วันเวลาปัจจุบัน 21 ต.ค. 2025, 01:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2017, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว




unnamed (37).png
unnamed (37).png [ 105.95 KiB | เปิดดู 1269 ครั้ง ]
จักขุปสาทรูป
ซึ่งมีความใสของมหาภูตรูปที่กระทบอารมณ์เป็น ลักษณะ
และมีการแสวงหารูปารมณ์เป็นกิจ
มีการทรงคงอยู่ของจักขุวิญญาณเป็นผล
และมีมหาภูตรูปอันเกิดจากกรรมเป็น เหตุใกล้

คือ กัมมชรูปนั่นเอง จักขุปสาทรูปนี้ไม่ได้หมายถึงดวงตาหรือลูกตา
ตามที่พวกเราทุกๆ คนเข้าใจ แต่ความจริงนั้น
จักขุปสาทรูปหมายถึงเฉพาะประสาทตาเท่านั้น หรือแก้วตา
หรือนัยน์ตาที่อยู่กลางตาดำ นั่น จักขุปสาทรูปนี้เป็นรูปธรรม
ซึ่งมี ความสามารถในการรับรูปารมณ์

คำว่ารูปารมณ์ในที่นี้ ถ้าพวกเรายังไม่ลืมก็คือรูปสีนั่นเอง
ซึ่งจะรู้ได้ทางตาเท่านั้น รูปารมณ์ นี้เป็นวัตถุอันเป็นที่ตั้ง
จักขุปสาทรูปนี่เป็นที่ตั้งแห่งจักขุวิญญาณเราอย่าลืมว่านามธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณหรือจิตนั้น

จะต้องอาศัยรูปเป็นตัวเกิด จักขุปสาทรูปนี้ก็เช่นเดียวกัน
จะต้องให้เป็นที่อาศัยของจักขุวิญญาณ ฉะนั้นเมื่อเวลาเราดูอะไร
ถ้าจักขุปสาทนั้นใส และมีรูปารมณ์กับจักขุปสาทรูปสัมผัสกันแล้ว
จักขุวิญญาณซึ่งอาศัยจักขุปสาทรูปก็เกิดขึ้น นั่นคือ การแลเห็น
ของเรานั่นเอง อนึ่ง คำว่าจักษุนี้จำแนกออกเป็น ๒ ประการ นี่
เป็นภาษาธรรมะ คือ
ประการแรกเรียกว่าปัญญาจักขุ
ประการที่สอง เรียกว่างมังสจักขุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2017, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาจักขุนี่มีการใช้เฉพาะในทางธรรมะ
ส่วนมังสจักขุนั้นเป็นเรื่องของปุถุชนทั่วๆ ไปที่จะพึงมี
เมื่อเรามาพูดถึงปัญญา จักขุแล้ว ก็อยากจะแนะนำให้พวกเราทุกคน
ได้รู้จักว่าปัญญาจักขุนั้นมันจำแนก ออกได้เป็นประการใดบ้าง
ปัญญจักขุ นี้หมายถึง การรู้ด้วยปัญญา เป็นการรู้ทางใจไม่ใช่
เป็นการรู้ทางนัยน์ตา ซึ่งมีอยู ๕ ชนิดด้วยกัน

๑. พุทธจักขุ เป็นญาณที่รู้อัชฌาสัยของสัตว์โลก
ได้แก่ อาสยาสนุสยญาณ เป็นญาณที่รู้อัชฌาสัยของเวไนยสัตว์ทั้ง
หลาย
ประการหนึ่ง และความหมายอันที่ ๒ คือ อินทริยปโรปริยัตติญาณ
คือเป็นญาณที่สามารถรู้อินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายว่า
ยิ่งหรือ หย่อนเพียงใด อีกประการหนึ่งองค์ธรรมได้แก่ มหากิริยา
ญาณสัมปยุตตจิต ๔ โดยเฉพาะอินทริยปโรปริยัตติญาณนี้ หมายถึง
รู้ความแก่กล้าของอินทรีย์สัตว์โลกทั้งหลายนั้นมีประการใด

๒. สมันตจักขุ หมายถึง คือ สัพพัญญุตญาณ คือเป็นญาณที่
สามารถรอบรู้สิ้นปวง สังขตธรรม คือเป็นญาณที่รู้ปวง สังขตธรรม
หรืออสังขตธรรม ซึ่งองค์ธรรม ได้แก่ มหากิริยาญาณสัมปยุตตจิต
ดวงที่ ๑ เราจะเห็นได้ว่าองค์ธรรมของพุทธจักขุ นั้น องค์ธรรมได้แก่
มหากิริยาญาณสัมปยุตตจิตด้วยจิต ๔ แต่องค์ธรรมของ สมันตจักขุ
เป็น มหากิริยาญาณสัมปยุตตด้วยจิต ดวงที่ ๑ สังเกตดูจะผิดกัน

๓. ญาณจักขุ คือ อรหัตมรรคญาณ ญาณเป็นญาณของพระ
อรหันต์ องค์ธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิก ที่อรหัตตมัคคจิต

๔. ธัมมจักขุ คือเป็นญาณของพระอริยะทั้ง ๓ คือ โสดาหนึ่ง
สกาทาคามีหนึ่ง อนาคามีหนึ่ง องค์ธรรมตัวนี้ได้แก่ ปัญญาเจตสิกใน
มัคคจิตเบื้องต่ำทั้ง ๓ คือโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค

๕. ทิพพจักขุ ญาณที่รู้ด้วยตาทิพย์คืออภิญญา องค์ธรรมได้แก่
อภิญญาจิต ๒ อภิญญาจิต ๒ นี่หมายความถึง โลกีย อภิญญจิต ๑
และ โลกุตตรอภิญญาจิต ๑ นี่ และขอให้พวกเราได้รู้ด้วยว่า พุทธจักขุ ๑
สมันตจักขุ ๑ มีได้เฉพาะองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
คนอื่นมีไม่ได้ แม้แต่พระอรหันต์ก็ไม่มี ดังนั้น การที่ใครอวดรู้ว่า
อินทรีย์ใครแก่กล้า คนไหนอ่อน คน ไหนเบาเพียงใด เป็นเรื่องโกหก

ทีนี้เราก็มาถึงเมื่อปัญญาญาณเราได้รู้แล้ว ๕ ประการ ต่อไปนี้ก็
เป็นเรื่องของ มังสจักขุ คือการเห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่รู้ ด้วยตาปัญญา
ได้แก่จักษุของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งองค์ธรรมได้แก่จักขุปสาทรูปที่เรา
วกำลังพูดกันอยู่นี้ ปัญญาจักขุ ๕ มังสจักขุ ๑ รวมเป็น ๖ เรียกสั้นๆว่า
จักขุ ๖ เมื่อเอ่ยถึงจักขุ ๖ ก็หมายถึงปัญญาจักขุ ๕ มังสจักขุ ๑ นี่
แหละ นี่เป็นการที่เราทำความรู้จัก กับปสาทรูป ตามที่ได้กล่าวมานี้
เป็นเรื่องของจักขุปสาทรูป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2017, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว




budda (1).gif
budda (1).gif [ 29.29 KiB | เปิดดู 1269 ครั้ง ]
พุทธจักขุ กับสมนันตจักขุ ทั้ง ๒ นี้ จะมีแต่ในพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้ในพระอรหันต์ก็ไม่มี

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2017, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8607


 ข้อมูลส่วนตัว




Human-Eye-psd107790.png
Human-Eye-psd107790.png [ 233.35 KiB | เปิดดู 1230 ครั้ง ]
จักขุทวารหมายเอา แค่ช่องตรงกลางตา ( ในภาพที่เป็นสีดำ )
ทวาร แปลว่าประตู จักขุแปลว่า ตา อาจจะเข้าใจก็ได้ว่า ประตูตา แต่จะไม่มีใครจะใช้พูดกัน
หมายเป็นช่องทางเข้าออกของวิถีจิตที่มารับรูปารมณ์ ส่งผ่านให้มโนทวาร

ยังมีคำที่ใกล้เคียงกันอีกหลายคำ

จักขุประสาท
น. ส่วนสําคัญของตา ทําให้แลเห็น.

จักขุวิญญาณ
ความรู้อันอาศัยทางตาเกิดขึ้น.

จักขุสัมผัส
อาการที่ตากับรูปและจักขุวิญญาณประจวบกัน.

จักขุนทรีย์
คือความเป็นใหญ่ในการเห็นทางตา

จะค่อยๆทำความเข้าใจกันให้ตรงในโอกาสต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร