วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b37:
ความฟุ้งซ่านเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่ค่อนข้างจะสำคัญกว่านิวรณ์ตัวอื่นเพราะกว่าจะขุดถอนออกได้ต้องใช้ถึงอรหัตมรรคโน่นเชียว

ซึ่งที่เป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านที่ชัดเจนคือความคิด
หรือจิตตสังขารความคิดแทบทุกอย่างถือเป็นความฟุ้งซ่านของจิต ซึ่งแม้แต่กระทั้งความคิดพิจารณาตามเนื้อธรรมคำสอนถ้าหยุดไม่ได้ สงบไม่เป็นก็ต้องถือว่าเป็นความฟุ้งซ่าน

การที่โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมไปพบกับผัสสะ อารมณ์ ความ
รู้สึกต่างๆแล้วเกิดการสังขารปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา
จะทำให้เกิดความคิดนึกตามมาแล้วลามไปเป็นความฟุ้งซ่าน
เป็นมโนกรรม เกิดตัณหา อุปาทาน กรรมและวิบากต่างๆตามมา แต่ถ้าสติไปรู้ทันเสียตั้งแต่เกิดผัสสะระงับเวทนาที่เกิดตามมาเสียได้ ความฟุ้งซ่านก็ไม่มีโอกาสได้เกิด
(มีต่อ แบตหมดครับ)
ผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆหรือบางทีเก่าๆนานๆแล้วก็ตามพอเกิดผลจากสมาธิ คือ ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ต่างๆขึ้นมาแล้วไปหลงสงสัย เพลิน ติดใจ กลัว สำคัญผิดต่างๆแล้วไปสังขารปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยเป็นงานที่ไม่ใช่งานขึ้นมาคือไปเป็นปัญหาถามครูบาอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข ที่ปรึกษาอาจารย์แก้ให้ไม่เป็น ไม่ถูกประเด็นไม่ถูกเหตุ เลยพากันฟุ้งไปใหญ่ จมลงในปัญหาดังตัวอย่างที่คุณกรัชกายยกมาถามให้เปรอะเยอะแยะมากมาย เมื่อวิเคราะห์ลงไปก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน อุปาทาน สังขารปรุงแต่งไปของผู้ปฏิบัติเหล่านั้นทั้งสิ้น

การแก้ไขอุทธัจจะหรือความฟุ้งซ่านของผู้ปฏิบัตินั้นมีหลักใหญ่ใจความว่าต้องทำให้เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันและงานในหน้าที่ที่เขาต้องทำ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญสมาธิก็ให้มีสติรู้ทันนิวรณ์ทั้ง 5 มีปัญญารู้ตัวว่ากำลังทำหน้าที่สงบนิวรณ์เพื่อให้เกิดสมาธิและฌาณ มิใช่งานอื่นและยังไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปัญญาวิปัสสนา นิวรณ์ 5 สงบดีแล้วเมื่อไหร่จึงค่อยไปทำความเพียรเจริญปัญญาต่อ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญวิปัสสนาปัญญาก็คอยรักษาระดับสมาธิให้เพียงพอสำหรับการจดจ่อต่อเนื่องในการดู รู้ สังเกตและพิจารณาธรรม ตอนพิจารณาธรรมก็ต้องพยายามทำให้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้คือไม่ลุกลามไปเป็นการคิดฟุ้งซ่าน
ลำดับงานควรจะมีเพียง
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไปในกายในใจ ไม่ให้แลบต่อไปถึงการพิจารณาที่ต้องใช้ความคิดนึก เพราะสภาวธรรมจริงที่เป็นปรมัตถ์อนัตตา ใช้แค่ปัญญาดูสังเกต ก็จะรู้หรือเกิดปัญญารู้ขึ้นมาเองตรงในใจไม่ต้องคิดนึก

แต่ถ้าจำเป็นจะต้องถอยออกมาคิดนึกพิจารณาเป็นธรรมวิจัยหรือการใคร่ครวญธรรม ก็อาจทำได้เพื่อให้เกิดจินตมยปัญญามาหนุนภาวนามยปัญญาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแต่ต้องคอยระวังเพราะตอนนั้นสติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ต้องมาทรงอยู่ทำงานพิจารณาอดีตหรืออนาคตอารมณ์ โมหะและจิตตสังขารสามารถแทรกเข้ามาจนเกิดเป็นความฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พิจารณาพอได้แนวทางแล้วก็ต้องรีบกลับไปอยู่ตรงช่องทางเดินของวิปัสสนาภาวนาคือ สติ ปัญญาไปอยู่ตรงงาน
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมตามที่มันเป็น (ตถตา)
ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่รู้ตามที่ตำราบอกสอนไว้ มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม

:b36:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 29 ธ.ค. 2016, 19:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b32:
สุเมธดาบสสามารถบรรลุอรหันต์ได้เมื่อได้ฟังพระทีปังกะระพุทธเจ้าชาตินั้นเลย
ท่านอโศกะว่าสุเมธดาบสฟุ้งซ่านหรือคิดถูกต้องและบารมีคือความดีพร้อมแล้วอ่ะ
การได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วและต้องเกิดอีก4อสงไขย
เรียกว่าฟุ้งซ่านไหม...การคิดถูกต้องตามคำสอน...ตามคำสอนเท่านั้นคือปัญญาบารมีน๊า
:b3: :b3:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
กิเลสคือไม่รู้ไม่เข้าใจ
รู้คือปัญญาเกิดตอนฟัง
ไม่ฟังก็ไม่รู้จักกิเลสของตน
:b13: :b16:
http://www.youtube.com/watch?v=4Oxr_U3-GcY
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 19:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b32:
สุเมธดาบสสามารถบรรลุอรหันต์ได้เมื่อได้ฟังพระทีปังกะระพุทธเจ้าชาตินั้นเลย
ท่านอโศกะว่าสุเมธดาบสฟุ้งซ่านหรือคิดถูกต้องและบารมีคือความดีพร้อมแล้วอ่ะ
การได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วและต้องเกิดอีก4อสงไขย
เรียกว่าฟุ้งซ่านไหม...การคิดถูกต้องตามคำสอน...ตามคำสอนเท่านั้นคือปัญญาบารมีน๊า
:b3: :b3:
onion onion onion

:b8:
ขอบคุณที่คุณรสรินมาสนใจกระทู้นี้ครับ

กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่คิด ตั้งใจจะให้เป็นคำตอบแก่คุณกรัชกายในปัญหาทั้งหมดของศิษย์กรัชกายที่ไปก้อปเอาอารมณ์ของศิษย์ทั้งหลายกระจายถามไปในกระทู้ต่างๆนับสิบกระทู้ดังที่ได้เห็นได้อ่านกันครับ
พอดีคุณรสรินมาสนใจตั้งคำถามให้ก่อน ก็ดีครับ จะได้สนทนากันไป คุยกันไปพลางๆจนกว่ากรัชกายจะปรากฏร่างขึ้นมา

การที่ท่านสุเมธดาบสไม่ยอมบรรลุอรหันต์ทันทีที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทีปังกรไม่ใช่เรื่อฟุ้งซ่านหรือไม่ฟุ้งซ่าน คิดถูกต้องหรือคิดผิดอะไรนะครับระดับสุเมธดาบสนี่ นิวรณ์ 5 สงบไปนานแล้วไม่ต้องห่วงและอย่าคิดอนุมานเอาเอง

ที่ท่านไม่ยอมบรรลุธรรมก็เพราะติดและกำลังเสวยวิบากของความปรารถนาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้าทีปังกรและการมีจิตน้อมที่จะอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ของท่าน

เป็นธรรมของพระโพธิสัตว์ทุกท่านทุกองค์ที่จะไม่ทำโสดาปัตติมรรคได้ถ้ายังไม่ถึงวาระและชาติที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ลองไปสืบสาวราวเรื่องหาอ่านดูเรื่องคุณลักษณะของพระโพธิสัตว์นะครับ น่าจะมีบอกไว้ในพระสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2016, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
กิเลสคือไม่รู้ไม่เข้าใจ
รู้คือปัญญาเกิดตอนฟัง
ไม่ฟังก็ไม่รู้จักกิเลสของตน
:b13: :b16:
http://www.youtube.com/watch?v=4Oxr_U3-GcY
onion onion onion

s004
ปัญญา รู้ ไม่ได้ถูกล้อคไว้ว่าจะเกิดขึ้นแต่ตอนฟังเสมอไปอย่างที่คุณพิมกำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่ขณะนี้นะครับ

ปัญญาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกตอนกับทุกผัสสะของอายตนะทั้ง 6 ครับ

คำว่า "ปัญญา" ที่แท้จริงนั้นคือ

ความรู้ที่เกิดรู้ขึ้นตรงที่ใจ หรือที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา"
ปัญญาชนิดนี้เท่านั้นที่จะทำให้เกิดการยอมรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์


ปัญญาที่เกิดจากผัสสะของทวารทั้ง 5 คือเว้น มโนทวาร
นอกนั้นถือเป็นสุตตะและจินตมยปัญญาต้องอาศัยสัญญาความจำหมายในบัญญัติมาช่วย สุดท้ายเมื่อมาลงรู้ที่ใจตรงๆแล้วจึงจะเป็นภาวนามยปัญญาหรือปัญญาที่แท้จริงครับ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2016, 01:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b32:
ครั้งพุทธกาลไม่มีใครทราบล่วงหน้าแบบไปอ่านท่องจำคำสอนมาก่อนหรอกค่ะ
ปัญญาถึงเฉพาะพระธรรมที่ทรงแสดงความจริงให้รู้ตัวเด่วนี้เลยค่ะถูกไหม
ที่เอามาสนทนาเอ่อแบบว่ารู้เกินความจริงที้ตนกำลังมีอ่ะค่ะเรียกว่าจำ
สัญญาจำไว้ล่วงหน้าว่าสภาวะแบบนี้ชื่ออะไรบ้างเป็นสัญญานะคะ
เหมือนเดินผ่านทางนี้ทุกวันมีอะไรเห็นหมดเลยเหมือนรู้ค่ะแต่ไม่รู้
เพราะดูแต่สิ่งต่างๆที่แสดงสมมุติบัญญัติที่ตนยังเข้าไม่ถึงสัจจะค่ะ
เดินไปเนี่ยใครรู้บ้างว่าแต่ละวันมีฝุ่นปลิวไปมามากแค่ไหนติดเท้า
ไม่รู้ถูกไหมคะ...ปัญญาต้องรู้ว่าสัญญาที่กายจิตตนเองตรงคำไหน
ที่ถึงสัจจะจริงๆคือเข้าถึงความจริงที่ปะทะเฉพาะตนซึ่งหน้าทันที
ไม่ใช่การจำชื่อบัญญัติที่มีการขยายความยาวๆเช่นอริยสัจธรรม
แค่คิดคำ1คำได้แต่ไม่ใช่ความรู้สึกทันทีก็คือเลยปัจจุบันขณะแล้ว
ถามที่เถอะค่ะท่านอโศกะมีสติไหมในการเข้าถึงความจริงตรงจริง
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2016, 07:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39:
น้องพิมคงยังไม่เข้าใจปัญญา 3 เพราะยึดติดแน่นกับความเห็นสุดโต่งของตน
จึงเกิดอาการเอียงกะเท่เร่ พูดซ้ำอยู่อย่างเดียวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
ต้องปล่อยวางสิ่งที่ยึดว่าใช่นั้นเสียจึงจะกลับสู่
ตรงกลาง ทางสายกลางและสมดุลย์

"สัพเพธัมมา นาลังอภินิเวสายะ"

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

จิตใจที่ลงกลางดีแล้วและได้สมดุลย์จะพูดเป็นกลางๆ ปกติ ไม่สุดโต่งโด่งชี้ชัดตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง
เพราะสังขารความปรุงแต่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทุกขังทนตั้งอยู่คงสภาพอยู่ถาวรอย่างนั้นไม่ได้
ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เขาหากเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุ ปัจจัยและกรรม
:b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2016, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b39:
น้องพิมคงยังไม่เข้าใจปัญญา 3 เพราะยึดติดแน่นกับความเห็นสุดโต่งของตน
จึงเกิดอาการเอียงกะเท่เร่ พูดซ้ำอยู่อย่างเดียวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
ต้องปล่อยวางสิ่งที่ยึดว่าใช่นั้นเสียจึงจะกลับสู่
ตรงกลาง ทางสายกลางและสมดุลย์

"สัพเพธัมมา นาลังอภินิเวสายะ"

"ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

จิตใจที่ลงกลางดีแล้วและได้สมดุลย์จะพูดเป็นกลางๆ ปกติ ไม่สุดโต่งโด่งชี้ชัดตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง
เพราะสังขารความปรุงแต่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทุกขังทนตั้งอยู่คงสภาพอยู่ถาวรอย่างนั้นไม่ได้
ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เขาหากเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุ ปัจจัยและกรรม
:b55:

Kiss
:b32:
ท่านอโศกะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลยเพราะไม่มีสติตรงความจริง
แต่ท่านอโศกะหลงสมมุติที่ตนยึดมั่นในสิ่งที่ตนทำว่ารู้จริง
แต่พระพุทธเจ้าตรัสให้รู้ความจริงที่กำลังมีจริง/จริงๆ
เช่นจิตเห็นจะเกิดได้ต้องมี3ธัมมะประจวบกันคือ
1จักขุวิญญาณ2จักขุปสาทะรูป3รูปของสีสันวรรณะ
:b53:
จิตเห็นเกิดจากรูปพิเศษที่กลางตาที่คนมองไม่เห็น
แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่พระองค์เห็น
ทั้ง3ธัมมะที่ประจวบกันพระพุทธเจ้าผู้เดียวที่เห็น
ไม่มีใครสามารถเห็นจักขุปสาทะรูปจริงไหมคะ
แล้วที่ทุกคนรู้ว่าจิตเห็นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
เพราะศึกษาคำสอนเข้าใจตามคำสอนถูกไหม
หรือท่านอโศกะมีปัญญามองเห็นจักขุปสาทะรูป
:b51:
จักขุปสาทะรูปคือรูปพิเศษตรงกลางตาเป็นที่ตั้งของเห็น
จักขุวิญญาณเกิดปรากฏว่าเห็นได้เพราะมีการปรากฏ
การกระทบกันของจักขุปสาทะรูปกับอุปาทายะรูป(คือสีที่มหาภูตรูป)
ถ้าท่านอโศกะคิดว่ารู้ความจริงของเห็นเป็นไปได้ไหม
เพราะพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เห็นรูปพิเศษที่กลางอายตนะภายในทั้ง6ทาง
:b53:
ท่านอโศกะคิดว่าเชื่อพระพุทธเจ้าเพราะอะไร
คงไม่ใช่เพราะเห็นจักขุปสาทะหรือปสาทะอื่นๆ
เพราะปสาทะรูปที่พิเศษอยู่ตรงกลางที่มหาภูตรูป
คือที่กลางตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่มีใครเห็นนะคะ
เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
แม้พระสารีบุตรก็ไม่ได้รู้เห็นเอง
เพราะสาวกคือผู้รู้ตามเท่านั้น
คิดได้ตามพระปัญญาใคร
:b16:
พระผู้มีพระภาคอะระหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2017, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Rosarin เขียน:



สุเมธดาบสสามารถบรรลุอรหันต์ได้เมื่อได้ฟังพระทีปังกะระพุทธเจ้าชาตินั้นเลย
ท่านอโศกะว่าสุเมธดาบสฟุ้งซ่านหรือคิดถูกต้องและบารมีคือความดีพร้อมแล้วอ่ะ
การได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วและต้องเกิดอีก4อสงไขย
เรียกว่าฟุ้งซ่านไหม...การคิดถูกต้องตามคำสอน...ตามคำสอนเท่านั้นคือปัญญาบารมีน๊า


ขอบคุณที่คุณรสรินมาสนใจกระทู้นี้ครับ

กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่คิด ตั้งใจจะให้เป็นคำตอบแก่คุณกรัชกายในปัญหาทั้งหมดของศิษย์กรัชกายที่ไปก้อปเอาอารมณ์ของศิษย์ทั้งหลายกระจายถามไปในกระทู้ต่างๆนับสิบกระทู้ดังที่ได้เห็นได้อ่านกันครับ
พอดีคุณรสรินมาสนใจตั้งคำถามให้ก่อน ก็ดีครับ จะได้สนทนากันไป คุยกันไปพลางๆจนกว่ากรัชกายจะปรากฏร่างขึ้นมา

การที่ท่านสุเมธดาบสไม่ยอมบรรลุอรหันต์ทันทีที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทีปังกรไม่ใช่เรื่อฟุ้งซ่านหรือไม่ฟุ้งซ่าน คิดถูกต้องหรือคิดผิดอะไรนะครับระดับสุเมธดาบสนี่ นิวรณ์ 5 สงบไปนานแล้วไม่ต้องห่วงและอย่าคิดอนุมานเอาเอง

ที่ท่านไม่ยอมบรรลุธรรมก็เพราะติดและกำลังเสวยวิบากของความปรารถนาจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้าทีปังกรและการมีจิตน้อมที่จะอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ของท่าน

เป็นธรรมของพระโพธิสัตว์ทุกท่านทุกองค์ที่จะไม่ทำโสดาปัตติมรรคได้ถ้ายังไม่ถึงวาระและชาติที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ลองไปสืบสาวราวเรื่องหาอ่านดูเรื่องคุณลักษณะของพระโพธิสัตว์นะครับ น่าจะมีบอกไว้ในพระสูตร


อ้างคำพูด:
ตั้งใจจะให้เป็นคำตอบแก่คุณกรัชกายในปัญหาทั้งหมดของศิษย์กรัชกายที่ไปก้อปเอาอารมณ์ของศิษย์ทั้งหลาย


ท่านอโศก เหมือนคนหนามตำไม่เจ็บ เหยียบก้นบุหรี่ไม่ร้อน ยุงกัดไม่รู้สึก อิอิ เหมือนคนไม่มีสัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ คือจะเอาแต่ทิ้งท่าเดียว ทิ้งไปทิ้งมากางเกงในก็ทิ้ง ก็บอกแล้วว่าถ้าอยู่อินเดียเป็นเถียรถีย์นิครนถ์แก้ผ้าเดินไปแล้ว บอกไม่เชื่อ

บอกนับครั้งไม่ถ้วนว่าไม่ใช่ศิษย์กรัชกาย :b32: คือบอกว่าคนปฏิบัติจริงๆแล้วประสบปัญหาจากการภาวนาไปต่อไม่ได้ เขาตั้งกระทู้ถามๆกันตามบอร์ดต่างๆ

ทั้งที่วางลิงค์ที่มาให้แล้วก็ไม่สำเหนียกสำนึก เออ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2017, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ความฟุ้งซ่านเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่ค่อนข้างจะสำคัญกว่านิวรณ์ตัวอื่นเพราะกว่าจะขุดถอนออกได้ต้องใช้ถึงอรหัตมรรคโน่นเชียว

ซึ่งที่เป็นลักษณะของความฟุ้งซ่านที่ชัดเจนคือความคิด
หรือจิตตสังขารความคิดแทบทุกอย่างถือเป็นความฟุ้งซ่านของจิต ซึ่งแม้แต่กระทั้งความคิดพิจารณาตามเนื้อธรรมคำสอนถ้าหยุดไม่ได้ สงบไม่เป็นก็ต้องถือว่าเป็นความฟุ้งซ่าน

การที่โยคีหรือผู้ปฏิบัติธรรมไปพบกับผัสสะ อารมณ์ ความ
รู้สึกต่างๆแล้วเกิดการสังขารปรุงแต่งว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมา
จะทำให้เกิดความคิดนึกตามมาแล้วลามไปเป็นความฟุ้งซ่าน
เป็นมโนกรรม เกิดตัณหา อุปาทาน กรรมและวิบากต่างๆตามมา แต่ถ้าสติไปรู้ทันเสียตั้งแต่เกิดผัสสะระงับเวทนาที่เกิดตามมาเสียได้ ความฟุ้งซ่านก็ไม่มีโอกาสได้เกิด
(มีต่อ แบตหมดครับ)
ผู้ปฏิบัติธรรมใหม่ๆหรือบางทีเก่าๆนานๆแล้วก็ตามพอเกิดผลจากสมาธิ คือ ปีติ ปัสสัทธิ นิมิต ฌาณ ต่างๆขึ้นมาแล้วไปหลงสงสัย เพลิน ติดใจ กลัว สำคัญผิดต่างๆแล้วไปสังขารปรุงแต่งต่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเยอะแยะมากมายเลยเป็นงานที่ไม่ใช่งานขึ้นมาคือไปเป็นปัญหาถามครูบาอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข ที่ปรึกษาอาจารย์แก้ให้ไม่เป็น ไม่ถูกประเด็นไม่ถูกเหตุ เลยพากันฟุ้งไปใหญ่ จมลงในปัญหาดังตัวอย่างที่คุณกรัชกายยกมาถามให้เปรอะเยอะแยะมากมาย เมื่อวิเคราะห์ลงไปก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน อุปาทาน สังขารปรุงแต่งไปของผู้ปฏิบัติเหล่านั้นทั้งสิ้น

การแก้ไขอุทธัจจะหรือความฟุ้งซ่านของผู้ปฏิบัตินั้นมีหลักใหญ่ใจความว่าต้องทำให้เขาเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาอยู่กับปัจจุบันและงานในหน้าที่ที่เขาต้องทำ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญสมาธิก็ให้มีสติรู้ทันนิวรณ์ทั้ง 5 มีปัญญารู้ตัวว่ากำลังทำหน้าที่สงบนิวรณ์เพื่อให้เกิดสมาธิและฌาณ มิใช่งานอื่นและยังไม่ใช่ขั้นตอนการเจริญปัญญาวิปัสสนา นิวรณ์ 5 สงบดีแล้วเมื่อไหร่จึงค่อยไปทำความเพียรเจริญปัญญาต่อ

ถ้าอยู่ในขั้นตอนเจริญวิปัสสนาปัญญาก็คอยรักษาระดับสมาธิให้เพียงพอสำหรับการจดจ่อต่อเนื่องในการดู รู้ สังเกตและพิจารณาธรรม ตอนพิจารณาธรรมก็ต้องพยายามทำให้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้คือไม่ลุกลามไปเป็นการคิดฟุ้งซ่าน
ลำดับงานควรจะมีเพียง
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงและดับไปในกายในใจ ไม่ให้แลบต่อไปถึงการพิจารณาที่ต้องใช้ความคิดนึก เพราะสภาวธรรมจริงที่เป็นปรมัตถ์อนัตตา ใช้แค่ปัญญาดูสังเกต ก็จะรู้หรือเกิดปัญญารู้ขึ้นมาเองตรงในใจไม่ต้องคิดนึก

แต่ถ้าจำเป็นจะต้องถอยออกมาคิดนึกพิจารณาเป็นธรรมวิจัยหรือการใคร่ครวญธรรม ก็อาจทำได้เพื่อให้เกิดจินตมยปัญญามาหนุนภาวนามยปัญญาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแต่ต้องคอยระวังเพราะตอนนั้นสติจะไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ต้องมาทรงอยู่ทำงานพิจารณาอดีตหรืออนาคตอารมณ์ โมหะและจิตตสังขารสามารถแทรกเข้ามาจนเกิดเป็นความฟุ้งซ่านได้ตลอดเวลา พิจารณาพอได้แนวทางแล้วก็ต้องรีบกลับไปอยู่ตรงช่องทางเดินของวิปัสสนาภาวนาคือ สติ ปัญญาไปอยู่ตรงงาน
ดู
เห็น
สังเกต
รู้
สภาวธรรมตามที่มันเป็น (ตถตา)
ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่รู้ตามที่ตำราบอกสอนไว้ มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม


อ้างคำพูด:
มันจะรู้เองเป็นเองไปตามลำดับโดยธรรม


เป็นคำพูดของคนไม่รู้จะทำอิท่าไหนดี ก็เลยพูดว่ามันจะรู้เองเป็นเองตามลำดับธรรม อิอิ :b32:

ถ้ายังงั้นนะ นี่เขาก็รู้เองเป็นเองไปแล้ว คงไม่ตั้งกระทู้ถามให้เจ็บนิ้วหรอก เออ :b9:


อ้างคำพูด:
ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพัก ประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยง แบบเหวี่ยงหมุนจน เวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลย หมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่า มันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่าทุกอย่างมีเกิดดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน



ก่อนท่านอโศกจะจากโลกนี้ไป ช่วยบอกวิธีกำหนดถี่ๆอย่างทีว่าหน่อยสิ นึกสะว่าเป็นของขวัญปีใหม่ให้กรัชกายแล้วกัน สาธุ เอ้า :b8:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2017, 17:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับทุกๆท่าน
:b8:
ปีใหม่เริ่มต้นชีวิตใหม่กันในทางที่ดีและประเสริฐยิ่งขึ้นกว่าเดิมนะครับ
:b36:
ปีใหม่แต่กรัชกายยังไม่เป็นคนใหม่ ยังฟุ้งซ่านและมากเรื่องเหมือนเดิม ยังยึดติดอยู่กับเรื่องและปัญหาเก่าๆในอดีตที่จำเจ ซ้ำซากนะครับ ยังเปลี่ยนทันนะ กลิ่นอายปีใหม่ยังคุกรุ่นอยู่
grin
:b7:
ปัญหาที่ยกมาถามก็ยังลงล๊อกเดิมเป็นปัญหาของคนที่สติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สัมปชัญญะขาดเหมือนเดิม กรัชกายก็แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้เหมือนเดิม ใช่ไหมครับ

สอนหลักการวิเคราะห์ปัญหาและวิธีแก้ไขให้แล้วก็ไม่ยอมเอาไปใช้ แถมยังกลับมาดูถูกดูแคลนอาจารย์ผู้แนะนำเสียอีก
อย่างนี้คงไปไม่รอดแน่ครับคุณกรัชกาย

ไม่เป็นไร ปีใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ดีๆอีกครั้งหนึ่ง สังเกต พิจารณา จดจำไว้ให้ดีนะจะบอกเทคนิคและวิธีแก้ไขปัญหาทุกเรื่องของกรัชกายให้ ในกระทู้นี้นะ ต่อไปมีปัญหาอะไรก็ให้มาถามในกระทู้นี้กระทู้เดียวก็พอนะ จะได้มีสมาธิและหายฟุ้งซ่านกันเสียที

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2017, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สวัสดีปีใหม่ 2560 ครับทุกๆท่าน

ปีใหม่เริ่มต้นชีวิตใหม่กันในทางที่ดีและประเสริฐยิ่งขึ้นกว่าเดิมนะครับ

ปีใหม่แต่กรัชกายยังไม่เป็นคนใหม่ ยังฟุ้งซ่านและมากเรื่องเหมือนเดิม ยังยึดติดอยู่กับเรื่องและปัญหาเก่าๆในอดีตที่จำเจ ซ้ำซากนะครับ ยังเปลี่ยนทันนะ กลิ่นอายปีใหม่ยังคุกรุ่นอยู่

ปัญหาที่ยกมาถามก็ยังลงล๊อกเดิมเป็นปัญหาของคนที่สติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ สัมปชัญญะขาดเหมือนเดิม กรัชกายก็แก้ปัญหาให้เขาไม่ได้เหมือนเดิม ใช่ไหมครับ

สอนหลักการวิเคราะห์ปัญหาและวิธีแก้ไขให้แล้วก็ไม่ยอมเอาไปใช้ แถมยังกลับมาดูถูกดูแคลนอาจารย์ผู้แนะนำเสียอีก
อย่างนี้คงไปไม่รอดแน่ครับคุณกรัชกาย

ไม่เป็นไร ปีใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ดีๆอีกครั้งหนึ่ง สังเกต พิจารณา จดจำไว้ให้ดีนะจะบอกเทคนิคและวิธีแก้ไขปัญหาทุกเรื่องของกรัชกายให้ ในกระทู้นี้นะ ต่อไปมีปัญหาอะไรก็ให้มาถามในกระทู้นี้กระทู้เดียวก็พอนะ จะได้มีสมาธิและหายฟุ้งซ่านกันเสียที


ยังไปไหนมา? 3 วา 2 ศอกเหมือนเดิม

ไม่ได้ถามเรื่องปีใหม่ ถามเรื่องกำหนดถี่ๆที่ว่านั่นน่า กำหนดยังไง กำหนดถี่ๆ ว่าไปถี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2017, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลียนพ.ศ.ใหม่แล้วท่านอโศกก็ยังเหมียนเดิม เจอะของจริงเข้าไป เพ่นเข้าห้องแทบไม่ทัน คิกๆๆ ทำนายไว้เลย ว่าคืนนี้แอบลักหลับอีก อย่านะๆ :b32:

เปลี่ยนพ.ศ. ใหม่เปลี่ยนใจหรือยัง

https://www.youtube.com/watch?v=YFDCLCw2WQY

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2017, 07:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
การช่วยแก้ปัญหาของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่การจมลงไปในปัญหาร่วมกับเขา แต่ต้องลอยตัวอยูเหนือปัญหาเพื่อจะได้รู้หรือเห็นครอบคลุมปัญหาทั้งหมดและที่มาของปัญหาตลอดจนวิธีแก้ไข

หลักสากลหรือหลักธรรมในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทุกชนิดในโลกหรือนอกโลก คือหลักของเหตุและผล ดังคำบอกของท่านพระอัสชิที่มีต่ออุปติสสะปริพาชกว่า

[size=150]"เยธัมมาเหตุปัพวา เทสังเหตุงตถาคถาคตา เตสัญจโยนิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสมโณ"
"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุนั้นและวิธีดับเหตุนั้น นี่คือคำกล่าวของพระมหาสมณะ"
[/size]

ปัญหาของนายแพทย์ที่ติดปีติ หมุนติ้วดังที่ยกมาถามนั้น เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วเป็นเพราะเหตุที่ สติของเขาไม่ทันปัจจุบันอารมณ์จึงถูกโมหะครอบงำ สัมปชัญญะความรู้ตัวก็ขาดหลุดออกจากทางและหน้าที่แห่งการทำสมาธิภาวนาและวิปัสสนาภาวนาอีกอย่างหนึ่งก็เป็นวิบากหรือผลของกรรมที่เขาต้องเสวยเพราะ คนติดปีตินี่กว่าจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลานับเป็นปีๆ บางคนหมุนเต้นอยู่ไม่นาน บางคนหลายปี อโศกะเคยติดปีติหมุนสั่นเต้นอย่างนี้เกือบ 3 ปีถึงแก้ได้

กระบวนการแก้ไขให้เขารู้เรื่องเหตุและผลแล้วให้เขาเพิ่มความสังเกตให้ลึกละเอียดลงไปอีกว่าก่อนจะมีอาการเต้นหมุนนั้นมีผัสสะ เวทนา อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนเป็นลำดับ
หลังจากเต้นหมุนจบแล้วมีอาการเวทนา อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไรเกิดขึ้นตามมา สอบอารมณ์และส่งอารมณ์ให้ละเอียด จะพบเหตุที่เมื่อปีติเกิดแล้วเกิดอาการเต้นหมุนจากรายละเอียดเหล่านั้น

ถ้าเป็นการปฏิบัติสายหนอก็หนอให้ถี่ๆหนอให้ทันปัจจุบันอารมณ์ที่ลึกละเอียดก่อนและหลังการเกิดอาการผิดปกตินั้น
แต่ถ้ายังมีบริกรรมหนออยู่มักจะไม่ค่อยทันอารมณ์ละเอียดเหล่านั้น ต้องวางหนอแล้วเอาสติตามรู้จิตตรงๆจึงจะไล่ทันกันเพราะไม่ต้องมัวไปพะวงล่าช้าอยู่กับคำบริกรรม หนอ

จากข้อสังเกตและประสบการณ์ที่แก้ปีติให้กับตัวเองและเพื่อนสหธัมมิกได้พบว่า
บางคนติดในรสของปัสสัทธิที่เกิดต่อจากปีติเพราะพอหมุนจบจิตจะหยุดคิดนึกสมาธิตั้งมั่นกายเบาใจเบามีสุขเลยสำคัญผิดเกิดอุปาทานยึดว่าต้องหมุนสั่นเสียก่อนจึงจะได้อาการของปัสสัทธิดังกล่าวมา
เช่นเดียวกับพวกจ้าว คนทรง หรือนักปลุกพระทั้งหลาย ที่จะต้องปลุกตัวเองจนปีติเกิดสั่นเต้นไปทั้งตัว จนลืมตัวลืมตน

ลืมตัวลืมตนนี่สำคัญมาก เพราะถ้าไปอยู่ในภาวะไร้ตัวตยชั่วคราวช่นนั้นได้มันจะไม่เจ็บไม่ปวดมีฤทธิ์มีอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์เกิดขึ้น
(มีต่อ แบตหมด)
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2017, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b38:
การช่วยแก้ปัญหาของผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่การจมลงไปในปัญหาร่วมกับเขา แต่ต้องลอยตัวอยูเหนือปัญหาเพื่อจะได้รู้หรือเห็นครอบคลุมปัญหาทั้งหมดและที่มาของปัญหาตลอดจนวิธีแก้ไข

หลักสากลหรือหลักธรรมในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทุกชนิดในโลกหรือนอกโลก คือหลักของเหตุและผล ดังคำบอกของท่านพระอัสชิที่มีต่ออุปติสสะปริพาชกว่า

"เยธัมมาเหตุปัพวา เทสังเหตุงตถาคถาคตา เตสัญจโยนิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสมโณ"
"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุนั้นและวิธีดับเหตุนั้น นี่คือคำกล่าวของพระมหาสมณะ"

ปัญหาของนายแพทย์ที่ติดปีติ หมุนติ้วดังที่ยกมาถามนั้น เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วเป็นเพราะเหตุที่ สติของเขาไม่ทันปัจจุบันอารมณ์จึงถูกโมหะครอบงำ สัมปชัญญะความรู้ตัวก็ขาดหลุดออกจากทางและหน้าที่แห่งการทำสมาธิภาวนาและวิปัสสนาภาวนาอีกอย่างหนึ่งก็เป็นวิบากหรือผลของกรรมที่เขาต้องเสวยเพราะ คนติดปีตินี่กว่าจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลานับเป็นปีๆ บางคนหมุนเต้นอยู่ไม่นาน บางคนหลายปี อโศกะเคยติดปีติหมุนสั่นเต้นอย่างนี้เกือบ 3 ปีถึงแก้ได้

กระบวนการแก้ไขให้เขารู้เรื่องเหตุและผลแล้วให้เขาเพิ่มความสังเกตให้ลึกละเอียดลงไปอีกว่าก่อนจะมีอาการเต้นหมุนนั้นมีผัสสะ เวทนา อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนเป็นลำดับ
หลังจากเต้นหมุนจบแล้วมีอาการเวทนา อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไรเกิดขึ้นตามมา สอบอารมณ์และส่งอารมณ์ให้ละเอียด จะพบเหตุที่เมื่อปีติเกิดแล้วเกิดอาการเต้นหมุนจากรายละเอียดเหล่านั้น

ถ้าเป็นการปฏิบัติสายหนอก็หนอให้ถี่ๆหนอให้ทันปัจจุบันอารมณ์ที่ลึกละเอียดก่อนและหลังการเกิดอาการผิดปกตินั้น
แต่ถ้ายังมีบริกรรมหนออยู่มักจะไม่ค่อยทันอารมณ์ละเอียดเหล่านั้น ต้องวางหนอแล้วเอาสติตามรู้จิตตรงๆจึงจะไล่ทันกันเพราะไม่ต้องมัวไปพะวงล่าช้าอยู่กับคำบริกรรม หนอ

จากข้อสังเกตและประสบการณ์ที่แก้ปีติให้กับตัวเองและเพื่อนสหธัมมิกได้พบว่า
บางคนติดในรสของปัสสัทธิที่เกิดต่อจากปีติเพราะพอหมุนจบจิตจะหยุดคิดนึกสมาธิตั้งมั่นกายเบาใจเบามีสุขเลยสำคัญผิดเกิดอุปาทานยึดว่าต้องหมุนสั่นเสียก่อนจึงจะได้อาการของปัสสัทธิดังกล่าวมา
เช่นเดียวกับพวกจ้าว คนทรง หรือนักปลุกพระทั้งหลาย ที่จะต้องปลุกตัวเองจนปีติเกิดสั่นเต้นไปทั้งตัว จนลืมตัวลืมตน

ลืมตัวลืมตนนี่สำคัญมาก เพราะถ้าไปอยู่ในภาวะไร้ตัวตยชั่วคราวช่นนั้นได้มันจะไม่เจ็บไม่ปวดมีฤทธิ์มีอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์เกิดขึ้น
(มีต่อ แบตหมด)


อ้างคำพูด:
เยธัมมาเหตุปัพวา เทสังเหตุงตถาคถาคตา เตสัญจโยนิโรโธจะ เอวังวาทีมหาสมโณ"
"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุนั้นและวิธีดับเหตุนั้น นี่คือคำกล่าวของพระมหาสมณะ"


นั่นว่าตามตำรา กรัชกายเปิดหนังสือดูจนมือด้านแล้วนะ คิกๆๆ

ทีหน้า ก่อนเข้าลานชาร์ตแบตให้เต็ม 100 % นะ จำไว้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร