วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 15:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ปจฺจตฺตํ" ตามรูปศัพท์ “เฉพาะตน” ไม่มีคำว่า “รู้” อยู่ด้วย ถ้าต้องการพูดต้องการอ้างอิงว่า “รู้เฉพาะตน” พูดให้ครบ “ปัจจัตฺตัง เวทิตัพโพ...”
เต็มๆ
"ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" (วิญญูชน พึงรู้ เฉพาะตน) หมายถึงว่า ผู้ปฏิบัติแล้วได้รู้เฉพาะตัว (เขาเอง) คนอื่นหารู้เข้าใจด้วยไม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างเทียบ รู้เฉพาะตัว (เขาเอง)


อ้างคำพูด:
แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ

แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิ และสวดมนต์ แฟนก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย

มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่าง รู้เฉพาะตน อีก (ตัดๆแต่สาระมา)

อ้างคำพูด:
ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่าท่านน่าจะมาโปรดสัตว์ ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ

แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่ รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน ….


กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว

รู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกาย

รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

ผมสังเกตลมหายใจ รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่า ลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปีติอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลย แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า


"นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น



http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"ปจฺจตฺตํ" ตามรูปศัพท์ “เฉพาะตน” ไม่มีคำว่า “รู้” อยู่ด้วย ถ้าต้องการพูดต้องการอ้างอิงว่า “รู้เฉพาะตน” พูดให้ครบ “ปัจจัตฺตัง เวทิตัพโพ...”
เต็มๆ
"ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" (วิญญูชน พึงรู้ เฉพาะตน) หมายถึงว่า ผู้ปฏิบัติแล้วได้รู้เฉพาะตัว (เขาเอง) คนอื่นหารู้เข้าใจด้วยไม่

Kiss
:b12:
คุณกรัชกาย ยังไม่รู้สึกตัว ทำอะไรชอบคิดถึงแต่คนอื่น โฮฮับ อโศกะ โรส
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตย. "รู้เฉพาะตน" อีก ผู้นี้โยนิโสมนสิการค่อนไปข้างดี


อ้างคำพูด:
เริ่มจาก...ดิฉันสมัครสอบเข้าทำงานราชการในกระทรวงหนึ่ง ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่ดิฉันอยากสอบได้มากๆๆๆ เพราะเงินเดือนน่าพอใจ ที่สำคัญถ้าสอบได้ ดิฉันจะได้ทำงานใกล้บ้าน ดิฉันก็ทำทุกวิถีทางเลยค่ะ เพื่อให้สอบได้ ทั้งอ่านหนังสืออย่างเยอะ หาข้อสอบเก่าๆมาทำ นอกจากนั้นดิฉันยังคิดจะติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะบนเจ้าแม่ หรือเจ้าพ่อที่ไหนดี บนด้วยอะไรดี ก็หาข้อมูลใหญ่เลยค่ะ

แล้วก็มาได้ข้อสรุปว่า เอาวะ!!...บนด้วยการถือศีล 5 แล้วกัน เพราะการถือศีล 5 ได้บุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะชอบบุญมากกว่าหมูเห็ดเป็ดไก่ ไข่ต้ม หรือว่าพวงมาลัย...


พอคิดได้ก็เริ่มเลยค่ะ สวดมนต์ สมาทานศีล 5 นั่งสมาธิ แผ่เมตตาทุกคืนก่อนนอน แรกๆอึดอัดมากค่ะ จะทำอะไรก็กลัวผิดศีลไปหมด แล้วก็ชอบเผลอชอบลืมอยู่บ่อยๆ กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้โดยไม่พูดโกหก ไม่ตบยุง 2 อย่างนี้ยากมากๆกว่าจะหมดวันๆนึง..


ดิฉันก็เลยเริ่มรู้สึกว่า ถ้าเรายังรู้สึก อึดอัดแบบนี้ ต่อไปเราคงถือศีลได้ไม่กี่วันแน่ๆ เราต้องศึกษาจากคนอื่นบ้าง แล้วว่ามีหลักในการถือศีลอย่างไร คนที่นึกถึงตอนแรกเลยก็คือ พระค่ะ... ดิฉันจึงไปโหลดเสียงธรรมของหลวงพ่อหลายองค์มาฟังเกี่ยวกับหลักในการปฏิบัติ ศีล 5 ยอมรับค่ะว่าเรื่องการฟังเทศน์ มันแล้วแต่จริตคนจริงๆ ว่าจะถูกจริตกับคำสอนของพระองค์ไหน


ดิฉันฟังหลายหลวงพ่อแต่ก็ไม่รู้สึกถูกจริตเป็นพิเศษ จนได้มาฟังเสียงธรรมของหลวงพ่อองค์หนึ่งที่พอฟังปุ๊บ จิตมันหยุดนิ่งไม่อยากละจากเสียงไปไหนเลย เป็นเสียงที่ฟังง่าย คำพูดฟังง่ายๆ แต่ฟังแล้วคิดตามได้แล้วเห็นภาพ ดิฉันก็เปิดฟังเกือบทั้งวันเลยค่ะ ตั้งแต่ตื่น ระหว่างวัน จนถึงก่อนจะนอน เรียกว่าหลับไปกับเสียงธรรมของท่านเลย คำสอนของท่านก้องอยู่ในหัวตลอด ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบอกว่า ศีลนั้นน่ะ มันอยู่ที่เจตนา...พอเริ่มฟังมากๆ ปัญญาก็เริ่มเกิด เริ่มใช้ชีวิตง่ายขึ้น


ผ่านไประยะหนึ่ง... จากที่ตอนแรกดิฉันรักษาศีล ดิฉันก็ค้นพบว่าไปๆมาๆ ศีลต่างหากที่รักษาดิฉัน ชีวิตมันง่ายจัง ชีวิตมันดีจังที่มันใช้ชีวิต โดยมีศีลเป็นกรอบ


พอมีศีล ก็มีสติ เพราะต้องมีสติไว้พิจารณาว่าสิ่งที่เรากำลังคิดจะพูดจะทำนั้น มันผิดในหลักของศีลไหม ถ้าผิดเราจะไม่พูด ไม่ทำ....พอมีสติบ่อยๆ มันก็กลายเป็นมีสติรู้ตัวทั้งวัน


พอรู้ตัวทั้งวัน เวลาที่พูดหรือคุยกับใคร มันกลายเป็นมองข้าม ผิวพรรณ หน้าตา ทรงผม ความจน ความรวย หรือแม้แต่ยศฐาบรรดาศักดิ์ของคนคนนั้นไปเลยค่ะ น่าทึ่งมาก


มันเห็นเลยว่า คนที่เราพูดคุยด้วยอยู่นี้ คำที่พูดออกมามีแต่วาจาน่ารักน่าฟัง หรือวาจาเต็มไปด้วยคำโม้โอ้อวด หรือวาจาเต็มไปด้วยโทสะคำหยาบๆคายๆ หรือพูดแต่เรื่องของคนอื่น ขี้นินทา อิจฉาคนอื่นไหม น่าคบหรือไม่น่าคบ...


พอได้ยินคำพูด มันก็บ่งบอกจิตใจของคนพูด หรือแม้แต่บ่งบอกได้เหมือนกันว่าคนที่เราพูดคุยด้วยอยู่นั้น มีสติไตร่ตรองในคำพูดของตัวเองแค่ไหน..


สติยังทำให้ดิฉันเห็นถึงพัฒนาการของจิตตัวเอง เวลาที่มันมีอะไรมากระทบ เวลามีคนมาทำให้โกรธ จะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตาม ดิฉันสังเกตเห็นว่าจิตมันเฉยๆ มันไม่รู้สึกโกรธตอบ ทำไมมันเฉยอย่างนั้น


ถ้าเป็นเมื่อก่อน มันคงร้อนรนอยากจะเอาคืน แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้ เพียงเพราะอยากบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของศีล ศีลนำมาซึ่งสติ สตินำมาซึ่งความสงบสุขในชีวิตจริงๆค่ะ โดยเฉพาะในโลกที่มันวิ่งวนวุ่นวายใบนี้..


ดิฉันยังเคยนั่งนึกเลยว่า เมื่อก่อนนี้ เราอยู่มาได้ยังไงนะ โดยไม่มีสติมาเป็นเครื่องนำทางในชีวิต เมื่อก่อน เวลาเราจะตัดสินใจพูดหรือทำอะไร เรายึดหลักอะไรล่ะ...


คำตอบที่ได้ คือ อารมณ์ล้วนๆค่ะ เกือบทุกเรื่องดิฉันยังไม่ทันได้คิดไตร่ตรองด้วยซ้ำ อารมณ์มันพาให้พูดให้ทำไปก่อน น่ากลัวจริงๆค่ะที่เคยมีชีวิตแบบนั้น...


ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนนี้ ดิฉันได้พบทาง สายเอกแล้ว ทางสายที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ ทุกสิ่งล้วนต้องทิ้งไว้ในโลก แต่ก็โชคดีที่ดิฉันสอบได้งานตามที่ตั้งใจหวังไว้จริงๆ จะด้วยการบนบานนั้นสำเร็จหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ยังไงดิฉันคงขอเดินบนทางสายนี้ไปจนกว่าเวลาของดิฉันในโลกใบนี้จะหมดไป


หากหมดเวลา ดิฉันขอเอาไปแค่จิตที่บริสุทธิ์ดวงเดียวก็พอ ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การบอกเล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ที่กำลัง เริ่มคิดจะถือศีล กำลังเริ่มถือศีล หรือเพียงแต่กำลังคิดจะหยุดทำผิดศีลก็ตาม อยากบอกว่าคุณเดินมาถูกทางแล้วค่ะ^^


สุดท้ายนี้...หนูต้องกราบขอบคุณพ่อแม่ ที่ทำให้หนูมีโอกาสเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบขอบคุณครูบาอาจารย์ที่สอนให้หนูอ่านออกเขียนได้ ทำให้หนูได้อ่านพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์....
สุดท้าย ดวงจิตดวงนี้ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ที่ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยพระองค์เอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ปจฺจตฺตํ" ตามรูปศัพท์ “เฉพาะตน” ไม่มีคำว่า “รู้” อยู่ด้วย ถ้าต้องการพูดต้องการอ้างอิงว่า “รู้เฉพาะตน” พูดให้ครบ “ปัจจัตฺตัง เวทิตัพโพ...”
เต็มๆ
"ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" (วิญญูชน พึงรู้ เฉพาะตน) หมายถึงว่า ผู้ปฏิบัติแล้วได้รู้เฉพาะตัว (เขาเอง) คนอื่นหารู้เข้าใจด้วยไม่

Kiss
:b12:
คุณกรัชกาย ยังไม่รู้สึกตัว ทำอะไรชอบคิดถึงแต่คนอื่น โฮฮับ อโศกะ โรส
:b32:



แทนที่จะอนุโมทนาขอบอกขอบใจ ว่าเออ คนรักกันชอบกันก็คิดถึงกัน ถ้าไม่รักก็ไม่คิดถึง จริงมะ แต่กลับกลายเป็นว่าทำคุณได้โทษ โปรด...ได้บาป

https://www.youtube.com/watch?v=ZClTdH9fMSQ



มันน่าน้อยใจนัก :b7:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"ปจฺจตฺตํ" ตามรูปศัพท์ “เฉพาะตน” ไม่มีคำว่า “รู้” อยู่ด้วย ถ้าต้องการพูดต้องการอ้างอิงว่า “รู้เฉพาะตน” พูดให้ครบ “ปัจจัตฺตัง เวทิตัพโพ...”
เต็มๆ
"ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" (วิญญูชน พึงรู้ เฉพาะตน) หมายถึงว่า ผู้ปฏิบัติแล้วได้รู้เฉพาะตัว (เขาเอง) คนอื่นหารู้เข้าใจด้วยไม่

Kiss
:b12:
คุณกรัชกาย ยังไม่รู้สึกตัว ทำอะไรชอบคิดถึงแต่คนอื่น โฮฮับ อโศกะ โรส
:b32:



แทนที่จะอนุโมทนาขอบอกขอบใจ ว่าเออ คนรักกันชอบกันก็คิดถึงกัน ถ้าไม่รักก็ไม่คิดถึง จริงมะ แต่กลับกลายเป็นว่าทำคุณได้โทษ โปรด...ได้บาป

https://www.youtube.com/watch?v=ZClTdH9fMSQ



มันน่าน้อยใจนัก :b7:

:b32:
หัวไม่ล้านทำไมขี้น้อยใจ
ถ้าไม่มีคุณกรัชกายมาสร้างสีสัน
คุณกบนอกกะลาจะวิตกกังวลมากเลยน๊า
ลานธรรมจักรเงียบเหงา โพสต์จนหมดมุขหน้าม้า
:b32:
ใช่ไหมคะท่านกบ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คนขี้ใจน้อย อย่าขี้น้อยใจ
รีบเปลี่ยนอารมณ์เร็วๆ
รู้ทันน๊าว่าอกุศลเกิด
ดับแล้วสืบต่อ
เหตุปัจจัย
ของตน
:b12:
มีแฟนคลับคอยติดตามดีกว่าน๊า
ตนไม่เตือนตนแล้วใครจะเตือน
พอคิดว่ามีคนมาเตือนก็นะเห็น
อารมณ์ที่รู้ไม่ทันของตนรึยัง
เกิดดับแล้วเป็นธัมมะทั้งหมด
ชัดเจนน๊ารู้ไม่ทันปัจจุบันขณะ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
คนขี้ใจน้อย อย่าขี้น้อยใจ
รีบเปลี่ยนอารมณ์เร็วๆ
รู้ทันน๊าว่าอกุศลเกิด
ดับแล้วสืบต่อ
เหตุปัจจัย
ของตน
:b12:
มีแฟนคลับคอยติดตามดีกว่าน๊า
ตนไม่เตือนตนแล้วใครจะเตือน
พอคิดว่ามีคนมาเตือนก็นะเห็น
อารมณ์ที่รู้ไม่ทันของตนรึยัง
เกิดดับแล้วเป็นธัมมะทั้งหมด
ชัดเจนน๊ารู้ไม่ทันปัจจุบันขณะ
:b4: :b4:



เกิดๆดับๆที่มโนนั่นน่า มันดับแล้วมันเกิดอีกไหม :b10: หรือมันหายจ้อยไปเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2016, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
คนขี้ใจน้อย อย่าขี้น้อยใจ
รีบเปลี่ยนอารมณ์เร็วๆ
รู้ทันน๊าว่าอกุศลเกิด
ดับแล้วสืบต่อ
เหตุปัจจัย
ของตน
:b12:
มีแฟนคลับคอยติดตามดีกว่าน๊า
ตนไม่เตือนตนแล้วใครจะเตือน
พอคิดว่ามีคนมาเตือนก็นะเห็น
อารมณ์ที่รู้ไม่ทันของตนรึยัง
เกิดดับแล้วเป็นธัมมะทั้งหมด
ชัดเจนน๊ารู้ไม่ทันปัจจุบันขณะ
:b4: :b4:



เกิดๆดับๆที่มโนนั่นน่า มันดับแล้วมันเกิดอีกไหม :b10: หรือมันหายจ้อยไปเลย

cool
:b16:
อ้าวก็เขียนมาว่าน้อยใจ ใจตัวเองไม่รู้ตัวว่ามันเป็นยังไง ก็แค่คำเตือนให้รู้ว่าน้อยใจเป็นอกุศล
ดับแล้วหยุดปรุงแต่งความน้อยใจได้เร็วแค่ไหน มันคือพืชเชื้อแล้ว รอเกิดใหม่ถ้ามีเหตุปัจจัย
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 131 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร