วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




011.jpg
011.jpg [ 109.1 KiB | เปิดดู 5265 ครั้ง ]
ดอกบัวเป็นดอกไม้พิเศษที่จะนำไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม ความคิดที่ว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามนี้ เห็นได้จากมีการนิยมใช้ดอกบัวเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัยโดยทั่วไป

ดอกบัวได้ชื่อว่าเป็นพืชพันธุ์ไม้น้ำที่ทรงคุณค่าด้านความงามอันล้ำเลิศ พระอรรถกถาจารย์เปรียบธรรมชาติของดอกบัวว่า มีความคล้ายคลึงกับปรัชญาในพระพุทธศาสนา ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับดอกบัวอยู่มากมายครับ

ซึ่งในคืนวันเพ็ญเดือน ๘ พระนางสิริมหามายาผู้จะได้เป็นพระพุทธมารดา ทรงอธิษฐานสมาทานอุโบสถศีล ในยามใกล้รุ่งได้ทรงสุบินนิมมิตว่า ท้าวจตุมหาราชทั้งสี่ได้มายกพระองค์พร้อมกับพระแท่นที่บรรทมทูลเชิญไปยังป่าหิมพานต์ เหล่าเทพธิดาทั้ง ๔ ได้ทูลเชิญพระนางเสด็จไปสรงน้ำในสระอโนดาต ชำระล้างมลทินแห่งมนุษย์ แล้วทรงผลัดด้วยผ้าทิพย์ ลูบไล้ด้วยของหอม ทรงประดับบุปผชาติอันเป็นทิพย์

แล้วเชิญเสด็จเข้าที่บรรทมบนพระแท่นในวิมานทอง ในภูเขาเงิน ทรงบ่ายพระเศียรไปยังทิศตะวันออก
ขณะนั้นมีพระยาช้างเผือกชูงวงจับดอกบัวขาวที่เพิ่งแย้มบานกลิ่นจากภูเขาทองด้านทิศตะวันออก ร้องก้องโกญจนาทเดินเข้าไปในวิมาน กระทำประทักษิณาวัตรเวียนพระแท่น ๓ รอบ

ซึ่งในวันรุ่งขึ้นพระนางได้ทรงกราบทูลถึงพระสุบินนิมิตนั้นแด่พระสวามี พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงมีรับสั่งให้พราหมณ์ประจำราชสำนักทำนายนิมิตฝันนั้น เหล่าพราหมณ์ได้พากันทำนายว่า

“พระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์พระองค์จักมีพระราชโอรส พระโอรสนั้นถ้าอยู่ครองราชก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าเสด็จออกบวช จักได้เป็นพระพุทธเจ้า”

เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์นั้น พระครรภ์บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนด้วยครรภ์มลทินและประทับนั่งสมาธิอยู่ในพระครรภ์ ไม่คุดคู้เหมือนเด็กทารกอื่น พระราชมารดาทรงทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ ได้ถวายการอารักขาเพื่อป้องกันมิให้เกิดอุปัทวันตรายแก่พระโพธิสัตว์และพระราชมารดา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




99.jpg
99.jpg [ 120.29 KiB | เปิดดู 5253 ครั้ง ]
ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาท ๗ ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว ๗ วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2016, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หาเรื่องให้ลุงหมานด่าดีกว่า :b1: คือมันเป็นปริศนาธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หาเรื่องให้ลุงหมานด่าดีกว่า :b1: คือมันเป็นปริศนาธรรม


ถ้าจะว่าเป็นปริศนาธรรม พุทธประวัติที่กล่าวกันมาก็ต้องยกเลิก ซึ่งมันไม่ใช่ของจริงเป็นการโกหกหลอกลวง
คนที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิก็จะเป็นไปอย่างนี้ จะทำลายความสัมมาทิฎฐิตัวเองที่มีอยู่บ้างให้ย่อยยับ
และก็จะลุกลามไปยังผู้อื่นด้วย ก็ดูเอาเถอะดังที่พระองค์กล่าวไว้ว่าโทษของมิจฉาทิฎฐินั้นไปถึงไหน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




662599-img-1362712059-1.jpg
662599-img-1362712059-1.jpg [ 71.12 KiB | เปิดดู 5234 ครั้ง ]
เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ใหม่ ๆ พระองค์ทรงตรัสเปรียบบุคคล ๔ ประเภทที่มีสติปัญญาแตกต่างกันไปกับดอกบัว ๔ เหล่า ดังนี้
๑. อุคคติตัญญู หมายถึงบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญาแก่กล้า พอฟังธรรมก็สามารถรู้แจ้งในธรรมวิเศษ โดยทันที เปรียบเหมือนดอกบัวโผล่พ้นเหนือน้ำ พอได้รับแสงแดดก็จะบานทันที

๒. วิปัจจิตัญญู หมายถึงบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญามาก ขนาดได้ฟังธรรมคำสั่งสอนอย่างละเอียด แจกแจงให้เข้าใจแล้วสามารถรู้แจ้งเห็นธรรมวิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่เติบโตขึ้นมาพอดีกับพื้นน้ำ จะบานในวันรุ่งขึ้น

๓. เนยยบุคคล หมายถึงบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญาขนาดที่ต้องพากเพียรค้นคว้า ไต่ถาม หมั่นศึกษาเล่าเรียน และคบกัลยาณมิตร จึงจะสามารถรู้เห็นแจ้งในธรรมได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่เติบโตอยู่ใต้น้ำ จะผุดขึ้นมาเหนือน้ำและจะบานในวันต่อไป

๔. ปทปรมบุคคล หมายถึงบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญาไม่สามารถรู้แจ้งในธรรมได้เลย แม้จะอธิบายอย่างละเอียดอย่างไรก็ตาม เปรียบเหมือนดอกบัวที่เติบโตอยู่ใต้น้ำ ไม่สามารถจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ อยู่เพียงใต้น้ำ เป็นอาหารของปลาและเต่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




757.jpg
757.jpg [ 99.88 KiB | เปิดดู 5233 ครั้ง ]
ดอกบัวนั้นเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าเวลาประทับนั่ง ยืน เดิน มีดอกบัวมารองรับเสมอ และในเรื่องพระมาลัยก็กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งฐานะยากจน ได้เก็บดอกบัว ๘ ดอก ฝากพระมาลัยขึ้นไปบูชาพระธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร ดังนั้นในสมัยโบราณคนจึงนิยมถวายดอกบัวแด่พระในวันออกพรรษา ถือว่าได้บุญกุศลมาก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หาเรื่องให้ลุงหมานด่าดีกว่า :b1: คือมันเป็นปริศนาธรรม


ถ้าจะว่าเป็นปริศนาธรรม พุทธประวัติที่กล่าวกันมาก็ต้องยกเลิก ซึ่งมันไม่ใช่ของจริงเป็นการโกหกหลอกลวง
คนที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิก็จะเป็นไปอย่างนี้ จะทำลายความสัมมาทิฎฐิตัวเองที่มีอยู่บ้างให้ย่อยยับ
และก็จะลุกลามไปยังผู้อื่นด้วย ก็ดูเอาเถอะดังที่พระองค์กล่าวไว้ว่าโทษของมิจฉาทิฎฐินั้นไปถึงไหน



ต้องแยกธรรมาธิษฐาน บุคคลาธิษฐาน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




1286514634.jpg
1286514634.jpg [ 95.01 KiB | เปิดดู 5222 ครั้ง ]
เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๗ พรรษา พระราชบิดาโปรดให้ขุดสระโบกขรณี ๓ สระ
สำหรับให้ทรงลงเล่นน้ำ โดยปลุกอุบลบัวขาบสระหนึ่ง ปทุมบัวหลวงสระหนึ่ง และบุณฑริกบัวขาว
อีกสระหนึ่ง และเมื่อทรงตรัสรู้ ทรงเปรียบเวไนยสัตว์ อุปมาดังบัว สี่เหล่า คือ ดังที่ได้เสนอไปแล้ว
ในบันทึกก่อนนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2016, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.png
untitled.png [ 432.84 KiB | เปิดดู 5211 ครั้ง ]
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 75

ว่าในกัปนั้นของโพธิบัลลังก์นั้น พระพุทธเจ้าจักทรงอุบัติ ดอกบัวย่อมเกิดขึ้น
หากไม่ทรงอุบัติ ดอกบัวจะไม่เกิด. อนึ่ง เมื่อดอกบัวเกิดหากพระพุทธเจ้าองค์
หนึ่งจักทรงอุบัติก็เกิดดอกเดียว. หากพระพุทธเจ้าจักทรงอุบัติ ๒ องค์ ๓ องค์
๔ องค์ ๕ องค์ ดอกบัวก็เกิด ๕ ดอก. อนึ่ง ดอกบัวเหล่านั้นเป็นดอกมีช่อติด
กันในก้านเดียวนั่นเอง. ท้าวสุทธาวาสพรหมทั้งหลายชวนกันว่า ท่านผู้นิรทุกข์

ทั้งหลาย พวกเรามากันเกิด จักเห็นบุพนิมิตรแล้วพากัน มายังมหาโพธิบัลลังก์
สถาน ในกัปที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังไม่ทรงอุบัติดอกบัวก็ไม่มี. ทวยเทพ
ทั้งหลายเห็นดอกบัวไม่มีดอกก็มีความเสียใจว่า พ่อคุณเอ๋ย โลกจักมืดมนหนอ
สัตว์ทั้งหลายถูกความมืดครอบงำจักเห็นในอบาย เทวโลก ๖ พรหมโลก ๙ จัก
ว่างเปล่า ครั้นเห็นดอกบัวในเวลาบานต่างดีใจว่า เมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์
ทรงก้าวลงสู่ครรภ์พระมารดา ประสูติ ตรัสรู้ ยังธรรมจักรให้เป็นไป ทรงกระทำ
ยมกปาฏิหาริย์หยั่งลงจากเทวโลก ทรงปลงอายุสังขารเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พวกเราจักเห็นปาฏิหาริย์ อันทำให้หมื่นจักรวาลหวั่นไหว และอบายทั้ง ๔ จัก
เสื่อมโทรม เทวโลก ๖ พรหมโลก ๙ จักบริบูรณ์พากันเปล่งอุทานไปสู่พรหม
โลกของตนของตน.

อนึ่ง ดอกบัว ๕ ดอกเกิดขึ้นแล้ว ในกัปนี้. แม้ท้าวสุทธาวาสพรหมทั้ง
หลายครั้นเห็นดอกบัวเหล่านั้นก็รู้ความนี้ว่า พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ทรง
อุบัติแล้ว องค์ที่ ๕ จักทรงอุบัติต่อไปดังนี้ ด้วยอานุภาพแห่งนิมิตรเหล่านั้น
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ข้อนั้นเป็นการปรากฏแม้แก่ผู้อื่นดังนี้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2016, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หาเรื่องให้ลุงหมานด่าดีกว่า :b1: คือมันเป็นปริศนาธรรม


ถ้าจะว่าเป็นปริศนาธรรม พุทธประวัติที่กล่าวกันมาก็ต้องยกเลิก ซึ่งมันไม่ใช่ของจริงเป็นการโกหกหลอกลวง
คนที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิก็จะเป็นไปอย่างนี้ จะทำลายความสัมมาทิฎฐิตัวเองที่มีอยู่บ้างให้ย่อยยับ
และก็จะลุกลามไปยังผู้อื่นด้วย ก็ดูเอาเถอะดังที่พระองค์กล่าวไว้ว่าโทษของมิจฉาทิฎฐินั้นไปถึงไหน



ต้องแยกธรรมาธิษฐาน บุคคลาธิษฐาน :b1:


ต้องถามแล้วหละ ศัพท์นี้เป็นศัพท์ที่สูง ช่วยยกตัวอย่างและอธิบายให้ดูหน่อยว่าแยกกันยังไง ?

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2016, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




2c5a14ec.jpg
2c5a14ec.jpg [ 100.18 KiB | เปิดดู 5193 ครั้ง ]
อุบลวรรณา ผู้ได้เกิดในดอกบัว

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ 317

ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ก็

บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้วก็ไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมกับ

มหาชนฟังธรรม เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง

เอตทัคคะเป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธิ์ จึงถวายมหาทานแก่พระภิกษุสงฆ์มี

พระพุทธเจ้าเป็นประธาน ๗ วัน ปรารถนาตำแหน่งนั้น นางกระทำกุศลจนตลอด

ชีวิต ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ถือปฏิสนธิ

ในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสี พระนามว่า กิกิ กรุงพาราณสี เป็น

พระราชธิดาองค์หนึ่ง ระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระองค์ ทรงประพฤติ

พรหมจรรย์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี สร้างบริเวณถวายพระภิกษุสงฆ์แล้วบังเกิดใน

เทวโลก.

ครั้นจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็กลับมาสู่มนุษยโลกอีก บังเกิดในสถาน

ที่ของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีวิต ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง วันหนึ่งนาง

กำลังเดินไปกระท่อมกลางนา ระหว่างทาง เห็นดอกปทุมบานแต่เช้าตรู่ใน

สระแห่งหนึ่ง จึงลงสู่สระนั้น เก็บดอกปทุมนั้นและใบปทุม สำหรับใส่ข้าว

ตอก ตัดรวงข้าวสาลีที่คันนา นั่งในกระท่อมคั่วข้าวตอก จัดวางข้าวตอกไว้

๕๐๐ ดอก ขณะนั้น ที่ภูเขาคันธมาทน์ พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์หนึ่ง

ออกจากนิโรธสมาบัติ มายืนไม่ไกลนาง นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็

ถือเอาดอกปทุมพร้อมด้วยข้าวตอกลงจากกระท่อม ใส่ข้าวตอกลงในบาตรของ

พระปัจเจกพุทธเจ้า เอาดอกปทุมปิดบาตรถวาย ขณะนั้น เมื่อพระปัจเจก-

พุทธเจ้าไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็ปริวิตกว่า ธรรมดานักบวชไม่ต้องการดอกไม้

จำเราจะไปถือดอกไม้มาประดับเสียเอง จึงไปถือดอกไม้มาจากมือของพระ-

ปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็คิดอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการดอกไม้ ก็จักไม่ให้

วางไว้บนบาตร พระผู้เป็นเจ้าคงจักต้องการแน่แท้ จึงไปวางดอกไม้ไว้บน

บาตรอีก ขอขมาพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว การทำความปรารถนาว่า เจ้า-

พระคุณเจ้าข้า ด้วยผลของข้าวตอกเหล่านี้ของข้าพเจ้า ขอบุตรของข้าพเจ้าจงมี

เท่าจำนวนข้าวตอก [๕๐๐] ด้วยผลของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดขึ้นทุก ๆ

ย่างก้าว ในสถานที่ข้าพเจ้าบังเกิดแล้วบังเกิดอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไป

ยังภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่นางเห็นอยู่นั่นแล แล้วก็วางดอกปทุมนั้นไว้เป็น

เครื่องเช็ดเท้า ใกล้บันใดเหยียบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ เงื้อม

เขานันทมูลกะ.

ด้วยผลของกรรมนั้น แม้นางก็ถือปฏิสนธิในเทวโลก นับแต่นาง

บังเกิดแล้ว ปทุมดอกใหญ่ ก็ผุดทุก ๆ ย่างก้าวของนาง นางจุติจากเทวโลก

นั้นแล้ว ก็บังเกิดในห้องปทุม ในสระปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงภูเขา ดาบสองค์

หนึ่งอาศัยเชิงภูเขานั้นอยู่ ดาบสนั้นไปสระแต่เช้าตรู่ เพื่อล้างหน้า เห็นดอก

ปทุมนั้น ก็ครุ่นคิดว่า ปทุมดอกนี้ ใหญ่กว่าดอกอื่น ๆ แต่ดอกอื่น ๆ บานแล้ว

ดอกนี้ยังตูมอยู่ น่าที่จะมีเหตุในดอกปทุมนั้น จึงลงน้ำจับปทุมดอกนั้น ปทุม

ดอกนั้น พอดาบสนั้นจับเท่านั้นก็บาน ดาบสก็เห็นเด็กหญิงนอนอยู่ภายใน

ห้องดอกปทุม และนับแต่เห็นแล้ว ก็ได้ความรักประดุจธิดา จึงนำไปบรรณ-

ศาลาพร้อมกับดอกปทุมให้นอนบนเตียง ลำดับนั้น น้ำนมก็เกิดที่หัวนิ้วแม่มือ

ด้วยบุญญานุภาพของนาง เมื่อปทุมดอกนั้นเหี่ยว ดาบสก็นำปทุมดอกอื่นมา

ใหม่ให้นางนอน นับตั้งแต่นางสามารถวิ่งมาวิ่งไปได้ ดอกปทุมก็ผุดขึ้นทุก

ย่างก้าว ผิวพรรณแห่งเรือนร่างของนางก็เหมือนสีทองบัวบก ผิวนางไม่ถึง

ผิวพรรณเทวดา ก็ล้ำผิวพรรณมนุษย์ เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล นางกถูก

ปล่อยทิ้งไว้ ณ บรรณศาลา.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2016, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 69.63 KiB | เปิดดู 5179 ครั้ง ]
บำบัดโทษในกายพระผู้มีพระภาคเจ้า

สมัยนั้น พระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

“ดูกรอานนท์ กายของตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ ตถาคตต้องการจะฉันยาถ่าย"

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เดินไปหาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะชีวกโกมารภัจจ์ว่า

“ท่านชีวก พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ พระตถาคต ต้องการจะเสวยพระโอสถถ่าย“

ชีวกโกมารภัจจ์กล่าวว่า “พระคุณเจ้า ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงโปรดทำพระกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื่นสัก ๒-๓ วัน“

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ทำพระกายของพระผู้มีพระภาคให้ชุ่มชื่น ๒-๓ วันแล้ว เดินไปหาชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะชีวกโกมารภัจจ์ว่า

“ท่านชีวก พระกายของพระตถาคตชุ่มชื่นแล้ว บัดนี้ ท่านรู้กาลอันควรเถิด“

ครั้งนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

“การที่เราจะพึงทูลถวายพระโอสถ ถ่ายที่หยาบแด่พระผู้มีพระภาคนั้น ไม่สมควรเลย ถ้ากระไร เราพึงอบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยาต่างๆ แล้วทูลถวายพระตถาคต“

ครั้นแล้วได้อบก้านอุบล ๓ ก้านด้วยยาต่าง ๆ แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่หนึ่งแด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดก้านอุบลก้านที่ ๑ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้ จักยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง"

แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ ๒ แด่พระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดอุบลก้านที่ ๒ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้ จักยังพระผู้มี พระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง"

แล้วได้ทูลถวายก้านอุบลก้านที่ ๓ แด่พระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงสูดก้านอุบลก้านที่ ๓ นี้ การทรงสูดก้านอุบลนี้ จักยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายถึง ๑๐ ครั้ง ด้วยวิธีนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายถึง ๓๐ ครั้ง"

ครั้นชีวกโกมารภัจจ์ ทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณกลับไป ขณะเมื่อชีวกโกมารภัจจ์เดินออกไปนอกซุ้มประตูแล้วได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

"เราทูลถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง จักให้ถ่ายเพียง ๒๙ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจักสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้ว จักถ่ายอีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของชีวกโกมารภัจจ์ด้วยพระทัยแล้ว รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

“อานนท์ ชีวกโกมารภัจจ์ กำลังเดินออกนอกซุ้มประตูวิหารนี้ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

"เราถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว พระกายของพระตถาคตหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง จักให้ถ่ายเพียง ๒๙ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้วจักถ่ายอีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง อานนท์ถ้าอย่างนั้น เธอจงจัดเตรียมน้ำร้อนไว้ “

พระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว จัดเตรียมน้ำร้อนไว้ถวาย

ต่อมา ชีวกโกมารภัจจ์ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วหรือ พระพุทธเจ้าข้า

พระพุทธองค์ “เราถ่ายแล้ว ชีวก”

ชีวกโกมารภัจจ์ “พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ากำลังเดินออกไปนอกซุ้มประตูพระวิหารนี้ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า

"เราถวายพระโอสถถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคเพื่อถ่ายครบ ๓๐ ครั้งแล้ว พระกายของพระผู้มีพระภาคหมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ จักไม่ยังพระผู้มีพระภาคให้ถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคทรงถ่ายแล้วจักสรงพระกาย ครั้นสรงพระกายแล้วจักถ่ายอีกครั้งหนึ่งอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคจักทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงโปรดสรงพระกาย"

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสรงน้ำอุ่น ครั้นสรงแล้ว ทรงถ่ายอีกครั้งหนึ่งอย่างนี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงถ่ายครบ ๓๐ ครั้ง ลำดับนั้น ชีวกโกมารภัจจ์ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

“พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคไม่ควรเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยน้ำต้มผักต่าง ๆ จนกว่าจะมีพระกายเป็นปกติ“

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2016, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




1255938447.jpg
1255938447.jpg [ 80.38 KiB | เปิดดู 5163 ครั้ง ]
อีกกเรื่องหนึ่ง อดีตนายช่างทอง ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริก (เป็นคำเรียกผู้ที่ได้รับอุปสมบท ถ้าอุปสมบทต่อพระอุปฌายะองค์ใดองค์หนึ่ง ก็เป็นสัทธิวิหาริกของพระอุปัชฌายะองค์นั้น) ของพระสารีบุตร เมื่อบวชเป็นภิกษุ พระสารีบุตร สวยงาม จึงให้ภิกษุหนุ่มพิจารณาอสุภกรรมฐาน ๓๗ เธอพยายามพิจารณาอสุภกรรมฐานอยู่ตลอด ๔ เดือน ยังไม่พบคุณวิเศษแต่ประการใด พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ คือ พระปรีชาญาณหยั่งรู้ ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่า ภิกษุหนุ่มผู้นี้เคยเป็นนายช่างทองมาแล้วถึง ๕๐๐ ชาติ การทำงานอยู่กับทองซึ่งเป็นสิ่งของสวยงาม ประกอบกับมีอุปนิสัยละเมียดละไมรักสวยรักงาม (ราคจริต) จึงควรนำสิ่งที่สวยงามเช่นดอกบัวเพื่อใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน

วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพาภิกษุนั้นเที่ยวจาริกไปในวิหาร แล้วทรงนิรมิตสระโบกขรณีสระหนึ่งในอัมพวัน และนิรมิตดอกปทุมใหญ่ดอกหนึ่งในกอปทุม แม้นั้น แล้วรับสั่งให้นั่งลงด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุ เธอจงนั่งแลดูดอกปทุมนี้เข้าใจว่าภิกษุหนุ่มอดีตนายช่างทองรูปนี้อายุยังน้อย จิตใจจะต้องน้อมอยู่ในการรักความดอกปทุมนั้นมีขนาดเท่าจักร พระพุทธองค์ทรงทำให้เหมือนมีหยาดน้ำหลั่งลงมาจากใบและก้านเพื่อให้เหมาะกับอัธยาศัย ภิกษุหนุ่มได้นำดอกบัวไปวางไว้ที่กองทรายท้ายวิหาร นั่งขัดสมาธิตรงหน้า แล้วบริกรรมว่า “โลหิตกํ โลหิตกํ” (สีแดง สีแดง)

จากนั้น ขณะที่ท่านกำลังเพลิดเพลินอยู่กับสีแดงอันสวยสดของดอกบัวนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเนรมิตให้ดอกบัวซึ่งมีความสวยสดงดงามค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลง สักครู่เดียวเกสรดอกบัวก็ร่วงไปเหลืออยู่เพียงฝักบัว เป็นเหตุให้ภิกษุหนุ่มพิจารณาเปรียบเทียบถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยงถาวรเช่นกัน เมื่อจิตของภิกษุนั้นลงสู่วิปัสสนาญาณแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งโอภาส (แสงสว่าง) ไป ได้ตรัสว่า “เธอจงตัดความสิเนหาของตนเสีย เหมือนคนตัดดอกโกมุทอันเกิดในสารทกาล เธอจงพอกพูนทางแห่งความสงบ เพราะนิพพาน ตถาคตแสดงไว้แล้ว”

จากการที่ภิกษุหนุ่มใช้ดอกปทุมทองเป็นเครื่องหมายกรรมฐาน และได้น้อมนำจิตใจให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะปฏิบัติกรรมฐาน จึงทำให้ได้สำเร็จอรหัตตผลในเวลาไม่นาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2016, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 106.6 KiB | เปิดดู 5080 ครั้ง ]
พระเวสสันดร

"ดูก่อนพ่อชาลีลูกรัก พ่อจงมาเพิ่มพูนบารมีของพ่อให้เต็ม

จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นชุ่มฉ่ำ ลูกรักขอลูกจงทำตามคำของพ่อ
ขอลูกทั้งสองจงเป็นดังยานนาวาของพ่อไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ

เมื่อพ่อข้ามฝั่งคือชาติแล้ว จักยังมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายให้ข้ามพ้นด้วย"

ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ หวังจะสร้างบารมีให้แก่รอบเพื่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ ต้องอาศัยกำลังใจที่สูงส่งจริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆ ชาติไหนมีอารมณ์ก็สร้างบารมี ชาติไหนไม่พร้อมก็ไม่สร้าง อย่างนี้ไม่ถูกต้องนัก นักสร้างบารมีผู้เป็นนิยตโพธิสัตว์ที่แท้จริงนั้น ท่านจะสั่งสมบุญทุกวัน ทุกเวลานาที ทุกที่ และทุกภพทุกชาติ คือ เกิดมาสร้างบารมีอย่างเดียวเท่านั้น อย่างอื่นถือว่าเป็นเรื่องรอง เมื่อพูดถึงเฉพาะทานบารมี ท่านยอมสละได้กระทั่งเลือดเนื้อ และชีวิต ท่านทำถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นการบริจาคบุตรธิดาเป็นทาน จึงเป็นสิ่งที่เหนือวิสัย ของชาวโลกทั่วไป แต่ไม่เหลือวิสัยของพระโพธิสัตว์


*ครั้งที่แล้ว พระเวสสันดรตรัสว่า จะมอบพระกุมาร และพระกุมารีทั้งสองให้พราหมณ์ชูชกที่เดินทางดั้นด้นมาขอ ฝ่ายพระชาลีราชกุมาร และพระกัณหาชินาราชกุมารีรู้ว่า พระบิดา จะต้องบริจาคตัวให้กับชูชกอย่างแน่นอน ก็ขนลุกชูชัน ตกใจกลัวหวาดหวั่นไปตามๆ กัน พี่ชายรีบจับแขนน้องสาว พากันเสด็จไปหลังบรรณศาลา แล้วหนีไปหลบซ่อนอยู่ที่พุ่มไม้ด้วยความตกใจกลัว ต่างวิ่งไปวิ่งมาหวังว่าจะหาสถานที่ที่ชูชกมองไม่เห็น หาไม่เจอ จากนั้นพากันลงไปยืนอยู่ในสระโบกขรณี เอาใบบัววางไว้บนพระเศียร ยืนขาสั่น น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ในน้ำ

*มก. เวสสันตรชาดก เล"ม ๖๔ หน้า ๖๙๔

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2016, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




dsc05262.jpg
dsc05262.jpg [ 97.9 KiB | เปิดดู 5057 ครั้ง ]
ดอกบัวตามคติทางพระพุทธศาสนาใช้เป็นข้อเปรียบเทียบสอนใจในลักษณะต่าง ๆ
ขอยกมาเพียงบางข้อดังต่อไปนี้

๑. พระพุทธเจ้าตรัสว่า กองขยะที่ทิ้งตามทางใหญ่ (เมื่อน้ำท่วม) บัวหลวงก็อาจเกิดขึ้นจากกองขยะนั้น แต่มีกลิ่นหอมน่ารื่นรมย์ (ต่างจากขยะ) สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะเกิดในกลุ่มชนที่มีกิเลสหนาอันทำให้เหมือนอยู่ในที่มืด แต่ก็รุ่งเรืองด้วยปัญญาเหนือบุคคลเหล่านั้น (๑๕/๕๖๒/๒๐๖)

๒. ในที่มาอีกแห่งหนึ่ง (๑๗/๒๔๑/๑๗๑) ตรัสเปรียบพระตถาคตเหมือนดอกบัวว่า "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย! อุบล (บัวขาบ) ก็ตาม ประทุม (บัวหลวง) ก็ตาม บุณฑริก (บัวขาว) ก็ตาม เกิดเจริญในน้ำ แต่ก็โผล่ขึ้นตั้งอยู่เหนือน้ำ ไม่เปียกน้ำฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดเจริญในโลก แต่ก็ครอบงำโลกเสียได้ ไม่แปดเปื้อนไปกับโลก"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร