วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 11:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2018, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิทธิบาท ๔ (คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔)

วันนี้จะได้พูดถึงเรื่องอิทธิบาท ๔ คือ คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ เป็นต้น
สำหรรับอิทธิบาท ๔ นั้น คือ

๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ ในสิ่งนั้น

๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น

๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ

๔. วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น

คุณ ๔ อย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคลให้ถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ ไม่เหลือวิสัย นี่คือได้ความสำเร็จ เรียกว่าเป็นบันไดแห่งความสำเร็จ

คนเราเวลาประกอบกิจการงานอันเป็นหน้าที่ในชีวิต
บางคนก็ทำได้สำเร็จเรียบร้อย
บางคนก็ไม่สำเร็จ
บางคนทำไปได้ตลอด
แต่บางคนทำได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ทิ้งไป

คนที่ทำไม่สำเร็จ เพราะขาดธรรมอันเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสำเร็จ

คนที่ทำอะไรได้สำเร็จเรียบร้อย เพราะมีธรรมเป็นเครื่องประกอบ ธรรมที่เป็นเครื่องประกอบให้เกิดความสำเร็จ รู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ถ้าไปทำถูกตรงเข้า มันก็ผลักดันไปสู่จุดหมายปลายทางได้ แต่ว่าถ้าทำไม่ถูกไม่ตรงนั้นก็มีเครื่องติดขัดตลอดเวลา

คนที่ไม่รู้ก็ทำแบบเสี่ยงๆ ไป สู้คนที่รู้ไม่ได้ เพราะคนรู้จักทาง การเดินทางมันก็สะดวก แต่คนไม่รู้ทางอาจจะถึงจุดหมายได้แต่มันช้า เพราะว่ามัวแต่ไปยืนลังเลอยู่ตรงทางสามแพร่ง สี่แพร่ง ห้าแพร่ง ไม่รู้ว่าจะไปแยกไหนดี เสียเวลาไป เหมือนเราขับรถเข้าเมืองที่ไม่รู้จักถนนน่ะ เที่ยวขับไปโน้นมานี่ เวียนไปเวียนมา กว่าจะไปถึงจุดหมายได้ก็เสียน้ำมันไปเยอะ เพราะไม่รู้ การรู้แล้วทำได้ดีกว่า เพราะฉะนั้น ท่านจึงชี้ทางไว้ให้เราปฏิบัติ

พระผู้มีพระภาคเจ้า แจกทางไว้ให้เราปฏิบัติเพื่อให้ถึงความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าทำอะไร เรื่องการเรียนหนังสือ เรื่องการประกอบกิจการงานอันเป็นหน้าที่ การปฏิบัติทางจิตใจ การทำอะไรทุกอย่าง ต้องอาศัยคุณ ๔ ประการนี้เป็นเครื่องประกอบ

ถ้าได้ใช้คุณ ๔ ประการนี้เป็นเครื่องประกอบแล้ว รับรองว่าจะต้องสำเร็จแน่ๆ แต่ว่าถ้าไม่มีคุณ ๔ ประการนี้เป็นเครื่องประกอบ ก็ไม่มีหวังว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่เราต้องการได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2018, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะที่ท่านแสดงไว้เป็นหมวดๆ นี่เหมือนกับเป็นแผนที่บอกทางชีวิตให้แก่เรา เรารู้ไว้แล้วเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ก็จะสำเร็จในสิ่งที่ต้องการได้ ให้เรานึกไว้ในใจว่า งานอันเป็นหน้าที่ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต การทำงานให้สำเร็จเป็นจุดหมายที่เราต้องการ

การทำอะไรไม่สำเร็จเป็นการแสดงความอ่อนแอของจิตใจ แสดงความอ่อนแอของบุคคลผู้นั้น ว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ เรียนหนังสือก็ไม่สำเร็จ เรียนครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ทอดทิ้งไป เป็นเรื่องน่าเสียดาย ชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะมีวิชาที่ต้องการไม่สมบูรณ์

มีเพื่อนคนหนึ่ง ตายไปแล้ว ตายด้วยเครื่องบินตก เครื่องบินอเมริกันตกในประเทศลาวในแม่น้ำโขงแล้วตาย ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยได้พบว่า เขาทำงานที่ไหนนานครบถึงปี พบทีไรก็เปลี่ยนงานทุกที พอเจอหน้าก็ถามว่าทำงานที่ไหน บีกริม อีกสี่หน้าเดือนพบอีกทีหนึ่ง ทำงานที่ไหน ดีทแฮล์ม พบกันอีกทีหนึ่ง แองโกลไทย ย้ายเรื่อย สำนักงานย้ายเรื่อย

อันนี้สังเกตดูน้ำใจของคนผู้นี้เป็นคนใจร้น ขี้โมโหโทโส แล้ก็มีความหยิ่งในตัวมากเกินไป ใครพูดอะไรกระทบนิดหน่อยเป็นไม่ได้ มันดูหมิ่นศักดิ์ศรีมากเหลือเกิน คนมีศักดิ์ศรีมากๆ มันแย่นะ อัตตามันใหญ่ ถ้ามีอัตตามากแล้วเหมือนควายเขารี เดินยากไปติดนั่นติดนี่ ติดต้นไม้บ้าง มันเดินลำบาก ถ้าว่าให้ศักดิ์ศรีมันน้อยลงสักหน่อย มันก็ค่อยยังชั่วหน่อย อดทนเอาหน่อย งานการมันก้าวหน้าด้วยดี อันนี้เป็นเครื่องแสดงน้ำใจว่าเป็นคนโลเลเหลาะแหละไม่แน่นอน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่างเดียว

ในพระศาสนานี่ก็เหมือนกัน คนบางคนบวชสึก บวชสึก บวชสามสี่เดือนสึกไป แล้ววกมาบวชอีก นี่สองปีสึกไปวกมาบวชอีกละ แสดงว่าไม่ไหว ไม่ได้เรื่อง บวชบ่อยเหลือเกิน อย่างนี้แสดงว่าโลเล เพราะฉะนั้น เขาจึงพูดว่า ชายสามโบสถ์นี่มันไม่ไหว เขาว่าบวชบ่อยๆ แสดงว่าจิตใจไม่แน่นอน บวชๆ ไป เจอะอารมณ์ดีเข้า สึกไปลองเสียหน่อย เดี๋ยวก็ไม่ได้ความจะบวชอีก แล้วออกไปอีกเป็นอยู่อย่างนี้ มันตั้งต้นหลายที ชีวิตตั้งต้นหลายครั้ง มันไม่เจริญดอก

เหมือนกับต้นไม้ปลูกไว้หน้าโรงเรียน ฮื้อไม่เหมาะ ย้ายไปตรงโน้น ย้ายจนมันตาย ปลูกไปปลูกมาตายเลย เพราะย้ายบ่อย

มีหลวงพ่อองค์หนึ่งทางปักษ์ใต้ ท่านเจ้าคุณ แต่ก่อนนี้เป็นเจ้าอาวาสอยู่แถวเมืองนนท์นี่แหละ แก่ตัวก็กลับบ้าน ได้ทุเรียนเมืองนนท์ไปสองสามกิ่ง ท่านย้ายจนตาย ปลูกตรงนี้ไม่เหมาะ ย้ายไปตรงนั้น ย้ายไปตรงโน้น ย้ายจนตาย เลยไม่ได้กินทุเรียนเพราะย้ายบ่อย

คนเราก็เหมือนกันตั้งต้นบ่อยๆ มันจะก้าวหน้าไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อจะทำอะไรก็เอาให้มันจริงๆ ลงไป ตัดสินใจให้มันแน่นอนว่าเราจะทำสิ่งนี้ๆ จะบุกไปให้มันถึงปลายทางเลย ไม่ยอมท้อถอย ทำอย่างจริงจังก็จะเกิดความสำเร็จ

ถ้าเราดูประวัติคนที่เขาคิดค้นอะไรๆ อยู่ เช่น นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์คิดค้นอะไรขึ้นมาได้ เขาเอาจริง ถ้าไปดูประวัติคนเหล่านั้นจะพบว่า เขามีอิทธิบาทสมบูรณ์ เขามีอิทธิบาท ๔ นี่สมบูรณ์ จึงได้สำเร็จในสิ่งที่เขาปรารถนา เขาใช้เหมือนกันแต่เขาไม่รู้จักชื่อ แต่เขาใช้ ใช้แล้วมันก็ไปได้ ใช้ถูกแล้วมันก็ไปได้ คือสำเร็จได้

ทีนี้ เราผู้เป็นพุทธบริษัทลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พระองค์สอนไว้ให้เครื่องมือไว้สี่ประการ ให้เอาไปใช้เถอะ แล้วเธอก็จะมีความก้าวหน้าในชีวิตในการงาน เราก็ต้องเอาหลักนี้ไปใช้

สมมติเรายังเป็นนักเรียนอยู่ นักศึกษาไม่ใช่นักเรียน เป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย เราก็ต้องใช้อิทธิบาท ๔ นี่ให้มากหน่อย รักให้มาก ขยันให้มาก เอาใจใส่ให้มาก คิดค้นให้มาก มันก็มีหวังก้าวหน้าในการที่เราจะทำกิจนั้นๆ เรียนสำเร็จได้ด้วยดี เพราะเรารักมันจริง ขยันเอาใจใส่ เรียนด้วยปัญญา ในการคิดการค้น การเรียนก็สำเร็จ ถ้าเราประกอบกิจการงานอะไร เราก็ทุ่มชีวิตจิตใจกับงานนั้น ที่ว่ารักนี่ หมายความว่า ทุ่มมันลงไป ทุ่มชีวิตจิตใจลงไปในส่วนนี้ บอกตัวเองว่าฉันจะทำให้สำเร็จ ฉันจะทำด้วยความทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลกกับงานชิ้นนี้ เกิดความรัก เมื่อรักแล้วมันก็ขยันละ ขยันแล้วก็เอาใจใส่ เอาใจใส่แล้วมันก็หาเหตุผลเองละ มันสำคัญตรงตัวแรก ต้องมีความรัก คือฉันทะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2018, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น. ถ้าไม่มีฉันทะแล้วมันไปไม่รอด ไม่ว่าจะทำอะไร คนเจริญก้าวหน้านี่ก็เหมือนกัน ต้องมีใจรักทุ่มเทลงไป เพื่อศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้โดยเฉพาะ มันก็ก้าวหน้าไปด้วยดี เพราะทุ่มเทชีวิตกับเรื่องนั้น ทีนี้ ทำอย่างไรจึงจะรัก นี่มันเกิดปัญหา ทำอย่างไรจึงจะรักในเรื่องนั้น เราก็ต้องคิดทบทวนว่า สิ่งนั้น กับ ชีวิตมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ชีวิตต้องมีสิ่งนั้นหรือไม่ ถ้าเห็นว่ามันจำเป็น เราก็ต้องปลูกฉันทะให้เกิดขึ้นในสิ่งนั้น ให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นยอดดวงใจของเรา เป็นยอดชีวิตจิตใจของเรา สุดที่รักของเรา ว่าอย่างนั้น สุดที่รักของเรา ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็ว่าแต่งงานกับมันเสียเลย แต่งงานกับสิ่งที่เราจะทำ แต่งงานกับงานนั้นแหละ แต่งงานคือว่ายอดดวงใจ ยอดรักยอดใคร่ของฉันละ มันอยู่ตรงนี้แหละ สิ่งอื่นไม่มีละที่จะรักมากไปกว่านี้ ฉันรักสิ่งนี้ ถ้ารักอะไรมากมันก็สำเร็จละ ชายหนุ่มรักหญิงสาวทุ่มเทลงไป เอาให้ได้ ก็หมั่นไปติดต่อเกี้ยวพาราสี ตีวงล้อมเข้าไป ไม่เท่าใดก็ได้ฉลองกันละ รักถ้ารักลงไปจริงๆ ละก็ได้เรื่อง มันก็อยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น เราจะต้องคิดให้เห็นประโยชน์ของสิ่งนั้น เช่น สมมติว่า

เราจะทำงานสักอย่างหนึ่ง เราก็ต้องคิดคิดให้ดีว่างานนี่แหละที่จะนำความเจริญมาสู่ชีวิตของเรา ให้เราอยู่ได้สบายเมื่อภายแก่ และตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐาน ตกลงใจว่าจะทำงานนี้ ค้าขายว่าอย่างนั้น

สมมติว่า ตกลงใจว่าฉันจะค้าขาย ก็ต้องมีความรักในการค้าการขาย เมื่อมีความรักลงไปแล้วเราก็ลงมือทำ ความเพียรมันเกิด ความเอาใจใส่มันเกิด การคิดการค้นมันก็เกิดเองละ ผลที่สุด ก็ก้าวหน้าไปโดยลำดับ ทุ่มเทความรัก ทุ่มเทความสามารถลงไปในเรื่องนั้น ก็ก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2018, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. ความเพียร ความเพียรนี่หมายความว่า เมื่อจะทำสิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ เรียกว่าเป็นคนมีความเพียร ต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องอดทนหนักแน่น ไม่กลัวต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นมาขัดขวาง ไม่ว่าอะไร ดินฟ้าอากาศ อะไรไม่ต้องกลัว ไม่ทอดทิ้งสิ่งนั้น เมื่อจะเดินไปตามทางนี้แล้ว จะมีภูเขาขวาง มีแม่น้ำ จะมีจระเข้ จะมีสิงโต ฉันจะต้องบุกไปไม่กลัวอุปสรรค บุกไปจนถึงจุดหมายปลายทาง นี่เรียกว่า คนบากบั่น เป็นผู้มีความเพียร

คนมีความเพียรมั่นมันก็สำเร็จละ ไม่มีละที่จะเสียหาย ไม่ว่าอะไร เรียนหนังสือก็เอาให้จริง มันต้องได้ อย่าไปยอมแพ้ใคร อย่าไปนึกว่า เฮ้อ สู้มันไม่ได้

พระชนกท่านไปเรือ เรือแตกว่ายอยู่ในทะเล มีนางฟ้าเทพธิดามาหา ถามว่า ท่านทำอะไรนี่ ว่ายน้ำ ว่ายไปไหน ไปฝั่งน่าซี่ ฝั่งอยู่ทางไหน ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าฉันจะไปนี่ ไปทางเดียว ฉันว่ายไปทางนี้ ว่ายเรื่อยไปมันคงถึงสักวันหนึ่งนะ แล้วพูดเป็นภาษาบาลีว่า วายะเมเถวะ ปุริโส ยาวะ อัตถัสสะ นิปปัตติยา เกิดเป็นคนต้องพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ทอดทิ้ง บุกไปทางไหนแล้ว บุกไปเรื่อยไม่ถอยหลัง ไม่รู้ดอกว่าตลิ่งอยู่ด้านไหน แต่ฉันบุกไปทางนี้แหละ มันถึงสักวันละ ปลาไม่กินฉันต้องว่ายถึงสักวันหนึ่ง คนมันเอาจริง ทำจริง คนที่มีความเพียรคือคนที่ทำจริงไม่ท้อถอย ไม่ยอมกลัวต่ออุปสรรค ทุ่มลงไปเลย เอาจริงไปเลย เรียกว่ามีความเพียรมั่น

นี่ลักษณะของคนมีความเพียรนี่ ต้องรู้จักจัดเวลาสำหรับประกอบกิจการงาน จัดเวลาให้มันเป็นระเบียบนอนเวลาเท่าไหร่ ตื่นเวลาเท่าไหร่ ทำงานอะไรตามลำดับ จัดงานให้มันเป็นระเบียบ งานมันก็เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าทำตามอารมณ์อะไรมาก็ทำไป อะไรมาก็ทำไป อย่างนั้น มันไม่ได้ ไม่มีระเบียบ เราต้องมีระเบียบในงาน เวลาไหนควรทำอะไร เวลาไหนควรทำสิ่งใด เวลาไหนควรพักผ่อน เวลาไหนควรจะไปเล่นกีฬาเสียบ้าง อะไรก็ต้องแบ่งเวลาให้มันเรียบร้อย ไอ้ที่เขาพูดว่า ไม่มีเวลาน่ะมันแย่มาก เวลามันมี แต่บอกว่าไม่มีเวลา ทำไมไม่มีเวลา เอาไปเที่ยว ทิ้งเวลาเอาไปนอนเล่นเสียบ้าง นั่งเล่นเสียบ้าง คุยกันเล่นเสียบ้าง กินกาแฟถ้วยเดียวนั่งชั่วโมงหนึ่ง กินนานจังกาแฟถ้วยเดียว ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที นั่งคุยกัน พวกว่างงานทั้งนั้นพวกนั้น พวกไปนั่งคุยกัน มันต้องนึกถึงหน้าที่

เราจึงต้องนึกไว้ในใจว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน อยู่ด้วยกัน เราเกิดมาเพื่องาน โลกนี่มันก็ทำงานตลอดเวลา สากลจักรวาลทำงานตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ทำงานทั้งนั้น แม้นกที่เที่ยวร้องจ๊อกๆแจ๊กๆ มันทำงานของมันตามหน้าที่ มันเที่ยวหาตัวหนอนกินของมันไปตามเรื่อง งานทั้งนั้น ดวงอาทิตย์กำลังหมุน โลกกำลังหมุน งานทั้งนั้น แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร เราก็ต้องหมุนไปด้วยตามหน้าที่ของเรา ไม่ให้มันว่าง ไม่ให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ประโยชน์ ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันเกิดความกระปรี้กระเปร่า ว่องไว ตื่นตัว ก้าวหน้าในการงาน แล้วผลงานมันออกมาเยอะ เพราะเราทำตลอดเวลา ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ไม่ปล่อยเวลาให้ว่าง งานมันก็มากขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2018, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. เอาใจฝักใฝ่ คือ คิดถึงเรื่องนั้นอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเหมือนกับเรารักผู้หญิงนะ คิดถึงบ่อยๆนั่งก็คิดถึง นอนก็คิดถึง กินข้าวก็คิดถึงเธอ นั่นละฝักใฝ่ละไอ้แบบนั้น แต่ว่าฝักใฝ่แบบนั้นมันวุ่นวาย ยุ่ง มันเป็นทุกข์ ไม่เห็นหน้าเจ้ากินข้าวไม่ลงคอ เห็นหน้าเจ้ากินข้าวหมดหม้อ มันเป็นทุกข์ ทีนี้ เรามาคิดถึงเรื่องงานเรื่องการว่า เราจะทำอะไรต่อไป วางแผน เรียกว่าวางแผน สมัยนี้ เขาเรียกว่าวางแผนงานว่า เราจะไปทำอะไรต่อไป ให้งานมันก้าวหน้าต่อไป วางแผนอยู่ตลอดเวลา ใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องนั้น ตื่นอยู่แล้วก็ต้องคิดต้องทำ วางแผนงาน เรียกว่า เอาใจใส่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2018, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. วิมังสา นี่หมายความว่า หาเหตุหาผลในเรื่องนั้น เพราะว่ามันมีอุปสรรคขัดข้อง เราก็ต้องค้นคว้าหาเหตุผล จะปรับปรุงงานอย่างไรให้งานก้าวหน้ากว่านี้ ให้ผลิตผลมันเพิ่มขึ้นไปกว่านี้ ให้รวดเร็วกว่านี้ ต้องคิดต้องค้นควบคู่กันไป เรื่องคิดค้นนี่เป็นเรื่องสำคัญ บริษัทใหญ่ๆ ที่เขาทำงานใหญ่ๆ เขาเอากำไร ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของกำไรเพื่อการค้นคว้า ให้มีการค้นคว้าต่อไป ไม่มีการค้นคว้าแล้วมันไม่เจริญ ต้องค้นคว้า วิมังสา นี่คือการค้นคว้าอะไรต่างๆ เราทำการเพาะปลูกก็ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องข้าว เรื่องข้าวโพด เรื่องเลี้ยงไก่ มันมีอะไรเป็นอย่างไร มันกินอะไรดี มันกินอะไรไม่ได้ มันเป็นโรคอะไร เราควรจะรักษาอย่างไร ตาต้องดู หูต้องฟัง มือต้องไปจับไปต้อง เอามาตรวจมาสอบสวนมาพิจารณาว่ามันมีอะไรเป็นอย่างไร ต้องตรวจอยู่ตลอดเวลา นี่ค้นคว้า เพราะฉะนั้น ในสำนักงานใหญ่ๆ เขามีแผนกเรียกว่า แผนกพิสูจน์ พิสูจน์เรื่องงาน ผลิตผลที่ออกมาเป็นอย่างไร เอามาพิสูจน์ดูมันมีอะไร ควรแก้ไขบ้าง มีอะไรควรปรับปรุงต่อไป นี่คือการค้นคว้า มันเป็นเหตุให้เกิดปัญญา เกิดความก้าวหน้าในหลักวิชาที่จะใช้บริหารการงานของเราต่อไป เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติงานเราก็ต้องค้น เอาใจใส่ มีอุปสรรคขึ้นอย่าไปกลัว ต้องคิดค้น มีปัญหาต้องคิดค้น คิดคนเดียวไม่ได้ ต้องไปถามคนอื่นผู้ชำนาญการที่เขาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวนี้นักวิชาการมันแยะ ผู้ชำนาญเยอะ เราก็ไปปรึกษาหารือ เรื่องนี้เป็นอย่างไร ต้องค้นคว้าเรื่อยไปจึงจะได้ความรู้ และทำให้งานก้าวหน้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2018, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สี่ประการนี้ มันสัมพันธ์กัน คือ ต้องมีความรัก - ฉันทะ จึงจะมีความเพียร แล้วเอาใจใส่ ตัวสุดท้ายคือวิมังสา นี่ขาดไม่ได้

ขาดตัวสุดท้ายนี่ล้มไปเลย ห้างล้ม กิจการล้มเลย วิมังสาตัวนี้แหละสำคัญ แม้ว่าเราจะรักงาน ขยันงาน เอาใจใส่ ทำทื่อๆ ไปอย่างนั้น มันได้เรื่องอะไร ไม่ก้าวหน้า ต้องมีวิมังสาคอยกำกับเป็นตัวสุดท้าย วิมังสานี่เหมือนกับหางเสือ เพื่อเรือไปเอียง ไม่ล่ม ไม่จบ โต้คลื่นลมไปถึงฝั่งเรียบร้อย ขาดตัวนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ให้ถือเป็นตัวสำคัญ การไตร่ตรองค้นคว้าหาเหตุผลในเรื่องที่เราจะทำ เช่น เราค้าขายขาดทุน ต้องค้นคว้าแล้ว ทำไมจึงขาดทุน เราดำเนินการอย่างไร ผิดพลาดในเรื่องใด ซื้อมาอย่างไร การติดต่อของเราบกพร่องในเรื่องใด มันจึงได้ขาดทุนลงไป ต้องค้นคว้า

ได้คุยกับคนคนหนึ่งเขาค้าขาย ขายอาหาร เขาบอกว่าต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอ ส่งอาหารไปโต๊ะนั้น แล้วเขาส่งกลับคืนมา ต้องตรวจสอบทันทีมันบกพร่องเรื่องใด ไม่ตรงกับคำสั่ง หรือว่าตรงแล้วแต่ว่าอาหารไม่มีรสชาติ ไม่อร่อย ต้องคิดแก้ไขปรับปรุง มีอะไรเกิดขึ้นบกพร่อง ต้องคิดปรับปรุงแก้ไข

ถ้าเราทำงานคนเดียวก็คิดคนเดียว แต่ถ้าทำงานหลายคนก็ต้องมีการประชุมกัน เช่นว่า อย่างน้อย ๗ วัน ประชุมกันเสียที เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องงานเรื่องการว่ามีอะไรบกพร่อง มีอะไรควรแก้ไขปรับปรุงกันต่อไป นี่คือการค้นคว้า

ถ้าไม่มีการประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ไม่รู้ว่างานไปอย่างไร มีอะไรบกพร่อง มีอะไรขาดเกินแก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องมีตัวนี้เข้าไปใช้ในวงงานตลอดเวลา ทุกเรื่องไม่ว่ากรณีใดๆ ต้องมีวิมังสา การไตร่ตรองค้นคว้าหาเหตุผลกำกับ งานนั้น จึงจะก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี

สี่ประการนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่เป็นบันไดให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จ ให้จำไว้ให้ดีแล้วนำไปใช้ ถ้าใช้หลัก ๔ ประการนี้แล้ว งานก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี ไม่หยุดไม่ยั้ง

จบตอน จากหนังสือนี้ หน้า ๔๐๗

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ผ่านมานั่นท่านว่าอิทธิบาท ๔ แบบพื้นๆ บ้านๆ พอให้เป็นที่เข้าใจของชาวบ้าน

ทีนี้มาดูอิทธิบาท ๔ จากพุทธธรรมหน้า ๗๙๖ ซึ่งท่านว่าไปตามหลักเดิมแท้ ส่วนชาวบ้านจะเข้าใจไม่เข้าใจแล้วแต่


การเจริญสมาธิตามหลักอิทธิบาท

อิทธิบาท แปลว่า ธรรมเครื่องให้ถึงอิทธิ (ฤทธิ์ หรือความสำเร็จ) หรือธรรมที่เป็นเหตุให้ประสบความสำเร็จ หรือแปลง่ายๆว่า ทางแห่งความสำเร็จ มี ๔ อย่าง คือ ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ (ความเพียร) จิตตะ (ความมีใจจดจ่อ) และวิมังสา (ความสอบสวนไตร่ตรอง) แปลให้จำง่ายว่า มีใจรัก พากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน

อิทธิบาทนั้น พระพุทธเจ้าตรัสพันไว้กับเรื่องสมาธิ เพราะอิทธิบาทเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เกิดสมาธิ และนำไปสู่ผลสำเร็จที่เป็นจุดหมายของสมาธิ สมาธิเกิดจากอิทธิบาทข้อใด ก็มีชื่อเรียกตามอิทธิบาทข้อนั้น โดยนัยนี้ จึงมีสมาธิ ๔ ข้อ คือ (สํ.ม.19/1150/343)

๑. ฉันทสมาธิ สมาธิที่เกิดจากฉันทะ หรือสมาธิที่มีฉันทะเป็นใหญ่

๒. วิริยสมาธิ สมาธิที่เกิดจากวิริยะ หรือสมาธิที่มีวิริยะเป็นใหญ่

๓. จิตตสมาธิ สมาธิที่เกิดจากจิตตะ หรือสมาธิที่มีจิตตะเป็นใหญ่

๔. วิมังสาสมาธิ สมาธิที่เกิดจากวิมังสา หรือสมาธิที่มีวิมังสาเป็นใหญ่

อนึ่ง สมาธิเหล่านี้ จะเกิดมีควบคู่ไปด้วยกันกับความเพียรพยายาม ที่เรียกว่า "ปธานสังขาร" ซึ่งแปลว่า สังขารที่เป็นตัวความเพียร หรือความเพียรที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง แปลง่ายๆ ว่า ความเพียรที่เป็นแรงสร้างสรรค์หรือความเพียรสร้างสรรค์ (ได้แก่ ความเพียรซึ่งทำหน้าที่ ๔ กัน-ละ-เจริญ-รักษา ที่เรียกว่า ปธาน ๔ นั่นเอง)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิเกิดจาก ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หรือจากความมีใจรัก พากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน ได้อย่างไร มีแนวความเข้าใจ ดังนี้

๑. ฉันทะ ความพอใจ ได้แก่ ความมีใจรักในสิ่งที่ทำ และพอใจใฝ่รักในจุดหมายของสิ่งที่ทำนั้น อยากทำสิ่งนั้นๆ ให้สำเร็จ อยากให้งานนั้นหรือสิ่งนั้นบรรลุจุดหมาย พูดง่ายๆ ว่า รักงาน และรักจุดหมายของงาน พูดให้ลึกลงไปในทางธรรมว่า ความรักใคร่ใฝ่ใจปรารถนาต่อภาวะดีงามเต็มเปี่ยม สมบูรณ์ ซึ่งเป็นจุดหมายของสิ่งที่กระทำ หรือซึ่งจะเข้าได้ด้วยการกระทำนั้น อยากให้สิ่งนั้นๆ เข้าถึงหรือดำรงอยู่ในภาวะที่ดีที่งดงามที่ประณีต ที่สมบูรณ์ที่สุดของมัน หรืออยาให้ภาวะดีงามเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ ของงานนั้น เกิดมีเป็นจริงขึ้น อยากทำให้สำเร็จผลตามจุดหมายทีดีงามนั้น

ความอยากที่เป็นฉันทะนี้ เป็นคนละอย่างกับความอยากได้สิ่งนั้นๆมาเสพ หรืออยากเอามาเพื่อตัวตนในรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าเป็นตัณหา ความอยากของฉันทะนั้น ให้เกิดความสุขความชื่นชม เมื่อเห็นสิ่งนั้นๆ งานนั้นๆ บรรลุความสำเร็จ เข้าถึงความสมบูรณ์ อยู่ในภาวะอันดีงามของมัน

อาการของความอยากที่เป็นฉันทะนี้ พูดแยกออกไปว่า ขณะเมื่อสิ่งนั้น หรืองานนั้น กำลังเดินหน้าไปสู่จุดหมาย ก็เกิดปีติ เป็นความเอิบอิ่มใจ ครั้นสิ่งหรืองานที่ทำบรรลุจุดหมาย ก็ได้รับโสมนัส มีความสุข เป็นความฉ่ำชื่นใจ ที่พร้อมด้วยความรู้สึกโปร่งโล่งผ่องใสเบิกบานแผ่ออกไปเป็นอิสระ ไร้ขอบเขต

ส่วนความอยากของตัณหา ให้เกิดความสุขความชื่นชม เมื่อได้สิ่งนั้นมาให้ตนเสพเสวยรสอร่อย หรือปรนเปรอความยิ่งใหญ่พองขยายของตัวตน เป็นความฉ่ำชื่นใจที่เศร้าหมอง หมกหมักตัว กีดกั้นกักตนไว้ในความคับแคบ และมักติดตามมาด้วยคามหวงแหนห่วงกังวลเศร้าเสียดาย และหรือหวั่นกลัวหวาดระแวง

เมื่อเด็กเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ตามลำพัง เด็กนั้นอาจกำลังเขียนภาพอย่างประณีตบรรจงด้วยใจรัก ตั้งใจให้ภาพนั้นดีงามสมบูรณ์ที่สุด หรืออาจกำลังเอาของเล่นที่เป็นชิ้นส่วนมาต่อเข้าเป็นรูปร่างต่างๆ อย่างระมัดระวังให้เรียบร้อยดีที่สุดของรูปร่างที่หมายใจไว้นั้น เด็กนี้มีความสุข เมื่องานเขียนหรืองานต่อชิ้นส่วนนั้น ดำเนินไปด้วยดี มีความสำเร็จทีละน้อยๆ ไปเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อการเขียนหรือต่อชิ้นส่วนเสร็จสิ้นบรรลุจุดหมาย เขาจะดีใจ มีความสุขมาก อาจถึงโลดเต้น

เด็กนี้ทำงานนั้น ด้วยจิตใจแน่วแน่ ตั้งมั่น พุ่งตรงต่อจุดหมาย เขามีความสุขด้วยงานและความสำเร็จของงานนั้นเอง เป็นความสุขที่มิใช่เกิดจากการการเสพเสวยรสสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องอาศัยอามิสตอบแทน และไม่จำเป็นต้องมีใครอื่นมาคอยดูคอยชมพะนอตัวตนของเขา คือไม่ต้องอาศัยรางวัล ทั้งที่เป็นกาม และที่เป็นภพ

แต่เมื่อทำสำเร็จแล้ว เขาอาจอยากเรียกให้ใครๆมาดู หรือเอาภาพนั้นไปอวด (เผื่อแผ่) ให้คนอื่นได้ชื่นชมกับความดีงาม ความประณีตสมบูรณ์ของภาพ หรือรูปที่เขาต่อขึ้นนั้นบ้าง

ในกรณีเช่นนี้ ถ้าผู้ใหญ่ที่ดู หรือรับการอวดนั้น จะแสดงความชื่นชมต่อความดีงามสมบูรณ์ของภาพหรือสิ่งนั้นด้วย หรือแสดงความเอาใจใส่ต่อคุณค่าของสิ่งนั้นตามสมควร หรือเสริมบ้างว่า น่าทำอย่างนี้อีก และหนุนให้ทำดียิ่งขึ้นไป ก็น่าจะเป็นการถูกต้องเพียงพอ

แต่การที่จะชม หรือเอาใจใส่เกินเลยไป จนกลายเป็นการหันจากความดีงามความสำเร็จของงานไปเป็นการพะนอ (ความยึดมั่น) ตัวตนของเด็กในรูปหนึ่ง น่าจะไม่ถูกต้อง เพราะจะกลายเป็นการแปรฉันทะของเด็กให้กลายเป็นตัณหา เปลี่ยนจากกุศล เป็นอกุศลไป อาจเป็นการสร้างนิสัยให้แก่เด็ก คือเมื่อเกิดมีฉันทะขึ้นเมื่อใด ก็จะเกิดตัณหาตามมาด้วย ทำให้ฉันทะของเด็กนั้นเป็นปัจจัยของตัณหาสืบต่อไป การฝึกอบรมเด็กในลักษณะเช่นนี้ คงจะมีอยู่มิใช่น้อย

ถ้าสังคมเช่นนี้ คนที่จะมีความสุขได้ด้วยฉันทะ จะมีน้อยลง และคนที่จะมีความสุขได้ต่อเมื่อมีการสนองตัณหา จะมีจำนวนมากขึ้น และสังคมก็จะเดือดร้อนมากขึ้น * (*มีข้อสังเกตที่เสนอไว้ โดยยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า คนตะวันออกแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ ดูจะหย่อนในต้านฉันทะ ส่วนคนตะวันตกดูเหมือนจะมีฉันทะสูง แต่น่าเสียดายที่เอาฉันทะนั้นไปเป็นปัจจัยเลี้ยงตัณหาเสีย จึงสร้างความสำเร็จได้ดีกว่า พร้อมกับที่ก่อปัญหาขึ้นมากกว่าเช่นเดียวกัน)

การที่เด็กอยากชวนคนอื่นมาชื่นชมสิ่งที่พบเห็น หรืออยากอวดแสดงนั้น ไม่จำเป็นเฉพาะสิ่งที่เป็นความสำเร็จของเด็กเองเท่านั้น แต่จะมีต่อสิ่งทั้งหลายโดยทั่วไป ทั้งที่เป็นของมนุษย์ปรุงแต่ง และที่เป็นธรรมชาติ แม้แต่เม็ดหินกรวดทราย ใบหญ้า และแมลงเล็กๆ ที่เขามองเห็นความดีงามสมบูรณ์แฝงอยู่

ความรู้สึกเช่นนี้จะเห็นได้ไม่ยาก แม้ในผู้ผู้ใหญ่ทั่วไป เมื่อมองเห็นธรรมชาติอันงดงาม ผลงานที่ประณีตน่าชื่นชม การแสดงออกของคนซึ่งทำได้อย่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์ เป็นต้น คนมักจะอยากชวนคนอื่นให้มาดูมาชม มาสร้างความรู้สึกที่เป็นกุศลอย่างที่ตนได้รับด้วย ในการที่เขาชวนใครๆนั้น เขามิได้ต้องการจะเสพเสวยอะไรหรือจะเอาอะไรเพื่อตนเลย คนที่ได้มองเห็นคุณค่าความจริงแท้ของธรรม ก็จะมีความรู้สึกทำนองเดียวกันนั้น อันทำให้ธรรมมีคุณสมบัติเป็น เอหิปัสสิโก คือ ชวนให้เชิญกันมาดู

ถ้าสามารถปลุกเร้าฉันทะให้เกิดขึ้นอย่างแรงกล้า เกิดความรักในคุณค่าความดีงาม ความสมบูรณ์ของสิ่งนั้น หรือจุดหมายนั้นอย่างเต็มที่แล้ว คนก็จะทุ่มเทชีวิตจิตใจอุทิศให้แก่สิ่งนั้น เมื่อรักแท้ ก็มอบใจให้ อาจถึงขนาดยอมสละชีวิตเพื่อสิ่งนั้นได้

เจ้า ขุนนาง เศรษฐี พราหมณ์ คนหนุ่มคนสาวมากมายในพุทธกาล ยอมสละวัง ทรัพย์สมบัติ และโลกามิสมากมาย ออกบวชได้ ก็เพราะเกิดฉันทะในธรรม เมื่อได้สดับซาบซึ้งคำสอนของพระพุทธเจ้า

แม้คนทั้งหลายที่ทำงานด้วยใจรัก ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีฉันทะนำแล้ว ก็ต้องการทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ให้สำเร็จผลอย่างดีที่สุดของสิ่งนั้น ของงานนั้น ไม่ห่วงพะวงกับสิ่งล่อเร้า หรือผลตอบแทนทั้งหลาย จิตใจก็มุ่งแน่วแน่มั่นคงในการดำเนินสู่จุดหมาย เดินเรียบ สม่ำเสมอ ไม่ซ่าน ไม่ส่าย ฉันทสมาธิจึงเกิดขึ้นโดยนัยนี้ และพร้อมนั้น ปธานสังขาร คือความเพียรสร้างสรรค์ ก็ย่อมเกิดควบคู่มาด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. วิริยะ ความเพียร ได้แก่ ความอาจหาญ แกล้วกล้า บากบั่น ก้าวไป ใจสู้ ไม่ย่อท้อ ไม่หวั่นกลัวต่ออุปสรรคและความอยากลำบาก เมื่อคนรู้ว่าสิ่งใดมีคุณค่าควรแก่การบรรลุถึง

ถ้าวิริยะเกิดขึ้นแก่เขาแล้ว แม้ได้ยินว่าจุดหมายนั้นจะลุถึงได้ยากนัก มีอุปสรรคมาก หรืออาจใช้เวลายาวนานเท่านั้นปี เท่านี้เดือน เขาก็ไม่ท้อถอย กลับเห็นเป็นสิ่งท้าทาย ที่จะเอาชนะให้ได้ ทำให้สำเร็จ

ในพุทธกาล มีนักบวชนอกศาสนาหลายท่าน เมื่อสดับพุทธธรรมแล้วเลื่อมใส ขอบรรพชาอุปสมบท ครั้นได้รู้ว่า ผู้เคยเป็นนักบวชนอกศาสนาจะต้องประพฤติวัตรทดสอบตนเองก่อน เรียกว่าอยู่ปริวาส (ติตถิยปริวาส เป็นเวลา ๔ เดือน ก็ไม่ท้อถอย กลับกล้าเสนอตัวประพฤติวัตรทดสอบเพิ่มเป็นเวลาถึง ๔ ปี)

ส่วนผู้ขาดความเพียร อยากบรรลุความสำเร็จเหมือนกัน แต่พอได้ยินว่าต้องใช้เวลานานเป็นปี ก็หมดแรง ถอยหลัง ถ้าอยู่ระหว่างปฏิบัติ ก็ฟุ้งซ่าน จิตใจวุ่นวาย ปฏิบัติได้ผลยาก

คนที่มีความเพียร เท่ากับมีแรงหนุน เวลาทำงาน หรือปฏิบัติธรรมระดับใดก็ตาม จิตใจจะแน่วแน่ มั่นคง พุ่งตรงต่อจุดหมาย สมาธิก็เกิดขึ้นได้ เรียกว่า เป็นวิริยสมาธิ พร้อมทั้งมีปธานสังขาร คือความเพียรสร้างสรรค์เข้าประกอบคู่ไปด้วยกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. จิตตะ ความมีใจจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ ได้แก่ ความมีจิตผูกพัน จดจ่อ เฝ้าคิดเรื่องนั้น ใจอยู่กับงานนั้น ไม่ปล่อย ไม่ห่างไปไหน

ถ้าจิตตะเป็นไปอย่างแรงกล้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืองานอย่างใดอย่างหนึ่ง คนผู้นั้นจะไม่สนใจ ไม่รับรู้เรื่องอื่นๆ ใครจะพูดอะไรเรื่องอื่นๆ ไม่สนใจ

แต่ถ้าพูดเรื่องนั้น งานนั้น จะสนใจเป็นพิเศษทันที

บางทีจัดทำเรื่องนั้น งานนั้น ขลุกง่วนอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่เอาใจใส่ร่างกาย การแต่งเนื้อแต่งตัว อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่สนใจ

เรื่องอื่นเกิดขึ้นใกล้ๆ บางทีก็ไม่รู้ ทำจนลืมวันลืมคืน ลืมกินลืมนอน

ความมีใจจดจ่อฝักใฝ่เช่นนี้ ย่อมนำให้สมาธิเกิดขึ้น จิตจะแน่วแน่ แนบสนิทในกิจที่ทำ มีกำลังมาก เรียกว่า เป็นจิตตสมาธิ พร้อมนั้นก็เกิดปธานสังขาร คือความเพียรสร้างสรรค์ร่วมสนับสนุนไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. วิมังสา ความสอบสวนไตร่ตรอง ได้แก่ การใช้ปัญญาพิจารณาหมั่นใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อน เกินเลย บกพร่อง หรือขัดข้อง เป็นต้น ในกิจที่ทำ รู้จักทดสอบ และคิดค้นหาทางแก้ไขปรับปรุง

ข้อนี้เป็นการใช้ปัญญาชักนำสมาธิ ซึ่งจะเห็นได้ไม่ยาก คนมีวิมังสา ชอบคิดค้นหาเหตุผล ชอบสอบสวนชอบทดลอง เมื่อทำอะไร ก็คิดพิจารณาทดสอบไป เช่น คิดว่า ผลนี้เกิดจากเหตุอะไร

ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ผลคราวนี้เกิดจากปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบเหล่านี้เท่านี้

ถ้าชักองค์ประกอบนี้ออกเสีย จะเป็นอย่างนี้

ถ้าเพิ่มองค์ประกอบนี้เข้าไปแทน จะเกิดผลอย่างนี้ ลองเปลี่ยนองค์ประกอบนั้นแล้ว ไม่เกิดผลอย่างที่คาดหมาย เป็นเพราะอะไร จะแก้ไขที่จุดไหน ฯลฯ

ในการปฏิบัติธรรม วิมังสกชนก็ชอบพิจารณาใคร่ครวญสอบสวน เช่นว่า ธรรมข้อนี้ๆ มีความหมายอย่างไร มีความมุ่งหมายอย่างไร ควรใช้ในโอกาสอย่างใด ควบคู่สัมพันธ์กับข้อธรรมอื่นข้อใด ปฏิบัติธรรมคราวนี้ ไม่ค่อยก้าวหน้า อินทรีย์ใดอ่อนไป ควรใช้วิธีอย่างใด ควรเน้นความหมายด้านไหน เป็นต้น

การคิดหาเหตุผลตรวจตรองสอบสวนทดลองอย่างนี้ ย่อมช่วยรวมจิตให้คอยกำหนดและติดตามเรื่องที่พิจารณาติดแจตลอดเวลา เป็นเหตุให้จิตแล่นดิ่งแน่วไปกับเรื่องที่พิจารณา ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก และมีกำลัง เรียกว่า เป็นวิมังสาสมาธิ ซึ่งก็จะมีปธานสังขาร คือความเพียรสร้างสรรค์เกิดมาด้วย เช่นเดียวกับสมาธิข้ออื่นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริง อิทธิบาท ๔ อย่างนี้ เกื้อหนุนกัน และมักมาด้วยกัน เช่น เกิดฉันทะ มีใจรักแล้ว ก็ทำให้พากเพียร เมื่อพากเพียร ก็เอาใจจดจ่อใฝ่ใจอยู่เสมอ และเปิดช่องให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง

แต่ที่แยกเป็นแต่ละข้ออย่างนี้ ก็ด้วยถือเอาภาวะที่เดินเป็นใหญ่ เป็นตัวนำ เป็นตัวชักจูงข้ออื่นๆ ในแต่ละกรณี เช่นว่า

เมื่อฟังธรรมด้วยกัน คนหนึ่งชอบศึกษาธรรม ฟังด้วยความรักความพอใจในธรรม อยากรู้อยากเข้าใจธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป (หรือแม้เพียงแต่ชอบใจธรรมที่แสดงในคราวนั้น หรือชอบผู้แสดงธรรมคราวนั้น) จึงฟังด้วยจิตใจแน่วแน่ ก็มี ฉันทะ เป็นตัวเด่น ชักนำสมาธิ และกุศลธรรมอื่นๆ

อีกคนหนึ่ง มีนิสัย หรือแม้แต่มีความรู้สึกเกิดขึ้นในขณะนั้นว่า เมื่อพบอะไรที่ควรทำ ก็ต้องสู้ ต้องเอาชนะ ต้องเข้าเผชิญ และต้องทำให้สำเร็จ จึงฟังด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่งท้าทาย จะต้องพยายามเข้าใจให้ได้ ก็มีวิริยะ เป็นธรรมเด่น

อีกคนหนึ่ง มีนิสัยเอาใจใส่รับผิดชอบ ไม่ว่าอะไรที่ตนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องใส่ใจเอาจิตจดจ่อติดตาม จึงตั้งใจฟัง เอาจิตติดตามเนื้อความนั้น ก็มีจิตตะ เป็นใหญ่

อีกคนหนึ่ง คิดจะตรวจสอบว่า ธรรมที่แสดงนั้น จริงหรือไม่ ดีหรือไม่ หรือจะค้นหาเหตุผลในธรรมที่ฟัง ฟังไปก็คิดใคร่ครวญพิจารณาสอบสวนไป ใจจึงแน่วแน่อยู่กับธรรมที่ฟัง ก็มีวิมังสา เป็นใหญ่

ด้วยเหตุนี้ บางแห่งท่านจึงเรียกอิทธิบาท ๔ นี้ว่า เป็นอธิบดี หรืออธิปไตย * (อภิ.สํ.34/193/79 ฯลฯ) โดยกำหนดเอาภาวะที่เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า ในกรณีนั้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาระของการสร้างสมาธิตามหลักอิทธิบาท ก็คือ เอางาน สิ่งที่ทำ หรือจุดหมายที่ต้องการ เป็นอารมณ์ของจิต แล้วปลุกเร้าระดมฉันทะ วิริยะ จิตตะ หรือวิมังสา เข้านำหนุน สมาธิก็เกิดขึ้น และมีกำลังแข็งกล้า ช่วยให้ทำงานอย่างมีความสุข และบรรลุผลสำเร็จด้วยดี

โดยนัยนี้ ในการปฏิบัติธรรมก็ดี ในการเล่าเรียนศึกษา หรือประกอบกิจการงานอื่นใดก็ดี

เมื่อต้องการสมาธิ เพื่อให้กิจที่ทำนั้นดำเนินไปอย่างได้ผลดี ก็พึงปลุกเร้าและชักจูงอิทธิบาท ๔ อย่างนี้ ให้เกิดผลเป็นองค์ธรรมเด่นขึ้นมาสักข้อหนึ่ง แล้วสมาธิ ความสุขสบายใจ และการทำงานที่ได้ผล ก็เป็นอันหวังได้เป็นอย่างมากว่าจะเกิดมีตามมาเอง พร้อมกันนั้น การฝึกสมาธิ หรือการปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่ง ก็จะเกิดมีขึ้นในห้องเรียน ในบ้าน ในทุ่งนา ในที่ทำงาน และในสถานที่ทุกๆแห่ง

ตัวอย่างเช่น เมื่อจะสอนวิชาใดวิชาหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ครูก็ทำตนเป็นกัลยาณมิตร โดยอาจชี้แจงให้นักเรียนเห็นคุณค่าความดีของวิชานั้น หรือเรื่องราวนั้น ให้มองเห็นว่า วิชานั้นมีประโยชน์อย่างไร อาจเป็นประโยชน์ของตัวผู้เรียนเองเกี่ยวกับการหางานทำ การได้รับผลตอบแทน หรือความเจริญก้าวหน้าในชีวิต เป็นต้น (ใช้โลภะ เป็นปัจจัยแก่ฉันทะ) ก็ได้ หรือถ้าจะให้ดี ควรเป็นประโยชน์ของส่วนรวม เช่น ความเกื้อกูลแก่เพื่อนมนุษย์ (ฉันทะบริสิทธิ์) ก็ได้ จนทำให้นักเรียนเกิดความรักความพอใจ อยากเรียนเพราะอยากรู้วิชานั้น นี่เรียกว่าปลุก ฉันทะ ให้เกิดขึ้น

อีกอย่างหนึ่ง อาจพูดปลุกเร้าในแง่ที่เป็นสิ่งท้ายทายสติปัญญาความสามารถ กระตุ้นความเข้มแข็งคึกคักที่จะเรียน หรือกล่าวถึงตัวอย่างการกระทำสำเร็จของผู้อื่น ให้เกิดกำลังใจสู้ เป็นต้น เรียกว่า ปลุกเร้า วิริยะ ขึ้น

อีกอย่างหนึ่ง อาจพูดปลุกเร้าในแง่ความรู้สึกเกี่ยวกับหน้าที่ หรือความรับผิดชอบ ให้เห็นความเกี่ยวข้องและความสำคัญของเรื่องนั้น ต่อชีวิต หรือต่อสังคม เช่น เรื่องเกี่ยวกับภัยอันตราย และความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งแม้นักเรียนจะมิได้ชอบ มิได้รักเรื่องนั้น แต่ก็จะเอาใจใส่ตั้งจิตจดจ่อเรียนอย่างแน่วแน่ เรียกว่า ทำให้เกิด จิตตะ

อีกอย่างหนึ่ง ครูอาจสอนตามแนวของการสำรวจตรวจสอบสืบสวนทดลอง หรือค้นคว้าหาเหตุผล เช่น ตั้งเป็นปัญหา หรือคำถาม เป็นต้น ซึ่งทำให้นักเรียนต้องใช้วิมังสา นักเรียนก็จะเรียนอย่างมีสมาธิได้เหมือนกัน เรียกว่าใช้วิธีวิมังสา

ยิ่งถ้าครูจับหลักลักษณะนิสัยของนักเรียนได้ แล้วปลุกเร้าอิทธิบาทข้อที่ตรงกับลักษณะนิสัยอย่างนั้น ก็ยิ่งดี หรืออาจปลุกอิทธิบาทหลายๆข้อ ไปพร้อมกันก็ได้

ในขณะเดียวกัน ผู้เรียน หรือผู้ทำงานที่ฉลาด ก็อาจใช้โยนิโสมนสิการปลุกเร้าอิทธิบาทขึ้นมาใช้สร้างผลสำเร็จได้ด้วยตนเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2018, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอยกความจากบาลี มาเป็นเครื่องทบทวนความเข้าใจ เริ่มตั้งแต่ความหมายของคำว่าอิทธิไปทีเดียว

อิทธิ แปลว่า ความสำเร็จ

"คำว่า อิทธิ หมายความว่า ความสำเร็จ ความสัมฤทธิ์ การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี การได้ การได้จำเพาะ การถึง สมบัติ การสัมผัส การประจักษ์แจ้ง การบำเพ็ญให้ถึงพร้อม ซึ่งธรรมเหล่านั้น"
(อภิ.วิ.๓๕/๕๐๘/๒๙๓)


อิทธิ แปลว่า ฤทธิ์อย่างที่เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์

“ภิกษุทั้งหลาย อิทธิเป็นไฉน? กล่าวคือภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมประกอบฤทธิ์ต่างๆได้มากมายหลายอย่าง คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดิน เหมือนน้ำก็ได้เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ใช้มือจับต้องลูบคลำดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ซึ่งมีกำลังฤทธิ์เดชมากมายถึงเพียง นี้ก็ได้ ใช้อำนาจทางกายถึงพรหมโลกก็ได้ นี้เรียกว่า อิทธิ”

“ภิกษุทั้งหลายอิทธิบาทเป็นไฉน? มรรคาใดปฏิปทาใด ย่อมเป็นไปเพื่อการได้อิทธิ เพื่อประสบอิทธิ มรรคาปฏิปทา นี้เรียกว่า อิทธิบาท”

“อิทธิบาทภาวนา (การเจริญอิทธิบาท) เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเจริญอิทธิบาท ที่ประกอบด้วยวิริยสมาธิ และปธานสังขารย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเจริญอิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร นี้เรียกว่า อิทธิบาทภาวนา” *

“ภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุอาศัยฉันทะ จึงได้สมาธิจึงได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียว นี้เรียกว่าฉันทสมาธิ ภิกษุนั้นยังฉันทะให้เกิดพยายามระดมความเพียร ยกชูจิตไว้ มุ่งมั่น (๑) เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันชั่วร้ายที่ยังไม่เกิดขึ้น.... (๒) เพื่อละอกุศลธรรมอันชั่วร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว...(๓) เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น...(๔) เพื่อความตั้งอยู่ได้ไม่เลือนหายเพื่อภิยโยภาพเพื่อความไพบูรณ์เพื่อความเจริญ เต็มบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้วเหล่า นี้เรียกว่า ปธานสังขาร

“ฉันทะนี้ด้วย ฉันทะสมาธินี้ด้วย ปธานสังขารเหล่านี้ด้วย นี้เรียกว่า อิทธิบาท ที่ประกอบด้วยฉันทสมาธิ (สมาธิที่เกิดจากฉันทะ) และปธานสังขาร (ความเพียรสร้างสรรค์)

“หากว่า ภิกษุอาศัยวิริยะ จึงได้สมาธิจึงได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียวนี้เรียกว่า วิริยสมาธิ....วิริยะนี้ด้วยวิริยสมาธินี้ด้วย ปธานสังขารเหล่านี้ด้วยนี้ เรียกว่า อิทธิบาท ที่ประกอบด้วยวิริยสมาธิ และปธานสังขาร

“หากว่าภิกษุอาศัยจิตตะ จึงได้ สมาธิ จึงได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียว นี้เรียกว่า จิตตสมาธิ....จิตตะนี้ ด้วยจิตตสมาธินี้ด้วย ปธานสังขารเหล่านี้ด้วย นี้เรียกว่า อิทธิบาท ที่ประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร

“หากว่าภิกษุอาศัยวิมังสา จึงได้สมาธิ จึงได้ภาวะที่จิตมีอารมณ์หนึ่งเดียว นี้ เรียกว่า วิมังสาสมาธิ....วิมังสานี้ด้วย วิมังสาสมาธินี้ด้วย ปธานสังขารเหล่านี้ด้วย นี้ เรียก ว่า อิทธิบาทที่ประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร

“ปฏิปทาที่ให้ถึงอิทธิบาทภาวนา เป็นไฉน ? มรรคามีองค์ ๘ ประการ อันเป็นอริยะนี้แหละ กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี่ เรียกว่า ปฏิปทาให้ถึงอิทธิบาทภาวนา”

“ภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท ๔ อย่างเหล่านี้ เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อการไปจากที่มิใช่ท่า (มิใช่จุดหมาย) สู่ที่อันเป็นฝั่ง (คือจุดหมาย)” * (สํ.ม.19/1108/326)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron