วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 21:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2016, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือเล่มนี้ หน้า ๑๗๒ (ตัดแต่สาระมา)

หนังสือ จาริกบุญ จารึกธรรม เป็นผลสืบเนื่องจากการเดินทาง และแสดงธรรมกถา ในการจาริกนมัสการสังเวชนียสถานในแดนพุทธภูมิตามคำอาราธนา....เมื่อปี ๒๕๓๘ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์หลายครั้ง

รูปภาพ


ชื่อกระทู้วนๆอยู่กับคนหรือมนุษย์นี่แหละ ไปไม่ถึงสวรรค์สักที :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2016, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามนุษย์จะเข้าถึงความจริงแท้ เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง เพราะว่า ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก และในสากลพิภพ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2016, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็น..คน...อยู่ได้ไม่นาน

จนต้องอัพเลเว็ลมาเป็น..มนุษย์..ละซิ.

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2016, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นี้หรือ..มนุษย์..

มาใหม่! เผยอีกคลิป หลักฐาน 6 โจ๋รุมฟันชายพิการ ร้านขนมปัง

http://www.thairath.co.th/content/615974


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 07:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นี้หรือ..มนุษย์..

มาใหม่! เผยอีกคลิป หลักฐาน 6 โจ๋รุมฟันชายพิการ ร้านขนมปัง

http://www.thairath.co.th/content/615974


โฮ่แล้วอวดฉลาด :b32: นั่นแหละคนหรือมนุษย์ซึ่งไม่รู้จักตนเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็น..คน...อยู่ได้ไม่นาน

จนต้องอัพเลเว็ลมาเป็น..มนุษย์..ละซิ.

:b32: :b32:



คิกๆๆ เขาคงเห็นว่าหมดประเด็นเพราะไล่คนตกทะเลไปอีกคนหนึ่งแล้วมั่ง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นี้หรือ..มนุษย์..

มาใหม่! เผยอีกคลิป หลักฐาน 6 โจ๋รุมฟันชายพิการ ร้านขนมปัง

http://www.thairath.co.th/content/615974



กบ ตย. เบื้องต้นมนุษย์ซึ่งพอเข้าใจตนเองบ้าง แม้ไม่ชัดตามหลักพุทธธรรม :b13:

อ่านให้จบนะ (เกิน 6 บรรทัด)

อ้างคำพูด:
แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ

แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย

มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นี้หรือ..มนุษย์..

มาใหม่! เผยอีกคลิป หลักฐาน 6 โจ๋รุมฟันชายพิการ ร้านขนมปัง

http://www.thairath.co.th/content/615974



กบ อีก ตย. มนุษย์ผู้เริ่มจะเข้าใจตนเอง

ดูให้จบนะ (เกิน 6 บรรทัด :b32: )

อ้างคำพูด:
นั่งสมาธิครั้งนี้ แปลกจากครั้งอื่นจริงๆ (แชร์ประสบการณ์ค่ะ)


สวัสดีค่ะ คือเราเพิ่งนั่งเสร็จเมื่อตอนห้าทุ่มกว่าของวันนี้นี่เองค่ะ. คือที่จริงแปลกตั้งแต่สวดมนต์แล้วแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไร จนนั่งสมาธิก็แปลกไปกว่าครั้งไหนๆที่เคยนั่งอีกค่ะ ก็เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์เฉยๆค่ะ แต่ทุกท่านคงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมั้งคะยิ้ม

ตอนสวดมนต์วันนี้ รุ้สึกตัวชามากๆค่ะ ชาหลัง แขน หน้า นิดหน่อย แล้วก็หาวน้ำหูน้ำตาไหล ปกตินอนเล่นมือถือหลายชั่วโมงไม่เห็นจะง่วง55555 เมื่อก่อนตอนไปปฏิบัติก็ไม่เห็นเป็นค่ะ อ้อ แล้วอีกอย่าง เวลาท่องบทสวดมนต์ กลายเป็นพูดไม่ชัดไปซะงั้น อ่านผิดๆถูกๆ ซึ่งปกติไม่เคยเลยค่ะ

พอมาตอนนั่งสมาธิ เมื่อก่อนตอนนั่งจะกำหนดยุบ พอง ไปสักระยะ จิตจึงนิ่งแต่....มาวันนี้ หลับตาปั้บ เห็นจิตในจิต เลยค่ะ มันคือจิตในจิตอ่ะค่ะ ไม่งงเนาะ แบบตาในจิตเราเห็นไปในจิตเราเหมือนเพ่ง แต่ไม่ได้เพ่งเลยค่ะ ทีนี้ พอเห็นดังนั้นจึงกำหนดเห็นหนอ รุ้หนอ ไปเรื่อยๆ สักพักไม่ถึง5นาที รุ้สึกไม่ใช่ตัวเองนั่งค่ะแต่มันเห็นตัวเองขยายใหญ่กว่าตึก รุ้สึกไม่ใช่ตัวเองที่เป็นร่างกายนั่งอยุ่ เดี๋ยวเล็กเดี๋ยวขยาย นั่งไปไม่ยอมแพ้ค่ะทั้งๆที่ อยากจะอ้วก อยากลืมตาเต็มที มันน่ากลัวค่ะบอกไม่ถูก

แต่ก็กำหนดรู้หนอ เห็นหนอต่อไปค่ะ จนสักพักอาการที่ว่าหายหมดเลย ที่แปลกสำหรับเราคือ วันนี้นั่งปั้บเกิดอาการเลย คือเร็วมาก คือแบบงงค่ะ เมื่อก่อนนั่งไปสัก20นาทีมั้งถึงเป็น อาการพวกนี้ แต่มันก้คงเป็นเรื่องปกติมั้งคะ เหมือนอะไรมาทดสอบความอดทนเราหรือป่าว อ้อ ตอนหลับตาและกำหนดมันก็มีลมในปากที่พร้อมจะเรออ่ะค่ะแต่รุ้สึกอยากอ้วกมากกว่า มาเป็นของแถมซะงั้น55555

มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างคะ มาแชร์ประสบการณ์ได้นะคะ ฝันดีราตรีสวัสค่ะ


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอน (แต่ตัดเอาตรงที่พอเข้าใจง่ายก่อน)

ตรัสรู้ธรรม คือ รู้เรื่องธรรมดา

จุดยอดปรารถนาหรือความต้องการสูงสุด ก็อันเดียว คือ ต้องการเข้าถึงความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี่เอง แต่มนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับแง่มุมต่างๆของมัน

สำหรับธรรมที่เปิดเผยไว้ด้วยปัญญาตรัสรู้ในพระพุทธศาสนานั่น เรามองเห็นกันว่า เป็นความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เป็นหลักการใหญ่ที่ไม่จำกัดเฉพาะด้านวัตถุอย่างเดียว และไม่จำกัดเฉพาะนามอย่างเดียว แต่ท่านมองครอบทุกอย่าง ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ที่เราเรียกกันว่า นามรูป

เราถือกันว่า ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก ถ้าเราไปค้นพบแต่เพียงวัตถุ เราก็ได้เพียงด้านเดียวของธรรม และเข้ามาถึงตัวเราก็แค่ด้านร่างกายเท่านั้นเอง

ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อรูปธรรม กับ นามธรรม มันอิงอาศัยกันอยู่ การรู้เพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว ก็ไม่ทำให้เข้าใจแม้แต่อย่างเดียวนั้นได้ถูกต้องถ่องแท้

ชีวิตมนุษย์นี้ เป็นสิ่งที่มีทุกอย่างรวมอยู่พร้อมในตัว จะว่าทางด้านวัตถุ ก็คือส่วนที่เรียกกันง่ายๆว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งกลั่นกรองมาสุดยอด จึงมาเป็นร่างกายของเรา นอกจากร่างกายแล้ว เรายังมีส่วนจิตใจอีก ซึ่งเป็นนามธรรม รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ ทั้ง ๕ อย่างนี้แหละ เป็นชีวิตของมนุษย์

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม ตรัสรู้ความจริงแหงกฎธรรมชาติ ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องนามธรรม และรูปธรรม เพราะฉะนั้น จึงเป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ในตัว ไม่ใช่เป็นความจริงเฉพาด้าน

ถ้ามนุษย์จะเข้าถึงความจริงแท้ เขาหนีไม่พ้นที่จะต้องเข้าใจตัวมนุษย์เอง ถ้าเข้าใจตัวมนุษย์เองแล้ว กล่าวได้ว่าเข้าใจหมดทุกอย่าง เพราะว่า ตัวมนุษย์นี้เป็นสุดยอดของสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลก และในสากลพิภพ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้เราค้นพบตัวเอง ให้รู้จักตัวเอง ให้เข้าถึงความจริงที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้

เมื่อใดเข้าถึงความจริงนี้แล้ว ก็จะทำให้เราปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง ทั้งภายในและภายนอก ถ้าปฏิบัติต่อชีวิตจิตใจขอบตัวเองยังไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอกให้ถูกต้องไม่ได้ด้วย และก็จะแก้ปัญหาไม่จบไม่สิ้น

ปัญหาทุกอย่างนั้น มันโยงกันไปหมด มีเหตุปัจจัยถึงกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ในที่สุดมนุษย์จะหนีไม่พ้น ที่จะต้องทำความเข้าใจตัวมนุษย์เองให้ชัดเจน

คนจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง ซึ่งประกอบด้วยทั้งกายและใจ ทั้งนามธรรม และรูปธรรม พระพุทธเจ้าได้ทรงจับจุดของความจริงนี้ คือค้นพบความจริงของชีวิตนี้ทั้งหมด ทั้งนามธรรมและรูปธรรม โดยมองเห็นระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยที่ครอบคลุม

เพราะฉะนั้น โพธิญาณของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ให้ถึงสัจจะ ไม่มีการเคลื่อนคลาดเปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว ถึงปัจจุบันนี้ ก็ไม่เห็นว่าจะมีการคลาดเคลื่อนไป ยิ่งเวลาผ่านไป เราก็ยิ่งเห็นคุณค่าแหงพระธรรมที่พระองค์ประกาศไว้มากขึ้นทุกที

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ย้อนกลับไปข้างต้น)

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น คือ การค้นพบสัจธรรมความจริง และความจริงที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดา ตามพุทธพจน์ที่ว่า

“ตถาคตทั้งหลาย จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ตาม หลักความจริงก็ดำรงอยู่ตามธรรมดาของมันอยู่แล้ว ว่าดังนี้ๆ

ตถาคต (คือพระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ได้ค้นพบความจริงนั้นแล้ว จึงนำมาเปิดเผย แสดง ชี้แจงให้เข้าใจง่าย และวางเป็นหลักลงว่า ดังนี้ๆ”

(องฺ.ตก.20/576)

นี่คือพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ว่าเป็นเรื่องของธรรมดาแห่งธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์จึงได้ทรงเปล่งอุทานว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา เป็นต้น ซึ่งมีคำแปลเริ่มต้นว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ คำว่า “พราหมณ์” ในที่นี้ หมายถึง ท่านผู้บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายที่งามสูงสุด คือ เป็นคำเก่า ที่เขาใช้กันสืบมา พระองค์ก็นำมาใช้ด้วย

“เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ทั่วถึงธรรมพร้อมทั้งเหตุ”
(ขุ.อุ.25/38)



อันนี้เป็นพุทธพจน์ที่แสดงหลักความจริงที่ตรัสรู้ส่วนหนึ่ง คือ แสดงถึงกฎธรรมชาติแหงความเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ความจริงที่บอกว่า มีอยู่ตามธรรมดา ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้ คือ อะไร ก็คือมาค้นพบความจริงของกฎธรรมชาติ แห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ การที่ผลเกิดจากเหตุ และเหตุก่อให้เกิดผล ที่เรียกกันง่ายๆว่า กฎปฏิจจสมุปบาท หรือเรียกเต็มว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง

ต่อจากนั้น พระองค์ก็ตรัสต่อไปเป็นคาถาที่สอง มีข้อความคล้ายๆกันว่า

“เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นหมดไป เพราะได้รู้ธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย”

(ขุ.อุ.25/39)



อันนี้ คือ ความที่พระองค์ตรัสอ้างอิงไปถึงธรรมอันเป็นที่สิ้นเหตุปัจจัย ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ได้แก่ พระนิพพาน

ท่อนที่หนึ่ง แสดงหลักปฏิจจสมุปบาทอันว่าด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย

ท่อนที่สอง แสดงถึงพระนิพพานที่เป็นธรรมพ้นจากปัจจุบันปรุงแต่ง

ท่อนที่สาม คือ ต่อจากนั้น เมื่อได้ตรัสรู้อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท พร้อมทั้งพระนิพพานแล้ว คาถาสุดท้ายก็แสดงถึงผลของการตรัสรู้ว่า พระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ทำลายความมืดแห่งอวิชชาหมดไป เหมือนอย่างดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นมาทอแสง ทำให้เห็นสิ่งทั้งหลายในโลกนี้สว่างกระจ่างชัดเจน

“เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจอาทิตย์กำจัดมืดส่องฟ้าให้สว่างเจิดจ้าฉะนั้น”

(ขุ.อุ.25/40)

สามคาถานี้ คือ พุทธพจน์ที่เรียกว่าเป็นปฐมพุทธพจน์ ตามที่อรรถกถาอธิบายไว้

เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา คือ กฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย พร้อมทั้งธรรมที่พ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง คือ นิพพาน

นี่แหละเป็นเรื่องที่ดูคล้ายว่าง่ายๆ เพราะถ้าเราจะตอบชาวบ้านเวลาเขาถามว่า พระพุทธศาสนาสอนอะไร หรือพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เราตอบในความหมายหนึ่งง่ายๆ ก็บอกว่า ตรัสรู้ธรรมดานี่เอง เพราะว่าตรัสรู้ธรรมก็คือตรัสรู้ธรรมดา แต่ว่าธรรมดานี่แหละ เป็นเรื่องที่ยากที่สุด

ความจริงนั้นมีอยู่ เป็นของธรรมดา มันมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ ใครจะเห็นหรือไม่เห็น ความจริงก็มีอยู่อย่างนั้น

แต่เพราะมนุษย์ไม่รู้ความจริงที่เป็นธรรมดานี่แหละ เขาจึงดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาในชีวิตของตนเอง ปัญหาในสังคม ทุกอย่างทุกประการ

แต่ถ้ามนุษย์ รู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดานี้เมื่อใด เมื่อนั้น เขาก็ปฏิบัติถูกต้องต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อปฏิบัติถูกต้องเมื่อ ก็ไม่เกิดปัญหา ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี เรียบร้อย ชีวิตก็ดีงาม ประเสริฐ มีความสุข

ฉะนั้น ปัญหาของมนุษย์ ในที่สุด เมื่อสืบสาวลึกลงไป ก็อยู่ที่การไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้นเอง แล้วจึงมาถึงขั้นปฏิบัติไม่ถูกต้อง แล้วก็เกิดปัญหา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา พอเข้าใจมั้ยขอรับ :b10: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาแค่ศีล..ก่อนดีมั้ยกรัชกาย...อ่านหนังสือมาก..จำมาก..

แต่...ศีลไม่ดี..นี้..ไม่เข้าท่าเลยนะ..

grin grin grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอาแค่ศีล..ก่อนดีมั้ยกรัชกาย...อ่านหนังสือมาก..จำมาก..

แต่...ศีลไม่ดี..นี้..ไม่เข้าท่าเลยนะ..

grin grin grin



ศีลข้อไหนหรอว่ามาสิ :b32:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2016, 04:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เอาแค่ศีล..ก่อนดีมั้ยกรัชกาย...อ่านหนังสือมาก..จำมาก..

แต่...ศีลไม่ดี..นี้..ไม่เข้าท่าเลยนะ..

grin grin grin



ศีลข้อไหนหรอว่ามาสิ :b32:

รูปภาพ


คนที่พูดจาบิดเบือน..ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร...ทำให้คนไม่รู้เข้าใจผิด..มีความรู้สึกไม่ดีกับเจ้าหน้าที่..กฎหมาย..ฯลฯ

คนประเภทนี้..ผิดศีลข้อไหนดี..กรัชกาย :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2016, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เอาแค่ศีล..ก่อนดีมั้ยกรัชกาย...อ่านหนังสือมาก..จำมาก..

แต่...ศีลไม่ดี..นี้..ไม่เข้าท่าเลยนะ..

grin grin grin



ศีลข้อไหนหรอว่ามาสิ :b32:

รูปภาพ


คนที่พูดจาบิดเบือน..ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร...ทำให้คนไม่รู้เข้าใจผิด..มีความรู้สึกไม่ดีกับเจ้าหน้าที่..กฎหมาย..ฯลฯ

คนประเภทนี้..ผิดศีลข้อไหนดี..กรัชกาย :b9: :b9:



ตัวเองก็ไม่รุ้ว่าผิดศีลข้อไหน แต่พูดว่าผิดศีล เป็นการโหนศีล คิกๆๆ เพื่อให้ตนเองเป็นคนมีศีล นะกบ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร