วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 09:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2017, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5352


 ข้อมูลส่วนตัว


มีข้อสังเกตอยู่ว่า ทำไมหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
ไม่ตื่นตามลาภสักการะชื่อเสียงเกียรติยศใดๆ
ท่านอยู่เฉย ได้ตามวาสนาบารมี
ได้มาก็ดี
ไม่ได้ก็ไม่ได้
ไม่มีการประจบประแจงสอพลอ
หรือ เอาอกเอาใจใครๆ
องค์ท่านเคยบอกว่า "ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
เราไม่เคยทำไว้ ขอให้พอได้ใช้สอยเป็นวัดเป็นวาเท่านี้ก็พอแล้ว
เอารวยมากเดี๋วก็ทุกข์"
"โอวาทธรรมหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ"
คัดจาก หนังสือโพธิ์พระเบื้องพุทธบาท
( มหาปุญฺโญวาท ๕ )





...พุทโธ พุทโธ ไปเรื่อยๆ
"อย่าไปคิด"
ความคิดนี่แหละ..
ที่ทำให้ใจเศร้า ไม่สบายใจ
.
...ถ้าเราหยุดความคิดได้
"มันจะไม่เศร้า"
.
...และถ้าอยากจะให้
ไม่เศร้าอย่างถาวร..ก็ปลงว่า
ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องเจ็บ
เจ็บแบบไหนก็ "ต้องเจ็บเหมือนกัน"
.
...บางคนก็เป็นอัมพฤกษ์
บางคนก็แขนขาด ขาขาด
บางคนก็หูหนวกตาบอด
มันก็เป็นอะไรได้สักอย่าง
.
...ต้องยอมรับความจริง
แล้วมันจะไม่เศร้า.
.......................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 29/6/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี






สตินี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้วจิตมันจึงจะล่วง เพราะสติคุ้มครองจิต
ตัวสติก็คือจิตนั่นแหละ แต่ว่าลุ่มลึกกว่า สตินั่นอบรมจิต
ครั้นอบรมจนขั้นจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว
มันจึงหายความหลง พบความสว่าง ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ
ครั้งมีสติคุ้มครองหัดไปจนแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำ
ให้มันสำเหนียกแล้ว มันจะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
สติแก่กล้าจิตย่อมทนไม่ได้ เมื่อทนไม่ได้ก็สงบลง
ครั้งสงบลงแล้วมันก็รู้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา
มันก็ส่ายไปมาเพราะมันไปหลายทาง
จิตไปหลายทางเพราะเป็นอาการของมัน
เมื่อผู้วางภาระ คือว่าง ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้เป็นตัวเป็นตนแล้ว
ไม่ยึดถือแล้วปลงเป็นผู้วางภาระก็มีความสุข
จะยืน เดิน นั่ง ก็มีความสุข
ไม่ยึดถือเพราะรู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว
.
หลวงปู่ขาว อนาลโย






"มะม่วงมันอยู่สูงห้าเมตร
เราอยากได้ เอาไม้สิบเมตรมาสอยไม่ได้
มันยาวเกินไป เอาไม้สองเมตรมาสอย
มันก็ไม่ได้ ไม่พอดี มันสั้นเกินไป

เราอย่าเข้าใจว่า คนจบดอกเตอร์
มาปฏิบัติสบายเหลือเกิน เพราะเรียนรู้
มาพอแล้ว อย่าเข้าใจอย่างนั้น
ดอกเตอร์ มันยาวเกินไปก็ได้"

-:-หลวงปู่ชา สุภัทโท-:-







"...ปัจจุบันทุกวันนี้ก็เหมือนกัน รูปที่เป็นอยู่เป็นของสกปรกทั้งนั้น ไม่ว่ารูปหญิง รูปชาย รูปพระ รูปฆราวาส เป็นเหมือนกันหมด

เหตุใดมันจึงเป็นอย่างนั้น ของที่เราขบฉันรับประทานกันลงไป เป็นของเน่า ของเหม็น ของเสียทั้งนั้น ไม่ใช่ของดิบของดีอะไร เป็นต้มเป็นแกง เป็นผัดเป็นทอดต่างๆ ถ้าเราทิ้งเอาไว้ ของเหล่านั้นจะเน่า จะเหม็น จะเสีย อยู่ไปคืนสองคืน มีกลิ่นแล้ว

นี่ร่างกายของเรา ที่เอาของเน่าของเหม็นมาบำรุงบำเรอ มันก็เป็นก้อนของเน่า ของเหม็นปฏิกูล ไม่ใช่ของสวยงามอะไร เพราะเหตุนั้น ในร่างกายของเราทั่วไป ไหลออกทางทวารใด ก็มีแต่ของสกปรกเน่าเหม็น ไม่เป็นของดิบของดี ของหอมหวาน มีแต่ของเน่า

เพียงแค่ลมออกมาเท่านั้น มันก็ยังมีกลิ่น แสดงว่ามันเน่าทั้งตัว มันเหม็นทั้งตัว ไม่มีอะไรที่จะดีวิเศษ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
วัดป่าแก้วชุมพล ต.บ้านชุม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร







"...เมื่อจิตของเราวางหมด ละหมด ปล่อยหมด ว่างหมด มันก็หมดภัยหมดเวร หมดบาปหมดกรรมนั่นซี่ เพราะผู้นี้ ไม่เป็นกรรมแล้ว กรรมมันจะมาจากไหนเล่า ผู้นี้ไม่เป็นภัยแล้ว ภัยมันจะมาจากไหนเล่า ผู้นี้ไม่มีความชั่วแล้ว ความชั่วมันจะมาจากไหนเล่า

เพ่งดูซี่ ให้น้อมเข้ามาภายใน ฟังทางในมันปรุงมันแต่งสังสารจักรเครื่องหมุนเวียน ทีนี้พอเป็นอรหันต์จึงว่าหักซึ่งสังสารจักร คือหักอารมณ์สัญญานี่ซี่ ความปรุงความแต่งนี้เป็นเครื่องจักรหมุน อิทังโข ภิกขเว ทุกขังอริยสัจจัง ชาติปิทุกขา นั่น ของจริง คือความเกิดความแก่ความเจ็บความตายเป็นทุกข์ จริงอย่างนี้หละ

เมื่อเราเห็นแล้ว เราก็มาดูหัวใจเราซี่เอ้า ต่อไปนี้ให้พากันพิจารณาให้มันรู้มันเห็น สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติรู้เองเห็นเอง จะไม่เห็นยังไงได้จิตของเราเอง เพ่งเล็งดูให้มันรู้มันเห็นซี่ ให้มันแน่นอนลงไป ให้มันเห็นจริงแจ้งประจักษ์

อย่าให้คนล่อลวงว่าสุขเป็นยังงั้นทุกข์เป็นยังงี้ ดีเป็นยังงั้น ไม่ดีเป็นยังงี้ ไม่ต้องสงสัย สุขจริงไหม ทุกข์จริงไหมใจของเรา นั่งอยู่เดี๋ยวนี้หละ นั่น ให้รู้มันซี่ เกิดจริงไหม แก่จริงไหม ให้รู้ซี่ มันไม่เกิดจริงไหม มันไม่แก่จริงไหม ไม่มีใครไปก่อภพก่อชาติ มันก็ไม่เกิดซี่ เมื่อไม่เกิดแล้วความแก่จะมาแต่ไหนล่ะ นี่หละให้พากันพึงรู้พึงเห็นต่อไป..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







บุคคลที่มีความสงบสำรวมมักเป็นผู้ที่มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ เพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีพลังงานด้านลบ ออกมาจากตัวตนของคนผู้นั้น... คือ
1. เป็นผู้ไม่ฉุนเฉียว
2. เป็นผู้ไม่หวาดหวั่น
3. เป็นผู้ไม่โอ้อวด
4. เป็นผู้ไม่ก่อ ความรำคาญ
5. เป็นผู้พูดด้วย ปัญญา
6. เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
7. เป็นผู้มีวาจา อันสำรวมแล้ว
8. เป็นผู้วางตัว เป็นกลาง
9. เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
10. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่า เสมอกับเขา
11.เป็นผู้ไม่ถือตัวว่า วิเศษกว่าเขา
12.เป็นผู้ไม่ถือตัว ว่าต่ำกว่าเขา
13. เป็นผู้ไม่มีโทษ อันทำให้มืดมัวดุจฝ้า
14. เป็นผู้ไม่ยึดถือ สิ่งใดๆ ในโลกว่า เป็นของตน
15. เป็นผู้ไม่เศร้าโศก เพราะสัตว์และสังขารที่เสื่อมไป
16. เป็นผู้ไม่ถึงอคติ ในธรรมทั้งหลาย"

โอวาทหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
วัดป่าบ้านหนองผือนาใน จ.สกลนคร







นักปฏิบัตินะ ครูบาอาจารย์ท่านก็ดูอยู่ เทวดาท่านก็ดูอยู่ เขาเห็นเราตลอด มนุษย์เราตาบอด จะไปเห็นอะไร เทียวไปเทียวมาทางเก่าหลายสิบครั้ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดก็ไม่เห็นอะไร มันตาบอด ถ้าตาดีมันจะเห็นน่ะ....
โอวาทธรรม...หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี






แผ่นดินอันนี้ก้อนโลกอันนี้ เพียงแต่ว่าเป็นทางผ่านทางเดิน เต็มไปด้วยขวากด้วยหนาม คนไหนที่ตาดีหูดี คนนั้นไม่บาดเจ็บ คนไหนตาไม่ดีหูไม่ดี ไม่มีสติปัญญา คนนั้นจะมีแต่บาดแต่แผล คือมีอกุศลธรรมฝังแน่นอยู่ในจิตในใจ
อกุศลธรรมจะหลุดไปได้ ไม่ใช่เพราะมีการเกิดการตายยาวนาน จะหลุดจะสิ้นจะหมดไปได้ ต้องอาศัย มีข้อปฏิบัติ มีสติ มีปัญญา ข้อปฏิบัติจึงมีความจำเป็น สติปัญญาจึงมีความจำเป็น ขาดข้อปฏิบัติไม่มีข้อปฏิบัติแล้ว สติปัญญาที่จะแก้อกุศลความเศร้าหมอง ที่เป็นอยู่ในจิตในใจนี่ ไม่มีทางที่จะแก้ให้หลุดไปได้
โอวาทธรรม...หลวงปู่แบน ธนากโร







“พวกเราเป็นชาวพุทธ อย่าไปคอยแต่อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในสากลโลก
ให้มาช่วยตนให้มีความสุข ความเจริญต่างๆ นานาอย่างนี้
ไม่มีหรอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้
ที่จะช่วยบุคคลผู้ประมาท
จะช่วยแต่บุคคลผู้ไม่ประมาท

ผู้สั่งสมบุญกุศล ผู้มีศีลธรรมอันงาม
แม้ว่าไปเกิดอุปสรรคความขัดข้องอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา
แล้วผู้นั้นอธิษฐานจิตถึงบุญถึงคุณของตน
หากบุญคุณของตนที่บำเพ็ญมามันมากพอ
มันก็จะไปดลจิตดลใจของเทวดาอินทร์พรหมให้ล่วงรู้ว่า..
โอ้ คนมีบุญผู้นี้กำลังประสบอุปสรรคขัดข้อง
อย่างใดอย่างหนึ่ง เราจำเป็นต้องลงไปช่วย

ไม่ใช่เทวดาก็พญาอินทร์ ไม่ใช่ก็ท้าวมหาพรหมลงมาช่วย
มาช่วยแก้ไขอุปสรรคของผู้นั้นให้ลุล่วงไปด้วยดี
ผู้นั้นก็ถึงซึ่งความสุขความเจริญนี่

การที่เทวดาอินทร์พรหมจะช่วยมนุษย์เราน่ะ
มนุษย์เราต้องช่วยตนเองให้เต็มที่เสียก่อน
ต้องสั่งสมบุญให้มากซะก่อน”

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภวัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
หนังสือ “หลวงปู่เล่าเรื่อง”






หากทำความเข้าใจในธรรมได้ถูกต้องแล้ว
ก็เท่ากับว่าจบหลักสูตรแล้วของการเกิดขึ้นในโลก.
การอยู่โดยสงบไม่มีทุกข์ใดๆ
คือการถึงแล้วแห่งที่สุดของการปฏิบัติ.
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2017, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
เรื่องของ "ธรรมชาติ" นั้นมันกว้างและมากไป ดุจใบไม้ในป่าทั้งป่า

แต่ "สวากขาโต ภควตาธัมโม".....ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสอนนั้น เปรียบใบไม้แค่เพียงในกำมือ ไม่มากมายเกินไปจนยากจะศึกษาจดจำ นำไปปฏิบัติจริง

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้นเป็น

สันทิฏฐิโก = ผู้ทำความเห็นให้ถูกต้องแล้วจะเห็นเอง
เห็นถูกต้องคือ เห็นอนัตตา ใครเห็นซึ้งและเข้าใจถึงอนัตตาก็จะเห็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แทบทั้งหมด

อะกาลิโก = เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัด กาล เวลา
สถานที่ บุคคล เชื้อชาติ เผาพันธ์ วรรณะ ศาสนา ระดับการศึกษา เพศ วัยหรือการแต่งกาย ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นสากลสมบัติของสัตว์โลกทุกชีวิต จิต วิญญาณ

เอหิปัสสิโก = เป็นสิ่งที่เรียกร้องให้เราเข้าไปดูอยู่เสมอ
ธรรมหรืออนัตตาธรรมซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดเอง เป็นเอง
ดับเอง ตามอำนาจแห่งเหตุและปัจจัย จะเกิดขึ้น ดับไปอยู่ในกายใจของเราตลอดเวลา ท้าให้ไปดู ท้าให้พิสูจน์อยู่ตลอดเวลา คนมีสติปัญญาดีจึงจะสังเกตเห็น อนัตตาธรรมจะบอกความจริงตรงประเด็น ว่าเป็นเพียงความ เกิด-ดับ เท่านั้นเอง

โอปนยิโก = ความเห็นธรรมหรือ เห็นอนัตตา นั้น เป็นสิ่งที่ควรพอกพูนให้เกิดขึ้นในใจยิ่งๆขึ้นไป เพราะเมื่อพอกพูนได้ถึงที่แล้ว จะไส่งผลไปให้ อัตตา เหตุแห่งตัณหาผู้สร้างทุกข์ ดับสลายตายขาดไปจากจิต หมดสิ้นไปจากชีวิตตลอดกาล มีพระนิพพานเป็นรางวัล ให้พลันสิ้นทุกข์และความวนเกิด แก่ เจ็บ ตาย

ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหีติ = เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน
ดังนี้

:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2017, 06:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝาก..ไปถึงบางคน...

รสมน เขียน:


...พุทโธ พุทโธ ไปเรื่อยๆ
"อย่าไปคิด"
ความคิดนี่แหละ..
ที่ทำให้ใจเศร้า ไม่สบายใจ

...ถ้าเราหยุดความคิดได้
"มันจะไม่เศร้า"
.
...และถ้าอยากจะให้
ไม่เศร้าอย่างถาวร..ก็ปลงว่า
ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องเจ็บ
เจ็บแบบไหนก็ "ต้องเจ็บเหมือนกัน"

.
...บางคนก็เป็นอัมพฤกษ์
บางคนก็แขนขาด ขาขาด
บางคนก็หูหนวกตาบอด
มันก็เป็นอะไรได้สักอย่าง
.
...ต้องยอมรับความจริง
แล้วมันจะไม่เศร้า.
.......................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 29/6/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี



นี้แหละครับ..ที่ว่า..

หยุดคิด...จึงรู้

แต่จะรู้...ก็ต้องใช้ความคิด...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร