วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 19:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล สมาธิ ปัญญา ย่นย่อมาจากมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด เพื่อเข้าสู่ภาคปฏิบัติการ

ให้เห็นบทบาทของศีลเป็นต้น จะนำพุทธโอวาท ๓ เดือนก่อนปรินิพพานลงให้ดู

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัดเอาตรงนี้เลย

และแล้วพระจอมศาสดาก็เสด็จไปยังภัณฑุคาม และโภคนครตามลำดับ ในระหว่างนั้นทรงให้โอวาทภิกษุทั้งหลายด้วยพระธรรมเทศนา อันเป็นไปเพื่อโลกุตตราริยธรรม กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสนะ เป็นต้นว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลเป็นพื้นฐานเป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่ง แผ่นดินเป็นที่รองรับ และตั้งลงแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีพ และและหาชีพมิได้ เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์มหาสิงขร และสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย มีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือ ความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้น เป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก บุคคลผู้มีสมาธิ ย่อมอยู่อย่างสงบเหมือนเรือนทีมีฝาผนัง มีประตูหน้าต่างปิดเปิดได้เรียบร้อย มีหลังคาสำหรับป้องกันลม แดด และฝน ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ ไม่กระวนกระวาย เมื่อลม แดด และฝน กล่าวคือ โลกธรรมแผดเผา กระพือพัดสัดสาดเข้ามา ครั้งแล้วครั้งเล่า สมาธิอย่างนี้ ย่อมก่อให้เกิดปัญญา ในการฟาดฟันย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลสอาสวะต่างๆ ให้เบาบางและหมดสิ้นไป เหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบแล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานนั้น"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้น ย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่กำจัดความมืดให้ปลาสนาการมีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละออง คือ กิเลสให้ปลิวหาย ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"อันว่าจิตนี้ เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวสะอาดดังเดิม จิตที่ฟอกแล้วด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ย่อมพบกับปีติปราโมทย์อันใหญ่หลวง รู้สึกตนว่าได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบมิได้ อิ่มอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนนั่นแลเป็นผู้รู้ว่า บัดนี้ กิเลสานุสัยต่างๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลผู้ตัดแขนขาด ย่อมรู้ด้วยตนว่า บัดนี้แขนของตนได้ขาดแล้ว"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้มาดูศีลคนเล่นของซึ่งต้องใช้มีดกรีดพิสูจน์บ้าง ถ้ากรีดแล้วเข้า แสดงว่า ศีลไม่บริสุทธิ์
ดู/ฟังเรื่องเล่าจากประสบการณ์เขาเอง (ตัดมา)

...............

อ้างคำพูด:
พวกเพื่อนอีท่าไหนไม่รู้ค่ะ พาเข้าไปหาพระองค์นึงบอกศักดิ์สิทธิ์มาก เพื่อนบอกต่อกันมาอีกที เจอของอ่ะ ไรไม่รู้เต็มเลยค่ะ อย่างกับสำนักร่างทรง แล้วเค้าก็เดินออกมาจากห้อง นุ่งผ้าผืนเดียวเหมือนผ้าขนหนู ไม่ใส่ข้างบนห้อยสร้อยอ่ะไรไม่รู้เต็มเลย เจอก็เหวอๆอ่ะค่ะ จากนั้นเค้าก็เปิดซีดีประวัติให้ดู เราเริ่มเอะใจอ่ะค่ะ เค้าบอกว่าเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อปาน เราไม่รู้จักหรอกค่ะเลยลองค้นดู
ฯลฯ
เราก็เลยถามว่าเรียนจากที่ไหนหรอคะ เค้าก็บอกว่าหลวงพ่อปานมาเข้าฝันแล้วสอน เราก็เอิ่ม…แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อค่ะ เค้าก็พูดไปเรื่อยคะ บอกลูกศิษย์เยอะ ทหาร ตำรวจ แม้แต่เจ้าอาวาส บางที่ยังมาหาเค้าเลย จากนั้นเค้าก็คุยประมาณด่าให้ฟังค่ะ ว่าไอ้พวกโล้นเหลืองวัดนี้ชั่วทั้งวัด สู้เค้าไม่ได้สักคน ทั้งวัดนี้มีแต่คนอิจฉาเค้า บอกว่าเรียกเค้าไปด่าแต่ก็ทำอะไรเค้าไม่ได้ เค้าด่าไอ้พวกโล้นเหลืองพวกนี้มาเกาะวัดกินตั้งแต่เป็นเณร จนเป็นเจ้าคุณใหญ่โตกันก็ทำอะไรเค้าไม่ได้ ตอนแรกเราฟังก็เริ่มเอียง ๆ นะคะ
แต่เริ่มพูดไปเรื่อย ๆ เริ่มเละแล้วค่ะ ตอนแรกด่าแค่พระผู้ใหญ่นะคะ ไปๆมาเริ่มลามว่าเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ไป ๆมาๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่มีปัญญาทำแบบเค้า อีกอย่างแบบ งง ค่ะ คือเราต้องจ่ายเงินเพื่อให้ใครก็ไม่รู้เอามีดมากรีดเราหรอคะ และพูดแบบ ถ้าเข้า แปลว่า ศีล ไม่บริสุทธิ์ คือเราดีไม่ดีต้องให้คนอื่นเอามีดมากรีด วัดความดีเราหรอคะ อย่างขอโทษสมมุตินะคะ สาวเชียร์เบียร์ เนี้ยถ้าเกิดเขาต้องดื่มเหล้าทุกวัน แต่ เงินที่หามาต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ อย่างนี้ เขาเป็นคนดีไหมคะ ถ้าทำมีดบาดเข้า แปลว่า เขาเลวหรอคะ


ดูเต็มๆที่

http://pantip.com/topic/34991577

บางบอร์ด เรียนสมาธิทางฝัน คือ ฝันว่าท่านผูันั้นผู้นี้มาสอนสมาธิให้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิกขา ๓ ในแง่ที่เป็นระดับขั้นต่างๆของการละกิเลส คือ

๑. ศีล เป็นวีติกกมปหาน เป็นเครื่องละวีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบ ที่เป็นเหตุให้ล่วงละเมิดออกมาถึงกาย วาจา)

๒. สมาธิ เป็นปริยุฏฐานปหาน เป็นเครื่องละปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลาง ที่เร้ารุมอยู่ในจิตใจ ได้แก่ นิวรณ์ ๕

๓. ปัญญา เป็นอนุสยปหาน เป็นเครื่องละอนุสัยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียด ที่แอบแนบนอนคอยอยู่ในสันดาน รอแสดงตัวในเมื่อได้เหตุกระตุ้น ได้แก่ อนุสัย ๗


นอกจากนี้ ท่านยังได้แสดงในแง่อื่นๆอีก เช่น ศีลเป็นตทังคปหาน สมาธิเป็นวิกขัมภนปหาน ปัญญาเป็นสมุจเฉทปหาน ศีล เป็นเครื่องละทุจริต สมาธิเป็นเครื่องละตัณหา ปัญญาเป็นเครื่องละทิฏฐิ ....


ไตรสิกขา เรื่องง่ายๆสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เรียกเต็ม อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สาระอย่างเดียวกัน

อธิศีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง

อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิตให้เกิดสมาธิอย่างสูง

อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2016, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ระดมตั้งกระทู้นี้..กรัชกายจะรีบไปไหนหรอ?..

:b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2016, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชาเป็นกิเลสละเอียดเทียบกับปัญญาข้างบนดู

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ยังมีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญาจักษุนั้น เป็นเสมือนทารกน้อยผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบ ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายน่าหวาดเสียว และว้าเหว่เงียบเหงา มนุษย์ส่วนใหญ่ แม้จะร่าเริงแจ่มใสอยุู่ในหมู่ญาติ และเพื่อนฝูง แต่ใครเล่าจะทราบว่า ภายในส่วนลึกแห่งจิตใจ เขาจะว้าเหว่ และเงียบเหงาสักปานใด ถ้าทุกคนว้าเหว่ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักที่แน่นอนของชีวิต"

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร