วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 27.98 KiB | เปิดดู 3145 ครั้ง ]
เราชาวพุทธย่อมจะได้ยินคำว่าพุทธันดรจนคุ้นหู แต่ก็อาจจะมีบางท่านที่ไม่เข้าใจกับคำว่า
พุทธันดรนั้นคืออะไร แท้จริงคำว่าพุทธันดรก็คือในระหว่างที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเลย
หรือหมายความว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อันตรธานไปจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้น
นับเป็น ๑ พุทธันดร แต่อย่างไรก็ตามระยะเวลานั้นจะกำหนดว่าเท่านั้นปีเท่านนี้ปีไม่ได้

เพราะบางครั้ง ๑ พุทธันดร นานจนนับไม่ได้กำหนดอะไรไม่ได้ บางครั้ง ๑ พุทธันดรโลกว่าง
แตกดับไปเปล่าว่างจากพระพุทธเจ้าจนนับไม่ถ้วน เรียกว่าอสงไขยกัปป์ หรืออสูญญอสงไขยกัปป์ก็มี
หรือโลกของเราที่เราอาศัยอยู่นี้จะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๕ พระองค์ก็จะมีพุทธันดรเกิดขึ้น ๔ ครั้ง
คือในระหว่างพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ จนถึง พระกกุกสันธะ เรียกว่า ๑ พุทธันดร
จากพระกกุสันธะ จนถึง พระกัสสปะ เรียกว่า ๑ พุทธันดร จากพระกัสสปะ จนถึงพระโคตมะ
พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เรียกว่า ๑ พุทธันดร และจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จนถึง
พระศรีอริยเมตตรัยบังเกิดขึ้นก็เรียกว่า ๑ พุทธันดร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 32.23 KiB | เปิดดู 3119 ครั้ง ]
โลกใบนี้ชื่อว่าภัททรกัปป์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากที่สุดมากกว่าโลกใบอื่นๆที่มีมา
มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์บ้าง ๒ พระองค์บ้าง ๓ พระองค์บ้าง ๔ พระองค์บ้าง
แต่ไม่มีเคย ๕ พระองค์ เหมือนกับโลกใบนี้เลย และยิ่งไปกว่านั้นว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า
บังเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน

ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า
ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว
คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์
และไม่ประโยชน์ ประการใด จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน

จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน
ก็มีมาเสียเปล่า กัปป์แผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัปนับได้อสงไขยแผ่นดิน
จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพระยาจักรผู้ประเสริฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้
จึงมีนามว่าสุญญกัปป์ เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุณหาวาสนาบารมีมิได้ฯ
เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมา สูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม
แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่าจนถ้วนอสงไขย แผ่นดินล่วงลับไปนับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอยกเอาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพุทธันดร มาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้เป็นไปตามหัวข้อกระทู้
เรื่องเปรตพระญาติพิมพิสารราชา ครั้งพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
“พระปุสสะ” บรมโลกนาถ ปรากฏในโลก ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารเกิดเป็นขุนคลัง รับจัดการถวายทาน
แด่พระสงฆ์ ซึ่งมีองค์พระปุสสะพุทธเจ้าเป็นประมุข ตามพระบัญชาของพระกุมารสามพระองค์
ผู้เป็นนายขุนคลังนั้น ครั้นรับหน้าที่ใหญ่ ต้องจัดการเลี้ยงพระสงฆ์มากมายทุกวัน จึงไปเรียกเอาญาติ
ของตนหลายคนมาช่วยทำงานในโรงครัว และช่วยเลี้ยงพระ คนพวกนี้มาทำงาน ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่

แต่พอหลายวันผ่านไปชักเกิดความประมาทขึ้น แอบบริโภคอาหารก่อนพระสงฆ์บ้าง แอบนำอาหารที่เขา
ทำไว้เพื่อถวายพระสงฆ์ไปให้แก่บุตรภรรยาของตนที่บ้านบ้าง ทำอยู่ดังนี้เป็นนิจเสมอมา ตามวิสัยของ
คนโลภ ซึ่งเป็นผู้ท้าทาย ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ นรกสวรรค์ ครั้นถึงคราวตาย พระราชกุมารทั้งสามกับขุนคลัง
ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์ แต่ว่าพวกคนโลภเหล่านั้นต้องลงไปเกิดในนรกสิ้นกาลนาน
ครั้นพ้นโทษจากนรกแล้วจึงเกิดในเปรตวิสัย ครั้งสุดท้ายบังเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต คือ เปรตประเภท
ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้

เปรตพวกนี้ต้องหิวโหยอดอยากอยู่นาน เพราะไม่มีใครทำบุญอุทิศให้

ครั้นล่วงไปถึงสมัยแห่งสมเด็จพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปนี้
ประชาชนได้ฟังเทศน์รู้ธรรมแล้ว เกิดปัญญา รู้จักบำเพ็ญบุญละบาป ทำใจให้สงบ จึงก่อสร้างกองการกุศล
ทำบุญสุนทรทาน แล้วแผ่ส่วนกุศลราศีไปถึงญาติๆของตนในเปรตวิสัย เปรตทั้งหลายที่เป็นญาติของใคร
ครั้นเขาแผ่ส่วนบุญไปให้ ต่างก็ดีเนื้อดีใจ ยกมือขึ้นท่วมหัวอนุโมทนา สาธุการส่วนบุญ ! ก็พ้นจากเปรตวิสัยในโลกเปรต ไปเกิดในภูมิอื่นตามแต่ยถากรรม

เนื่องจากว่าเปรตทั้งหลายผู้เป็นญาติขุนคลัง ครั้นเห็นหมู่เพื่อนเปรตของตนได้ส่วนบุญจากญาติ พ้นทุกข์ไปตามๆ กันเช่นนั้น แต่ว่าตนไม่มีใครอุทิศให้ ยังต้องเป็นเปรตอยู่ตามเดิม ก็มีความน้อยใจ เสียใจอย่างสุดซึ้ง ! ในที่สุดถึงกับพากันไปเฝ้าสมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า แล้วทูลถามว่า

“ข้าพระบาททั้งหลายจักได้อาหาร และจักพ้นจากภาวะความเป็นเปรตนี้เมื่อไหร่หนอ ? พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงมีพุทธฎีกา ตรัสว่า

“ในศาสนาของเรานี้ ท่านจักยังไม่พ้นก่อน ! ต่อเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้วนานแสนนาน แผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าทรงข้ามพ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสารอย่างสง่างาม พระนามว่า “โกนาคมน์” จักมาตรัสรู้ในโลกนี้ ขอท่านทั้งหลายจงคอยเข้าไปถาม พระโกนาคมน์ นั้นเถิด”

ครั้นศาสนาแห่งพระกกุสันโธ เสื่อมสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมน์ก็อุบัติขึ้นในโลก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นจึงเข้าไปทูลถามพระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาจึงพุทธฎีกาตรัสว่า

“แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากเปรตวิสัย ต่อเมื่อเรานิพพานไปแล้วแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า “กัสสโป” จักมาตรัสรู้ในโลกนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงอดใจรอ คอยถามพระกัสสโปนั้นเถิด”

เปรตทั้งหลาย ! ก็อดกลั้นเสีย ซึ่งความอยากพยายามอดทน ต่อความลำบากหิวโหยอยู่ตลอดกาลนาน จนกระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “กัสสโป” มาเสด็จอุบัติตรัสรู้ในโลกนี้ จึงพากันเข้าไปเฝ้าทูลถามพระองค์จึงทรงมีพระมหากรุณาตรัสบอกว่า

“แม้ในศาสนาของเรานี้ ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากเปรตวิสัย ยังไม่ได้รับส่วนบุญ ต่อเมื่อเราเข้าสู่นิพพานแล้ว แผ่นดินสูงขึ้นได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “พระสมณโคดม” บรมโลกุตมาจารย์ผู้ยังชนให้ชื่นชมยินดี มาตรัสรู้ในโลก

ในครั้งนั้นจักมีขิตติยาธิบดี ผู้เป็นญาติเก่าของท่านทั้งหลายพระนามว่า “พิมพิสาร” จะถวายทานแล้วอุทิศส่วนกุศลแผ่บุญทานให้แก่ท่านๆ ก็จะพ้นจากเปรตวิสัยแลจักได้บริโภคอาหารในกาลครั้งนั้น”

ครั้นสมเด็จพระกัสสปทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้ เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ดีเนื้อดีใจราวกับว่าตนจะได้ในวันพรุ่ง ยับยั้งอยู่สิ้นพุทธันดรหนึ่ง

ครั้นถึงพุทธุปบาทกาลนี้พระสมณโคดมบรมครูของเรามาตรัสรู้ในโลก โปรดพระเจ้าพิมพิสารให้ได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล ตั้งอยู่ในอจลศรัทธา มีความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยแล้ว ท้าวเธอก็ทรงจัดแจงเครื่องบิณฑบาตถวายแด่พระพุทธองค์ พร้อมกับพระสงฆ์แล้ว ก็หาได้ทรงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไม่ เพราะขัตติยาบดี มีพระทัยวุ่นวายไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ทรงครุ่นคิดอยู่เพียงว่า จะก่อสร้างพระคันธกุฎีถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณอันล้ำเลิศประเสริฐสุดได้อย่างไร ? เป็นเหตุให้ทรงลืมที่จะแผ่ส่วนพระราชกุศล

ปรทัตตูชีวีเปรตพวกนั้นมารอตั้งนานแล้ว เพราะพุทธดำรัสแห่งพระกัสสปสัมพุทธเจ้า ยังก้องอยู่ในโสตแห่งตนว่าจะพ้นเปรตวิสัย ! ได้บริโภคข้าวปลาอาหารในสมัยที่พระเจ้าพิมพิสาร ทำกุศลทานในศาสนาของพระสมณโคดมของเรานี้ จึงต่างก็หวังอยู่เต็มที่ดีเนื้อดีใจว่า “เวลาวันนี้จักได้ส่วนบุญ”

จึงพากันมาคอยอยู่โดนรอบพระราชนิเวศน์ เพื่อจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศล ครั้นเห็นพระองค์ทรงเฉย ไม่อุทิศให้แต่ประการใดก็เศร้าใจยิ่งนัก ผิดหวังไม่สมความคิดที่รอมานานนักหนา ! ในเวลากลางคืนจึงพากันร้องโอดโอย สำแดงอาหารหิวโหยด้วยสำเนียงเปรตให้ได้ยินเฉพาะแต่องค์พิมพิสารราชา เมื่อพระองค์ได้สดับเสียงเปรตก็ทรงสะดุ้งจิตตกพระทัยเป็นกำลัง รุ่งเช้าจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าพระบาทได้สดับเสียงอันดังพิลึกพิลั่นน่าสยดสยองดังนี้ เหตุผลจะมีดังฤา”

“ดูกรบพิตร ! พระราชสมภาร อย่าได้ทรงกลัวเลย ลามกอันใดอันหนึ่งจะได้บังเกิดแก่พระองค์นั้นหามิได้ สำเนียงที่ทรงสดับนั้นเป็นเสียงฝูงเปรตผู้เป็นญาติของพระองค์ อดอยากมาช้านาน มาคอยรับส่วนกุศลอันบพิตรพระราชสมภารบำเพ็ญแล้ว อุทิศให้ ครั้นมิได้รับส่วนกุศลสมดังที่ตนปรารถนา จึงมาร้องทวงเอาด้วยเสียงอันดัง”

ครั้นได้ทรงสดับพระพุทธฎีกาดังนี้ องค์ขัตติยาธิบดีจึงทูลเกล้าถวายน้ำทักขิโณทก แล้วอุทิศส่วนกุศลว่า “อิทํ โน ญาตีนํ โหตุ ขอผลทานทั้งหลายเหล่านี้จงสำเร็จแก่ปวงญาติทั้งหลายของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด”

สระโบกขรณีเดียรดาษ ด้วยปทุมชาติทั้งหลายก็ปรากฏเกิดขึ้นแก่เหล่าเปรต ในขณะมาตรว่าพระองค์ออกพระโอษฐ์อุทิศจบลง เปรตทั้งหลายต่างก็ดีใจพากันลงอาบดื่มกินน้ำในสระโบกขรณี สรีระเนื้อตัวมีสีดังทอง ความหิวกระหายระงับไปหมดสิ้น สมเด็จพระภูมินทร์จึงถวายข้าวยาคู ข้าวสวย และสรรพาหาร แล้วอุทิศให้ โภชนาหารอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตทั้งหลาย ต่อมาเมื่อขัตติยาบดีถวายผ้าเสนาสนะคันธกุฎี แล้วทรงอุทิศให้ ผ้าทิพย์และวิมาน ก็บังเกิดขึ้นแก่เขา ตามจำนวนวัตถุทานที่ทรงอุทิศ

เมื่อได้อนุโมทนาด้วยกุศลจิต อันเป็นส่วนหนึ่งของบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (มีทาน ศีล ภาวนา และการอ่อนน้อม การช่วยขวนขวายในบุญ การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนา การฟังธรรม การแสดงธรรม การทำความเห็นให้ตรง) เกิดเป็นปัตตานุโมทนามัย คือ บุญกุศลอันเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญที่คนอื่นทำแล้วอุทิศให้แก่ตน เปรตทั้งหลายก็พ้นจากเปรตวิสัยภูมิโลกเปรต เปลี่ยนเพศไปบังเกิดเป็นเทพบุตร เสวยสุขสำราญรื่นเริงยิ่งนักในสรวงสวรรค์ ผลบุญจะสำเร็จแก่เขา คือ

๑. ทานที่พวกญาติทั้งหลาย และหมู่มิตรในมนุษย์โลกนี้ บำเพ็ญทานโดยถวายแด่ท่านผู้มีศีล ถวายแด่สงฆ์ โดยไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเรียกว่า “สังฆทาน”

๒. ครั้นเขาถวายแล้ว ต้องอุทิศกุศลให้เปรต

๓. เปรตตนนั้นต้องมาคอยรับส่วนบุญกุศล แล้วมีจิตอนุโมทนา ผลบุญจึงสำเร็จแก่พวกปรทัตตูปชีวีเปรต

http://thammadeedee.blogspot.com/2011/0 ... st_07.html

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 06:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2018, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ยกเอาเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธันดรมาเล่าต่อ ตามพุทธประวัติ พญานาคยังได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ก่อนการตรัสรู้ เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายแล้ว ได้ถือถาดไปทรงอธิษฐานที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราว่า ถ้าเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ขอให้ถาดลอยทวนกระแสน้ำไป ถ้าไม่ได้เป็นจงลอยไปตามกระแสน้ำ ครั้นอธิษฐานแล้ว ทรงลอยถาดไปในแม่น้ำ ถาดนั้นลอยตัดสายน้ำออกไปจนถึงกลางแม่น้ำ แล้วลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปประมาณ ๘๐ ศอกจึงหมุนจมลงไปตามวังวนแห่งหนึ่ง ถาดนั้นได้ตกลงไปกระทบถาดของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะที่มาตรัสรู้ก่อนหน้านี้ ทำให้พญากาฬนาคราชสะดุ้งตื่นจากหลับ พญากาฬนาคราชคิดว่า เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วพระองค์หนึ่ง วันนี้ตรัสรู้อีกพระองค์หนึ่ง จึงลุกขึ้นสรรเสริญพระพุทธคุณด้วยคาถาหลายร้อยคาถา

พญากาฬนาคราช หรือ พญากาฬภุชคินทร์ มีอายุมากจะหลับอยู่เป็นนิตย์ จะตื่นต่อเมื่อได้ยินเสียงถาดทองที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงลอยลงไปกระทบกับถาดที่มีอยู่เดิม ตามประวัติว่ามีอยู่แล้ว ๓ ถาด เป็นของพระพุทธกุกกุสันธ ๑ พระพุทธโกนาคมน์ ๑ และพระพุทธกัสสป ๑ แสดงว่าพญากาฬนาคราชได้พบพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๓ พระองค์ มาตื่นอีกครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ และจะมีอายุยืนต่อไปจนถึงพระศรีอารยเมตไตรยมาตรัส ขณะนี้กำลังนอนหลับอยู่ เรียกว่านอนคอยพระพุทธเจ้าโดยแท้

อดีตชาติพญานาคราชตนนี้เคยเกิดเป็นสามเณรผู้ทำหน้าที่อุปัฏฐากภิกษุหลายร้อยรูป ตั้งแต่อุปัฏฐากภิกษุสามเณรไม่เคยได้หลับได้นอนเต็มอิ่มสักวัน จึงอธิษฐานขอให้ได้นอนไม่รู้จักตื่น เมื่อตายไปแล้วสามเณรได้ไปเกิดเป็นพญากาฬนาคราช นอนอยู่ในนาคพิภพอันเป็นทิพย์ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้องค์หนึ่งจึงตื่นครั้งหนึ่ง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2018, 07:07 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2948


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร