วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 19:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 06:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 40.09 KiB | เปิดดู 4744 ครั้ง ]
สมถะกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรม
ทั้ง ๒ มี อารมณ์ที่แตกต่างกัน ปลายทางก็แตกต่างกัน
สมถะกรรมฐาณมีอารมณ์กรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์ เส้นทางสูงสุด อรูปพรหม ๔
ระหว่างทาง รูปพรหม ๑๖
วิปัสสนากรรมฐาน มีอารมณ์ สติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ ผลของของวิปัสสนากรรมฐาน
หรือปลายทางของวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ พระนิพพาน และในระหว่างทาง ได้แก่ พระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ปลายทางเข้าสู่ความพ้นทุกข์ ดับขันปรินิพพาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




ภาพนิ่ง1.JPG
ภาพนิ่ง1.JPG [ 42.3 KiB | เปิดดู 4716 ครั้ง ]
.

.. เห็นต่างครับ .. :b1: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
.

.. เห็นต่างครับ .. :b1: :b1:


ผมว่าผมไม่เห็นต่างนะครับ มันมองคนละแง่มุมมอง
แต่ผมเข้าใจว่าคุณวิริยะที่เอาภาพนี้ลงแล้วจะไม่เข้าใจมากกว่า
จึงบอกว่ามีความเห็นต่าง และก็ไม่บอกว่าเห็นต่างยังไง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




1_1_~1.JPG
1_1_~1.JPG [ 42.3 KiB | เปิดดู 4699 ครั้ง ]
ภาพนี้คนที่สร้างขึ้นมาก็มีความเข้าใจผิด จึงสร้างภาพมาผิดตามเข้าใจของตัวเอง
คำว่า มิจฉาสมาธิ นั่นหมายถึง สมาธิเป็นไปในทางอกุศลจิต
และ คำว่า มิจฉาปัญญา นั้นก็หมายถึง โมหะเจตสิก ซึ่งเกิดไปในทางอกุศลจิต

ลองมาคิดซิว่า พรหม ที่เป็นรูปพรหม และอรูปนั้น ไม่มีปัญญาจริงหรือทั้งที่ได้ฌาน ๔ - ๘
ถ้าขาดปัญญาจริงเขาคงทำฌานไม่ได้หรอก ในอรูปพรหมมี อาฬารดาบส และอุทกดาบสเกิดอยู่
แม้ทั้งสองท่านนี้เป็นถึงอาจารย์ของพระพุทธเจ้า และยังถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญามาก
แล้วผู้เขียนจะมาใช้หนทางที่ไปในภูมินี้ว่า เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นมิจฉาปัญญานั้นได้ไฉน

เพียงแต่ว่า อาฬารดาบส กับอุทกบาบส สองท่านนี้ไม่รู้ธรรมอันลึกซึ้งเป็นที่สุดได้
ท่านนึกว่าธรรมตรงนี้ที่ท่านทั้งสองได้นั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีต่อไปอีกแล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 19:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ภาพนี้คนที่สร้างขึ้นมาก็มีความเข้าใจผิด จึงสร้างภาพมาผิดตามเข้าใจของตัวเอง
คำว่า มิจฉาสมาธิ นั่นหมายถึง สมาธิเป็นไปในทางอกุศลจิต
และ คำว่า มิจฉาปัญญา นั้นก็หมายถึง โมหะเจตสิก ซึ่งเกิดไปในทางอกุศลจิต

ลองมาคิดซิว่า พรหม ที่เป็นรูปพรหม และอรูปนั้น ไม่มีปัญญาจริงหรือทั้งที่ได้ฌาน ๔ - ๘
ถ้าขาดปัญญาจริงเขาคงทำฌานไม่ได้หรอก
ในอรูปพรหมมี อาฬารดาบส และอุทกดาบสเกิดอยู่
แม้ทั้งสองท่านนี้เป็นถึงอาจารย์ของพระพุทธเจ้า และยังถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญามาก
แล้วผู้เขียนจะมาใช้หนทางที่ไปในภูมินี้ว่า เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นมิจฉาปัญญานั้นได้ไฉน

เพียงแต่ว่า อาฬารดาบส กับอุทกบาบส สองท่านนี้ไม่รู้ธรรมอันลึกซึ้งเป็นที่สุดได้
ท่านนึกว่าธรรมตรงนี้ที่ท่านทั้งสองได้นั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีต่อไปอีกแล้ว


:b9: :b9:

ปัญญา..ปัญญา..ที่เราๆพูด ๆ กันอยู่นี้..ต้องเป็นปัญญาออกจากทุกข์ได้..ปัญญาในแนวทางของพุทธะ

จบ..ตรี..โท..เอก..เราจึงไม่ถือว่าแสดงถึงการมีปัญญาแล้ว..รึลุงว่า..เป็นปัญญาแล้ว?

ปัญญาของท่านอาจารย์ทั้งสอง...จึงไม่จัดว่าเป็นปัญญาในวงสนทนาแนวออกจากทุกข์


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 01 มิ.ย. 2016, 20:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2016, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..
ลุงหมาน เขียน:

เพียงแต่ว่า อาฬารดาบส กับอุทกบาบส สองท่านนี้ไม่รู้ธรรมอันลึกซึ้งเป็นที่สุดได้
ท่านนึกว่าธรรมตรงนี้ที่ท่านทั้งสองได้นั้นถึงที่สุดแล้วไม่มีต่อไปอีกแล้ว


ที่ขีดเส้นใต้นั่นและครับ มิจฉาปัญญา ปัญญาหลงผิด
มิจฉาสมาธิ หมายถึง สมาธิหลงผิด สมาธิหัวต่อ สมาธินอนตาย สมาธิที่ไม่ทำให้เกิดปัญญา

.. ปัญญามีกันทุกคน นับแต่สุตะมยปัญญา จินตามยปัญญา แต่ภาวนามยปัญญาหรือวิปัสสนา
ปัญญานี้ ไม่มีกันทุกคน ต้องมีพร้อมกับสมาธิ คือมีสมาธิตั้งใจมั่น(อุปจาระสมาธิ)แล้วปัญญา
ตัวนี้จึงจะเกิด

ภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาที่ไม่มีนิวรณ์ห้าครอบงำ เป็นปัญญาสูงสุดในพระพุทธศาสนา ปัญญา
ที่ทำให้คนธรรมดาเป็นพระอริยะบุคคล จุดหมายของการทำกรรมฐานวิปัสสนาก็คือให้จิตสงบพ้น
จากนิวรณ์ห้าให้จิตเป็นสมาธิ เพื่อเกิดปัญญาวิปัสสนาหรือภาวนามยปัญญานี้เอง ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 03:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
สาระของการฟังพระธรรมคือต้องเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีคือสะสมปัญญา
การฟังค่ะถึงผลของปัญญาเป็นปฏิเวธทุกขณะอยู่แล้วค่ะจะไปถึงตอนไหนได้
เรียงลำดับแบบไหนก็ตามลำดับแบบนั้นไม่ขาดทั้ง3คือปริยัติปฏบัติและปฏิเวธ
ขณะที่กำลังฟังไม่เข้าใจเป็นเราฟังเป็นอกุศลจิตผลก็คือเป็นกิเลสย่อมไม่เป็นปัญญา
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังตอนที่กำลังฟังผลก็คือเป็นปัญญาเริ่มรู้จักกิเลสตน
ขณะที่กำลังฟังเข้าใจตรงปัจจุบันขณะตอนที่กำลังมีทุกขณะก็คือปัญญารู้จักหนทางที่ถูก
ถึงผลทุกขณะที่กำลังฟังอยู่แล้วต้องตื่นรู้ตรงปัจจุบันขณะจริงๆหนทางถูกคือเห็นถูกเข้าใจถูกไง
ต้องรู้ตรงความจริงของสิ่งที่ตนมีจริงๆทุกขณะคือสัมมาทิฐิตอนกำลังฟังรู้ตรงธัมมะที่ปรากฏอยู่แล้ว
ตรงเหตุตรงปัจจัยที่มีแล้วและกำลังมีทุกขณะในชีวิตประจำวันขณะที่ไม่รู้ก็คือผลเป็นอวิชชาที่ไม่รู้
ต้องถึงผลตอนที่กำลังมีเหตุปัจจัยกำลังปรากฏและปัญญาเพิ่มขึ้นตอนกำลังฟังว่ากำลังมีวิชชาไหม
ปัญญาเพิ่มทีละขณะและกิเลสก็เพิ่มทีละขณะเป็นคนละขณะต้องรู้ทุกขณะว่าขณะไหนสะสมอะไร
จะพึ่งตนเองได้ตอนกำลังฟังคำของตถาคตแล้วเข้าใจสิ่งที่จิตตนรู้ตามเหตุปัจจัยจนกระทั่งรู้ว่า
ทุกอย่างเป็นธัมมะทีละ1ขณะจิตตามการสะสมของตนในแต่ละวันว่าเพิ่มกิเลสหรือปัญญา
มากน้อยยังไงให้เข้าใจว่าแต่ละวันสะสมแล้วทั้งหมดทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม
จะเป็นปริยัติ/ปฏิบัติ/ปฏิเวธได้ตอนกำลังพึ่งคำตถาคตแล้วรู้สิ่งที่ตนสะสมค่ะ
ต้องมีอารมณ์ตามอารมณ์ของบิดาเพื่อรู้ตามบิดาคือรู้ตามคำตถาคตค่า
https://m.youtube.com/watch?v=pP7XF8h6Dls
:b13:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 06:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ต้องเลือกฟัง..ด้วยนะครับ

ถ้าชอบฟังพระโมคคัลลานะ..ก็เป็นแบบแนวโมคคัลลานะ
ถ้าชอบฟังพระสารีบุตร..ก็เป็นแบบแนวพระสารีบุต
ถ้าชอบฟังพระอานนท์..ก็เป็นแบบแนวพระอานนท์
ถ้าชอบฟังพระเทวทัต...ก็เป็นแบบแนวเทวทัต..

ทำบุญร่วมกับใคร..ก็มักชอบแนวนั้น..
ถ้าคนที่เรามีบุญร่วมกันมา..ยังไม่ถึงที่ความเป็นสรณะ..แต่ยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่...ก็นับว่าเป็นการสร้างบารมี

แต่หากคนที่เรามีบุญร่วมกันมา...ยังไม่ถึงที่ความเป็นสรณะ..แล้วยังประพฤติธรรมลามกอยู่..โอกาสลงต่ำก็เป็นไปได้สูง

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...สวัสดีค่ะคุณกบ...แล้วคุณกบคิดว่าเราและคนที่เข้ามาอ่านลานธรรมจักร...
...ทำบุญร่วมชาติมารึเปล่าล่ะคะ...ข้าพเจ้าเคยชอบฟังและร้องตามเสียงเพลง...
...สำหรับการฟังธรรมเป็นความรู้ที่คอยกล่อมเกลาให้จิตใจคิดอยู่ในกรอบความดี...
...แต่เสียงทุกเสียงเป็นเสียงที่ต้องเกิดและการจะได้ยินเสียงนั้นๆหรือไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัย...
...ส่วนเสียงไหนล่ะที่เป็นเสียงที่ทำให้มีความเห็นตรงต่อความจริงที่กำลังรู้ชัดในคำสอนจริงๆ...
...จะฟังเสียงไหนก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยไม่ขึ้นกับความชอบหรอกค่ะขึ้นกับความมุ่งมั่นจริงจังมากกว่า...
...สำหรับเหตุผลข้อสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเลือกตัดการฟังทั้งหมดออกไปเหลือแต่เสียงที่เกิดความจริง...
...ไม่ได้ฟังเพราะชอบฟังอีกต่อไปเป็นเหตุผลเดียวจริงๆที่ฟังพระพุทธพจน์ให้เข้าใจจิตแท้จริงค่ะ...
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 40.09 KiB | เปิดดู 4626 ครั้ง ]
ต้องมาทำความเข้าใจกับ คำว่า เอกายมรรค นั้น เอกา แปลว่า หนึ่ง มรรค แปลว่า ทาง
ซึ่งคำว่า เอกายมรรค ก็จะแปลว่า หนทางสายเดียว

เมื่อคำสอนเป็นอย่างนี้ ยังจะมีสายอื่นอีกไหม ฉะนั้นสายเดียวก็ต้องมา แปลว่าไม่มี ๒ สายไม่มีสายอื่น
ใช่หรือไม่? และเราต้องไปดูว่าต้นทางของเอกายมมรคอยู่ตรงไหน? มีอะไร? ก็จะพบว่ามี สติปัฏฐาน ๔
สติ แปลว่า กำหนดรู้ และจะไปกำหนดที่ไหน ก็ต้องบอกว่าที่ ฐาน ๔ ในฐาน ๔ มีอะไร ก็จะพบว่า
(กาย เวทนา จิต ธรรม) ถ้าจะขยายให้กว้างอีก คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา
ธรรมานุปัสสนา ใช่หรือไม่ ? หนทางนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่ มรรค ผล นิพพาน หรือความพ้นทุกข์นั่นเอง

คำสอนของพระพุทธองค์ก็วางไว้ให้ศึกษากันก็มีอยู่อย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว
พยายามจะซัดซ่ายไปในที่มันไม่ใช่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
...สวัสดีค่ะคุณกบ...แล้วคุณกบคิดว่าเราและคนที่เข้ามาอ่านลานธรรมจักร...
...ทำบุญร่วมชาติมารึเปล่าล่ะคะ...ข้าพเจ้าเคยชอบฟังและร้องตามเสียงเพลง...
...สำหรับการฟังธรรมเป็นความรู้ที่คอยกล่อมเกลาให้จิตใจคิดอยู่ในกรอบความดี...
...แต่เสียงทุกเสียงเป็นเสียงที่ต้องเกิดและการจะได้ยินเสียงนั้นๆหรือไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัย...
...ส่วนเสียงไหนล่ะที่เป็นเสียงที่ทำให้มีความเห็นตรงต่อความจริงที่กำลังรู้ชัดในคำสอนจริงๆ...
...จะฟังเสียงไหนก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยไม่ขึ้นกับความชอบหรอกค่ะขึ้นกับความมุ่งมั่นจริงจังมากกว่า...
...สำหรับเหตุผลข้อสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเลือกตัดการฟังทั้งหมดออกไปเหลือแต่เสียงที่เกิดความจริง...
...ไม่ได้ฟังเพราะชอบฟังอีกต่อไปเป็นเหตุผลเดียวจริงๆที่ฟังพระพุทธพจน์ให้เข้าใจจิตแท้จริงค่ะ...
onion onion onion

เพื่อให้เกิดเป็นอุปนิสสยปัจจัยเหตุที่จะทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่เคยได้ฟังจนกว่าจะถึงกาลที่ตรัสรู้ค่ะ
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
สมถะกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรม
ทั้ง ๒ มี อารมณ์ที่แตกต่างกัน ปลายทางก็แตกต่างกัน
สมถะกรรมฐาณมีอารมณ์กรรมฐาน ๔๐ เป็นอารมณ์ เส้นทางสูงสุด อรูปพรหม ๔
ระหว่างทาง รูปพรหม ๑๖
วิปัสสนากรรมฐาน มีอารมณ์ สติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ ผลของของวิปัสสนากรรมฐาน
หรือปลายทางของวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่ พระนิพพาน และในระหว่างทาง ได้แก่ พระโสดาบัน
พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ปลายทางเข้าสู่ความพ้นทุกข์ ดับขันปรินิพพาน

อนุโมทนากับลุงหมานค่ะ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริมบทของกบ

ปรโตโฆสะ = สภาพแวดล้อม (ทางตา ทางหู เป็นต้น) สภาพแวดล้อมดี =ปรโตโฆสะที่ดี สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี = ปรโตโฆสะที่ไม่ดี
กับ
โยสิโสมนสิการ - อโยสิโสมนสิการ - รู้จักคิด คิดเป็น ....ไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็น

https://www.facebook.com/secret100milli ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
จะตั้งต้นก็ต้องตั้งต้นที่การมีปัญญา
เพราะพุทธะคือผู้รู้/ผู้ตื่น/ผู้เบิกบานใจ
สภาพธรรมปรากฏให้รู้ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ
แต่ไม่เคยคิดได้ว่าทุกอย่างมีจริงที่ว่าจริงมันยังไง
ที่เกิด-ดับตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละบุคคลมีแล้วที่ตัว
กำลังเกิด-ดับที่กำลังเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้กระทบสัมผัส
คิดนึกเรื่องราวรู้สึกสุขทุกข์เป็นเราทำทุกอย่างในชีวิตประจำวันค่ะ
ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้นเป็นจิตแต่ละ1ดวงกำลังรับผล
คือมีวิบากกรรมที่ทำให้จิตทุกดวงที่กำลังมีนี้แหละไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน
แล้วเป็นอะไรรู้ไหมคะทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่งว่าที่กำลังมีจริงๆแล้วนั้น
เป็นจิตแต่ละดวงคิดนึกท่องเที่ยวทางทวารทั้ง6แล้วจำผิดว่าเป็นตัวตนรับรู้ทุกสิ่ง
ที่เข้าใจผิดว่ามีคนมีชื่อมีเรื่องราวแต่ความละเอียดคือไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตจริงๆ
ทุกอย่างมีแล้วที่กำลังปรากฏว่ากำลังเห็นตอนไม่ง่วงไม่หลับเป็นจิเจรุนิคือละเอียดมาก
รู้ได้ยากต้องอาศัยการฟังแล้วคิดตามก่อนว่ากำลังมีความจริงอะไรบ้างให้รู้ได้ตอนฟังน่ะค่ะ
เพราะตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้จำผิดให้ฟังสะสมใหม่เพื่อละทิ้งจำอันเก่าของชาตินี้ไปทีละนิดๆค่ะ
:b8:
:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2016, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

จะตั้งต้นก็ต้องตั้งต้นที่การมีปัญญา
เพราะพุทธะคือผู้รู้/ผู้ตื่น/ผู้เบิกบานใจ
สภาพธรรมปรากฏให้รู้ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ
แต่ไม่เคยคิดได้ว่าทุกอย่างมีจริงที่ว่าจริงมันยังไง
ที่เกิด-ดับตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละบุคคลมีแล้วที่ตัว
กำลังเกิด-ดับที่กำลังเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้กระทบสัมผัส
คิดนึกเรื่องราวรู้สึกสุขทุกข์เป็นเราทำทุกอย่างในชีวิตประจำวันค่ะ
ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้นเป็นจิตแต่ละ1ดวงกำลังรับผล
คือมีวิบากกรรมที่ทำให้จิตทุกดวงที่กำลังมีนี้แหละไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน
แล้วเป็นอะไรรู้ไหมคะทรงแสดงไว้ละเอียดอย่างยิ่งว่าที่กำลังมีจริงๆแล้วนั้น
เป็นจิตแต่ละดวงคิดนึกท่องเที่ยวทางทวารทั้ง6แล้วจำผิดว่าเป็นตัวตนรับรู้ทุกสิ่ง
ที่เข้าใจผิดว่ามีคนมีชื่อมีเรื่องราวแต่ความละเอียดคือไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตจริงๆ
ทุกอย่างมีแล้วที่กำลังปรากฏว่ากำลังเห็นตอนไม่ง่วงไม่หลับเป็นจิเจรุนิคือละเอียดมาก
รู้ได้ยากต้องอาศัยการฟังแล้วคิดตามก่อนว่ากำลังมีความจริงอะไรบ้างให้รู้ได้ตอนฟังน่ะค่ะ


อ้างคำพูด:
จะตั้งต้นก็ต้องตั้งต้นที่การมีปัญญา
เพราะพุทธะคือผู้รู้/ผู้ตื่น/ผู้เบิกบานใจ


พูดเหมือนสั่งได้ :b14:

คุณโรส เอาชัดๆฉบับกระเป๋าสิครับ ทำยังไงให้มีปัญญา หนึง สอง สาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร