุณงามความดีของพระผู้มีพระภาคเจ้า
การกล่าวสรรเสริญคุณงามความดีของพระองค์นั้น เป็นเครื่องก่อให้เกิดความเชื่อเลื่อมใสในพระองค์มากยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้เราจะได้เกิดตามรอยยุคลบาทต่อไป
อย่าว่าแต่คนนับถือพุทธศาสนามาแต่กำเนิดเลย แม้แต่ผู้ที่ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เมื่อได้มาศึกษาความเป็นมาของพระพุทธเจ้า เขาก็มีความรัก ความเลื่อมใสในพระองค์ จนถึงกับพูดได้ว่า ยิ่งอ่านเรื่องพระองค์มากเท่าใด ยิ่งรักพระองค์มากเท่านั้น อันนี้ เป็นผลของการที่นึกถึงบ่อยๆ คิดถึงบ่อยๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2018, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าหากเรามีเวลาว่าง เวลาอื่นเราก็ควรที่จะเอาหนังสือทำวัตรเช้าเย็น มาอ่านมาพิจารณาเป็นข้อๆไป โดยเฉพาะข้อที่เกี่ยวกับพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราควรจะนำมาพิจารณา เช่น บทที่ว่า อะระหัง นี้ หมายความว่าอย่างไร ? สุคะโต โลกะวิทู อะไรเหล่านี้ หมายความว่าอย่างไร ? เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจนในเรื่องนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า จำได้ สวดได้ แต่เราต้องเข้าใจความหมาย เมื่อเรานึกถึงบทใดบทหนึ่ง ก็คิดซึ้งไปในข้อความนั้นๆ อันนี้แหละ จะช่วยให้เราได้เข้าถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้ามากขึ้น


จุดหมายของการมาทำวัตรสวดมนต์อยู่ที่ตรงนี้ ตรงที่ให้เรานึกถึงคุณงามความดีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งพระธรรม พระสงฆ์
คนอื่นก็เหมือนกัน เช่น เหมือนกับว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเราได้นึกถึงบ่อยๆ เราก็เกิดความสำนึกมีความรัก ความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน
แต่ถ้าเราไม่นึกถึงเลย เราก็เฉยๆ ไม่มีพันธะทางจิตใจในแง่ศีลธรรม เพราะไม่ได้นึกถึงท่านเหล่านั้น เพราะฉะนั้น การนึกถึงนี้เป็นเรื่องที่ดี
ในกัมมัฏฐาน ๑๐ ประการ (อนุสสติ ๑๐) จึงได้มีบทอยู่ว่า พุทธานุสสติ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ธัมมานุสสติ ให้ระลึกถึงพระธรรม สังฆานุสสติ ในระลึกถึงพระสงฆ์


เวลาเราไปอยู่ในป่าในดง บางทีก็มีความสะดุ้งหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็สั่งว่า ถ้าเธอมี สะดุ้งหวาดเสียวเกิดขึ้น ให้นึกพระพุทธเจ้า ให้นึกว่า อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯลฯ พระในสมัยก่อนท่านสวดแล้วท่านรู้ เพราะคนในประเทศนั้นเขาพูดภาษามคธ ภาษาที่เราสวดกันนี้ เขาเรียกว่าภาษามคธ คือภาษาที่เขาให้พูดกันในแคว้นมคธ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาษาบาลี

คนในสมัยนั้น พอได้ยินคำว่า อะระหัง ก็เข้าใจความหมาย สัมมาสัมพุทโธ ก็เข้าใจความหมาย เพราะเป็นภาษาที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาพูดกันทั่วๆไป
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงสั่งว่า เมื่อใดเธอมีความสะดุ้งหวาดเสียวเกิดขึ้น ก็ให้นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า อิติปิ โส ภะคะวา เป็นต้น
หรือมิฉะนั้น ก็ให้รู้สึกถึงพระธรรมคุณว่า สวากขาโต ฯลฯ หรือนึกถึงคุณพระอริยสงฆ์ว่า สุปะฏิปันโน ฯลฯ ให้ว่าไปตามลำดับ ขณะที่เรานึกถึงใจเราก็นึกตามไป ความสะดุ้งกลัวจะหายไป

เพราะฉะนั้น เวลาใดความกลัวเกิดขึ้น เราก็จงนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม พระสงฆ์ จะช่วยให้จิตใจเราคลายจากความกลัว การนึกมันก็ได้ประโยชน์อย่างนี้
หรือในเวลาใดที่จิตใจเรามันตกต่ำ มีกิเลสบางประเภทเกิดขึ้นในใจ เช่น เกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิดความริษยาขึ้นในใจ เรารู้ตัวว่าเรากำลังโกรธ รู้ว่ากำลังเกลียด กำลังริษยา เราก็นึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ความโกรธ ความเกลียด ความริษยานั้น ก็หายไปจากจากจิตใจของเรา อันนี้ เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ เราจึงได้มาทำกันในรูปดังกล่าว และเราจะต้องศึกษาให้เข้าใจถ้อยคำทุกบท เช่นว่า บทว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อะไรนี่

เวลาเรามาสวดมนต์ไหว้พระ เราก็มีสถานที่เฉพาะ คือเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติในทางจิตใจนี่ เราจะต้องมีเฉพาะเป็นที่ เช่น ในบ้านก็เป็นห้องพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ อย่างน้อยก็องค์หนึ่ง บางทีก็หลายองค์ บางบ้านก็เรียกว่า “เล่น” มีมากมาย แต่ถ้าเอาไว้เป็นเครื่องสักการบูชา ก็เพียงสักองค์หนึ่ง แล้วเป็นห้องพิเศษ
เมื่อใดมีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ เราก็เข้าไปในห้องนั้น เหมือนกับว่าเป็นโบสถ์น้อยๆ ในครอบครัวของเรา
เมื่อเราเข้าไปนั่งอยู่ในโบสถ์ใจก็นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตก็จะได้สงบ
เมื่อจิตสงบแล้ว เราก็จะได้ใช้จิตนั่นคิดค้นในเรื่องปัญหาที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนต่อไป. อันนี้เป็นเรื่องที่มีอยู่ในบ้านเรา

ที่เรามีพระพุทธรูปไว้ในบ้าน ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธรูปจะคุ้มครองเรา มิใช่อย่างนั้น แต่เรามีไว้เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ให้เรานึกถึงคุณงามความดีของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเราก็ไปกราบไปไหว้
เรามาตามวัดวาอาราม ที่ใดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งถือว่าเป็น รูปเปรียบ แทนคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เราก็นั่งลงกราบไหว้ด้วยความเคารพ ถือเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของคนทั่วไป
การกราบก็ต้องกราบให้ถูกต้อง ไม่ใช่กราบพอพ้นไป กราบก็ต้องกราบอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วก็นั่งสงบจิต.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2018, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันหนึ่ง เราก็มาคิดถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เสียสัก ๒ ครั้ง เรียกว่าคิดสึก ๒ ครั้ง

ศาสนาอิสลามนั้น เขาให้คิดถึงพระผู้เป็นเจ้าวันละ ๕ ครั้ง เพราะฉะนั้น คนอิสลามิกชน เขาจึงอยู่ในสภาพที่เรียกว่า เคร่งครัด ปฏิบัติตามหลักคำสอนอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาไหว้พระอยู่วันหนึ่งตั้ง ๕ ครั้ง นึกถึงพระบ่อยๆ

พวกเราพุทธบริษัทที่เป็นนักบวช ได้นึกถึงวันละ ๒ ครั้ง เวลาอื่นเราก็อาจจะนึกถึงบ้าง แต่ไม่ได้ร่วมชุมนุมกันเป็นการใหญ่เหมือนอย่างตอนเข้าตอนเย็น
นอกจากการกระทำอย่างนี้แล้ว ถ้าเราได้นึกถึงพระองค์บ่อยๆ ก็เป็นการช่วยให้เราเกิดกำลังใจในการปฏิบัติอะไรที่เป็นไปในทางที่ดีงามต่อไป เพราะการที่นึกถึงบุคคลที่ประเสริฐที่สุดในโลก พระองค์ท่านได้กระทำอะไรที่เป็นประโยชน์ไว้เหลือหลาย ก็ย่อมทำให้เกิดกำลังใจของเราขึ้นบ้างตามสมควรแก่ฐานะ
แต่การกระทำนั้น จะต้องกระทำด้วยน้ำใสใจจริง ไม่ใช่สักแต่ว่าพอให้พิธีผ่านพ้นไป เราจะต้องทำด้วยใจสงบและด้วยการคิดในเรื่องที่เรากระทำ เรื่องที่เราพูดเราว่านั้นด้วย เพราะฉะนั้น ในการทำวัตรที่วัดนี้ จึงได้มีการกล่าวคำแปลด้วย


การกล่าวคำแปลนั้นก็เพื่อ จะให้เกิดความซาบซึ้ง ถ้าเราว่าไปเฉยๆ ว่า อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ก็เหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง ไม่รู้ความหมาย ไม่เข้าใจความหมาย อันนี้แหละญาติโยมพุทธบริษัทจึงถือเป็นเรื่องขลังไป เช่น ให้ท่องบทนั้นจำนวนเท่านั้นครั้งเท่านี้ครั้ง แล้วจะเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้น นี่ก็เพราะไม่เข้าใจความหมายของเรื่องที่เราว่านั่นเอง
แต่ถ้าเราเข้าใจความหมาย เราก็รู้ว่าสิ่งที่เราว่านั้นคืออะไร เป็นเครื่องเตือนสติ สะกิดใจอย่างไร เราควรจะเข้าถึงสิ่งนั้นโดยวิธีใด ช่วยให้เราก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติ เพราะฉะนั้น เวลาสวดนี่เราก็ว่ากันไปตามหน้าที่ หลังจากการสวดมนต์ไหว้พระ เราก็นำเอามาประพฤติปฏิบัติ นี้เรียกว่า เป็นการไหว้ที่ถูกต้อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2018, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยพบแขก เป็นคนชั้นธรรมดา เป็นกรรมกรในโรงงานซ่อมรถจักยานยนต์ พอตอนเย็นเขาจะมาที่วัด เมื่อสมัยอยู่ที่แหลมมลายูได้พบกัน
เขามาที่วัด แต่งตัวสะอาด นุ่งขาวห่มขาวเรียบร้อย มาถึงก็คุยกัน ถามว่ามาทำอะไร เขาบอกว่า ผมมาไหว้พระ ก็เลยบอกว่า เอาซิ เข้าไปซิไปไหว้ในโบสถ์ ไปดูทางหน้าต่างว่าเขาไหว้กันอย่างไร ไปถึงเขาก็ไม่ได้จุดธูปจุดเทียนอะไรดอก
ตามปกติคนจีน ผู้ชายก็ตาม ผู้หญิงก็ตาม มาไหว้นี่จุดธูปเป็นซองทีเดียว เผาควันกลบไปในโบสถ์ละ แต่แขกคนนั้นไม่ได้จุดเลย มาถึงก็กราบพระ ๓ ครั้ง ก็มีเสียงสวดมนต์พึมพำๆ พอสมควร คือสรรเสริญพระคุณนั่นเอง
เสร็จจากนั้นแล้วเขาก็นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขาวทับมือซ้าย (เอาเท้าซ้ายทับเท้าขวา มือซ้ายทับมือขวาก็ได้) หลับตานั่งสงบจิตภาวนา เป็นเวลาตั้งชั่วโมง แล้วจึงได้กลับบ้าน
เขาทำอย่างนี้ทุกวันๆ ตอนเย็นๆ ก็นึกชมอยู่ในใจว่า แม้จะเป็นกรรมกร หาเช้ากินค่ำก็รู้จักไหว้พระที่ถูกต้อง คือไม่ได้ไปไหว้เพื่อสั่นกระบอกเสี่ยงทาย หรือว่า ไปขอร้องบนบานศาลกล่าว แต่ไปไหว้พระเพื่อทำจิตให้สงบต่อหน้าพระพุทธรูป อันเป็นรูปเปรียบแทนพระพุทธเจ้า การกระทำอย่างนั้น เป็นการชอบการควร

เราเข้าไปในโบสถ์ในวิหาร หรือในที่ใดที่มีพระพุทธรูป ก็ควรจะไปกราบไหว้อย่างนั้น แล้วควรจะไปนั่งสงบจิตสงบใจ เอามุมใดมุมหนึ่งในบริเวณนั้น นั่งหันหน้าเข้าฝาเสียคนมันไม่ยุ่ง ถ้านั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปคนเข้าไปไหว้หลายคนมันลำบาก หันหน้าเข้าฝาเสียเอามุมใดมุมหนึ่งแล้วก็นั่ง นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้ชื่อว่า เราไปไหว้พระถูกพระ ไปไหว้พระก็ได้พบพระ มันมีความหมายได้คุณได้ค่า แก่ชีวิตของเรามากขึ้น นี่ประการหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2018, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกประการหนึ่ง ที่เราไหว้พระพุทธรูปนี้ พวกเราคงยังไม่ทราบว่า พระพุทธรูปนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
อยากจะอธิบายให้เข้าใจกันเสียหน่อย เพราะในสมัยนี้ เป็นเรื่องของการสร้างสรรค์พระพุทธรูปขึ้นมากมาย จำหน่ายกันเป็นสินค้า ถูกลักถูกขโมยกันมากมายเหลือเกิน อยากจะทำความเข้าใจกันเสียว่า พระพุทธรูปนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร
พระพุทธรูปที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาเรานั้น ไม่ใช่พุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้เราทั้งหลายปั้นรูปของพระองค์ไว้กราบไว้ไหว้ ไม่ได้ตรัสไว้ในที่ใดเลยในพระไตรปิฎก ว่าเมื่อตถาคตนิพพานแล้ว พวกเธอทั้งหลายจงปั้นรูปตถาคตไว้กราบไว้ไหว้ ไม่มีเลย

แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร ในเวลาใกล้นิพพาน พระอานนท์ได้ทูลถามว่า เมื่อพระองค์ ยังทรงพระชนม์อยู่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้เข้ามากราบไหว้บูชาพระองค์ ฟังคำสั่งสอน ได้ถือเอาพระองค์ว่า “สัตถา” คือเป็นครูเป็นอาจารย์ ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว พระองค์จะทรงตั้งใครเป็นตัวแทนของพระองค์ ซึ่งพวกข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้ถือเป็นครู เป็นอาจารย์ต่อไป ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2018, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงตั้งบุคคลให้เป็นตัวแทนพระองค์ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะว่าการตั้งบุคคลนี้ มันยุ่ง คนนี่ มันยุ่ง
พระองค์ไม่ตั้งใครให้เป็นตัวแทนพระองค์ แต่พระองค์ตรัสว่าอย่างนี้ ว่า “โย โว อานันทะ ธัมโม จะ วินะโย จะ เทสิโต ปัญญัตโต โส โว มะมะ อัจจะเยนะ สัตถา (โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจุจเยน สตฺถา)” ว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นครูของพวกเธอเมื่อเราล่วงลับไป” พระองค์ไม่ได้บุคคลบุคคลเป็นตัวแทน แต่ตั้งธรรมวินัยเป็นตัวแทน เพราะธรรมวินัยนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่เข้าใครออกใคร แล้วไม่ไปแย่งใคร เป็นของอย่างนี้ตลอดเวลา พระองค์จึงตั้งธรรมและวินัยเป็นตัวแทนพระองค์ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเรื่องเกี่ยวกับรูปเคารพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2018, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปเคารพเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ถ้าพูดกันแล้ว ก็เกี่ยวกับอิทธิพลของตะวันตก อิทธิพลของตะวันตกมันมาถึงอินเดียสมัยนั้น คือสมัยที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วประมาณสักร้อยกว่าปี กษัตริย์ของประเทศกรีก คือ อเล็กซานเดอร์ ได้ยกทัพมาตีถึงประเทศอินเดีย ตอนเหนือ และเมื่อ ยกทัพมาตีนั้น เขานำวัฒนธรรมประเพณีทีมีอยู่ในกรีกมาด้วย
ก็เป็นเรื่องธรรมดา ข้าศึกไปรบบ้านใดเมืองใด ก็ต้องเอาอะไรไปฝากไว้ที่บ้านนั้นเมืองนั้น

ถ้าเราไปเที่ยวเชียงใหม่ตามวัดทุกวัด จะเห็นว่ามีสิงโตยืนอยู่หน้าวัด แล้วเจดีย์ก็มีฉัตรครอบ
หรือว่าสมัยก่อนตามเสาธงหน้าวัด เราจะเห็นมีรูปหงส์เป็นเครื่องหมาย อันนี้ มิใช่ของเราดั้งเดิม แต่เป็นของพม่ารามัญ เขาเอามาให้ไว้
ชาวรามัญเขาถือว่าหงส์เป็นสัตว์ประเสริฐของเขา เป็นนกที่วิเศษของเขา เมืองหงสาวดีเขามีหงส์เป็นเครื่องหมาย แต่ว่าหงส์มอญเหมือนกับเป็ดเราดีๆนี่เอง ไม่สวยไม่งามอะไรเลย ทำไว้บนเสาธงก็เหมือนเป็ดตัวเมียขึ้นไปนั่ง

ทีนี้ พอมาถึงเมืองไทย คนไทยเรานักประดิดประดอย เลยทำหงส์เสียสวยไปเลย หงส์ไทยสวยกว่าหงส์มอญ
สิงโตพม่า อยู่ตามหน้าวัด อ้าปากหวอ พม่าครองเมืองเชียงใหม่ก็เลยเอาสิงโตมาทิ้งไว้ตามเมืองเชียงใหม่ เยอะแยะ
นอกจากสิงโตแล้ว ยังเอาแกงฮังเลมาทิ้งไว้ด้วย นั่นก็ของพม่า ไม่ใช่ของเราดั่งเดิม นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา


พระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งกรีกในสมัยนั้น เมื่อยกทัพมาที่อินเดียตอนเหนือได้ ก็นำเอาอารยธรรมของกรีกมาด้วย
ก็คนกรีกในสมัยนั้น พระเยซูยังไม่เกิด ศาสนาคริสสต์ยังไม่มี

คนกรีกในสมัยนั้น นับถืออะไร ? นับถือเทวดา เทวดามากมาย เขาเรียกกันว่าเทพเจ้าอะพอลโล เทพเจ้าวีนัส เทพเจ้าอะไรต่ออะไรเยอะแยะ ได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยๆ เป็นเทพเจ้าของพวกกรีก

เวลานี้ในกรุงเอเธนส์ ตามสถานที่โบราณเก่าๆ ล้วนเป็นวิหารของเทพเจ้าทั้งนั้น เขารักษาไว้ให้คนไปชม เพราะเขานับถือเทพเจ้า แล้วเขาปั้นรูปเทวดาไว้ไหว้

คนกรีกนับถือเทวดาถึงขนาดนั้น เช่นว่า หญิงสาวยังไม่มีสามี แล้วเกิดมีท้องอะไรขึ้นมา เขาไม่ว่าอะไร ก็บอกว่าเทวดาแอบไปหาเวลากลางคืน เลยแม่คนนั้นมีท้องขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
เรื่องนี้แหละ เป็นต้นเหตุที่จะให้พูดว่า พระเยซูเป็นบุตรพระผู้เป็นเจ้า
คือเมื่อศาสนาคริสต์เข้าไปถึงกรีก ก็คงจะตั้งปัญหาถามกันขึ้นว่า บิดาของพระเยซูเป็นใคร พระนางมาเรียตั้งท้องก่อนแต่งงาน ทีนี้ เขาก็เลยบอกว่าลูกของพระผู้เป็นเจ้า พวกกรีกก็รับ เชื่อ เพราะฐานมันมีอยู่แล้ว เลยก็เชื่อตามนั้น

รวมความว่าในประเทศกรีก นับถือเทวดา มีรูปเทวดาไว้กราบไว้ไหว้มากมาย ท่าทางต่างๆ เมื่องกองทัพของอเล็กซานเดอร์รุกขึ้นมาถึงอินเดีย ก็เอารูปเทวดามาไหว้ มาบูชา ชาวอินเดีย เห็นเข้าก็เป็นเรื่องตื่นเต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2018, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนลำปางร่วมทำ แกงฮังเลกระทะยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้หมู 1 ตัน

https://www.khaosod.co.th/wp-content/up ... 96x403.jpg

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_958201

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2018, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

คนใดมีอำนาจ มีอิทธิพล คนอื่นก็เห็นว่าดีไปหมด ไปเห็นว่าพวกกรีกทำเข้าทีไหว้รูปเคารพ เขาก็เลยคิดทำรูปเคารพขึ้นในอินเดีย พวกศาสนาพราหมณ์ทำก่อน ศาสนาพุทธยังไม่ทำ

ศาสนาพราหมณ์ เขาก็มีสิ่งที่เคารพ ๓ อย่าง เป็นใหญ่ เรียกว่า พรหมะ วิษณุ ศิวะ

“พรหมะ” หมายถึงผู้สร้างโลก

“พระวิษณุ” นี่ผู้ปราบปรามเรื่องเหตุร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก

“พระศิวะ” เป็นผู้รักษาโลกให้อยู่รอดปลอดภัย ดังปรากฏ ในเรื่องที่เราเคยอ่าน เช่น เรื่องรามเกียรติ์ พระวิษณุอวตารลงมาเกิดเป็นพระราม ปราบยุคเข็ญ

ชาวอินเดีย เขานับถือ เทพเจ้าสำคัญ ๓ องค์ และยังมีเทพเจ้าย่อยๆ เล็กๆน้อยๆ มากมายรวมแล้วตั้ง ๓๐ โกฏิ ไม่ใช่น้อยๆ ๓๐๐ ล้าน มากเข้าไปอีก
เมื่อเขาบูชาเทวดาแบบเดียวกับกรีก เขาก็จะทำรูปเทวดาไว้กราบไหว้ แต่ไม่รู้จะปั้นอย่างไร รูปพระอิศวรหน้าตาอย่างไรก็ไม่รู้
พระพรหมหน้าตาอย่างไรก็ไม่รู้ อย่าปั้นรูปท่านเลย เอาเครื่องหมายดีกว่าแทนพระอิศวร เขาก็ทำเครื่องหมาย
เครื่องหมายพระอิศวร ก็คือ ศิวลึงค์ นั่นเอง

ใครไปวัดโพธิ์ก็เห็นปักไว้อันหนึ่ง คนชอบไปไหว้ ผู้หญิงก็ไปไหว้ไปบนบานศาลกล่าว เอาแป้งไปทาบ้าง เอาดอกไม้ไปบูชาบ้าง อะไรต่ออะไร นั่นแหละเขาเรียกว่า ศิวลึงค์ เป็นเครื่องหมายของพระอิศวร เขาปักไว้เป็นที่บูชาสักการะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2018, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเทศอินเดียนั้น ในตอนกลางของประเทศ โดยเฉพาะแคว้นพิหาร ซึ่งมีคน ๘๐ ล้านคน
อุตตรประเทศอีกประมาณ ๖๐ ล้านคน นับถือพระศิวะ ตามสถานที่เคารพจึงมีศิวลึงค์ปักไว้ อันเล็ก อันใหญ่มีมากมายก่ายกอง

เคยไปที่เมืองพาราณสี แล้วก็ไปที่เขาเรียกว่า ศิวะเทมเปิล วัดของพระศิวะ นึกว่าอยากจะไปดูว่าเขาไหว้อะไร ก็เดินแทรกฝูงคน คนเป็นพันๆ สกปรกแออัดยัดเยียด เข้าไปถึงที่เขาไหว้ ไม่มีอะไร มีศิวลึงค์โผล่ขึ้นมาในแอ่งน้ำอันหนึ่ง

คนก็ไปคลำศิวลึงค์นั้น เอาน้ำตบหัว ลูบหน้า เป็นสิริมงคล อย่างนั้นแหละ
แล้วก็ทางที่เดินเข้าไปสู่วัดศิวะนี้ มีศิวลึงค์ขายเยอะแยะ อันใหญ่ อันน้อย ทำด้วยหินอ่อน เท่านิ้วก้อยก็มี

พวกนั้น ยังถามว่า สาธุ ไม่ซื้อไปบ้างหรือ ? :b1: เลยก็ตอบไปว่า ฉันก็มีอยู่อันหนึ่งแล้ว :b32: ขี้เกียจจะไปซื้อแขวนเข้าไปอีกตั้งอัน :b21: มันหนักเปล่าๆ เรื่องเป็นอย่างนี้ เขามีกันอย่างนั้น

อันนี้แหละ ที่เมืองไทยเราชอบเอามาผูกสะเอว คือปลัดขิกนั่นเอง ที่เราผู้ชายชอบเอาปลัดขิกมาผูกเอวนั่นแหละ

ปลัดขิกนี่มันก็ศิวลึงค์นั่นเอง ทำด้วยไม้อันเล็กๆ เอามาเที่ยวผูกเอาไว้ เขาว่ามันเป็นเสน่ห์ทำให้ผู้หญิงรัก เลยก็เอามาผูกไว้ นี่ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา แต่ว่าหลวงตาชอบทำขายอยู่เหมือนกัน เป็นของศิวลึงค์

เขาทำศิวลึงค์ ต่อมาก็ไหว้ศิวลึงค์ ไหว้กันไปไหว้กันมา พัฒนาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ทำรูปพระศิวะ ทำรูปครอบครัวพระผู้เป็นเจ้า พระศิวะ พระอุมาเทวี พระขันธกุมาร พระพิฆเณศ เขาทำรูปไว้เยอะ บางทีทำเป็นชุดเลย

เราไปถามว่า นี่อะไร เขาว่า ก็อดแฟมมิลี่ (Cod Family) เรียกว่า ครอบครัวของพระผู้เป็นเจ้า มีครบเลย เอาไปไว้ที่บ้านได้กราบไหว้บูชา เขามีอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2018, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธศาสนายังไม่ทำ แม้พวกนั่นจะมีรูปเคารพกันเต็มบ้าน เต็มเมือง พุทธศาสนายังไม่ทำ ยังไม่ทำอะไร ยังไหว้พระพุทธเจ้าโดยการนึกทางใจ นึกถึงพระคุณของพระองค์ เอาธรรมมาเป็นเครื่องปฏิบัติ ยังไม่มีรูปเคารพ
แต่ว่าอิทธิพลนี่มันมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นความต้องการของประชาชน เพราะมันมาก
สิ่งที่มันมากก็มีอิทธิพล คนก็เกิดความต้องการ

พุทธบริษัทก็พูดว่า เอ้อ เราไม่มีอะไรไหว้เลย มันควรจะมีบ้าง มีอะไรไว้ไหว้บ้าง ก็เลยคิดทำกันขึ้น

แต่ว่าการกระทำนั้น ไม่ได้ทำพระพุทธรูปทีเดียว เขายังเคารพต่อพระพุทธเจ้า ไม่กล้าปั้นรูปพระพุทธเจ้า กลัวทำแล้วจะไม่เหมือน เดี๋ยวปั้นแล้วเหมือนรูปใครเข้าไม่รู้ เลยก็ไม่กล้าปั้นรูปพระพุทธเจ้า

เขาทำอะไร ? เขาทำเครื่องหมายแทนพระองค์ ใช้เครื่องหมายแทนทั้งนั้น

เราไปประเทศอินเดีย แล้วก็ไปที่เจดีย์แห่งหนึ่ง เขาเรียกว่า “ศานจิเจดีย์” อยู่ในแคว้นเนปาล
ศานจิเจดีย์เป็นเจดีย์เก่าแก่ที่สุดในประเทศอินเดีย ที่เหลืออยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีใครทำลาย ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย อยู่บนภูเขา สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้างสนับสนุนพระพุทธศาสนามากทีเดียว

แต่ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ยังไม่มีรูปเคารพ ยังไม่มีพระพุทธรูป เพราะฉะนั้น ที่เจดีย์ศานจิเจดีย์เราจึงได้เห็นว่า อันใดที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า จะไม่มีรูปพระพุทธเจ้า แต่ว่า เขาจะทำเครื่องหมายแทนไว้


ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น การะประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ เขาทำรูปพระนางมายา ได้ทำรูปสาวใช้ ทำรูปต้นไม้ ทำรูปเทวดา ให้ปรากฏอยู่ในแผ่นหินจารึก แต่ว่า รูปเจ้าชายไม่มี

เขาทำอะไรเป็นเครื่องหมาย ? ทำดอกบัวเป็นเครื่องหมาย ดอกบัวเรียงกันเป็นแถว เป็นเครื่องหมายแทนการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ
เวลาที่พระอสิตดาบส ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ รู้ข่าวว่า พระเจ้าสุทโธทนะมีพระโอรสเป็นชายก็มาเยี่ยม สาวใช้ยกเจ้าชายมาให้พระฤๅษีดู เขายกเบาะมา ในรูปเบาะ ทำเปนเบาะเฉยๆ แล้วก็ไม่มีคนนอนอยู่บนนั้น ทิ้งไว้เฉยๆ ให้นึกเอาเองว่าเจ้าชายนอนอยู่บนนั้น
พระฤๅษีก็ยกมือไหว้ น้ำตาไหล หัวเราะ ไปตามเรื่องตามประวัติ แต่ไม่มีรูปเจ้าชายสิทธัตถะ

เวลาที่เจ้าชายจะเสด็จออกบวช ตอนเห็นสาวสนมกรมวัง นอนระเกะระกะ ไม่น่าดู เป็นภาพเหมือนกับซากศพในป่าช้า เขาทำภาพเข้าที ทำภาพให้คนนอนน่าเกลียดไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดูดอก แต่แล้วก็มีเก้าอี้ตัวหนึ่ง เก้าอี้ใหญ่แล้วก็มีเบาะปูไว้ บนนั้นไม่มีอะไร มีหมอนวางอยู่ แล้วหมอนนั้นมีรูปสวัสดิกะ

สวัสดิกะนี่ไม่ใช่ของฮิตเลอร์นา มันของพราหมณ์ เขาเขียนกันมานานแล้ว

ฮิตเลอร์แกเขียนของแกเอง แล้วมันไม่เหมือนของพราหมณ์เขาดอก คือแกหมุนไปทางซ้าย ของพราหมณ์เขาหมุนไปทางขวา “ทักษิณาวัตร” แกเขียนส่งเดช เลยฉิบหายกันหมดบ้านหมดเมือง มันเขียนผิดฉิบหายกันทั้งประเทศ เพราะอะไร เรื่องเป็นอย่างนั้น

ทีนี้ ก็มีหมอนแล้วก็มีสวัสดิกะอันหนึ่ง ก็มีเท่านั้น ไม่มีรูปเจ้าชายสิทธัตถะ ให้คนนึกเอาเองว่า มีรูปเจ้าชายสิทธัตถะนั่งอยู่ตรงนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2018, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาออกบวชเขาทำรูปอย่างไร ? เขาทำรูปตอนบวชมีม้าอานพร้อม มีนายฉันนะจูงม้า มีเทวดากางร่ม แล้วก็มีเทวดาตีฆ้องตีกลองแห่แหนรับ บนหลังม้าไม่มีอะไร ให้นึกว่า บนหลังม้าเป็นที่เจ้าชายสิทธัตถะประทับนั่งในวันออกบวช ม้าเขาทำอย่างนั้น
แล้วในบางสมัย รูปม้านี่มีเทวดาเอามือไปรับไว้ รับเท้าม้าไว้ ที่เทวดาเอามือไปรับเท้าม้าไว้ แสดงว่า ออกกลางคืน มันมีความหมายว่า ออกเวลาเงียบ ไม่มีเสียง เงียบก็เพราะเท้าม้านั้นอยู่บนมือเทวดามันก็วิ่งไม่ดัง หมายความว่าออกกลางคืน
แต่ว่าในภาพในสมัยหนึ่งนั้นหนักไปกว่านั้น เทวดาแบกเลย เทวดาสี่คนแบกม้าไปเลยทีเดียว ก็หมายความว่า ออกกลางคืนเหมือนกัน เท่ากัน
ครั้นพระองค์ไปทรงทำความเพียรใต้ต้นโพธิ์ได้ตรัสรู้ เขาทำรูปต้นโพธิ์มีพวงมาลัยห้อยเต็มไปหมด มีเทวดามากราบมาไหว้ แต่ว่าใต้ต้นโพธิ์นั้น มีแท่นหินวางไว้ ไม่มีรูปพระพุทธเจ้า มีแต่แท่นหิน ให้ใครนึกเอาว่า พระพุทธเจ้านั่งอยู่บนแท่นหินนั้น เขาทำอย่างนั้น
ทีนี้ ภาพเกี่ยวกับการแสดงปฐมเทศนา เทศนาครั้งแรก เขาทำเป็นรูปวงล้อธรรมให้ไปยุคเข็ญของโลก เขาทำเป็นวงล้อ แล้วก็ทำกวางสองตัว เป็นเครื่องหมายว่า เทศน์ที่สวนกวางใกล้เมืองพาราณสี แล้วก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เขาทำเท่านั้น
สมัยที่พระองค์จะเสด็จปรินิพพาน เขาทำต้นรังสองต้น มีแท่นหินวางไว้ แล้วก็มีผ้าปูบนนั้น ไม่มีพระพุทธเจ้านอนบนนั้น ให้นึกเอาเองว่านี่นิพพานนะ เป็นภาพหมายของการปรินิพพาน

ไม่ว่ารูปอะไรทุกตอน จากพุทธประวัติ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธเจ้าแล้ว เขาไม่ทำรูปทั้งนั้น แต่ทำเครื่องหมายแทนไว้ คนก็ไปกราบไปไหว้ด้วยความพอใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2018, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเราเคยไปจังหวัดอุตรดิตถ์หรือไม่ อุตรดิตถ์มีวัดอยู่วัดหนึ่ง เขาเรียกว่า วัดพระแท่นศิลาอาสน์ เขามีแท่นสี่เหลี่ยมทำเป็นแผ่นไว้ บนแท่นนั้น ไม่มีอะไรดั้งเดิม ไอ้ที่เขาทำอย่างนั้น เขาทำจากแบบอย่างที่ยังไม่มีพระพุทธรูป
แต่มาในสมัยนี้เขาเอาพระไปวางเต็มบนแท่นนั้นเสียแล้ว ก่อนนั้นไม่มี ความจริงไม่ควรจะเอาไปวาง ควรจะรักษาศิลปะของเก่าไว้ ว่าไม่มีพระพุทธรูป เขาทำกันอย่างนั้น อันนี้แสดงว่า รุ่นแรกพระพุทธรูปไม่มี แล้วก็มาทำเครื่องหมายแทนพระพุทธรูป

แล้วต่อมาก็วิวัฒนาการก้าวหน้าไปอีก ทำพระบาทรอยเดียวบ้าง สองรอยบ้าง ให้คนกราบไหว้บูชา ให้เห็นแต่พระพุทธบาท ไม่มีองค์พระพุทธเจ้าอยู่ เรียกว่า วิวัฒนาการมาเป็นขั้นสอง ขั้นแรก มีเครื่องหมาย แต่ต่อมามี พระบาทเป็นเครื่องหมาย ไหว้กันอยู่นาน เวลาทำกันอยู่นี่ ตั้ง ๖๐๐ ปี ไม่ใช่เล็กน้อย เรียกว่าค่อยๆวิวัฒนาการ ไม่มีรูปเคารพในพุทธศาสนา แล้วก็มีเครื่องหมายเรื่อยๆมา
จน พ.ศ. ราว ๗๐๐ จึงได้มีพระพุทธรูปเต็มองค์ขึ้น ทำเป็นพระพุทธรูปเต็มขึ้นมา พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ถึง ๗๐๐ ปี ก็มีพระพุทธรูปขึ้น


พระพุทธรูปที่ทำในสมัยแรก เขาเรียกว่า สมัยคันธาระ สลักเสลาสวยงามมาก สลักบนหิน หินก็อย่างดี ขัดแววเป็นกลีบจีวรสวย พระพักตร์ จมูก นัยน์ตาอิ่มเอิบ ทำอย่างดี งามที่สุด แล้วก็น่าเคารพกราบไหว้เหมือนกัน

ภาพเหล่านี้ มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในอินเดียหลายแห่ง ที่เขาเก็บไว้ ที่สมบูรณ์ก็มี ที่ขาดตกบกพร่อง คือขาดจมูกไปบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง ที่แหว่งๆ นี่ไม่ใช่ใครดอก พี่น้องอิสลามเขาว่า เป็นบุญ ถ้าได้ทำลายรูปเคารพในศาสนาอื่น เพราะฉะนั้น จึงเอาขวานทุบเสียบ้าง ค้อนทุบเสียบ้าง เลยเหลือไม่เรียบร้อย
แต่ที่เหลือเรียบร้อยสวยงามมาก มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ล้วนแต่เป็นพระพุทธรูปทำด้วยหินทั้งนั้น ได้เกิดขึ้นอย่างนี้
เมื่อมีพระพุทธรูปเกิดขึ้นแล้ว ในสมัยก่อนก็ยังไม่มีอะไรเท่าใดดอก คนก็ไปกราบไปไหว้บูชาสักการะตามธรรมดา แต่ว่าต่อมา คนค่อยติดวัตถุมากขึ้น ติดพระพุทธรูปมากขึ้น จนกลายเป็นของวิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา พระพุทธรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะไปไหว้ไปติดนั่นเอง แทนที่จะไปไหว้พระพุทธรูปเพื่อเข้าถึงธรรมะ กลับไปติดอยู่ที่พระพุทธรูป เลยไม่เข้าถึงธรรมะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร