วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 02:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2016, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามเคยครับเห็นที่พันทิบเขาตั้งกระทู้ถามไว้ เป็นเรื่องเกี่ยวการเข้าใจภาษาบัญญัติ
เห็นว่ามีประโยชน์ก็เลยยกเอามาเป็นตัวอย่าง...........

รูปภาพ

ดูจากคำถามแล้วจขกทยังขาดความเข้าใจ บัญญัติ
นั้นคือยังไม่รู้ว่า อะไรเป็นสมมติบัญญัติ อะไรเป็นโวหารบัญญัติ
และอะไรเป็นปรมัตถบัญญัติ

จะชี้ปัญหาของจขกทพอเป็นกระสายก่อนคือ.....เพราะไปจำอะไรมาผิดๆ ก็เลยทั้งมั่วทั้งสับสน
ไม่เพียงเท่านนั้น ยังมั่วโยนกลองไปเป็นความผิดของสมมติบัญญัติอีก.....มั่วทั้งขึ้นทั้งล่อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2016, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าจะพักสะหน่อย โฮฮับหางานให้กรัชกายทำอีกแระ :b32: อยู่ดีไม่ว่าดี ตัวเองพื้นฐานทางบาลีสักขี้เล็บแมวก็ไม่มี แต่ขยันหาเรื่อง :b32:

แค่ฉันทะตัวเดียวก็ฮงตายโฮ้งแล้ว เพราะอะไร ? เพราะฉันทะ ใช้โดดๆฝ่ายดี ฝ่ายกุศลก็มี เช่น ฉันทะ ข้อ ๑ ในอิทธิบาท ๔

ใช้เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งไปต่อกับศัพท์อืื่น ในนิวรณ์ ๕ ข้อ ๑ กามฉันทะ (กามฉันท์) ก็มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า การเอาพุทธพจน์ไปใช้โดยขาดความเข้าใจย่อมเกิดความสับสน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ศึกษาธรรมด้วยวิธีการแปลศัพท์จากพจนานุกรม

ผมจะอธิบายให้ฟังว่า คำที่จขกทยกมานั้นมีความเป็นไปเป็นมาอย่างไร
จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง ล้างวิจิกิจฉาและสักกายทิฐิจากความจำเดิมๆ

ที่ถามในข้อ๑. "กามฉันทะ"กับ"กามราคะ" แตกต่างกันอย่างไร

ก็ต้องตอบว่า ถ้าว่าด้วยเหตุปัจจัย ไม่ต่างกัน เพราะมันเกิดพร้อมกันนั้นเอง
กามราคะเป็น....สมมติ(บัญญัติ) กามฉันทะเป็น.....ปรมัตถ์(บัญญัติ)
กามราคะเป็นเหตุให้เกิดกามฉันทะ
กามราคะเป็นสมมติ(ธรรมชาติภายนอก) กามฉันทะเป็นปรมัตถ์(ธรรมชาติภายในกายใจ)

ส่วนข้อที่๒. ที่ถามว่า "กาม"..... "ราคะ" ...และกำหนัด แตกต่างกันอย่างไร

คำว่า"กำหนัด" เป็นโวหารบัญญติ มีไว้อธิบายลักษณะของธรรม
ความกำหนัดคือ .... ราคะ

"กาม"ในที่นี้ก็คือ ความปรารถนายินดี

เช่นนี้ "กามราคะ" จึงมีความหมายว่า .....ความปรารถนายินดี ย่อมส่งผลให้เกิดความกำหนัด
ซึ่ง"กามราคะ" เป็นสมมติ ย่อมส่งผลให้เกิด ปรมัตถ์ คือฉันทะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ว่าจะพักสะหน่อย โฮฮับหางานให้กรัชกายทำอีกแระ :b32: อยู่ดีไม่ว่าดี ตัวเองพื้นฐานทางบาลีสักขี้เล็บแมวก็ไม่มี แต่ขยันหาเรื่อง :b32:

แค่ฉันทะตัวเดียวก็ฮงตายโฮ้งแล้ว เพราะอะไร ? เพราะฉันทะ ใช้โดดๆฝ่ายดี ฝ่ายกุศลก็มี เช่น ฉันทะ ข้อ ๑ ในอิทธิบาท ๔

ใช้เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งไปต่อกับศัพท์อืื่น ในนิวรณ์ ๕ ข้อ ๑ กามฉันทะ (กามฉันท์) ก็มี


จะดีชั่ว กุศล อกุศล......ล้วนเกิดจากกิเลส :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 07:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หมายความว่า กามราคะ(ความปรารถนายินดี ที่ส่งผลให้เกิดความกำหนัด)นั้น เป็นความคิด(สมมติ)
เมื่อผัสสะแล้วจึงเกิด กามฉันทะ(ปรมัตถ์) ใช่ไหม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ว่าจะพักสะหน่อย โฮฮับหางานให้กรัชกายทำอีกแระ :b32: อยู่ดีไม่ว่าดี ตัวเองพื้นฐานทางบาลีสักขี้เล็บแมวก็ไม่มี แต่ขยันหาเรื่อง :b32:

แค่ฉันทะตัวเดียวก็ฮงตายโฮ้งแล้ว เพราะอะไร ? เพราะฉันทะ ใช้โดดๆฝ่ายดี ฝ่ายกุศลก็มี เช่น ฉันทะ ข้อ ๑ ในอิทธิบาท ๔

ใช้เป็นฝ่ายอกุศลซึ่งไปต่อกับศัพท์อืื่น ในนิวรณ์ ๕ ข้อ ๑ กามฉันทะ (กามฉันท์) ก็มี


จะดีชั่ว กุศล อกุศล......ล้วนเกิดจากกิเลส :b32:



อะไรกิเลส เอาชัดๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางประกบไว้เลย :b32:



กาม ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ

๑. กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่

๒. วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่ กามคุณ ๕

กามคุณ ส่วนที่น่าปรารถนา น่าใคร่ มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ

กามฉันท์, กามฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป เป็นต้น, ความพอใจกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)

ราคะ ความกำหนัด, ความติดใจ หรือความย้อมใจติดอยู่, ความติดใคร่ในอารมณ์

ราคจริต พื้นนิสัยที่หนักใจราคะ เช่น รักสวย รักงาม

กามราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม, ความใคร่กาม (ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐ ข้อ ๑ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๑ ในอนุสัย ๗)

กามสุข สุขในทางกาม, สุขที่เกิดจากกามารมณ์

กามารมณ์ ๑. อารมณ์ที่น่าใคร่ น่าปรารถนา หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้แก่ กามคุณ ๕ นั่นเอง ๒. ในภาษาไทย มักหมายถึงความรู้สึกทางกาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
หมายความว่า กามราคะ(ความปรารถนายินดี ที่ส่งผลให้เกิดความกำหนัด)นั้น เป็นความคิด(สมมติ)
เมื่อผัสสะแล้วจึงเกิด กามฉันทะ(ปรมัตถ์) ใช่ไหม


กามราคะเป็นสมมติภายนอกกายใจ เมื่อกระทบแล้วจะเกิดเป็นโลภะ(ปรมัตถ์ยังไม่ยึดยังไม่ปรุงแต่ง)
แต่ต่อเมื่อกายใจเข้ายึดตัวโลภะ จะเกิดการปรุงแต่งที่มโนทวาร ฉันทะ(ปรมัตถ์)เกิดตอนนี้

ฉันทะไม่ใช่ความคิด แต่ฉันทะเกิดคู่กับความคิด ตัวความคิดคือ....ความกำหนัด
ความกำหนัดมีต้นเหตุมาจากกามราคะ ตัวกามราคะเมื่อกระทบแล้วจะเกิดการปรุงแต่ง
ตัวปรุงแต่งนี้แหล่ะความคิดหรือธัมมารมณ์ที่มีเหตุมาจากกามราคะ

ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ(รูปธรรม )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วางประกบไว้เลย :b32:


ที่เอามาวางประกบ มันเป็นภาษาไทยที่ไปยืมเอาบาลีมาเป็นแม่แบบ
คือไทยไปเอาคำของเขามาสร้างคำใหม่ เพื่อใช้ในการสื่อสารกันในภาษาไทย.....มันไม่ใช่ภาษาธรรมะ

ถ้าว่างจะมาอธิบายเพิ่ม แต่นั้นก็แล้วแต่อารมณ์
ถ้ากรัชกายมาพูดจายียวนกวนโอ๊ย จะเลือกไปสีซอให้ไอ้ทุยฟังดีกว่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
หมายความว่า กามราคะ(ความปรารถนายินดี ที่ส่งผลให้เกิดความกำหนัด)นั้น เป็นความคิด(สมมติ)
เมื่อผัสสะแล้วจึงเกิด กามฉันทะ(ปรมัตถ์) ใช่ไหม


กามราคะเป็นสมมติภายนอกกายใจ เมื่อกระทบแล้วจะเกิดเป็นโลภะ(ปรมัตถ์ยังไม่ยึดยังไม่ปรุงแต่ง)
แต่ต่อเมื่อกายใจเข้ายึดตัวโลภะ จะเกิดการปรุงแต่งที่มโนทวาร ฉันทะ(ปรมัตถ์)เกิดตอนนี้

ฉันทะไม่ใช่ความคิด แต่ฉันทะเกิดคู่กับความคิด ตัวความคิดคือ....ความกำหนัด
ความกำหนัดมีต้นเหตุมาจากกามราคะ ตัวกามราคะเมื่อกระทบแล้วจะเกิดการปรุงแต่ง
ตัวปรุงแต่งนี้แหล่ะความคิดหรือธัมมารมณ์ที่มีเหตุมาจากกามราคะ

ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ (รูปธรรม )



ตรงอื่นมั่วยุ่งเหยิง

ชัดๆนี่เลย

อ้างคำพูด:
ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ (รูปธรรม )


ความคิด เป็นสมมติ เป็นรูปธรรม คิกๆๆๆ

โฮฮับเอ้ย เอ็งจะมั่วจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปถึงไหน :b32:

ความคิด เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรมอย่างเอ็งว่า

ปรมัตถ์ ก็จิตกับเจตสิก ฝ่ายนามธรรม รูป ฝ่ายรูปธรรม ที่เดินแกว่งไปแกว่งมา ส่ายไปส่ายมานั่น พูดให้กว้างออกไป ก็สิ่งที่เห็นด้วยจักขุทั้งหมดนั่น ฝ่ายรูปธรรมทั้งนั้น

ความคิดแต่ละขณะๆนั่นแหละ จิตกับเจตสิก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
หมายความว่า กามราคะ(ความปรารถนายินดี ที่ส่งผลให้เกิดความกำหนัด)นั้น เป็นความคิด(สมมติ)
เมื่อผัสสะแล้วจึงเกิด กามฉันทะ(ปรมัตถ์) ใช่ไหม


กามราคะเป็นสมมติภายนอกกายใจ เมื่อกระทบแล้วจะเกิดเป็นโลภะ(ปรมัตถ์ยังไม่ยึดยังไม่ปรุงแต่ง)
แต่ต่อเมื่อกายใจเข้ายึดตัวโลภะ จะเกิดการปรุงแต่งที่มโนทวาร ฉันทะ(ปรมัตถ์)เกิดตอนนี้

ฉันทะไม่ใช่ความคิด แต่ฉันทะเกิดคู่กับความคิด ตัวความคิดคือ....ความกำหนัด
ความกำหนัดมีต้นเหตุมาจากกามราคะ ตัวกามราคะเมื่อกระทบแล้วจะเกิดการปรุงแต่ง
ตัวปรุงแต่งนี้แหล่ะความคิดหรือธัมมารมณ์ที่มีเหตุมาจากกามราคะ

ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ(รูปธรรม )


คุณ Duangrat สาระพอมั้ยขอรับ :b1: :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
หมายความว่า กามราคะ(ความปรารถนายินดี ที่ส่งผลให้เกิดความกำหนัด)นั้น เป็นความคิด(สมมติ)
เมื่อผัสสะแล้วจึงเกิด กามฉันทะ(ปรมัตถ์) ใช่ไหม


กามราคะเป็นสมมติภายนอกกายใจ เมื่อกระทบแล้วจะเกิดเป็นโลภะ(ปรมัตถ์ยังไม่ยึดยังไม่ปรุงแต่ง)
แต่ต่อเมื่อกายใจเข้ายึดตัวโลภะ จะเกิดการปรุงแต่งที่มโนทวาร ฉันทะ(ปรมัตถ์)เกิดตอนนี้

ฉันทะไม่ใช่ความคิด แต่ฉันทะเกิดคู่กับความคิด ตัวความคิดคือ....ความกำหนัด
ความกำหนัดมีต้นเหตุมาจากกามราคะ ตัวกามราคะเมื่อกระทบแล้วจะเกิดการปรุงแต่ง
ตัวปรุงแต่งนี้แหล่ะความคิดหรือธัมมารมณ์ที่มีเหตุมาจากกามราคะ

ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ(รูปธรรม )


คุณ Duangrat สาระพอมั้ยขอรับ :b1: :b9:



จะถามทำไม ในเมื่อกรัชกาย ไม่สามารถรับรู้ สิ่งที่คุณโฮบอกได้ คงได้แต่ Copy- Paste ไปเรื่อยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตรงอื่นมั่วยุ่งเหยิง

ชัดๆนี่เลย


:b32: มั่วยุ่งเหยิงเพราะในตำราไม่มีนะซิ เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาตอบ

กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ (รูปธรรม )


ความคิด เป็นสมมติ เป็นรูปธรรม คิกๆๆๆ

โฮฮับเอ้ย เอ็งจะมั่วจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปถึงไหน :b32:


บอกแล้วว่า ให้ไปนิมนต์หลวงพ่อมาพูดเอง คุยกับเอ็งนี่มันเสียเวลาว่ะเว้ยเฮ้ย :b32:


กรัชกาย เขียน:

ความคิด เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรมอย่างเอ็งว่า

ปรมัตถ์ ก็จิตกับเจตสิก ฝ่ายนามธรรม รูป ฝ่ายรูปธรรม ที่เดินแกว่งไปแกว่งมา ส่ายไปส่ายมานั่น พูดให้กว้างออกไป ก็สิ่งที่เห็นด้วยจักขุทั้งหมดนั่น ฝ่ายรูปธรรมทั้งนั้น

ความคิดแต่ละขณะๆนั่นแหละ จิตกับเจตสิก


จะบอกไรให้ว่า เอ็งอย่าเอาความเข้าใจผิดๆมาตั้งเป็นประเด็นถามเขา
เอ่ยปากมามันก็มั่วแล้ว เหตุนี้จึงไม่มีประเด็นที่จะตอบ

มันยังแยกแยะไม่ออกเลยว่าอะไรคือรูป อะไรคือธาตุ๔ :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
Duangrat เขียน:
หมายความว่า กามราคะ(ความปรารถนายินดี ที่ส่งผลให้เกิดความกำหนัด)นั้น เป็นความคิด(สมมติ)
เมื่อผัสสะแล้วจึงเกิด กามฉันทะ(ปรมัตถ์) ใช่ไหม


กามราคะเป็นสมมติภายนอกกายใจ เมื่อกระทบแล้วจะเกิดเป็นโลภะ(ปรมัตถ์ยังไม่ยึดยังไม่ปรุงแต่ง)
แต่ต่อเมื่อกายใจเข้ายึดตัวโลภะ จะเกิดการปรุงแต่งที่มโนทวาร ฉันทะ(ปรมัตถ์)เกิดตอนนี้

ฉันทะไม่ใช่ความคิด แต่ฉันทะเกิดคู่กับความคิด ตัวความคิดคือ....ความกำหนัด
ความกำหนัดมีต้นเหตุมาจากกามราคะ ตัวกามราคะเมื่อกระทบแล้วจะเกิดการปรุงแต่ง
ตัวปรุงแต่งนี้แหล่ะความคิดหรือธัมมารมณ์ที่มีเหตุมาจากกามราคะ

ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ(รูปธรรม )


คุณ Duangrat สาระพอมั้ยขอรับ :b1: :b9:



จะถามทำไม ในเมื่อกรัชกาย ไม่สามารถรับรู้ สิ่งที่คุณโฮบอกได้ คงได้แต่ Copy- Paste ไปเรื่อยๆ


:b32: ถามดูความคิดเฉยๆ

นี่ถูกหรือผิด

อ้างคำพูด:
ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิด เป็นสมมติ (รูปธรรม )


เป็นสารธรรมมั้ยว่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2016, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตรงอื่นมั่วยุ่งเหยิง

ชัดๆนี่เลย


:b32: มั่วยุ่งเหยิงเพราะในตำราไม่มีนะซิ เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาตอบ

กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
ปรมัตถ์เป็นนามธรรม มันไม่เที่ยง ความคิดเป็นสมมติ (รูปธรรม )


ความคิด เป็นสมมติ เป็นรูปธรรม คิกๆๆๆ

โฮฮับเอ้ย เอ็งจะมั่วจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปถึงไหน :b32:


บอกแล้วว่า ให้ไปนิมนต์หลวงพ่อมาพูดเอง คุยกับเอ็งนี่มันเสียเวลาว่ะเว้ยเฮ้ย :b32:


กรัชกาย เขียน:

ความคิด เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรมอย่างเอ็งว่า

ปรมัตถ์ ก็จิตกับเจตสิก ฝ่ายนามธรรม รูป ฝ่ายรูปธรรม ที่เดินแกว่งไปแกว่งมา ส่ายไปส่ายมานั่น พูดให้กว้างออกไป ก็สิ่งที่เห็นด้วยจักขุทั้งหมดนั่น ฝ่ายรูปธรรมทั้งนั้น

ความคิดแต่ละขณะๆนั่นแหละ จิตกับเจตสิก


จะบอกไรให้ว่า เอ็งอย่าเอาความเข้าใจผิดๆมาตั้งเป็นประเด็นถามเขา
เอ่ยปากมามันก็มั่วแล้ว เหตุนี้จึงไม่มีประเด็นที่จะตอบ

มันยังแยกแยะไม่ออกเลยว่าอะไรคือรูป อะไรคือธาตุ๔ :b6:



ไหนว่าไปสิ อะไร รูป อะไรธาตุ ๔ เอาาชัดๆ

อ้างคำพูด:
มันยังแยกแยะไม่ออกเลยว่าอะไร คือ รูป อะไรคือธาตุ ๔

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร