วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 16:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2018, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อทุกข์โทษแก่ตัวเรา (นิวรณ์ ๕)

วันนี้ จะได้พูดเรื่องนิวรณ์ ๕ ประการ

นิวรณ์ แปลว่า กั้น, กัก, คำว่า วิวรณ์ แปลว่า เปิด เป็นคำตรงข้าม นิวรณ์ แปลว่า กั้น วิวรณ์ แปลว่า เปิด

นิวรณ์ ในที่นี้ หมายถึงเครื่องกั้นจิตมิให้บรรลุคุณงามความดี เรียกธรรมเป็นเครื่องกั้นจิต เพราะคำว่า “ธรรมะ” นั้นเป็นสิ่งดี ก็ได้ เป็นสิ่งชั่ว ก็ได้ ในที่นี้หมายถึง เครื่องกั้นใจไม่ให้บรรลุคุณงามความดี

คนเราเวลาจะทำอะไร เช่น เรียนหนังสือ ทำการงาน หรือว่าเราบวชเข้ามาเพื่อมาศึกษาเล่าเรียน เจริญสมาธิภาวนา มันมีอุปสรรคเกิดขึ้น ทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่ลุล่วงสำเร็จด้วยดี สิ่งที่มาเป็นอุปสรรคนี้มันมีหลายเรื่องมากมายหลายประการ แต่รวมแล้วก็อยู่ใน นิวรณ์ ๕ ประการ เข้ามากั้นจิตไม่ให้เราบรรลุจุดหมายที่เราต้องการ จึงควรจะได้ศึกษาได้รู้ไว้ เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีลักษณะเช่นใด มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตใจของเรามีสภาพเช่นไร เป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไร จะได้รู้ชัดให้ถูกต้อง จะได้ระวังจิตใจไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกต่อไป

เหมือนกับว่า เราเรียนรู้เรื่องข้าศึกที่มันจะมาโจมตีบ้านเมืองของเรา เรารู้ว่าข้าศึกที่มันมีจำนวนเท่าไร และก็ยกมาหยุดที่ไหน จะโจมตีบ้านเมืองเราโดยทางใดบ้าง เราจะได้ป้องกันไม่ให้ข้าศึกรุกรานเข้ามาทำร้ายพลเมืองในประเทศได้ ฉันใด ในชีวิตของเราก็ฉันนั้น ต้องมีการปิดกั้นสิ่งไม่ดีไม่งามไม่ให้เกิดขึ้นรบกวนจิตใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2018, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีหนังสือเล่มหนึ่งเขากล่าวว่า ตัวเรานี่เป็นเมืองเมืองหนึ่ง เขาเรียกว่า “กายนคร” กายนคร ผู้ครองกายนั้นก็คือจิตนั่นเอง ตั้งให้เป็นพระยาเลย เรียกว่า “พระยาจิตราช” พระยาจิตราชเป็นผู้ครองร่างกายทั้งหมด

ทีนี้ พระยาจิตราช มีอำมาตย์ทั้งฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี เรียกว่า ฝ่ายกังฉิน ก็มี ตงฉิน ก็มี

ฝ่ายกังฉิน ก็มีขุนโลภ ขุนโกรธ ขุนหลง รวม ๓ ขุนนี้เป็นตัวหาเรื่อง ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนบ่อยๆ ให้บ้านเมืองวุ่นวายด้วยประการต่างๆ คือ ขุนโลภ ขุนโกรธ ขุนหลง นี่เอง
และ
ฝ่ายตงฉิน ก็มี ฝ่าย อโลภะ ฝ่ายอโทสะ ฝ่าย อโมหะ คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นี่คือฝ่ายดี

ฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว นี่มันผลัดกันขึ้นมายุแหย่พระยาจิตราช

บางทีฝ่ายชั่วเข้ามายุอย่างนั้น ยุอย่างนี้ พระยาจิตราชก็โน้มเอียงไปทางฝ่ายชั่ว

บางทีฝ่ายดีเข้ามาบอกว่าไม่ได้ ทำอย่างนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เสียหาย พระยาจิตราชก็มองเห็นโน้มไปทางฝ่ายดี

นี่มันเป็นคำเปรียบเทียบชีวิตของเราว่าเป็นเมืองเมืองหนึ่ง แล้วมีผู้ครองระวังปิดกั้นมิให้ข้าศึกเข้ามาโจมตี
ข้าศึกเข้ามาโจมตีนั้น คืออารมณ์ภายนอกที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์นั่นเอง ที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงไปในรูปต่างๆ

เมื่อสิ่งเหล่านั้นเข้ามากระทบ มันก็เกิด “ผัสสะ” ขึ้นมา แปลว่าเกิดปัญหายืดยาวขึ้นมา สร้างอะไรต่างๆ ให้เกิดขึ้นในชีวิต คือข้าศึก

แต่ว่าในเมืองคือชีวิตเรานั้น ผู้มาดีก็มีเหมือนกัน คล้ายกับบ้านเมืองเรา คนเข้าเมืองมามีทั้งดีทั้งเสีย พวกดีก็มี พวกเสียก็มี พวกดีเข้ามาเราก็ควรจะรับไว้พิจารณา พวกเสียเข้ามาเราก็ควรพิจารณาแล้วขับไล่ใสส่งออกไป ถ้าเรามีความระมัดระวังอย่างนี้ เราก็จะอยู่ได้อยู่ผู้ปกติ ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใดๆ ไม่สร้างปัญหาอะไรให้เกิดขึ้น ที่จะเป็นปัญหายุ่งยากลำบาก ทำความเดือดร้อนให้แก่คนเองและผู้อื่น

กิเลสประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นทางใจ แล้วทำใจของเราให้เสียหายมากมายหลายเรื่องหลายประการ เรียกว่า “นิวรณ์” หมายความว่าเป็นเครื่องกั้นใจ คล้ายกับว่า เหมือนกับเมฆกั้นแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงลงมายังพื้นดิน หรือเมฆามาบดบังแสงจันทร์ทำให้โลกมืดมัว ทำให้ไม่เห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนกับไฟดับทำให้มืดมองไม่เห็นอะไร

นิวรณ์เข้ามาในจิตใจแล้วทำให้มืดบอด ไม่รู้จักอะไรที่ถูกต้องตามสภาพที่เป็นอยู่จริงๆ จึงทำให้เกิดทุกข์เกิดความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2018, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์ข้อแรก ได้แก่ กามฉันทะ

กามฉันทะ แปลว่า ความพอใจในกามต่างๆ อันนี้เป็นข้อแรกที่เป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุคุณงามความดี
เรียกว่า มีกามฉันทะครอบงำจิตใจ ในเรื่องกามฉันทะนี้ เรียกว่า มีความพอใจในกาม เพลิดเพลินยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันเป็นที่น่าปรารถนาน่าพอใจ ถ้าเราไปเพลิดเพลินมีความยินดีกับสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า มีกามฉันทะครอบงำจิตใจ

ตัวอย่าง เช่น คนเราจะทำหน้าที่การงานนี่ ถ้ามีกามฉันทะครอบงำจิตใจ การทำหน้าที่การงานนั้นก็จะไม่สำเร็จเรียบร้อยไปด้วยดี หรือว่าคนเราจะเรียนหนังสือนี่ ถ้ามีกามฉันทะครอบงำจิตใจ การเรียนก็จะไม่ก้าวหน้า ไม่ก้าวหน้าจิตใจมันหมกมุ่น การเรียนก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะอะไร? เพราะใจเราไปติดอยู่ในเรื่องเหล่านั้น นึกคิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปัญหาขึ้นในใจด้วยประการต่างๆ จึงเป็นเรื่องวุ่นวายในทางจิตใจ

ตัวอย่าง เช่นว่า คนหนุ่มๆที่เป็นนักศึกษาเล่าเรียน แล้วใจก็ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องกามคุณ เช่น รักผู้หญิงไปติดผู้หญิงอะไรอย่างนี้ การเรียนไม่มีทางก้าวหน้า มันจะสอบไล่ตก เพราะใจไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ทำให้เกิดความปั่นป่วนรวนเร ทำให้ไม่สามารถจะศึกษาให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ผลที่สุดต้องออกจากโรงเรียนไปได้ ที่ต้องออกจากโรงเรียน เพราะใจมันไปยุ่งกับผู้หญิงเสีย อันนี้ มันก็เป็นกามเหมือนกัน ไม่ใช่ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงเท่านั้น เช่นว่า
ไปชอบเรื่องสนุกต่างๆ เช่น ติดหนัง ติดละคร ติดเกม ติดสนุกในเรื่องต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้านเมืองมากมาย เด็กหนุ่มๆ เหล่านั้นไปติดความเพลิดเพลินสนุกสนาน หนีโรงเรียน ไม่อยากจะเรียนหนังสือ อันนี้ ก็เรียกว่าเป็นกามเหมือนกัน กามคุณมันเข้ามาล่อจนเกิดกามฉันทะแล้วก็ไม่อยากจะเรียน

หรือเป็นคนประเภทอ่อนแอ จิตใจไม่เข้มแข็ง เพราะว่าไปติดในความสบาย อาหารไม่เป็นที่น่าพอใจ ที่อยู่หลับนอนไม่เป็นที่น่าพอใจ อะไรไม่เป็นที่น่าพอใจ เรียนหนังสือไมได้ต้องกลับบ้าน เลยไม่สำเร็จเรื่องการศึกษา เรื่องนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับกามทั้งนั้น ที่มันเข้ามาพัวพันอยู่ในใจของเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมันไปหมกมุ่นอยู่สิ่งเหล่านั้นเสียแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2018, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่มาบวชเป็นภิกษุสามเณร ถ้าจิตใจตกอยู่ในอำนาจของกาม ก็เรียกว่า มีกามฉันทะครอบงำจิตใจ คิดถึงบ้าน คิดถึงความสนุกสนาน คิดถึงรสอาหารที่เคยลิ้มเคยชิม ไม่สามารถจะประพฤติพรหมจรรย์ได้ ก็ต้องลาสิกขาออกไปเพราะเรื่องอย่างนี้ อันนี้เรียกว่า กามฉันทะมันเข้าครอบงำจิตใจเหมือนกัน ไปเรียนมา ไปบวชมา แต่ไม่สำเร็จ หรือไปเจริญภาวนา ต้องอดทน เข้มแข็ง แต่ทำไม่ได้ เพราะจิตมันไปชอบความสบายตามแบบที่เคยสบาย ไม่ได้เปลี่ยนจิตใจให้เข้าสู่สภาพที่ถูกต้อง ก็เลยจิตใจไม่ก้าวหน้า นี่เรื่องของกามทั้งนั้น พูดถึงเรื่องกามแล้วมันเป็นพิษสงอยู่พอใจ ถ้าเราไม่รู้จักส้องเสพ เป็นผู้มัวเมาในสิ่งนั้นมากเกินไป ก็เลยเสียหาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่อยู่บ้าน มีครอบครัว เช่น มีบุตร มีภรรยา มีสามี แม้จะเป็นผู้เสพกาม แต่เสพพอประมาณ มีความพอดี ไม่ใช่เสพด้วยความมัวเมาหลงใหลหมกมุ่น มันก็ไม่เกิดทุกข์เกิดภัยอะไร กลับเป็นเรื่องอำนวยกำลังให้อยู่ดีก็ได้ ถ้ารู้จักพอดี นั่นสำหรับชาวบ้าน
แต่สำหรับนักบวชนั้นต้องหลีกหนีจากสิ่งเหล่านั้น เพศตรงข้ามเป็นเรื่องที่ต้องห่าง แต่เราอย่าเข้าใจว่า กามนั้น หมายแต่เพียงเพศตรงข้าม หรือหมายถึงการอยู่ร่วมระหว่างหญิงกับชายเท่านั้น

วัตถุทั้งหลายที่ทำให้เกิดความกำหนัดเพลิดเพลิน ก็เรียกว่ากามทั้งนั้น เช่น พูดว่าพระเราเป็นผู้เสพกามก็ได้ แต่ไม่ใช่เสพกามในเพศตรงกันข้าม แต่เราหมายความว่าอยู่กับวัตถุ เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เรียกว่า อยู่กับกามเหมือนกัน

แต่ว่าเราเสพด้วยปัญญาความรู้เท่ารู้ทัน ไม่มัวเมาหลงใหลอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ใช้ปัญหาเป็นเครื่องพิจารณา เช่น นุ่งห่มจีวร เราก็ใช้การพิจารณาแบบปัจจเวกขณ์ ว่า เราไม่ได้นุ่งห่มเพื่อความสวยงาม เพื่อการตบแต่ง เพื่ออะไรอย่างนั้น นุ่งห่มเพื่อกันหนาว กันร้อน กันเหลือบ กันยุง กันสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ให้มาขบกัดร่างกาย พออยู่ได้สบาย ไม่ใช่เพื่อความหรูหราฟู่ฟ่ากันมากจนเกินไป

การพิจารณาด้วยปัญญาอย่างนี้ กามคุณก็ไม่มีพิษสง เกิดอยู่เหนือเรา แต่ถ้าเราหลงใหลมัวเมาติดอยู่กับความสุข ก็เรียกว่ามันมีอำนาจเหนือเราจนไปไหนไม่ได้ มันมีอำนาจเหนือเรา ไปไหนไม่ได้ อย่างนี้ เรียกว่าเสียหาย มันเข้าเขตของกามฉันทะเข้ามาครอบงำจิตใจ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2018, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวกามฉันทะนี้ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เกิดขึ้นก็เพราะว่าเราเพ่งมองในสิ่งนั้นด้วยอำนาจราคะ ด้วยอำนาจตัณหา คือมองว่ามันสวยมันน่ารักน่าเอ็นดูน่าพอใจด้วยประการต่างๆ เช่น เรามองเพศตรงข้าม มองแล้วคิดไปว่าจมูกงาม คิ้วงาม คองาม หน้าผากงาม เอวตะโพกผึ่งผายงาม งามไปหมดทุกส่วนของร่างกาย ถ้ามองไปอย่างนี้แล้วมันเป็นบ่อเกิดของกามฉันทะ ทำให้หัวใจเรามัวเมาหมกมุ่นอยู่ในสิ่งเหล่านั้น นี่เรียกว่ามองเพื่อเพาะกามฉันทะให้เกิดขึ้น เพราะมองให้เกิดอย่างนั้น

ในเสียงก็เหมือนกัน เช่นเราฟังว่ามันเพราะมันหวานเสนาะหูแล้ว มันก็เกิดกามฉันทะ

ได้กลิ่นอะไร ก็นึกไปว่าชอบใจ น่าพึงใจ น่าเอามาไว้ดมบ่อยๆ คิดอย่างนั้นบ่อยๆ มันก็เกิดกามฉันทะ

ไปฉัน (กิน) อะไรเข้า รสอาหารแกงนี้อร่อย ปลานี้อร่อย เนื้อนี้อร่อย ข้าวนี้อร่อย นึกแต่เรื่องอร่อยทั้งนั้น ถ้านึกอย่างนั้นบ่อยๆ ก็ติดในเรื่องกามฉันทะ

เราไปสัมผัสอะไรเข้าแล้วก็นึกว่ามันเอร็ดอร่อย น่าจับน่าต้องน่าเอามาไว้ใกล้ๆ น่าเอามาเป็นของตัว ความคิดอย่างนี้เป็นบ่อเกิดแห่งกามฉันทะ

จำง่ายๆว่า ความคิดในสิ่งสวยสิ่งงาม อันเราพอใจหลงใหลมัวเมาแล้ว ก็เป็นบ่อเกิดของกามฉันทะทั้งนั้น นี่มันทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษได้ เมื่อมัวเมาขึ้นแล้วมันก็เกิดความเสียหายนี้

อีกประการหนึ่ง เมื่อเรารู้ว่ากามฉันทะไม่ดี เหตุเกิดมาจากเราเห็นของสวยน่ารักน่างาม เราก็ต้องแก้ แก้ด้วยการทำอะไร ? แก้ด้วยการมองตรงข้าม มองให้เห็นว่าไม่น่ารัก ไม่สวย ไม่งาม ไม่น่าพอใจ ผู้ใดที่รู้สึกตัวว่า เกิดกามฉันทะครอบงำจิตใจบ่อยๆ เผลอไม่ค่อยได้ พอเผลอแล้วใจมันไปอยู่กับสิ่งนั้น ไปคิดถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของเพศตรงกันข้าม มีจิตมักมากในทางกาม พระท่านก็สอนให้พิจารณากัมมัฏฐาน ๒ อย่างเพื่อแก้กามฉันทะ กัมมัฏฐานที่ควรจะพิจารณา ๒ อย่าง นั้น คือ กายคตาสติ กับ อสุภะกัมมัฏฐาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2018, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กายคตาสติ หมายถึง พิจารณาร่างกาย ให้เห็นว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม ร่างกายของเรานี่แหละ เรามองในแง่ไม่น่ารัก ไม่สวยงาม ไม่เป็นที่น่าพอใจ

รูปภาพ


การที่จะมองอย่างนั้นก็ต้องมองด้วยการแยกแยะร่างกายของเราออกไป อย่ามองเป็นกลุ่มเป็นก้อน มันจะเกิดความหลงได้ง่าย แยกออกไปเสีย

แยกออกไปเป็นอย่างไร ? เป็นอาการ ๓๒ เหมือนกับที่เราสวดมนต์ อัตถิ อิมัสมิง กาเย สิ่งที่มีอยู่ในร่างกายนี้ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตโจ เนื้อหนัง ฯลฯ แยกออกไปเป็นส่วนๆ ถอดมันออกเสียบ้าง อย่าเอาไว้เป็นรูปร่าง หัดถอดเอาไว้พิจารณา แล้วพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เช่น เอา กัมมัฏฐาน ๕ มาพิจารณา ที่เรารับไว้ในวันบวช เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ๕ ประการนี้ เอามาพิจารณา พิจารณาแง่ว่ามันไม่สวยงาม ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ ไม่น่าจะพิสมัยหลงใหลอะไรอย่างนั้น คิดในแง่นี้ให้มาก ในแง่ที่ไม่งามนี่ให้มาก

ไม่ใช่คิดเฉยๆ แต่มันมีฐานอยู่ มีฐานอยู่ว่ามันไม่สวยไม่งามอย่างไร เช่น ผมบนศีรษะเรานี้ มันงอกขึ้นมาจากสิ่งไม่สะอาด คล้ายกับหญ้าบนกองขี้ควายขี้วัว เวลามันไปขี้ มีหญ้าขึ้นงามมาก แต่ว่าวัวควายมันไม่กินดอก เพราะมันรู้ว่าข้างใต้เป็นขี้ของมันเอง มันเดินข้ามไปเฉยๆ มันไม่กินไอ้หญ้าที่งอกงามเพราะมีปุ๋ยอุจจาระของวัวควาย แล้วหญ้าก็ขึ้นงาม

ผมบนหัวของเรานี่ก็เหมือนกัน มันขึ้นมาได้เรียบร้อย ไอ้ใต้ผิวหนังนี่มันมีอะไร ถ้าใครมาทุบเราหัวแตกอะไรมันออกมา เลือดมันออกมาจากหัวเรา เลือดที่ออกมาจากหัวคนนั้นมันกลิ่นอย่างไร คาวเต็มที คาวเหลือเกิน คาวกว่ากลิ่นปลา กลิ่นเลือดวัวเลือดควายนี่สู้ไม่ได้ คาวจริงๆ คาวจะอาเจียนเอาเลยทีเดียว

อันนี้แสดงว่ามันไม่สะอาด ที่เราไปเห็นว่าสะอาด เพราะไปเห็นว่ามันงาม มันชุบมันย้อมมันตบแต่งให้ปรากฏขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่ามันเป็นของสวยของงาม เราจึงมองในทางตรงกันข้ามเพื่อเป็นห้ามล้อจิตใจ ไม่ให้หลงใหลในสิ่งนั้นมากไป เพราะว่าถ้าเกิดความหลงใหลแล้วมันจะยุ่งกันใหญ่ มันยุ่งขึ้นในจิตใจ มองอย่างนี้มันดีอย่าง เรียกว่า มองผม มองขน มองเล็บ มองฟัน มองหนัง ทั้งตัวของเรานี้มองไปในแง่ไม่สะอาด

เวลาเราปัสสาวะนี่เจริญกัมมัฏฐานเสียบ้าง เวลาถ่ายออกมาแล้วนึกว่ามันเป็นอย่างไร กลิ่นมันเป็นอย่างไร หรือว่าถ่ายใส่หม้อแล้วเปิดดูมั่งก็ได้ ถ้าอารมณ์มันวุ่นวายขึ้นมา เอาหม้อไว้ใบหนึ่ง ถ่ายปัสสาวะไว้ ว่างๆก็ลองเปิดดูเสียบ้าง ลองถามสิว่ามันหอมไหม น่าชมไหม มันก็ไม่มีอะไรน่ารักน่าชม

หรือว่าอุจจาระออกมามันก็ไม่น่ารัก ไม่น่าชม อะไรที่ออกมาจากตัวคนมีอะไรที่มันน่ารักน่าชมบ้าง ออกมาจากตาก็ขี้ตา ขี้หู น้ำมูก น้ำลาย เป็นเหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ ล้วนแต่สกปรกทั้งนั้น ตัวเรานี้ มันก็เหมือนกับถังอุจจาระ ถังปัสสาวะนั่นเอง พิจารณาในแง่อย่างนี้ผ่อนคลายอารมณ์ ทำให้คลายจากอารมณ์ได้ เช่น เวลาใดใจมันเกิดฟุ้งขึ้นมา

อีกประการหนึ่ง ให้เจริญอสุภะกัมมักฐาน สุภะ แปลว่า งาม อสุภะ นี่เขาแปลว่า ไม่งาม อสุภะกัมมักฐานนี่พิจารณาในสิ่งไม่งาม ได้แก่ ซากศพ

การที่เขานิมนต์พระไปบังสุกุล เพื่ออะไร ?

ก็เพื่อให้พระไปเรียนจากแบบสาธิต จากเรื่องจริงกันเลย ไปเรียนจากสิ่งที่เป็นตัวจริงกันเลยทีเดียว ไปยืนดูซากศพเห็นว่ามันพอง มันขึ้น มันเน่า มันเหม็น ซากศพสมัยนี้ยังน่าอยู่ ไม่ค่อยเท่าไรดอก

แต่ตามบ้านนอกนี่บางแห่งน่ะไม่ค่อยน่าดูเท่าไร ตอนผมเป็นเด็กๆ น่ะผมชอบตามไปดูเขาเสมอ เขาเปิดศพที่ใดก็ไปดู อยากดูน่ะ เด็กๆอยากดู จำได้ติดตา หนอนออกมาทางจมูก ทางตา ทางปาก หนอนเต็มไปหมด เพราะเขาไม่ได้ปิดโลง ข้างบนก็ไม่ได้ปิด ข้างล่างก็ไม่ได้ปิดโลง เอาไปวางไว้ในโลงเฉยๆ

พระสวดอยู่ที่นี่ ศพอยู่ตรงโน้น ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ศพอยู่ตรงนี้ พระนั่งตรงนี้ใกล้กัน เพราะมีการฉีดยา มีการทำอะไรขึ้น สมัยก่อนไม่มีอะไร เอาไปวางไว้เฉยๆพระก็สวดไป

บางบ้านเขาเอาไปวางไว้ที่พระฉันข้าว พระก็ฉันไม่ค่อยลงเหมือนกัน ยิ่งแกงหมู ต้มเครื่องในด้วยแล้ว พระยิ่งสะอิดสะเอียน นึกถึงโน่นแล้วนึกถึงเนื้อหมูที่กิน แล้วก็กินไม่ลง อย่างนี้ก็มี นั่นมันซากศพให้พระไปดูว่า นั่นแหละมันเป็นอย่างนี้ ไม่สะอาดอย่างนี้ ไม่น่ารักอย่างนี้ ให้ไปดูอย่างนั้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ให้คลายจากความกำหนัด คลายจากอารมณ์อย่างนั้นไปได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2018, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในคัมภีร์ธรรมบทเล่าว่า พระองค์หนึ่งเข้าไปอยู่ในป่าช้า เพราะป่าช้าในอินเดียน่ะเขาเอาศพไปทิ้งไว้ แล้วญาติกลับบ้าน ผู้ที่เผาศพนั้นก็คือสัปเหร่อ

ในหนังสือเล่าว่า สัปเหร่อนั้นเป็นผู้หญิง เขาเรียกว่า นางกาลี เป็นผู้รักษาป่าช้า พระไปอยู่ ไม่ได้บอก แม่หญิงสัปเหร่อนั้นก็สะกดรอยมาพบพระ ถามว่าพระคุณเจ้ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อไร

เข้ามาอยู่หลายวันแล้ว

ไม่ถูกพระคุณเจ้า มาอยู่หลายวันแล้วต้องคอยบอกผู้รักษาป่าช้า

ท่านถามว่าทำไมจึงต้องบอก พระท่านก็หาเหตุผลเหมือนกัน

แม่หญิงนั้นบอกว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผู้รักษาป่าช้าจะได้เป็นพยาน เช่นว่า ขโมยมันลักข้าวลักของมาทิ้งไว้ใกล้พระ เจ้าของป่าช้าจะได้เป็นพยานว่า ท่านไม่ได้ไปเอาดอก ท่านอยู่นี่ยังเห็นอยู่ เวลาจะไปก็ต้องบอกแก รับว่าอย่างนี้จึงถูกต้อง และปฏิบัติตามระเบียบต่อไป

แล้วเจ้าของป่าช้าจึงบอกว่าอยู่ในป่าเอาน้ำมันมาได้ อย่าเอาปลาเอาเนื้อมาไว้ เพราะว่ามดมันมาก ถ้าเราเอาน้ำมันมาไว้มดกัดก็เท่านั้น ถ้าเอาปลาเอาเนื้อมาไว้มดมันได้กลิ่นก็มากันใหญ่ อยู่ไม่สบาย

พระท่านก็ทำตามทุกอย่างแล้วก็สั่งนางป่าช้า นายป่าช้า ถ้ามีศพมาแล้วให้มาบอก ฉันจะไปดู

วันหนึ่ง ก็มีศพผู้หญิงมา อายุก็สักประมาณ ๑๘ ถึง ๑๙ ปี ตาย เขาก็เอามา ศพชาวอินเดียเขาไม่ได้ใส่โลง เขาเอาผ้าห่อมาเฉยๆ หามมาเลย เอามาวางไว้ที่ป่าช้า

พระก็ไปยืนดูตั้งแต่หัวถึงปลายเท้า ตั้งแต่ปลายเท้าถึงหัว มันยังสวย ดูแล้วมันยังงาม หน้าอกมันยังตึงเต่ง อะไรๆมันยังเรียบร้อยอยู่ เพิ่งตาย ตายด้วยโรคหัวใจวาย ว่าอย่างนั้นแหละ มันยังเรียบร้อย

พระเลยบอกว่า ศพนี่ยังไม่ต้องการดูดอก ฉันอยากจะดูเวลาเผา ถ้าเผาแล้วมาบอกด้วย พอได้เวลาเผานางสาวคนนั้น ท่านก็ยืนดูเรื่อยไป ดูไปตั้งแต่เผาไฟไหม้ดำ หนังไหม้เป็นแห่งๆ จนดำเป็นตอกะโก เนื้อดำเห็นแต่กระดูก ก็เลยดูไปเรื่อย ภาพเหล่านี้ติดตา แล้วท่านก็ไปนั่งที่ป่าช้าเงียบๆฉายซ้ำ ฉายซ้ำคือนึกถึงภาพที่ผ่านมาโดยลำดับๆ นั่นแหละ นั่งฉายซ้ำอยู่นั่นสักครู่ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาว่า ไม่น่าชม ไม่น่าพิสมัย ไม่น่าพอใจอะไร จิตผ่อนคลายเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส เครื่องหมักดองในสันดานหลุดพ้นได้ เป็นอริยบุคคลไป

อันนี้ เป็นตัวอย่างที่ว่าเราควรจะไปดูบ้าง เราอยู่ในวัด สมมติว่า มีป่าช้า เราควรจะเดินไปเยี่ยมป่าช้าบ้าง เดินไปดูที่เก็บศพแล้วก็นึกว่าในนี้มีซากศพ มีร่างกายของคนที่ถึงแก่กรรมไปแล้วนอนอยู่ แล้วก็นึกว่าร่างกายตอนนี้คงจะอย่างนั้น คงจะอย่างนี้ มองนึกไปอย่างนั้น คือมีศพให้ดู เราควรจะไปดู ดูแล้วก็จำเอามาไว้เป็นเครื่องพิจารณา เมื่อใดจิตมันนึกกาม เอาศพนั้นขึ้นมาดูทันที เปิดอัลบั้มในใจของเรา ดูศพดีกว่า อย่างนี้จะช่วยห้ามล้อจิตใจของเราไม่ให้ไหลไปในกามมากเกินไป บางทีก็หยุดเลย เหี่ยวแห้งใจสลดใจ อารมณ์นั้นก็หายไป อันนี้ใช้ได้

ออกไปเป็นชาวบ้านยิ่งจำเป็นจะต้องใช้มากขึ้น เพราะว่าอยู่บ้านไม่มีจีวรกั้นแล้ว ผมมันยาวแล้ว ไปไหนไปได้ ทีนี้ ต้องเอาไอ้นี่น่ะห้ามมันไว้ พิจารณากายของตนและของคนอื่นเป็นของไม่งาม พิจารณาศพไว้เพื่อจะให้เกิดอารมณ์อย่างนี้

มีเวลาก็ควรจะไปป่าช้าบ่อยๆ ไปเยี่ยมป่าช้า ไปชมโรงพยาบาล ไปเยี่ยมคนที่เขาเจ็บไว้ได้ป่วย จะได้เห็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด ไม่น่ารัก ไม่น่าชม

คนที่ได้เปรียบก็คือหมอนั่นเอง อยู่ใกล้กับสิ่งเหล่านี้มาก ได้ดูบ่อยๆ แต่ว่าเขาไม่ได้ดูในแง่กัมมัฏฐาน ดูในรูปกัมมัฏฐานเข้าไปด้วยเยียวยาอย่างไร จะรักษาอย่างไร เป็นเรื่องการแพทย์ต่อไป ควรจะบวกกัมมัฏฐานเข้าไปด้วย ดูในแง่กัมมัฏฐานด้วยจะช่วยในแง่ทางจิตใจให้มากขึ้น

อันนี้ เรื่องกามฉันทันเกิดเพราะเห็นของงาม มันดับเพราะเราพิจารณาสิ่งทั้งหลายว่าไม่งาม นี่ประการหนึ่ง เรียกว่า กามฉันทะนิวรณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2018, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์ประการที่สอง เรียกว่า พยาปาทะ พยาบาท เราเอามาใช้ในภาษาไทยว่า พยาบาท ภาษาบาลีว่า พฺยาปาท พฺยาปาโท หมายความว่า ปองร้าย คิดร้ายต่อผู้อื่น

ลักษณะของพยาบาทนั้น หมายความว่า คิดครึ้มอยู่ตลอดเวลา กูจะต้องทำร้ายมัน จะต้องทุบหัวมัน จะต้องไอ้นั่นไอ้นี่มันให้สมใจ นี่ลักษณะของพยาบาท

เมื่อวันจันทร์นี้ไปเทศน์ในคุกบางขวางพิเศษ มีผู้ฟังมาฟังเทศน์ ๙๘ คน นี่เป็นนักโทษประหารทั้งนั้น ศาลชั้นต้นตัดสินประหาร ระหว่างอุทธรณ์ อุทธรณ์ตัดสินยืนรอฎีกา บางพวกอุทธรณ์ก็ตกมาแล้วว่าประหาร อุทธรณ์ไม่มีต้องประหาร แต่ทางเรือนจำนี่เขาถือศีล ฤดูเข้าพรรษานี่เขาไม่ประหารชีวิต แม้ศาลตัดสินประหารเขาก็ไม่ประหารในฤดูเข้าพรรษา ... ก็เลยคุยกับนักโทษประหารคนหนึ่ง อายุ ๓๖ ปี อยู่จังหวัดเพชรบุรี
ถามว่า เรานี่ฆ่าคนมากี่คนแล้ว ๑๐ คน อายุ ๓๖ ฆ่าคน ๑๐ คน ฆ่ามาตั้งแต่อายุเท่าไร ไม่กี่ปิดอกครับ เพิ่งห้าหกปีนี่เอง เร่าฆ่ามาได้จำนวน ๑๐ คนแล้ว

ถามไปว่าทำไมต้องฆ่า เราเคยบวชมาหรือเปล่า เคยครับที่วัดข้างบ้านได้ ๑ พรรษา แล้วทำไมต้องฆ่ากัน เอ้า มันมาฆ่าพวกผมก่อน ผมก็ต้องฆ่ามัน แล้วมันมาฆ่าพวกผมอีก ผมก็ไปฆ่ามันอีก และพอรู้ว่ามันจะมาฆ่าอีกก็เลยต้องฆ่ามันก่อน อย่างนี้แหละๆฆ่าไป ๑๐ คนแล้ว นี่เขาเรียกว่าพยาบาท อาฆาตจองเวร พยาบาทเป็นอย่างนี้ไม่ยอมกันเลยทีเดียว ต้องฆ่ามันแก้แค้น มันอย่างนี้ เป็นลักษณะของพยาบาท


ความพยาบาทนี้ ทำให้ใจร้อนอยู่ตลอดเวลา ร้อนมันร้อนคล้ายกับตกนรก นรกก็คือความร้อนใจ ทีนี้ พวกที่มีเลือดพยาบาทนี่ก็เหมือนคนตกนรก มีความร้อนใจอยู่ตลอดเวลา อยากจะไปฆ่าเขา ไปทำร้ายเขา คือจะไปทำให้เขาเจ็บน่ะ แต่ถ้าไม่ได้ทำแล้วมันไม่สบายใจ มันไม่สมใจดอก แล้วตัวเองน่ะสบายใจหรือ ไม่สบายดอก เพราะมันร้อนใจที่จะไปฆ่าเขา แล้วยังร้อนอยู่ด้วยความหวาดกลัวระแวงภัย เพราะกลัวว่าพวกนั้นจะมาเล่นงานข้าเข้ามั่งน่ะ กลัวอีกแหละ กลัวระแวงภัยกลัวจะถูกเขาฆ่าอีก

กินก็ไม่สบาย นอนก็ไม่สบาย จะไปไหนก็ไม่สบาย ต้องมีปืนคาร์ไบน์ติดตัวตัดหลังอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้มันจะเป็นสุขอะไร มันไม่เป็นสุข การฆ่ากัน การทำร้ายกัน ตอบแทนกันอย่างนี่มันไม่เป็นสุขดอก พระท่านจึงตรัสว่า ชะยัง เวรัง ปะสะวะติ ผู้ชนะย่อมประสพเวร ทุกขัง เสติ ปะราชิโต ผู้แพ้นอนเป็นทุกข์

ผู้ชนะย่อมประสพเวรอย่างไร ? ไปนอนก็ไม่สบาย ผู้ชนะนี่หวาดระแวง กลัวเขาจะมาแก้แค้น นอนไม่หลับ เป็นทุกข์ และผู้แพ้ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เสียหน้า มันมาลบเหลี่ยมเราได้ เรามันก็ลูกผู้ชายเหมือนกัน ลูกเมืองเพชรเหมือนกัน มันต้องตอบแทนกันละคราวนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ไม่มีความสงบอยู่ในจิตใจเลยแม้แต่น้อย จึงเป็นเรื่องที่มันกั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าไปในทางดีทางงาม แต่ว่าก็ติดอยู่ตรงนี้แหละไปไหนไม่ได้ นี่เรื่องมันเสียหายไปใช่น้อย เรื่องพยาบาทนี่มันเสียหายไม่ใช่น้อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2018, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความพยาบาทนี่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ? เกิดขึ้นเพราะว่า เราไปคิดว่ามันด่าเรา มันตีเรา มันทำร้ายเรา มันลักของของเราไป คนที่คิดว่า มันด่าเรา มันตีเรา มันทำร้ายเรา มันฆ่าเรา มันลักของของเราไป พยาบาทก็ไมระงับ เวรไม่ระงับ เพราะว่าคิดครึ้มอยู่ตลอดเวลาในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่มันเสียหายแก่จิตใจอย่างนี้ แล้วมันไม่รู้จักจบจักสิ้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร ? ท่านสอนว่า รักยาวให้ตัด คือเราจะอยู่กันนานๆ ต้องตัดความโกรธ ตัดความเกลียด ชะยัง เวรัง ปะสะวะติ ผู้ชนะย่อมประสพเวร ทุกขัง เสติ ปะราชิโต ผู้แพ้นอนเป็นทุกข์ ตัดความพยาบาทไป อย่าต่อให้มันยาวออกไป ความพยาบาทจะได้บรรเทาออก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2018, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

มีเรื่องเรื่องหนึ่งเล่าไว้ในชาดก คือว่า มีกษัตริย์ ๒ เมือง รบกันบ่อยๆ พระเจ้าพรหมทัตรบกันกับพระเจ้าโกศล รบกันผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ นี่แหละเรื่องพยาบาทกันอยู่นั่นแหละ
ต่อมา พระเจ้าพรหมทัตคิดว่า จะต้องเตรียมกองทัพมากกว่าเขาสัก ๕ เท่า บุกแหลกเลย จับพระเจ้าแผ่นดินฆ่า จะได้ไม่ต้องรบกันต่อไป ก็เลยยกทัพใหญ่ไปตีโกศล

พระเจ้าทีฆีติโกศลออกรบแพ้แต่หนีไปได้ หนีไปพร้อมกับมเหสีมีครรภ์แก่ เขาก็ยึดบ้านยึดเมืองไป
พระเจ้าพรหมทัตไม่เป็นสุขดอก ตีมาแล้วก็ไม่เป็นสุข ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปสอดแนม ทำจารกรรมว่าพระเจ้าโกศลนี่ตายจริงหรือเปล่า หรือหนีไปอยู่ที่ไหน นี่เรียกไม่เป็นสุขดอก
ส่วนพระเจ้าโกศล ก็ไม่เป็นสุข เที่ยวหลบซ่อนเหมือนหนูหลบแมว หลบเรื่อยไป จนกระทั่งเมียจะคลอด เลยต้องปลอมเป็นคนยากคนจน ไปรับจ้างปั้นหม้อ อยู่ในโรงปั้นหม้อจนพระนางคลอดบุตรเป็นชาย และเลี้ยงดูจนกระทั่งเติบโต

พระเจ้าพรหมทัตก็ไม่ละพยายามที่จะสืบ ผลที่สุดก็อำมาตย์คนหนึ่งซึ่งเคยเป็นมหาดเล็กของพระเจ้าโกศลเอง แต่มาจงรักภักดีต่อพระเจ้าพรหมทัต ออกไปตำบลนั้น เจอเข้าก็ไม่แสดงตัว พอกลับมาจึงเข้ารายงานต่อพระเจ้าพรหมทัตว่า พระเจ้าโกศลยังไม่ตาย พระมเหสีก็ยังอยู่ อยู่ที่บ้านช่างหม้อ ตำบลนั้น ก็ส่งทหารไปล้อมจับตัวมาได้ แล้วก็รับสั่งเอาไปฆ่า

ที่วันที่ฆ่า ลูกชายของพระเจ้าโกศลชื่อทีฆาวุ ได้ไปยืนดูเขาฆ่าพ่อเหมือนกัน คนไม่รู้จักว่าเขายืนดูอยู่
พ่อใกล้จะตายเหลือบเห็นลูกชายก็พูดว่า “ทีฆาวุ มา ทีฆัง ปัสสะ มา รัสสัง ปัสสะ นะ หิ เวเรนะ เวรานิ สัมมันตีธะ กุทาจะนัง” เขาตัดคอเลยทั้ง ๒ คนตายหมด แล้วก็เอาศพไปเก็บไว้

ทีฆาวุก็เลยแอบเข้าไปลักศพทั้งพ่อทั้งแม่เอาไปในป่าเลย เผาเสร็จเรียบร้อย เมื่อเผาเสร็จแล้ว เลือดพยาบาทมันเกิดขึ้นในใจ เราต้องแก้แค้นให้ได้ ก็เลยไปสมัครเป็นคนกวาดขี้ช้างขี้ม้า อยู่ในโรงช้าง โรงม้า ในสำนักของพระเจ้าพรหมทัต

ตอนเย็นแกกลุ้มใจก็เลยเอาพิณไปดีดบนรั้วคอกช้างไปตามเรื่องตามราว น้งๆๆ เน้งๆๆ ตามภาษาแขก ลาๆๆปา ร้องเพราะซะด้วยตามภาษาแขก

พระเจ้าพรหมทัตได้ยินเข้าก็ เอ้า ใครร้องเพลง ใครดีดพิณ บอกว่า เด็กหนุ่มมาอยู่กับควาญช้างไม่รู้มาจากไหน รับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วก็ให้ดีดพิณให้ฟังร้องเพลง ก็พอพระทัย เธอน่ะไม่เหมาะที่จะไปล้างขี้ช้างขี้ม้า มีฝีมืออย่างนี้นักดนตรีฝีมือดี ไปอยู่กับฉัน ไปอยู่ในห้องบรรทมเลย ไปนอนกับพระเจ้าแผ่นดิน เป็นมหาดเล็ก เวลาพระเจ้าแผ่นดินจะนอนก็ น่องๆๆแน่งๆๆเสียหน่อย พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่รู้ เอางูเห่ามาไว้ในห้องแต่ไม่เป็นไร ทีฆาวุไม่ทำอะไร เพราะทำไม่ได้อยู่สองคนจะไปทำอะไรได้ ทำไปเขาก็จับได้ หนีไปไม่พ้น

วันหนึ่ง ได้มีโอกาสเหมาะพระเจ้าพรหมทัตอยากจะประพาสป่า ทีฆาวุก็รับอาสาขับม้า ก็เลยหวดเสียใหญ่เลย พอออกจากเมืองก็ยิ่งหวดใหญ่ หวดซะเหงื่อไหลไคลย้อยเลย

พระเจ้าพรหมทัตก็เหนื่อยเหมือนกัน เหงื่อไหลโทรมกายเลย พอไปได้สักพักหนึ่ง พอถึงลำธารแห่งหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตก็บอกกับทีฆาวุ ทีฆาวุ หยุดรถเถอะ ฉันร้อนและเหนื่อยจัง ตรงนี้น้ำดีใสฉันจะลง พอขึ้นมาสักครู่หนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตง่วงนอน ก็บอกทีฆาวุ ฉันง่วงนอนแล้ว ฉันจะนอน ทีฆาวุก็นั่งลงเอาตักให้พระเจ้าพรหมทัตหนุนนอนหลับไปเลย
ทีฆาวุ ไอ้นี่แหละที่มันฆ่าพ่อเรา ฆ่าแม่เรา ปล้นเมืองของเรา ทำให้เราต้องไปกวาดขี้ช้างขี้ม้า ได้โอกาสแล้ว ชักดาบออกจากฝักจะฆ่า ทีนี้ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น

คนเรามันอย่างนั้น จะทำอะไรจิตดวงหนึ่งมันเกิดขึ้น ฝ่ายดีมักจะเกิดขึ้นเสมอในใจของเรา เหมือนเราจะทำอะไรจิตมันบอกว่าไม่ดีนะ อย่าทำ เราไม่ค่อยเชื่อ ไม่ค่อยฟังดอก เสียงอย่างนี้มา ไม่ค่อยเชื่อ อ๊ะกูจะไปละ อย่างนี้มันต้องฟังนะ ถ้าเสียงแบบนี้ อย่านะ เออ มันเหมือนกับพระมากระซิบว่ามันไม่ควรทำ

จิตของทีฆาวุเกิดขึ้นว่า เอ้อ บิดาสั่งไว้อย่างไร วันจะตายน่ะพ่อสั่งไว้อย่างไร บอกว่า “อย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น ในกาลไหนๆ เวรไม่เคยระงับด้วยการจองเวร” อย่าเห็นแก่ยาว หมายความว่า อย่าโกรธกันนานๆ อย่าเห็นแก่สั้น หมายความว่า อย่าด่วนแตกมิตร เพราะเวรมันไม่เคยระงับด้วยการจองเวร

เออ นึกได้เอาดาบเข้าฝัก นั่งไปนั่งมา ไอ้นั่นมาอีกแล้ว บ้าอยู่ได้ อยู่กัน ๒ คน อย่างนี้ไม่ฆ่าวันนี้แล้วจะไปฆ่าวันไหนล่ะ ฆ่าแล้วใครจะจับได้ เขารู้เราก็หนีกลับไปเมืองเราซิ ผู้คนยังจงรักภักดีอยู่เยอะแยะ ซ่องสุมผู้คนให้มากๆ แล้วก็เตรียมไปปล้นเมืองต่อไป เจ้ามารร้ายมาอีกแล้ว ฝ่ายชั่วมาอีกแล้ว พอคิดอย่างนั้น ชักดาบ

ฝ่ายดีก็เข้ามาอีก เอ้า อย่าใจร้อนอย่าทำอะไรวู่วาม นึกว่าจะหนีพ้น พระเจ้าพรหมทัตมีทหารเยอะแยะ เจ้าตัวคนเดียวจะไปสู้เขาไหวหรือ อย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น เวรไม่เคยระงับด้วยการจองเวร ก็เลยต้องเอาดาบเข้าฝักอีกแล้ว

ครั้งที่สามเกิดรุนแรง อื้อ ไม่ไหว ถ้าเราเป็นคนใจอ่อนอย่างนี้แล้ว เราจะแก้แค้นแทนพ่อแทนแม่เราได้อย่างไร พ่อแม่เราเป็นกษัตริย์ต้องไปคลุกโคลนคลุกดินทำหม้อ ทำหม้อขาย ตัวเราต้องไปหวาดขี้ช้างขี้ม้า หาโอกาสที่จะแก้แค้นอยู่ วันนี้ ก็ได้เหมาะแล้ว ไม่ทำมันก็โง่ไปเท่านั้นเอง ชักดาบชักดาบออกมาเลย

พระเจ้าพรหมทัตฝัน ขณะที่ทีฆาวุนั่งอยู่นั้นแกฝัน ฝันว่ามีบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายกำยำถือดาบจะฟันคอ พระองค์ตื่นเลย ตกใจตื่น พอตกใจตื่นทีฆาวุ จับพระเมาลีมวยผมไว้ แล้วเอาดาบประกาศว่า เราคือทีฆวุโอรสของพระเจ้าทีฆีติโกศล

พระเจ้าพรหมทัตหน้าถอดสีเลย เพราะอยู่สองต่อสอง ไม่ใช่ อยู่หนึ่งต่อหนึ่งแหละ อยู่ ๒ คนเท่านั้น อยู่หนึ่งต่อหนึ่ง เลย ยกมือขอชีวิต พอยกมือขอชีวิต ทีฆาวุมือปล่อยผมทันที ก้มลงกราบแทบเท้าขอชีวิต ต่างคนต่างขอกัน ต่างคนต่างให้กัน
เลือดพยาบาทหายไป เหลือแต่เลือดความรักความเมตตา เลยไม่ไปยิงสัตว์แล้ว ไปทำร้ายสัตว์ทำไม ชีวิตใครใครก็รัก นึกได้เขาจะฆ่าตัวแล้วเลยนึกได้ ตกใจ ชีวิตเราเราก็รัก ชีวิตสัตว์มันก็รัก เลยขับรถกลังวังดีกว่า ทีฆาวุก็ขับรถกลับวัง พอไปถึงในวังเรียกประชุมข้าราชบริพารทั้งหมด คนคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นโอรสของพระเจ้าโกศลที่เราฆ่า เขาให้ชีวิตแก่เรา เราก็ให้ชีวิตแก่เขา ต่อไปนี้ เราจะผูกมิตรกัน

พระองค์มีพระราชธิดารูปสวยพอที่จะแต่งงานได้ แล้วก็เลยเอามาจับมือกันเสีย แต่งงานกันแล้ว ส่งไปครองเมืองโกศล

ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต เมืองนี้กเลยเป็นเมืองออกเมืองโกศลไป ได้ทั้ง ๒ เมือง เลยไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันต่อไป ไม่พยาบาทแล้วมันก็สบาย เลือดพยาบาทเกิดขึ้นแล้วมันวุ่นวายอย่างนี้

ทีนี้คนเรามันเป็นอย่างนี้เสียด้วยนะ มันเกิดอะไรขึ้นในใจ เวลามีอะไรในใจ เขาเรียกว่าจองหองขึ้นมา อัตตามันแรง นี่พูดภาษาธรรมะ ตัวมันใหญ่ มันดูถูกดูหมิ่น เราไปยอมรับว่าเขาดูถูกดูหมิ่นเข้า มันลบเหลี่ยมกัน เราจะยอมไม่ได้ เราก็ลูกผู้ชายเหมือนกัน * (หัม) บ่ หดโว้ย * (หัม) บ่ หด นี้ฟังไม่ออกดอก ภาษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ * (หัม) บ่ หด มันกล้าแหละ ถ้า * หด แล้วมันไม่ไดเรื่องอะไร เรื่องอย่างนั้นมันบอกว่าเราก็ลูกผู้ชายเหมือนกันนี่หว่า ก็เลยไปสู้กัน สู้กันมันก็ต้องแพ้ข้างหนึ่ง หรือไม่อย่างนั้นก็แพ้สองข้าง

ถ้าข้างหนึ่งตาย ข้างหนึ่งอยู่ ก็มีเวรมีภัย อยู่ไม่เป็นสุข แล้วอยู่กันไม่ได้ นี่มันคิดซะอย่างนี้ ไม่คิดว่าเวรมันระงับด้วยการไม่จองเวร

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ อะสาธุง สาธุนา ชิเน จงชนะความไม่ดีด้วยความดี ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ชนะความตระหนี่ด้วยการให้ ชนะการพูดพล่อยด้วยการพูดจริงกับเขาบ่อยๆ นี่วิธีการชนะคือไม่ให้โต้ตอบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2018, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การแก้ความพยาบาทนั้น มันต้องแก้กันด้วยการแผ่เมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่มนุษย์ทั้งหลาย ให้อยู่ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน อย่าโกรธเคืองกัน อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน ให้นึกว่าเราเป็นสุขก็ขอให้เพื่อนบ้านเป็นสุขด้วย เราอิ่มก็ให้เพื่อนบ้านอิ่มด้วย เราปราศจากโรคก็ให้เพื่อนบ้านปราศจากโรคด้วย ในนึกไปในแง่อย่างนั้น
มีอะไรที่เราจะทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้ทำทันทีอย่าช้า อย่างนี้ก็สบาย เรียกว่า อยู่ด้วยความเมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก โลกจะอยู่ได้ไม่ล่มจมก็เพราะอาศัยเมตตาค้ำไว้

คนแผ่เมตตานี่มันได้อะไรหลายๆอย่าง เช่น หัดแผ่เมตตาแก่สัตว์อย่างนี้ ตื่นก็เป็นสุข ไม่มีนอนฝันร้าย เรียกว่า ไม่มีภัยแก่ใคร เป็นที่รักของมนุษย์ เป็นที่รักของอมนุษย์ เช่น สุนัขนี่มันรักเรา ถ้าเราหัดแผ่เมตตากับมันบ่อยๆ แต่ถ้าเห็นเตะมันมั่ง ทุบหัวมันมั่ง มันเห็นเรามันก็หนีเลยเท่านั้น มาแล้ว พอเห็นรถจับหมา มันก็วิ่งกันเป็นแถว อย่างตกอกตกใจ เพราะพวกนั้นไม่มีเมตตา จะเอาท่าเดียว

คนก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นใครก็แผ่เมตตายิ้มกับเขา ทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ใจมีเมตตา ปากก็มีเมตตา กายก็ทำอะไรๆ ด้วยความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน มันก็สบาย มีความสุข ไอ้เรื่องนี้ต้องหัด หัดแผ่เมตตา เช่น อยู่ด้วยกันก็แผ่เมตตาต่อกัน ช่วยเหลือเจือจุนกัน พอสมควรแก่ฐานะ ช่วยกันในเรื่องดีเรื่องงาม แบ่งกันในเรื่องดีมีประโยชน์
ไม่ใช่ผมซ่อนบุหรี่ไว้ซองหนึ่ง คุณจะสูบมั่งไหม แผ่เมตตากันหน่อย ไอ้แผ่เมตตาแบบนั้นมันก็ไม่ไหว เหมือนกับแกล้งเพื่อนแกล้งให้เพื่อนเสียคน ไม่ให้เพื่อนชนะ ให้เพื่อนแพ้อยู่เรื่อยไป อย่างนี้มันก็ไม่ดี เราต้องช่วยให้เขาชนะ ช่วยให้เขาก้าวหน้า ช่วยให้เขาหัดอดทน ช่วยให้เขาเข้มแข็ง ถึงจะดี แผ่เมตตาไปในรูปอย่างนั้น คนแผ่เมตตาแล้วก็สบายใจ

ลองดู ลองแผ่เมตตา เราเห็นคนเดินมานี่ลองนึกแผ่เมตตาเขา พอเขาเดินมาเห็นเรา คนนั้นก็ต้องอารมณ์ดี และ
ในทางตรงกันข้าม ขอให้มันฉิบหาย แช่งมัน พอคนนั้นเดินมาถึง เราอารมณ์ไม่ดี กำลังใจมันกระทบกัน กระแสคลื่นออกจากตัวเรา นี่มันเป็นกระแสวิทยุเหมือนกัน เรียกว่าเป็นคลื่นไปกระทบเครื่องรับว่างั้น ทีนี้ เสียงมันดังก๊อดๆอย่างฟ้าผ่า ถ้าเราแผ่พยาบาทไปน่ะ มันไม่ดี

ถ้าเราหัดแผ่เมตตา ตื่นเช้ามาแผ่เมตตา ขอให้ชาวโลกมีความสุข มีความเจริญก้าวหน้า ให้นึกไปอย่างนั้น จิตมันก็นึกแผ่ไปแต่ความเมตตา คนที่เขาได้เห็นเราก็มีใจรักเรา เลื่อมใสเรา แต่ถ้าเราเดินไปความพยาบาท ความโกรธ ตาก็ดุ ท่านทางก็ดุ อะไรหน้าดุตามันเปลี่ยนรูปหมดนะ
คนเจริญเมตตานั้น ผิวหน้าเปล่งปลั่ง วัณโณ มุขะวิกะสิโต สีหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด ยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาทำสมาธิก็เป็นสมาธิได้เร็ว จิตสงบได้เร็ว เพราะอาศัยอำนาจเมตตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2018, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้ากับพระสาวก ท่านอยู่ด้วยความเมตตา แผ่เมตตาไปในทิศตะวันออก ทิศตะวันตก เหนือ ใต้ ทุกทิศ เพราะฉะนั้น ใครมาเห็นเข้าต้องเคารพบูชา เข้าใกล้ มีความนับถือ เพราะน้ำพระทัยมีแต่ความเมตตา


ท่านลอร์ดอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งมาเป็นอุปราชอินเดีย เวลาครบเทอมก็จะกลับอังกฤษ บอกคนที่จะมาแทน อย่าเข้าใกล้มหาตมะคานธีเป็นอันขาด เข้าใกล้แล้วต้องรักแก อยู่ห่างๆ ดี อย่าเข้าใกล้ เข้าใกล้แล้วต้องรัก เพราะมหาตมะคานธีมีแต่เมตตา
แกไม่เกลียดฝรั่ง ไม่เกลียดคนที่มาปกครอง แต่ว่าแก เกลียดวิธีการปกครอง ไม่ได้เกลียดคน เกลียดหลักการว่ามันไม่ดี การปกครองนี่ แต่แก่ไม่เกลียดคนที่มาปกครอง กับอุปราชกับเจ้าเมืองกับตำรวจแกก็เห็นแล้วยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่มีอารมณ์ขุ่น จิตใจแกอย่างนั้น หน้าตาแก่ยิ้ม อารมณ์เบิกบาน ดูรูปถ่าย แกยิ้มทั้งนั้น ใส่ฟันปลอม แต่เอาฟันปลอมใส่ผ้าเช็ดหน้าผูกสะเอวไว้ ไม่เคี้ยวก็ไม่เอาใส่ปาก ผูกไว้ตรงนั้น ผูกไว้กับสะเอว ไม่ได้เอาใส่ปาก เวลายิ้มก็เหมือนกับคนไม่มีฟันอย่างนั้น มีแต่ความรัก ความเมตตา ไม่มีอารมณ์ร้อน จิตใจแกไม่เศร้าหมองขุ่นมัว ใครมาหาแกก็ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้เห็นสบายใจ

ทีนี้ คนอินเดีย ถ้ารู้ว่า คานธีนั่งรถคันนี้มา โอ้ มากัน ท่านมหาตมะคานธีจะมามาทัศนะ ภาษาอินเดียเรียกว่า ทัสสนะ มาดู มาทัศนะ นั่นเรียกว่า มาดูคานธี ให้คานธีโผล่มาทางหน้าต่างหน่อยเถอะ พอเห็นคานธีก็ว่า คานธี ชัยโย ขอให้มหาตมะคานธีชนะ ก้องไปเลย มหาตมะคานธี ไชโย มหาตมะคานธีให้ชนะ ชัยโย นั่นแหละนี่เพราะอะไร ? เพราะน้ำใจเมตตา


ทีนี้ พระพุทธเจ้าเราจิตใจท่านสูงมาก แผ่เมตตาก็แรง เพราะฉะนั้น ช้างที่จะมาที่พระเทวทัตปล่อยมา ให้มาเหยียบ พระองค์ยกมือช้างหยุดปุ๊บเลย หมอบลงไปทันทีเลย อำนาจเมตตาจิต อันนี้ คนเขาเอามาเป็นคาถาบาลีที่พระพุทธเจ้าใช้ เอามาว่า เรียกว่า สู้ช้าง มันเป็นคาถาอยู่เฉยๆ ไม่ได้อาศัยน้ำใจเมตตาต่อช้าง มันก็หยุดหมอบลงไปเลย ไม่เป็นอะไร

นายขมังธนูที่เทวทัตจ้างไปยิงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็แอ่นพระอุระไปเลย แอ่นอกไปเลย ไปเจอไอ้นั่นง้างขึ้น หยุดค้างทันที ยิงไม่ได้ พระองค์ถามว่าทำอะไร ถามยิ้มๆ ทำอะไร บอกว่าจะยิงพระองค์ ยิงทำไม ยิงให้ตาย ไม่ยิงแล้ว ฉันไม่ตายหรือ ท่านว่าอย่างนั้น ไม่ยิงแล้วฉันไม่ตายหรือ ร่างกายนี้มันก็ต้องตาย ของไม่เที่ยง เธอไม่ยิงฉันฉันก็ตาย พอพูดอย่างนั้นไอ้นั่นทิ้งลูกศรเข้าไปกราบ แล้วถามว่า ทำไมถึงต้องมายิงฉัน เทวทัตเขาจ้าง มาไปด้วยกัน พาไปให้ไอ้นั้นที่จ้องยิงไอ้คนนี้อยู่ เพราะว่า นาย ก. มายิงพระพุทธเจ้า นาย ข. ยิงนาย ก. ต่อไป นาย ค. ยิงนาย ข. ต่อไป ยิงกันเป็นแถวเลยเพื่อปิดปาก พระพุทธเจ้าพาไปเก็บหมดทุกคน คือพามาเป็นลูกศิษย์ ก็เลยไม่ต้องยิงกัน เรียกว่า ชนะด้วยเมตตา แผ่เมตตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2018, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกเราอยู่กันด้วยความแผ่เมตตามันก็อยู่กันสบาย เดี๋ยวนี้มันขาดความเมตตา มีแต่ความเหี้ยมโหด ดุร้ายกัน ทุบปากต่อยตีกัน นักเรียนยกพวกตีกันบ่อยๆ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ วุ่นวาย สังคมเดือดร้อน

เพราะฉะนั้น เราอย่าไปส่งเสริมความเดือดร้อนในสังคม ให้อยู่ด้วยน้ำใจเมตตาปรารถนาดีต่อกัน อย่าโกรธอย่าเคืองกัน มีอะไรเกิดขึ้นก็รีบดับๆซะ สิ่งใดเกิดขึ้นที่ไหนก็ดับที่นั่น อย่าไปเก็บเอามาเป็นอารมณ์


คนเรานี้มันยุ่งอยู่ตรงที่ชอบเก็บเอามาครุ่นมาคิดนึกเป็นอารมณ์ ไอ้นี่มันทำกูเสียหน้า ทำอย่างนี้มันพอกพูนพยาบาทอาฆาตจองเวร ไม่ได้อะไร เรียกว่า ขุดหลุมนรกฝังตัวเอง นี่เป็นนิวรณ์ข้อหนึ่ง ที่สร้างปัญหาทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน

วันนี้ เอาแค่ ๒ ข้อ นิวรณ์ คือ กามฉันทะ พยาบาท อาฆาต จองเวร แล้วค่อยว่ากันต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2018, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์ มี 6ไม่ใช่มีแค่ 5 ค่ะ
ในพระสูตร แสดง นิวรณ์ 5
ในพระอภิธรรม แสดง นิวรณ์ 6

เนื่องจากชาวพุทธจำนวนมาก ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกและพุทธศาสนา อย่างแท้จริง

จึงไม่รู้ว่า
พระพุทธศาสนานั้น ตามพระไตรปิฎกประกอบด้วยสามประการคือ
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

พระพุทธ คือ พุทธวจนะ
พระธรรม คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม
พระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ ผู้อรรถาอธิบายพุทธวจนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร